เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 384 แขวะ

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 384 แขวะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 384 แขวะ

ตอนที่ 384 แขวะ

 

การฉลองวันปีใหม่ในชนบท เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือนึ่งอาหารแห้ง ซาลาเปาถั่ว ขนมเข่ง หมั่นโถว และฮวาจ่วน[1] อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทำไว้หลายหม้อ เพราะต้องกินไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นเพราะฤดูหนาวอากาศหนาวเกินไป ทำอาหารลำบากมาก จึงต้องทำอาหารแห้งไว้ให้เยอะ ๆ ตอนที่กินก็จะทำข้าวต้มไว้สักหน่อย อุ่นอาหารแห้งและซาจูช่าย กินคู่กับผักดองเค็มก็ได้มาหนึ่งมื้อแล้ว

อย่าคิดว่าเป็นอาหารพื้น ๆ เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่อาหารแบบนี้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ นี่เป็นอาหารที่เพิ่งจะมีหลังจากชีวิตในช่วงสองสามปีมานี้เริ่มดีขึ้น

เย่ฉูฉู่จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ในบ้านจะกินข้าวต้มกัน นาน ๆ ครั้งถึงจะได้กินแป้งข้าวโพดจี่ ไม่ต้องพูดถึงซาจูฉ่ายหรอก แค่ผักดองเค็มกับเต้าเจี้ยวก็ยังไม่มีเลย เพียงเทน้ำเกลือลงไปในข้าวต้มก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมากจริง ๆ เพียงแต่ชีวิตดีขึ้นแล้ว เธอกลับเอาแต่จู้จี้จุกจิกคิดจะเปลี่ยนไปกินนู่นกินนี่ เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เธอรู้สึกผิดเล็ก ๆ อย่างห้ามไม่อยู่

จ้าวเหวินเทาได้ยินก็พูดว่า “ภรรยา เธออย่าคิดมากสิ ถ้าไม่มีฐานะก็ว่าไปอย่าง เรามีฐานะก็ต้องกินของดีหน่อย ชีวิตคนเรามีไว้เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อกิน ๆ ดื่ม ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันเป็นกังวลว่าจู้จี้จุกจิกเกินไป หลังจากนี้จะไม่มีอะไรให้กินแล้ว”

ความหมายของเย่ฉูฉู่คือ เธอจู้จี้จุกจิกมากเกินไปแบบนี้สวรรค์จะลงทัณฑ์เธอหรือไม่?

“มีให้กินก็กินไปก่อน ไม่มีให้กินก็ค่อยมาว่ากัน จะคิดมากขนาดนั้นไปทำไมล่ะ! ภรรยา ทำของอร่อยสักหน่อยนะ พวกเราต้องปฏิบัติกับตัวเองให้ดี!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างเป็นการเป็นงาน

“คุณนี่มันนักกินจริง ๆ!” แม้ว่าเย่ฉูฉู่จะพูดแบบนี้ แต่ก็รู้สึกดีอยู่ภายในใจ

 

เธอได้ยินพี่สะใภ้สามจ้าวพูดว่า พี่สามจ้าวขี้งกถึงขั้นจะกินจะดื่มก็เสียดาย แม้ว่าที่บ้านจะปลูกข้าวสาลี แต่ก็ไม่สามารถกินแป้งขาวแบบฟุ่มเฟือยได้ ถ้าเธอเป็นพี่สะใภ้สามจ้าวคงได้โกรธเจียนตาย!

เย่ฉูฉู่ไม่ชอบการที่ต้องมานั่งทำซาลาเปาถั่วมื้อต่อมื้อ ดังนั้นเธอจึงเทแป้งไว้ 1-2 ถ้วย แป้งเหล่านี้นำมานึ่งซาลาเปาถั่วได้สามหม้อ บ้านพวกเขาทำหม้อเล็ก ถ้าทำซาลาเปาถั่วไว้สามหม้อ กินทุก 3-5 วันก็สามารถกินได้นานถึงฤดูใบไม้ผลิเลย เธอคิดว่ากำลังดี

 

