เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 302 ไม่กล้าเชื่อ

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 302 ไม่กล้าเชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 302 ไม่กล้าเชื่อ
ตอนที่ 302 ไม่กล้าเชื่อ

“แบบนั้นก็ดีนะ มีอาหารกับที่พักให้ด้วยใช่ไหม?” หลี่เฉียจื่อถาม

“ใช่ มีอาหารกับที่พักให้ด้วย”

อย่างมากก็บอกให้โจวหมิ่นหักเงินจากค่าจ้างเสี่ยวหม่า แล้วหาที่อยู่และอาหารการกินให้เขาด้วยก็ได้

ท้ายที่สุดจ้าวเหวินเทาก็พูดว่า เขาจะหางานดี ๆ ให้เสี่ยวหม่า แต่ถ้าเสี่ยวหม่าไม่เอาการเอางาน ไปก่อปัญหาก็อย่ามาโทษเขาแล้วกัน

“งานก็เป็นงานแบบนี้แหละ อยากทำก็ไป ไม่อยากทำก็อยู่ที่ฟาร์มกระต่าย พวกนายปรึกษากันดู เขาเองก็โตขนาดนั้นแล้ว ไปปักกิ่งก็มีพี่สามกับพี่สะใภ้สามของฉันดูแลอยู่ แต่พวกเขาคงดูแลตลอดทั้งวันแบบ 24 ชั่วโมงไม่ได้หรอกนะ จริงไหม ดังนั้นหลังจากนี้เขาจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่ที่เขาแล้ว” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างตรงไปตรงมา “นายต้องเอาคำพูดของฉันไปบอกคนในบ้านเขาให้เข้าใจด้วยนะ”

หลี่เฉียจื่อเข้าใจความหมายของจ้าวเหวินเทา เมืองใหญ่เลยนะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชนบทจะเทียบชั้นได้ คิดอยากจะเปลี่ยนเป็นคนไม่ดี ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเชียวล่ะ

“ได้ ฉันจะพูดให้พวกเขาเข้าใจแน่นอน!”

จ้าวเหวินเทาพูดกับหลี่เฉียจื่อชัดเจนแล้ว กลับไปก็ไปคุยกับเสี่ยวหม่าด้วย

ทางด้านหลี่เฉียจื่อกลับมาคุยกับแม่หม้ายหม่าแล้ว แม่หม้ายหม่ากำลังจัดโต๊ะอยู่ หล่อนได้ฟังแล้วก็แทบจะพลิกชามข้าวคว่ำ

“คุณว่าอะไรนะ จะให้เสี่ยวหม่าไปปักกิ่ง!” แม่หม้ายหม่าตกตะลึงสุดขีด

หลี่เฉียจื่อเห็นว่าถ้วยข้าวนั้นกำลังจะร่วง ก็รีบยื่นมือไปรับแล้วพูดว่า “ใช่ ไปเป็นนายแบบ คุณรู้ใช่ไหมว่านายแบบคืออะไร? มันก็คือการถ่ายรูปนั่นแหละ ใส่เสื้อผ้าดี ๆ แล้วก็นั่งถ่ายรูป อืม มีให้ยืนด้วยนะ เป็นงานที่สบายมาก ได้เงินไม่ต่างจากฟาร์มกระต่ายเลย”

หลี่เฉียจื่อหยิบยืมคำพูดของจ้าวเหวินเทาเพื่อเริ่มพูดอวด

แม่หม้ายหม่าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว “มีงานแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วทำไมจ้าวเหวินเทาไม่ไปทำเองล่ะ?”

“คุณคิดว่าใคร ๆ ก็ทำได้เหรอ?” หลี่เฉียจื่อทำท่าทางเป็นหัวหน้าครอบครัว “เสี่ยวหม่าหน้าตาดีแถมยังหนุ่ม เขาก็เลยชอบไง”

แม่หม้ายหม่าได้ยินกลับรู้สึกอึดอัดใจ หน้าตาดี ยังหนุ่ม ก็เลยชอบ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี ถ้าเสี่ยวหม่าไม่ใช่น้องชายแต่เป็นน้องสาว หล่อนคงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด แต่เสี่ยวหม่าเป็นผู้ชายนะ ผู้ชายจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนั้น

คนในชนบทมีความใสซื่อบริสุทธิ์มาก พวกเขาไม่ทราบว่าไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่หน้าตาดีก็ควรเป็นกังวลใจเรื่องนั้นทั้งนั้น

“เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงเหรอ?”

