เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 319 มาขอร้องถึงที่

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 319 มาขอร้องถึงที่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 319 มาขอร้องถึงที่
ตอนที่ 319 มาขอร้องถึงที่

“ได้แต่งงานกับสามีดี ๆ ก็งี้แหละ”

“นั่นสิ จ้าวเหวินเทาเนี่ย หาเงินได้เยอะมากเลยนะ ผู้หญิงพอแต่งงานก็คือการเกิดใหม่นั่นแหละ ถ้าแต่งงานผิดคน ก็เหมือนกับเกิดผิดที่ ชีวิตทั้งชีวิตก็จบเห่!”

“นี่ถ้ามีสามีแบบนั้น บอกให้ฉันคุกเข่าให้เขาทุกวันฉันก็ยอม น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้มีแบบนั้น”

พวกผู้หญิงพากันอิจฉาตาร้อน การออกแรงเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่หนักหน่วงทำให้พวกหล่อนอยากเอนตัวนอนไม่ต้องลุกขึ้นมาจริง ๆ คิดแบบนี้ก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมถึงอิจฉาเย่ฉูฉู่

 

แต่ทัศนคติของผู้ชายแตกต่างกันมาก

“ดูภรรยาของจ้าวเหวินเทากับเด็กคนนั้นที่หล่อนกล่อมสิ ดูดีเลยนะ! นี่ถ้าภรรยาของฉันเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ให้หล่อนลงนาทำสวนเหมือนกัน!”

“นั่นสิ ฉันจะเลี้ยงดูหล่อน ต่อให้ลำบากและเหนื่อยกว่านี้แค่ได้กลับไปเห็นภรรยาแบบนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!”

“แต่งงานกับภรรยาก็สำคัญมากเหมือนกันนะ เจ้าเด็กจ้าวเหวินเทานี่โชคดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ได้แต่งงานกับภรรยาดี ๆ แบบนั้น แถมยังคลอดลูกชายดี ๆ แบบนั้นอีก!”

  

พวกผู้หญิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ของผู้ชายก็โกรธจนแบบบ้า ฉันลงมาทำนากลับบ้านไปทำงานบ้านทุกวัน งานไม่มีที่สิ้นสุด ทำงานเหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่คุณก็ยังไม่พอใจ ทั้งยังมองภรรยาคนอื่นด้วยความโลภอีก ไม่หัดส่องกระจกดูสภาพตัวเองซะบ้าง!

พวกผู้ชายได้ยินผู้หญิงพูดคำพูดเหล่านี้ ก็โกรธจนแค่นเสียง ฉันลงมาทำนากลับบ้านไปทำงานบ้านทุกวัน งานไม่มีที่สิ้นสุด ทำงานเหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น ต้องเลี้ยงเธอเลี้ยงลูก แต่เธอก็ยังไม่พอใจ มองสามีคนอื่นด้วยความโลภอีก ไม่หัดส่องกระจกดูสภาพตัวเองซะบ้าง!

สองแม่ลูกเย่ฉูฉู่และเสี่ยวไป๋หยางทำให้คนอิจฉาจริง ๆ!

เย่ฉูฉู่ก็ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้ว แต่มันไม่ได้กระทบต่อจิตใจของเธอแม้แต่น้อย ยังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันต่อไป จ้าวเหวินเทายิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายุ่งอยู่กับการหาเงิน ยิ่งไม่สนใจอะไรเข้าไปใหญ่

เมื่อทุกคนยุ่ง เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงช่วงเก็บเกี่ยวผักกาดขาวแล้ว

  