ส่วนขนมเข่งทำไว้ครึ่งหม้อก็พอแล้ว นึ่งหมั่นโถวให้มากหน่อย เอาไว้ให้เสี่ยวไป๋หยางกิน ตอนค่ำจ้าวเหวินเทานำมาทำเป็นหมั่นโถวย่าง นี่เป็นสิ่งที่พวกเธอกินมากที่สุด

อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว เต้าหู้ไม่ต้องทำ ถ้าจะกินก็ไปเอามาจากโรงเต้าหู้ของพี่สามได้เลย แถมยังสดใหม่ด้วย

ซาจูฉ่ายเป็นอาหารที่เธอไม่ชอบกินมากที่สุด มันเป็นการนำผัก เนื้อ ไส้กรอกเลือดมาตุ๋นเข้าด้วยกัน มื้อแรกก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้ากินมากกว่านั้นก็จะเริ่มเลี่ยนแล้ว เธอคิดไว้อย่างดีแล้ว ถึงเวลานั้นเหลือไว้นิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องเก็บไว้เยอะ

ช่วงนี้เย่ฉูฉู่ต้มถั่วและถั่วแดงไว้หนึ่งหม้อแล้ว เธอจะนำมาทำเป็นไส้ซาลาเปาถั่ว โชคดีที่เตาในบ้านมีเยอะ ถ้ามีเตาแค่ตัวเดียวคงเผาไม่ไหวแน่นอน

 

“เธออยู่บ้านชีวิตสุขสบายจังเลย” เฮ่อซงจือมาแล้ว

“เธอเองก็เหมือนกัน ไม่ได้มาที่นี่นานเลยนะ” เย่ฉูฉู่เรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน

“หลายวันมานี้ฉันยุ่งอยู่กับการนึ่งอาหารแห้งนั่นแหละ ซาลาเปาถั่วก็นึ่งไว้ 8-9 หม้อแหน่ะ!” เฮ่อซงจือถอดรองเท้าขึ้นมานั่งบนเตียง “ฉันตบแป้งจนมือด้านหมดแล้ว ขาก็ยืนจนปวดไปหมด ทำตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน เตียงเผาไว้ร้อนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้นอนหลับสบายเลย”

 

“แล้วนึ่งเสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่ขึ้นมานั่งบนเตียงพลางถาม เธอรู้ว่าครอบครัวของเฮ่อซงจือมีสมาชิกเยอะ จึงต้องนึ่งซาลาเปาถั่วในปริมาณมาก

 

“ยังเลย!” เฮ่อซงจือมองเสี่ยวไป๋หยางที่ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ “เสี่ยวไป๋หยางนอนเวลานี้ หาได้ยากจริง ๆ”

  

“เมื่อคืนเล่นกับพ่อ เล่นกันจนดึกดื่นก็ยังไม่นอน ตอนนี้คงง่วงแล้วถึงได้หลับไป” เย่ฉูฉู่กล่าว “8-9 หม้อยังนึ่งไม่เสร็จเหรอ พวกเธอก็เพิ่มขนมเข่งกับนึ่งหมั่นโถวเพิ่มสักหน่อยก็น่าจะพอแล้วนะ ขืนนึ่งเยอะเกินไป ถ้ากินไม่หมดคงเสียพอดี”

หลังวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็จะเริ่มอบอุ่นแล้ว ไม่สามารถเก็บอาหารแห้งไว้ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่มีตู้เย็น

 

เฮ่อซงจือบุ้ยปาก “8-9 หม้อนี่ไม่ได้เอาไว้ให้พวกเรากินนะ นึ่งเอาไปให้บ้านของแม่สามีฉันต่างหากล่ะ!”

“หา?” เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ

  

เฮ่อซงจือพูดแขวะ “แม่สามีฉันบอกว่า แม่ไม่สบายก็เลยนึ่งอาหารแห้งไม่ไหว พวกเราเลยช่วยกันนึ่งไว้สักสองสามหม้อ เธอว่าแบบนี้คือสองสามหม้อเหรอ? ฉันว่านี่คงนึ่งในส่วนของพวกพี่น้องไปด้วยเลยมั้ง! นี่แค่ซาลาเปาไส้ถั่วนะ ยังไม่รวมขนมเข่งกับหมั่นโถวอีก โดยเฉพาะหมั่นโถว ในหมู่บ้านแม่ของแม่สามีฉันยังไม่ปลูกข้าวสาลีในปีนี้ ก็เลยไม่มีแป้งขาวไว้นึ่งหมั่นโถว ฉันว่านะ แป้งขาวของบ้านมีแค่นั้นคงไม่พอหรอก”