แม่หม้ายหม่าเพียงแค่สงสัยเรื่องนี้

“จ้าวเหวินเทาจะหลอกพวกเราเรื่องแบบนี้เหรอ? ก็ต้องเรื่องจริงอยู่แล้ว!” หลี่เฉียจื่อกล่าว “แต่เขาก็บอกแล้วนะ ถ้าไปปักกิ่งจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเขาเอง ถ้าเสี่ยวหม่าไม่เชื่อฟังแล้วเรียนรู้เรื่องไม่ดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา”

แม่หม้ายหม่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่หล่อนยังคงติดอยู่กับว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริงหรือโกหก

“เจ้าเด็กนั่นมีดีอะไร? ทำไมฉันถึงมองไม่ออกเลย? ไปเป็นนายแบบ แค่นั่งถ่ายรูปก็ได้เงินแล้ว บนโลกใบนี้คงไม่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้หรอกมั้ง?”

หลี่เฉียจื่อ “คุณเคยไปไหนมาบ้าง เคยเห็นมามากน้อยแค่ไหน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้? คุณไม่ต้องคิดแล้ว หาเวลากลับบ้านสักวันสิ ไปคุยกับพ่อแม่ดู ตอนนี้เสี่ยวหม่าก็น่าจะรู้แล้ว เขาคงอยากไปแน่นอน คุณต้องให้พ่อกับแม่ตักเตือนเขาด้วยนะ”

แม่หม้ายหม่าพยักหน้าอย่างคลุมเครือ “ฉันรู้แล้ว”

หลี่เฉียจื่อพูดถูก เมื่อเสี่ยวหม่าได้ฟังเรื่องที่จ้าวเหวินเทาจะส่งเขาไปปักกิ่งก็ถึงกับกระโดดดีดตัวทันที

“ไปเมืองหลวง พี่จ้าว พี่ไม่ได้โกหกผมใช่ไหม?” เสี่ยวหม่าจับแขนจ้าวเหวินเทาพลางเอ่ยถาม

จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขาก็นึกในใจ ไม่ต้องพูดอะไรเลย สีหน้าเขามีชีวิตชีวามากจริง ๆ

“ฉันจะโกหกนายไปทำไม นายกลับไปคุยกับพ่อแม่ดู เตรียมตัวให้พร้อม สรุปวันได้เมื่อไรก็จะส่งนายไปที่นั่น”

เสี่ยวหม่าไม่เหมือนกับแม่หม้ายหม่าและหลี่เฉียจื่อที่ติดอยู่กับคำถามว่านี่คือเรื่องจริงหรือโกหก เมื่อได้ยินจ้าวเหวินเทาพูดแบบนี้เขาก็เชื่อทันที เขาโบกมือ “เยี่ยมไปเลย! ในที่สุดผมก็จะได้ไปเมืองใหญ่แล้ว!”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “นายเคยไปเมืองใหญ่เหรอ? ถึงได้อยากไปขนาดนั้น?”

“ผมไม่เคยไปหรอก แต่ผมรู้มาว่าเมืองใหญ่นี่แหละดี!” เสี่ยวหม่าพูดอย่างมั่นใจ “พวกเขาบอกว่าผมทำไม่ได้ ดูสิ พวกเขามองผิดแล้ว ตอนนี้ผมไปได้แล้ว แถมยังได้ไปปักกิ่งด้วย ปักกิ่งเลยนะ ปล่อยให้พวกเขาเสียใจไปเลย!”

เสี่ยวหม่าตื่นเต้นจนพูดจาวกวนไปมา

จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นของเขาก็เป็นกังวลใจแทนโจวหมิ่นมาก ทางนั้นจะดูแลเด็กคนนี้ไหวเหรอ?