ในปีที่ผ่าน ๆ มา ทุกคนปลูกผักกาดขาวเพื่อไว้กินกันเอง นำผักไปดองไว้เพื่อเป็นเสบียงฤดูหนาว แต่ปีนี้แตกต่างกัน ปลูกไว้หลายหมู่หากให้กินกันเองก็คงกินไม่ไหว แน่นอนว่าสามารถนำไปเป็นอาหารกระต่ายได้ แต่ทำแบบนั้นก็ดูเหมือนจะฟุ่มเฟือยเกินไป ดังนั้นจึงต้องขายออกไป แบบนี้ก็จะได้ไม่รู้สึกผิดกับความยากลำบากของตัวเอง เพียงแต่ไม่เคยมีใครขายผักกาดขาวมาก่อน จะขายอย่างไร ไปขายที่ไหน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเป็นกังวลแทบแย่แล้ว

คนในชนบทส่วนใหญ่ต่างก็กลัวการขายของ คิดว่าการขายของยากกว่าการปีนขึ้นท้องฟ้าเสียอีก ของเล็ก ๆ ยังพอไหว ธัญพืชก็ยังไหว เพราะของพวกนั้นทางรัฐรับซื้อ แค่เอาไปส่งให้สถานีธัญพืชก็ได้แล้ว แต่ถ้าซื้อขายอย่างเป็นอิสระคงจบเห่

พี่รองจ้าวคือคนประเภทนี้ เขาเห็นว่าผักกาดขาวงอกงามได้เป็นอย่างดีจริง ๆ ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วก็จริง แต่หลังจากเก็บเกี่ยวล่ะ ขายไม่ออกแค่วันเดียว น้ำก็หายไปหนึ่งวัน แบบนั้นก็จะกลายเป็นความเสียหาย และต้องนำไปชั่งกิโลขาย

  

“ไปหาน้องหกสิ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “คุณขายของไม่เป็น ฉันเองก็ไม่เคยขายผักกาดขาว เยอะขนาดนี้ถ้าขายไม่ได้ราคา พวกเราคงขาดทุนแน่”

“ผักกาดขาวเยอะขนาดนี้ เจ้าหกจะซื้อสักเท่าไรกันเชียว?” พี่รองจ้าวเป็นคนช่างคิดแทนน้องชายมาก เขาคนเดียวกินไม่หมดหรอก

พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ สามีคนนี้โง่เขลาอยู่เรื่อยเลยจริง ๆ!

 

“น้องหกทำค้าขาย เขาก็ต้องรู้สิว่าที่ไหนต้องการผักกาดขาว เส้นสายของเขาดีกว่าคุณอยู่แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล น้องหกต้องช่วยอยู่แล้ว”

 

พี่รองจ้าวไม่อยากไป และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จะเริ่มจากตรงไหน เขาแค่ไม่อยากไปให้น้องชายคนนี้ช่วยแล้ว

 

พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นพี่รองจ้าวทำตัวอืดอาดไม่ยอมขยับตัว จึงรู้ว่าหวังพึ่งไม่ได้แล้ว “คุณไม่ไปเดี๋ยวฉันไปเอง!”

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดจบก็เดินไปหาจ้าวเหวินเทาทันที

ตอนเช้าจ้าวเหวินเทาไม่อยู่บ้าน จึงเหลือแค่เย่ฉูฉู่

ตอนนี้เย่ฉูฉู่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าประตูบ้าน นี่เป็นของที่จ้าวเหวินเทาตั้งใจซื้อกลับมาจากในเมืองไว้ให้ภรรยานั่ง เขาลองนั่งแล้วรู้สึกสบายมาก จึงคิดว่าภรรยาต้องชอบมากแน่ ๆ และเย่ฉูฉู่ก็ชอบมากจริง ๆ ตอนที่เสี่ยวไป๋หยางนอนเธอก็นั่งอยู่ที่หน้าประตู ฟังการเคลื่อนไหวของลูกชายที่อยู่ในห้องไปพลาง อ่านหนังสือไปพลาง หนังสือเหล่านี้เป็นของที่โจวหมิ่นส่งไปรษณีย์มาให้

พี่สะใภ้รองจ้าวเดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นเย่ฉูฉู่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก แกว่งไปมาอย่างสบาย ๆ กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมือ หล่อนก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาในทันที ดูอีกฝ่ายสิ พอดูอีกฝ่ายแล้วย้อนมามองตัวเอง คนคนนี้จะเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน?