เย่ฉูฉู่ก็พูดอะไรไม่ได้ “เธออย่าเพิ่งโมโหเลย จะนึ่งก็นึ่งไปเถอะ ถึงยังไงก็เป็นญาติพี่น้องกัน หลังจากนี้มีเรื่องอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันได้”

  

“ฉันจะโมโหได้เหรอ?” เฮ่อซงจือพูดอย่างจนปัญญา “ฉันที่เป็นลูกสะใภ้ก็เป็นแค่คนนอก โมโหไปใครจะสนใจล่ะ! ฉูฉู่ ฉันอยากแยกบ้านออกมาตอนนี้เลย!”

 

เฮ่อซงจือพูดราวกับเป็นเด็กน้อย

เย่ฉูฉู่หัวเราะพรืด “เธออยากย้ายออกมาอีกแล้วเหรอ ตอนนั้นใครกันที่บอกว่าถ้าย้ายออกมาจะพึ่งพาตัวเองทั้งหมดได้ยังไง? ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว?”

 

เฮ่อซงจือถอนหายใจลากยาว “ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ยากทั้งนั้นเลย”

“ยากตรงไหนกัน มีให้เธอกินให้เธอดื่มแล้ว เธอก็ทำเป็นไม่เห็นซะสิ!”

 

“ฉันเองก็อยากทำเป็นไม่เห็นเหมือนกัน แต่ฉันก็ต้องทำให้พวกเขาด้วยนะ” เฮ่อซงจือพูดด้วยความน้อยใจ

หล่อนจะทำเป็นไม่เห็นก็ได้ ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกัน ต่างก็เชื่อในสิ่งที่แม่สามีบอก จะให้ของกับใครหล่อนก็พูดอะไรไม่ได้ แต่หล่อนต้องลุกขึ้นมาต้มถั่วตั้งแต่เช้า ยืนห่อซาลาเปาถั่วตั้งหลายชั่วโมง ตอนนึ่งซาลาเปาถั่วตอนค่ำก็ต้องอดตาหลับขับตานอนลากยาวถึงเที่ยงคืน แบบนี้จะให้ทำเป็นไม่เห็นได้เหรอ?

“ฉูฉู่ ชีวิตของเธอสุขสบายจริง ๆ!” เฮ่อซงจือพูดด้วยความอิจฉา “เธอดูผิวพรรณเธอสิ ดูสิเธอสบายขนาดนี้ ฉันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!”

 

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่อีกฝ่าย “เธอเห็นว่าตอนนี้ฉันมีเวลาว่าง ทำไมเธอไม่ดูตอนที่ฉันทำงานล่ะ ฉันต้องเลี้ยงลูกเองนะ แต่เธอยังมีแม่สามีช่วยดูให้!”

เมื่อพูดถึงลูก เฮ่อซงจือก็พูดขึ้นว่า “ลูกฉันหย่านมแล้วนะ”

  

“หา ลูกสาวเธอเพิ่งจะขวบกว่า ๆ เองนะ เธอหย่านมแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?” เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ “เธออย่าได้คิดว่าจะป้อนนมผงให้ลูกเชียวนะ พี่สะใภ้สามฉันบอกว่านมผงไม่ได้ปลอดภัยเหมือนนมแม่”

“ฉันไม่ได้จะให้ลูกกินนมผงสักหน่อย ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกหย่านมเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ น้ำนมฉันไม่ไหลแล้ว” เฮ่อซงจือยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันกินซุปไก่ ขาหมูต้มก็แล้ว กินจนอยากจะอ้วก แต่น้ำนมก็ยังไม่ไหลอยู่ดี ยิ่งกังวลก็ยิ่งไม่ไหล ฉันเลยทำอะไรไม่ได้ ยังดีที่ลูกฉันกินข้าวแล้ว ฉันเลยต้มน้ำข้าวให้ลูกกินทุกวัน ช่วยไม่ได้น่ะนะ จริงสิ ที่ฉันมาครั้งนี้ เพราะอยากให้เธอไหว้วานพี่สะใภ้สามเธอช่วยซื้อนมผงในเมืองมาให้หน่อย ฉันกะว่าจะให้ลูกกินเป็นครั้งคราว กินจนถึงสองขวบ แต่เธออย่าไปบอกใครนะ ถ้าแม่สามีฉันรู้คงไม่ยอมแน่ เพราะแม่สามีฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้”

“แล้วเหวินจื้อของเธอว่ายังไง?”