“ฉันบอกไว้ก่อนนะเสี่ยวหม่า เมืองใหญ่ไม่ใช่สถานที่ดี ๆ ขนาดนั้น นายเองก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ”

“พี่จ้าว ไม่ต้องห่วงหรอก ขอแค่ผมได้ไปเมืองใหญ่ ให้ผมไปกวาดขยะบนถนนก็ยอม!” เสี่ยวหม่าพูดอย่างจริงจัง

จ้าวเหวินาเทาแอบชะงัก “อะไรนะ กวาดขยะบนถนนก็ยอม ทำไมล่ะ?”

เสี่ยวหม่าบอก “เพราะเมืองใหญ่มันดีไง ในหมู่บ้านไม่มีอะไรน่าสนใจเลย!”

แม้ว่าจ้าวเหวินเทาจะไม่เคยไปเมืองใหญ่ แต่เขาก็เคยไปในเมืองมาก่อน เขาคิดว่า เมืองใหญ่และในเมืองคงไม่ต่างกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่ามีคนเยอะ รถเยอะ ตึกรามบ้านช่องเยอะ เขาไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ดีเลย

เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ยังเด็กเกินไปแล้ว ถึงได้คิดอะไรง่ายดายไปหมด แต่ก็ดีเหมือนกัน ไปดูให้เห็น ได้ล้มลุกคลุกคลาน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“เอาเถอะ งั้นนายก็กลับบ้านไปคุยกับพ่อแม่ให้ดี จริงสิ ฉันยังต้องคุยกับนายเรื่องงานด้วย” จ้าวเหวินเทาจึงเล่างานที่นายแบบต้องทำเท่าที่เขารู้ให้อีกฝ่ายฟัง

แล้วเสี่ยวหม่าก็ได้ยินว่าไม่ต้องไปกวาดขยะ แค่ไปนั่งถ่ายภาพเฉย ๆ เยี่ยมไปเลย เขาชอบถ่ายรูป!

“พี่จ้าวไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ทำให้พี่ขายหน้าแน่นอน”

เสี่ยวหม่าพูดด้วยคำพูดฮึกเหิมหนึ่งประโยคก็กลับบ้านไป

จ้าวเหวินเทาโทรศัพท์หาโจวหมิ่นในช่วงค่ำ เพื่อเล่าถึงสถานการณ์ของเสี่ยวหม่าให้เธอฟัง

“เด็กคนนี้ไม่มีความมั่นคง ผมว่าคงดูแลยากมาก พี่สะใภ้ก็เตรียมใจไว้หน่อยนะ”

ทว่าโจวหมิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย “จะมั่นคงหรือไม่มั่นคงก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือต้องเชื่อฟังที่ฉันบอก ฉันคิดว่าต่อให้เขาไม่ฟังก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนที่เพิ่งมาถึงก็คงไม่คุ้นชิน เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”

จ้าวเหวินเทาได้ยินคำพูดของโจวหมิ่นก็รู้สึกว่าทำไมถึงได้เย็นชาขนาดนั้นนะ

“เอ่อคือ ถ้าเขาเชื่อฟังตามที่บอก และถ้าเขาอยู่ที่นั่นได้ก็ให้เขาอยู่นะ เด็กคนนี้ยินดีที่จะไปเมืองใหญ่เอง”

โจวหมิ่นยิ้ม “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านายเองก็มีความเป็นแม่มากเลยนะเนี่ย”

“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะอยู่ในชนบทเหมือนกัน พวกเราเป็นคนส่งเขาไปที่นั่น ยังไงก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?”

โจวหมิ่นกลับพูดว่า “นายคิดผิดแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ รับผิดชอบก็ต้องให้เขารับผิดชอบตัวเอง อีกอย่าง พวกเราก็ให้โอกาสเขาแล้ว ถ้าดี เขาก็ควรจะซึ้งใจพวกเรา แต่ถ้าไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา”

จ้าวเหวินเทาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “งานนายแบบต้องทำอะไรกันแน่?”