ลูกสุนัขสองตัวออกไปวิ่งเล่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ว่าในบ้านมีคนมา จึงวิ่งกลับมาพร้อมกับส่งเสียงเห่า ‘โฮ่ง ๆ’ ทั้งสองตัวนี้ได้กินอาหารอย่างดี กินอิ่มตัวก็ใหญ่จนเท่ากับครึ่งหนึ่งของสุนัขโตเต็มวัยแล้ว เมื่อวิ่งด้วยท่าทางกำยำน่าเอ็นดูช่างดูสง่างาม

เย่ฉูฉู่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า ตอนที่เงยหน้ามองก็พบว่าพี่สะใภ้รองจ้าวยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว จึงรีบวางหนังสือและกล่าวทักทาย “พี่สะใภ้รองมาแล้ว รีบเข้ามาเถอะค่ะ!”

ลูกสุนัขทั้งสองตัวก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เย่ฉูฉู่จึงตะโกนเสียงสูง ทั้งสองตัวก็รีบหมอบลงกับไม่ได้ส่งเสียงเห่าอีก

พี่สะใภ้รองจ้าวเดินเข้ามาในลานไปพลางก็มองดูสุนัขทั้งสองตัวไปพลาง เดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ “เชื่อฟังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

 

“สอนพวกมันตั้งแต่เล็ก ๆ น่ะค่ะ พี่สะใภ้รองเข้าบ้านก่อนสิคะ!” เย่ฉูฉู่เดินนำเข้าไปในบ้าน

“ไม่เข้าแล้วล่ะ นั่งคุยตรงนี้ก็ได้ สว่างกว่าตั้งเยอะ” พี่สะใภ้รองจ้าวมองไปยังเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ๆ ข้าง ๆ จึงหยิบมานั่งลง “เสี่ยวไป๋หยางล่ะ?”

“นอนแล้วค่ะ”

เย่ฉูฉู่เข้าบ้านไปหยิบโต๊ะเล็ก ๆ มาหนึ่งตัว วางลงข้าง ๆ พี่สะใภ้รองจ้าว ก่อนจะหยิบน้ำชามารินและ และผลไม้มาอีกหนึ่งถาด

พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นแบบนี้ ก็พูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สะใภ้หก ดูการใช้ชีวิตของเธอสิ นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าการใช้ชีวิต!”

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “รอพวกพี่ทำงานกันเสร็จก็เป็นเหมือนกับฉันแล้วล่ะค่ะ” จากนั้นก็เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้โยก

“นี่เก้าอี้อะไรเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?” พี่สะใภ้รองจ้าวเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก

“อันนี้คือเก้าอี้โยกค่ะ เหวินเทาซื้อกลับมาจากในเมือง” เย่ฉูฉู่กล่าว

“คงแพงมากเลยสินะ?” สิ่งแรกที่พี่สะใภ้รองจ้าวเป็นกังวลคือเรื่องราคา

“ก็ไม่แพงหรอกค่ะ พี่สะใภ้รอง พี่ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“เสร็จที่ไหนกันล่ะ! ข้าวโพดยังไม่ได้ไปหักเลย!” พี่สะใภ้รองจ้าวจิบน้ำชา “ตอนนี้คิดว่าจะเอาผักกาดขาวไปขาย แต่ผักกาดขาวเยอะขนาดนี้กินเองไม่หมดหรอก ที่ปลูกไว้ในลานบ้านก็พอกินแล้ว!”

เย่ฉูฉู่ทราบได้ถึงวัตถุประสงค์ที่พี่สะใภ้รองจ้าวมาแล้ว “พี่สะใภ้รอง พี่จะให้เหวินเทาช่วยขายผักกาดขาวสินะคะ?”