  

“ถ้าเขาไม่พูดฉันก็ไม่มีปัญหาหาเงินมาซื้อหรอก” เฮ่อซงจือตอบ “ลองซื้อมาชิมดูก่อน”

“ก็ได้ ฉันจะถามให้นะ แต่จะได้หรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เย่ฉูฉู่กล่าว “พี่สะใภ้สามของฉันก็ไม่รู้จักนมผงเหมือนกัน หล่อนบอกว่ามันไม่ปลอดภัย เธอไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมน้ำนมแห้งเร็วขนาดนี้?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนกลางคืนฉันนอนได้ไม่เต็มที่ ตอนเช้าก็หงุดหงิด” เฮ่อซงจือขมวดคิ้ว “ไม่รู้สิ ก็แค่หงุดหงิด! เห็นอะไรก็หงุดหงิดไปหมด!”

 

“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิเธอก็ย้ายออกมาเถอะ” เย่ฉูฉู่พอจะมองออกแล้ว ผิวพรรณของเฮ่อซงจือดูไม่ค่อยดีเลยจริง ๆ เส้นผมก็แห้งหยาบกระด้างด้วย

……………………………………………………………………………………………………………………….

[1] ฮวาจ่วน (花卷) คือหมั่นโถวไม่มีไส้ แต่มีลักษณะต่างจากหมั่นโถวตรงที่จะปั้นเป็นเส้นแล้วค่อยนำมาม้วนให้เป็นก้อน

สารจากผู้แปล

ดูลำบากจังนะคะกับชีวิตที่ยังไม่แยกบ้าน ถ้ามันลำบากมากก็แยกบ้านเถอะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 384 แขวะ

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 384 แขวะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 384 แขวะ

ตอนที่ 384 แขวะ

 

การฉลองวันปีใหม่ในชนบท เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือนึ่งอาหารแห้ง ซาลาเปาถั่ว ขนมเข่ง หมั่นโถว และฮวาจ่วน[1] อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทำไว้หลายหม้อ เพราะต้องกินไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นเพราะฤดูหนาวอากาศหนาวเกินไป ทำอาหารลำบากมาก จึงต้องทำอาหารแห้งไว้ให้เยอะ ๆ ตอนที่กินก็จะทำข้าวต้มไว้สักหน่อย อุ่นอาหารแห้งและซาจูช่าย กินคู่กับผักดองเค็มก็ได้มาหนึ่งมื้อแล้ว

อย่าคิดว่าเป็นอาหารพื้น ๆ เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่อาหารแบบนี้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ นี่เป็นอาหารที่เพิ่งจะมีหลังจากชีวิตในช่วงสองสามปีมานี้เริ่มดีขึ้น

เย่ฉูฉู่จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ในบ้านจะกินข้าวต้มกัน นาน ๆ ครั้งถึงจะได้กินแป้งข้าวโพดจี่ ไม่ต้องพูดถึงซาจูฉ่ายหรอก แค่ผักดองเค็มกับเต้าเจี้ยวก็ยังไม่มีเลย เพียงเทน้ำเกลือลงไปในข้าวต้มก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมากจริง ๆ เพียงแต่ชีวิตดีขึ้นแล้ว เธอกลับเอาแต่จู้จี้จุกจิกคิดจะเปลี่ยนไปกินนู่นกินนี่ เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เธอรู้สึกผิดเล็ก ๆ อย่างห้ามไม่อยู่

จ้าวเหวินเทาได้ยินก็พูดว่า “ภรรยา เธออย่าคิดมากสิ ถ้าไม่มีฐานะก็ว่าไปอย่าง เรามีฐานะก็ต้องกินของดีหน่อย ชีวิตคนเรามีไว้เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อกิน ๆ ดื่ม ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันเป็นกังวลว่าจู้จี้จุกจิกเกินไป หลังจากนี้จะไม่มีอะไรให้กินแล้ว”

ความหมายของเย่ฉูฉู่คือ เธอจู้จี้จุกจิกมากเกินไปแบบนี้สวรรค์จะลงทัณฑ์เธอหรือไม่?