โจวหมิ่นกล่าว “นายเองก็เคยดูนิตยสารแฟชั่นไม่ใช่เหรอ ก็ถ่ายแบบนั่นแหละ ถ้าเขาทำได้ ฉันจะให้เขาลองเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีด้วย”

จ้าวเหวินเทาไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ‘เดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวที’ เพราะไม่มีโทรทัศน์ โจวหมิ่นก็ไม่สามารถอธิบายได้ จึงบอกเขาว่าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้

จ้าวเหวินเทาวางสายแล้วก็แอบรู้สึกจิตตก เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมาเยอะขนาดนี้แล้ว จะพูดว่าไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็พอจะทราบอยู่บ้าง ผลลัพธ์ที่ได้กลับพบว่ามันไม่ได้เป็นแบบนี้

“คุณเป็นอะไร?” เย่ฉูฉู่เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีจึงเอ่ยปากถาม “พี่สะใภ้สามของฉันพูดอะไรเหรอ?”

“ภรรยา คุณรู้ไหมว่าเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีคืออะไร?” จ้าวเหวินเทาถาม

“พี่สะใภ้สามเคยพูดกับฉันเรื่องเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีแล้ว ก็คือการให้นางแบบนายแบบใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบไว้อย่างดีขึ้นไปเดินบนเวที เพื่อโชว์เสื้อผ้าให้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีดู ชอบเสื้อตัวไหนก็ซื้อ” เย่ฉูฉู่บอก

นี่เป็นสิ่งที่โจวหมิ่นอธิบาย แต่ถ้าให้พูดเฉพาะเจาะจงว่าเป็นแบบไหน เย่ฉูฉู่ก็ไม่ทราบ เพราะเธอก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เสี่ยวหม่าดูใสซื่อมากเลยค่ะ ไม่รู้ว่าถ้าได้ไปอยู่เมืองใหญ่จะเปลี่ยนไปมากไหม

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 302 ไม่กล้าเชื่อ

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 302 ไม่กล้าเชื่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 302 ไม่กล้าเชื่อ
ตอนที่ 302 ไม่กล้าเชื่อ

“แบบนั้นก็ดีนะ มีอาหารกับที่พักให้ด้วยใช่ไหม?” หลี่เฉียจื่อถาม

“ใช่ มีอาหารกับที่พักให้ด้วย”

อย่างมากก็บอกให้โจวหมิ่นหักเงินจากค่าจ้างเสี่ยวหม่า แล้วหาที่อยู่และอาหารการกินให้เขาด้วยก็ได้

ท้ายที่สุดจ้าวเหวินเทาก็พูดว่า เขาจะหางานดี ๆ ให้เสี่ยวหม่า แต่ถ้าเสี่ยวหม่าไม่เอาการเอางาน ไปก่อปัญหาก็อย่ามาโทษเขาแล้วกัน

“งานก็เป็นงานแบบนี้แหละ อยากทำก็ไป ไม่อยากทำก็อยู่ที่ฟาร์มกระต่าย พวกนายปรึกษากันดู เขาเองก็โตขนาดนั้นแล้ว ไปปักกิ่งก็มีพี่สามกับพี่สะใภ้สามของฉันดูแลอยู่ แต่พวกเขาคงดูแลตลอดทั้งวันแบบ 24 ชั่วโมงไม่ได้หรอกนะ จริงไหม ดังนั้นหลังจากนี้เขาจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่ที่เขาแล้ว” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างตรงไปตรงมา “นายต้องเอาคำพูดของฉันไปบอกคนในบ้านเขาให้เข้าใจด้วยนะ”

หลี่เฉียจื่อเข้าใจความหมายของจ้าวเหวินเทา เมืองใหญ่เลยนะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชนบทจะเทียบชั้นได้ คิดอยากจะเปลี่ยนเป็นคนไม่ดี ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเชียวล่ะ

“ได้ ฉันจะพูดให้พวกเขาเข้าใจแน่นอน!”