 

“ใช่!” พี่สะใภ้รองจ้าวรีบพูด “ฉันเองก็จนปัญญา พี่รองของเธอเป็นยังไงเธอเองก็รู้ บอกให้เขาไปขายของสู้ฆ่าเขาให้ตายยังจะดีเสียกว่า! ฉันเองก็เป็นผู้หญิง ฉันไม่มีปัญญาไปขายหรอก ก็เลยมาหาน้องหกให้ช่วยหน่อย บอกให้พี่รองของเธอมา เขาก็รู้สึกไม่ดีที่จะเอ่ยปากขอ พี่รองของเธอคนนี้นี่นะ เฮ้อ!”

 

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ เหวินเทานอกจากวิ่งออกไปค้าขายเขาก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง พี่สะใภ้รอง พี่ไม่ต้องรีบร้อนนะ เดี๋ยวเหวินเทากลับมาคืนนี้ฉันจะถามเขาให้”

 

“ฉันรู้ว่าเขาไม่อยู่บ้านตอนเช้า ฉันก็เลยมาพูดกับเธอก่อนนี่แหละ” พี่สะใภ้รองจ้าวแอบเกรงใจ “ฉันรู้ว่าน้องหกยุ่งมาก ฉันเองก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ ถึงได้มารบกวนพวกเธอ”

“พี่สะใภ้รอง พี่อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ พี่พูดแบบนี้ดูห่างเหินกันเกินไปแล้ว” เย่ฉูฉู่รีบพูด

พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ “น้องสะใภ้หก เธอคงไม่รู้อะไร สำหรับพี่รองของเธอแล้ว การขายของเป็นเรื่องที่ยากมาก บอกให้เขาตะโกนเรียกลูกค้าเขายังไม่อ้าปากเลย นอกจากออกแรงแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!”

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หาทางขายออกไปเถอะพี่รอง ไม่งั้นเสียดายแย่เลย

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] 319 มาขอร้องถึงที่

Now you are reading เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] Chapter 319 มาขอร้องถึงที่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 319 มาขอร้องถึงที่
ตอนที่ 319 มาขอร้องถึงที่

“ได้แต่งงานกับสามีดี ๆ ก็งี้แหละ”

“นั่นสิ จ้าวเหวินเทาเนี่ย หาเงินได้เยอะมากเลยนะ ผู้หญิงพอแต่งงานก็คือการเกิดใหม่นั่นแหละ ถ้าแต่งงานผิดคน ก็เหมือนกับเกิดผิดที่ ชีวิตทั้งชีวิตก็จบเห่!”

“นี่ถ้ามีสามีแบบนั้น บอกให้ฉันคุกเข่าให้เขาทุกวันฉันก็ยอม น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้มีแบบนั้น”

พวกผู้หญิงพากันอิจฉาตาร้อน การออกแรงเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่หนักหน่วงทำให้พวกหล่อนอยากเอนตัวนอนไม่ต้องลุกขึ้นมาจริง ๆ คิดแบบนี้ก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมถึงอิจฉาเย่ฉูฉู่

 

แต่ทัศนคติของผู้ชายแตกต่างกันมาก

“ดูภรรยาของจ้าวเหวินเทากับเด็กคนนั้นที่หล่อนกล่อมสิ ดูดีเลยนะ! นี่ถ้าภรรยาของฉันเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ให้หล่อนลงนาทำสวนเหมือนกัน!”

“นั่นสิ ฉันจะเลี้ยงดูหล่อน ต่อให้ลำบากและเหนื่อยกว่านี้แค่ได้กลับไปเห็นภรรยาแบบนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!”

“แต่งงานกับภรรยาก็สำคัญมากเหมือนกันนะ เจ้าเด็กจ้าวเหวินเทานี่โชคดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ได้แต่งงานกับภรรยาดี ๆ แบบนั้น แถมยังคลอดลูกชายดี ๆ แบบนั้นอีก!”