“มีให้กินก็กินไปก่อน ไม่มีให้กินก็ค่อยมาว่ากัน จะคิดมากขนาดนั้นไปทำไมล่ะ! ภรรยา ทำของอร่อยสักหน่อยนะ พวกเราต้องปฏิบัติกับตัวเองให้ดี!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างเป็นการเป็นงาน

“คุณนี่มันนักกินจริง ๆ!” แม้ว่าเย่ฉูฉู่จะพูดแบบนี้ แต่ก็รู้สึกดีอยู่ภายในใจ

 

เธอได้ยินพี่สะใภ้สามจ้าวพูดว่า พี่สามจ้าวขี้งกถึงขั้นจะกินจะดื่มก็เสียดาย แม้ว่าที่บ้านจะปลูกข้าวสาลี แต่ก็ไม่สามารถกินแป้งขาวแบบฟุ่มเฟือยได้ ถ้าเธอเป็นพี่สะใภ้สามจ้าวคงได้โกรธเจียนตาย!

เย่ฉูฉู่ไม่ชอบการที่ต้องมานั่งทำซาลาเปาถั่วมื้อต่อมื้อ ดังนั้นเธอจึงเทแป้งไว้ 1-2 ถ้วย แป้งเหล่านี้นำมานึ่งซาลาเปาถั่วได้สามหม้อ บ้านพวกเขาทำหม้อเล็ก ถ้าทำซาลาเปาถั่วไว้สามหม้อ กินทุก 3-5 วันก็สามารถกินได้นานถึงฤดูใบไม้ผลิเลย เธอคิดว่ากำลังดี

 

ส่วนขนมเข่งทำไว้ครึ่งหม้อก็พอแล้ว นึ่งหมั่นโถวให้มากหน่อย เอาไว้ให้เสี่ยวไป๋หยางกิน ตอนค่ำจ้าวเหวินเทานำมาทำเป็นหมั่นโถวย่าง นี่เป็นสิ่งที่พวกเธอกินมากที่สุด

อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว เต้าหู้ไม่ต้องทำ ถ้าจะกินก็ไปเอามาจากโรงเต้าหู้ของพี่สามได้เลย แถมยังสดใหม่ด้วย

ซาจูฉ่ายเป็นอาหารที่เธอไม่ชอบกินมากที่สุด มันเป็นการนำผัก เนื้อ ไส้กรอกเลือดมาตุ๋นเข้าด้วยกัน มื้อแรกก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้ากินมากกว่านั้นก็จะเริ่มเลี่ยนแล้ว เธอคิดไว้อย่างดีแล้ว ถึงเวลานั้นเหลือไว้นิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องเก็บไว้เยอะ

ช่วงนี้เย่ฉูฉู่ต้มถั่วและถั่วแดงไว้หนึ่งหม้อแล้ว เธอจะนำมาทำเป็นไส้ซาลาเปาถั่ว โชคดีที่เตาในบ้านมีเยอะ ถ้ามีเตาแค่ตัวเดียวคงเผาไม่ไหวแน่นอน

 

“เธออยู่บ้านชีวิตสุขสบายจังเลย” เฮ่อซงจือมาแล้ว

“เธอเองก็เหมือนกัน ไม่ได้มาที่นี่นานเลยนะ” เย่ฉูฉู่เรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน

“หลายวันมานี้ฉันยุ่งอยู่กับการนึ่งอาหารแห้งนั่นแหละ ซาลาเปาถั่วก็นึ่งไว้ 8-9 หม้อแหน่ะ!” เฮ่อซงจือถอดรองเท้าขึ้นมานั่งบนเตียง “ฉันตบแป้งจนมือด้านหมดแล้ว ขาก็ยืนจนปวดไปหมด ทำตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน เตียงเผาไว้ร้อนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้นอนหลับสบายเลย”

 