จ้าวเหวินเทาพูดกับหลี่เฉียจื่อชัดเจนแล้ว กลับไปก็ไปคุยกับเสี่ยวหม่าด้วย

ทางด้านหลี่เฉียจื่อกลับมาคุยกับแม่หม้ายหม่าแล้ว แม่หม้ายหม่ากำลังจัดโต๊ะอยู่ หล่อนได้ฟังแล้วก็แทบจะพลิกชามข้าวคว่ำ

“คุณว่าอะไรนะ จะให้เสี่ยวหม่าไปปักกิ่ง!” แม่หม้ายหม่าตกตะลึงสุดขีด

หลี่เฉียจื่อเห็นว่าถ้วยข้าวนั้นกำลังจะร่วง ก็รีบยื่นมือไปรับแล้วพูดว่า “ใช่ ไปเป็นนายแบบ คุณรู้ใช่ไหมว่านายแบบคืออะไร? มันก็คือการถ่ายรูปนั่นแหละ ใส่เสื้อผ้าดี ๆ แล้วก็นั่งถ่ายรูป อืม มีให้ยืนด้วยนะ เป็นงานที่สบายมาก ได้เงินไม่ต่างจากฟาร์มกระต่ายเลย”

หลี่เฉียจื่อหยิบยืมคำพูดของจ้าวเหวินเทาเพื่อเริ่มพูดอวด

แม่หม้ายหม่าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว “มีงานแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วทำไมจ้าวเหวินเทาไม่ไปทำเองล่ะ?”

“คุณคิดว่าใคร ๆ ก็ทำได้เหรอ?” หลี่เฉียจื่อทำท่าทางเป็นหัวหน้าครอบครัว “เสี่ยวหม่าหน้าตาดีแถมยังหนุ่ม เขาก็เลยชอบไง”

แม่หม้ายหม่าได้ยินกลับรู้สึกอึดอัดใจ หน้าตาดี ยังหนุ่ม ก็เลยชอบ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี ถ้าเสี่ยวหม่าไม่ใช่น้องชายแต่เป็นน้องสาว หล่อนคงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด แต่เสี่ยวหม่าเป็นผู้ชายนะ ผู้ชายจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนั้น

คนในชนบทมีความใสซื่อบริสุทธิ์มาก พวกเขาไม่ทราบว่าไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่หน้าตาดีก็ควรเป็นกังวลใจเรื่องนั้นทั้งนั้น

“เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงเหรอ?”

แม่หม้ายหม่าเพียงแค่สงสัยเรื่องนี้

“จ้าวเหวินเทาจะหลอกพวกเราเรื่องแบบนี้เหรอ? ก็ต้องเรื่องจริงอยู่แล้ว!” หลี่เฉียจื่อกล่าว “แต่เขาก็บอกแล้วนะ ถ้าไปปักกิ่งจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเขาเอง ถ้าเสี่ยวหม่าไม่เชื่อฟังแล้วเรียนรู้เรื่องไม่ดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา”

แม่หม้ายหม่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่หล่อนยังคงติดอยู่กับว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริงหรือโกหก

“เจ้าเด็กนั่นมีดีอะไร? ทำไมฉันถึงมองไม่ออกเลย? ไปเป็นนายแบบ แค่นั่งถ่ายรูปก็ได้เงินแล้ว บนโลกใบนี้คงไม่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้หรอกมั้ง?”

หลี่เฉียจื่อ “คุณเคยไปไหนมาบ้าง เคยเห็นมามากน้อยแค่ไหน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้? คุณไม่ต้องคิดแล้ว หาเวลากลับบ้านสักวันสิ ไปคุยกับพ่อแม่ดู ตอนนี้เสี่ยวหม่าก็น่าจะรู้แล้ว เขาคงอยากไปแน่นอน คุณต้องให้พ่อกับแม่ตักเตือนเขาด้วยนะ”

แม่หม้ายหม่าพยักหน้าอย่างคลุมเครือ “ฉันรู้แล้ว”

หลี่เฉียจื่อพูดถูก เมื่อเสี่ยวหม่าได้ฟังเรื่องที่จ้าวเหวินเทาจะส่งเขาไปปักกิ่งก็ถึงกับกระโดดดีดตัวทันที

“ไปเมืองหลวง พี่จ้าว พี่ไม่ได้โกหกผมใช่ไหม?” เสี่ยวหม่าจับแขนจ้าวเหวินเทาพลางเอ่ยถาม

จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขาก็นึกในใจ ไม่ต้องพูดอะไรเลย สีหน้าเขามีชีวิตชีวามากจริง ๆ

“ฉันจะโกหกนายไปทำไม นายกลับไปคุยกับพ่อแม่ดู เตรียมตัวให้พร้อม สรุปวันได้เมื่อไรก็จะส่งนายไปที่นั่น”

เสี่ยวหม่าไม่เหมือนกับแม่หม้ายหม่าและหลี่เฉียจื่อที่ติดอยู่กับคำถามว่านี่คือเรื่องจริงหรือโกหก เมื่อได้ยินจ้าวเหวินเทาพูดแบบนี้เขาก็เชื่อทันที เขาโบกมือ “เยี่ยมไปเลย! ในที่สุดผมก็จะได้ไปเมืองใหญ่แล้ว!”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “นายเคยไปเมืองใหญ่เหรอ? ถึงได้อยากไปขนาดนั้น?”

“ผมไม่เคยไปหรอก แต่ผมรู้มาว่าเมืองใหญ่นี่แหละดี!” เสี่ยวหม่าพูดอย่างมั่นใจ “พวกเขาบอกว่าผมทำไม่ได้ ดูสิ พวกเขามองผิดแล้ว ตอนนี้ผมไปได้แล้ว แถมยังได้ไปปักกิ่งด้วย ปักกิ่งเลยนะ ปล่อยให้พวกเขาเสียใจไปเลย!”

เสี่ยวหม่าตื่นเต้นจนพูดจาวกวนไปมา

จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นของเขาก็เป็นกังวลใจแทนโจวหมิ่นมาก ทางนั้นจะดูแลเด็กคนนี้ไหวเหรอ?

“ฉันบอกไว้ก่อนนะเสี่ยวหม่า เมืองใหญ่ไม่ใช่สถานที่ดี ๆ ขนาดนั้น นายเองก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ”

“พี่จ้าว ไม่ต้องห่วงหรอก ขอแค่ผมได้ไปเมืองใหญ่ ให้ผมไปกวาดขยะบนถนนก็ยอม!” เสี่ยวหม่าพูดอย่างจริงจัง

จ้าวเหวินาเทาแอบชะงัก “อะไรนะ กวาดขยะบนถนนก็ยอม ทำไมล่ะ?”

เสี่ยวหม่าบอก “เพราะเมืองใหญ่มันดีไง ในหมู่บ้านไม่มีอะไรน่าสนใจเลย!”

แม้ว่าจ้าวเหวินเทาจะไม่เคยไปเมืองใหญ่ แต่เขาก็เคยไปในเมืองมาก่อน เขาคิดว่า เมืองใหญ่และในเมืองคงไม่ต่างกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่ามีคนเยอะ รถเยอะ ตึกรามบ้านช่องเยอะ เขาไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ดีเลย

เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ยังเด็กเกินไปแล้ว ถึงได้คิดอะไรง่ายดายไปหมด แต่ก็ดีเหมือนกัน ไปดูให้เห็น ได้ล้มลุกคลุกคลาน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“เอาเถอะ งั้นนายก็กลับบ้านไปคุยกับพ่อแม่ให้ดี จริงสิ ฉันยังต้องคุยกับนายเรื่องงานด้วย” จ้าวเหวินเทาจึงเล่างานที่นายแบบต้องทำเท่าที่เขารู้ให้อีกฝ่ายฟัง

แล้วเสี่ยวหม่าก็ได้ยินว่าไม่ต้องไปกวาดขยะ แค่ไปนั่งถ่ายภาพเฉย ๆ เยี่ยมไปเลย เขาชอบถ่ายรูป!