“แล้วนึ่งเสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่ขึ้นมานั่งบนเตียงพลางถาม เธอรู้ว่าครอบครัวของเฮ่อซงจือมีสมาชิกเยอะ จึงต้องนึ่งซาลาเปาถั่วในปริมาณมาก

 

“ยังเลย!” เฮ่อซงจือมองเสี่ยวไป๋หยางที่ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ “เสี่ยวไป๋หยางนอนเวลานี้ หาได้ยากจริง ๆ”

  

“เมื่อคืนเล่นกับพ่อ เล่นกันจนดึกดื่นก็ยังไม่นอน ตอนนี้คงง่วงแล้วถึงได้หลับไป” เย่ฉูฉู่กล่าว “8-9 หม้อยังนึ่งไม่เสร็จเหรอ พวกเธอก็เพิ่มขนมเข่งกับนึ่งหมั่นโถวเพิ่มสักหน่อยก็น่าจะพอแล้วนะ ขืนนึ่งเยอะเกินไป ถ้ากินไม่หมดคงเสียพอดี”

หลังวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็จะเริ่มอบอุ่นแล้ว ไม่สามารถเก็บอาหารแห้งไว้ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่มีตู้เย็น

 

เฮ่อซงจือบุ้ยปาก “8-9 หม้อนี่ไม่ได้เอาไว้ให้พวกเรากินนะ นึ่งเอาไปให้บ้านของแม่สามีฉันต่างหากล่ะ!”

“หา?” เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ

  

เฮ่อซงจือพูดแขวะ “แม่สามีฉันบอกว่า แม่ไม่สบายก็เลยนึ่งอาหารแห้งไม่ไหว พวกเราเลยช่วยกันนึ่งไว้สักสองสามหม้อ เธอว่าแบบนี้คือสองสามหม้อเหรอ? ฉันว่านี่คงนึ่งในส่วนของพวกพี่น้องไปด้วยเลยมั้ง! นี่แค่ซาลาเปาไส้ถั่วนะ ยังไม่รวมขนมเข่งกับหมั่นโถวอีก โดยเฉพาะหมั่นโถว ในหมู่บ้านแม่ของแม่สามีฉันยังไม่ปลูกข้าวสาลีในปีนี้ ก็เลยไม่มีแป้งขาวไว้นึ่งหมั่นโถว ฉันว่านะ แป้งขาวของบ้านมีแค่นั้นคงไม่พอหรอก”

เย่ฉูฉู่ก็พูดอะไรไม่ได้ “เธออย่าเพิ่งโมโหเลย จะนึ่งก็นึ่งไปเถอะ ถึงยังไงก็เป็นญาติพี่น้องกัน หลังจากนี้มีเรื่องอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันได้”

  

“ฉันจะโมโหได้เหรอ?” เฮ่อซงจือพูดอย่างจนปัญญา “ฉันที่เป็นลูกสะใภ้ก็เป็นแค่คนนอก โมโหไปใครจะสนใจล่ะ! ฉูฉู่ ฉันอยากแยกบ้านออกมาตอนนี้เลย!”

 

เฮ่อซงจือพูดราวกับเป็นเด็กน้อย

เย่ฉูฉู่หัวเราะพรืด “เธออยากย้ายออกมาอีกแล้วเหรอ ตอนนั้นใครกันที่บอกว่าถ้าย้ายออกมาจะพึ่งพาตัวเองทั้งหมดได้ยังไง? ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว?”

 

เฮ่อซงจือถอนหายใจลากยาว “ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ยากทั้งนั้นเลย”

“ยากตรงไหนกัน มีให้เธอกินให้เธอดื่มแล้ว เธอก็ทำเป็นไม่เห็นซะสิ!”

 

“ฉันเองก็อยากทำเป็นไม่เห็นเหมือนกัน แต่ฉันก็ต้องทำให้พวกเขาด้วยนะ” เฮ่อซงจือพูดด้วยความน้อยใจ

หล่อนจะทำเป็นไม่เห็นก็ได้ ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกัน ต่างก็เชื่อในสิ่งที่แม่สามีบอก จะให้ของกับใครหล่อนก็พูดอะไรไม่ได้ แต่หล่อนต้องลุกขึ้นมาต้มถั่วตั้งแต่เช้า ยืนห่อซาลาเปาถั่วตั้งหลายชั่วโมง ตอนนึ่งซาลาเปาถั่วตอนค่ำก็ต้องอดตาหลับขับตานอนลากยาวถึงเที่ยงคืน แบบนี้จะให้ทำเป็นไม่เห็นได้เหรอ?