“พี่จ้าวไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ทำให้พี่ขายหน้าแน่นอน”

เสี่ยวหม่าพูดด้วยคำพูดฮึกเหิมหนึ่งประโยคก็กลับบ้านไป

จ้าวเหวินเทาโทรศัพท์หาโจวหมิ่นในช่วงค่ำ เพื่อเล่าถึงสถานการณ์ของเสี่ยวหม่าให้เธอฟัง

“เด็กคนนี้ไม่มีความมั่นคง ผมว่าคงดูแลยากมาก พี่สะใภ้ก็เตรียมใจไว้หน่อยนะ”

ทว่าโจวหมิ่นกลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย “จะมั่นคงหรือไม่มั่นคงก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือต้องเชื่อฟังที่ฉันบอก ฉันคิดว่าต่อให้เขาไม่ฟังก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนที่เพิ่งมาถึงก็คงไม่คุ้นชิน เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”

จ้าวเหวินเทาได้ยินคำพูดของโจวหมิ่นก็รู้สึกว่าทำไมถึงได้เย็นชาขนาดนั้นนะ

“เอ่อคือ ถ้าเขาเชื่อฟังตามที่บอก และถ้าเขาอยู่ที่นั่นได้ก็ให้เขาอยู่นะ เด็กคนนี้ยินดีที่จะไปเมืองใหญ่เอง”

โจวหมิ่นยิ้ม “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านายเองก็มีความเป็นแม่มากเลยนะเนี่ย”

“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะอยู่ในชนบทเหมือนกัน พวกเราเป็นคนส่งเขาไปที่นั่น ยังไงก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?”

โจวหมิ่นกลับพูดว่า “นายคิดผิดแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ รับผิดชอบก็ต้องให้เขารับผิดชอบตัวเอง อีกอย่าง พวกเราก็ให้โอกาสเขาแล้ว ถ้าดี เขาก็ควรจะซึ้งใจพวกเรา แต่ถ้าไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา”

จ้าวเหวินเทาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “งานนายแบบต้องทำอะไรกันแน่?”

โจวหมิ่นกล่าว “นายเองก็เคยดูนิตยสารแฟชั่นไม่ใช่เหรอ ก็ถ่ายแบบนั่นแหละ ถ้าเขาทำได้ ฉันจะให้เขาลองเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีด้วย”

จ้าวเหวินเทาไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ‘เดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวที’ เพราะไม่มีโทรทัศน์ โจวหมิ่นก็ไม่สามารถอธิบายได้ จึงบอกเขาว่าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้

จ้าวเหวินเทาวางสายแล้วก็แอบรู้สึกจิตตก เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมาเยอะขนาดนี้แล้ว จะพูดว่าไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก็ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็พอจะทราบอยู่บ้าง ผลลัพธ์ที่ได้กลับพบว่ามันไม่ได้เป็นแบบนี้

“คุณเป็นอะไร?” เย่ฉูฉู่เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีจึงเอ่ยปากถาม “พี่สะใภ้สามของฉันพูดอะไรเหรอ?”

“ภรรยา คุณรู้ไหมว่าเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีคืออะไร?” จ้าวเหวินเทาถาม

“พี่สะใภ้สามเคยพูดกับฉันเรื่องเดินแบบแฟชั่นโชว์บนเวทีแล้ว ก็คือการให้นางแบบนายแบบใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบไว้อย่างดีขึ้นไปเดินบนเวที เพื่อโชว์เสื้อผ้าให้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีดู ชอบเสื้อตัวไหนก็ซื้อ” เย่ฉูฉู่บอก

นี่เป็นสิ่งที่โจวหมิ่นอธิบาย แต่ถ้าให้พูดเฉพาะเจาะจงว่าเป็นแบบไหน เย่ฉูฉู่ก็ไม่ทราบ เพราะเธอก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เสี่ยวหม่าดูใสซื่อมากเลยค่ะ ไม่รู้ว่าถ้าได้ไปอยู่เมืองใหญ่จะเปลี่ยนไปมากไหม

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+