“ฉูฉู่ ชีวิตของเธอสุขสบายจริง ๆ!” เฮ่อซงจือพูดด้วยความอิจฉา “เธอดูผิวพรรณเธอสิ ดูสิเธอสบายขนาดนี้ ฉันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!”

 

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่อีกฝ่าย “เธอเห็นว่าตอนนี้ฉันมีเวลาว่าง ทำไมเธอไม่ดูตอนที่ฉันทำงานล่ะ ฉันต้องเลี้ยงลูกเองนะ แต่เธอยังมีแม่สามีช่วยดูให้!”

เมื่อพูดถึงลูก เฮ่อซงจือก็พูดขึ้นว่า “ลูกฉันหย่านมแล้วนะ”

  

“หา ลูกสาวเธอเพิ่งจะขวบกว่า ๆ เองนะ เธอหย่านมแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?” เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ “เธออย่าได้คิดว่าจะป้อนนมผงให้ลูกเชียวนะ พี่สะใภ้สามฉันบอกว่านมผงไม่ได้ปลอดภัยเหมือนนมแม่”

“ฉันไม่ได้จะให้ลูกกินนมผงสักหน่อย ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกหย่านมเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ น้ำนมฉันไม่ไหลแล้ว” เฮ่อซงจือยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันกินซุปไก่ ขาหมูต้มก็แล้ว กินจนอยากจะอ้วก แต่น้ำนมก็ยังไม่ไหลอยู่ดี ยิ่งกังวลก็ยิ่งไม่ไหล ฉันเลยทำอะไรไม่ได้ ยังดีที่ลูกฉันกินข้าวแล้ว ฉันเลยต้มน้ำข้าวให้ลูกกินทุกวัน ช่วยไม่ได้น่ะนะ จริงสิ ที่ฉันมาครั้งนี้ เพราะอยากให้เธอไหว้วานพี่สะใภ้สามเธอช่วยซื้อนมผงในเมืองมาให้หน่อย ฉันกะว่าจะให้ลูกกินเป็นครั้งคราว กินจนถึงสองขวบ แต่เธออย่าไปบอกใครนะ ถ้าแม่สามีฉันรู้คงไม่ยอมแน่ เพราะแม่สามีฉันไม่ยอมรับเรื่องนี้”

“แล้วเหวินจื้อของเธอว่ายังไง?”

  

“ถ้าเขาไม่พูดฉันก็ไม่มีปัญหาหาเงินมาซื้อหรอก” เฮ่อซงจือตอบ “ลองซื้อมาชิมดูก่อน”

“ก็ได้ ฉันจะถามให้นะ แต่จะได้หรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เย่ฉูฉู่กล่าว “พี่สะใภ้สามของฉันก็ไม่รู้จักนมผงเหมือนกัน หล่อนบอกว่ามันไม่ปลอดภัย เธอไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมน้ำนมแห้งเร็วขนาดนี้?”

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนกลางคืนฉันนอนได้ไม่เต็มที่ ตอนเช้าก็หงุดหงิด” เฮ่อซงจือขมวดคิ้ว “ไม่รู้สิ ก็แค่หงุดหงิด! เห็นอะไรก็หงุดหงิดไปหมด!”

 

“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิเธอก็ย้ายออกมาเถอะ” เย่ฉูฉู่พอจะมองออกแล้ว ผิวพรรณของเฮ่อซงจือดูไม่ค่อยดีเลยจริง ๆ เส้นผมก็แห้งหยาบกระด้างด้วย

……………………………………………………………………………………………………………………….

[1] ฮวาจ่วน (花卷) คือหมั่นโถวไม่มีไส้ แต่มีลักษณะต่างจากหมั่นโถวตรงที่จะปั้นเป็นเส้นแล้วค่อยนำมาม้วนให้เป็นก้อน

สารจากผู้แปล

ดูลำบากจังนะคะกับชีวิตที่ยังไม่แยกบ้าน ถ้ามันลำบากมากก็แยกบ้านเถอะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+