  

พวกผู้หญิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ของผู้ชายก็โกรธจนแบบบ้า ฉันลงมาทำนากลับบ้านไปทำงานบ้านทุกวัน งานไม่มีที่สิ้นสุด ทำงานเหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่คุณก็ยังไม่พอใจ ทั้งยังมองภรรยาคนอื่นด้วยความโลภอีก ไม่หัดส่องกระจกดูสภาพตัวเองซะบ้าง!

พวกผู้ชายได้ยินผู้หญิงพูดคำพูดเหล่านี้ ก็โกรธจนแค่นเสียง ฉันลงมาทำนากลับบ้านไปทำงานบ้านทุกวัน งานไม่มีที่สิ้นสุด ทำงานเหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น ต้องเลี้ยงเธอเลี้ยงลูก แต่เธอก็ยังไม่พอใจ มองสามีคนอื่นด้วยความโลภอีก ไม่หัดส่องกระจกดูสภาพตัวเองซะบ้าง!

สองแม่ลูกเย่ฉูฉู่และเสี่ยวไป๋หยางทำให้คนอิจฉาจริง ๆ!

เย่ฉูฉู่ก็ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้ว แต่มันไม่ได้กระทบต่อจิตใจของเธอแม้แต่น้อย ยังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันต่อไป จ้าวเหวินเทายิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายุ่งอยู่กับการหาเงิน ยิ่งไม่สนใจอะไรเข้าไปใหญ่

เมื่อทุกคนยุ่ง เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงช่วงเก็บเกี่ยวผักกาดขาวแล้ว

  

ในปีที่ผ่าน ๆ มา ทุกคนปลูกผักกาดขาวเพื่อไว้กินกันเอง นำผักไปดองไว้เพื่อเป็นเสบียงฤดูหนาว แต่ปีนี้แตกต่างกัน ปลูกไว้หลายหมู่หากให้กินกันเองก็คงกินไม่ไหว แน่นอนว่าสามารถนำไปเป็นอาหารกระต่ายได้ แต่ทำแบบนั้นก็ดูเหมือนจะฟุ่มเฟือยเกินไป ดังนั้นจึงต้องขายออกไป แบบนี้ก็จะได้ไม่รู้สึกผิดกับความยากลำบากของตัวเอง เพียงแต่ไม่เคยมีใครขายผักกาดขาวมาก่อน จะขายอย่างไร ไปขายที่ไหน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเป็นกังวลแทบแย่แล้ว

คนในชนบทส่วนใหญ่ต่างก็กลัวการขายของ คิดว่าการขายของยากกว่าการปีนขึ้นท้องฟ้าเสียอีก ของเล็ก ๆ ยังพอไหว ธัญพืชก็ยังไหว เพราะของพวกนั้นทางรัฐรับซื้อ แค่เอาไปส่งให้สถานีธัญพืชก็ได้แล้ว แต่ถ้าซื้อขายอย่างเป็นอิสระคงจบเห่

พี่รองจ้าวคือคนประเภทนี้ เขาเห็นว่าผักกาดขาวงอกงามได้เป็นอย่างดีจริง ๆ ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วก็จริง แต่หลังจากเก็บเกี่ยวล่ะ ขายไม่ออกแค่วันเดียว น้ำก็หายไปหนึ่งวัน แบบนั้นก็จะกลายเป็นความเสียหาย และต้องนำไปชั่งกิโลขาย

  

“ไปหาน้องหกสิ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “คุณขายของไม่เป็น ฉันเองก็ไม่เคยขายผักกาดขาว เยอะขนาดนี้ถ้าขายไม่ได้ราคา พวกเราคงขาดทุนแน่”

“ผักกาดขาวเยอะขนาดนี้ เจ้าหกจะซื้อสักเท่าไรกันเชียว?” พี่รองจ้าวเป็นคนช่างคิดแทนน้องชายมาก เขาคนเดียวกินไม่หมดหรอก

พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ สามีคนนี้โง่เขลาอยู่เรื่อยเลยจริง ๆ!

 

“น้องหกทำค้าขาย เขาก็ต้องรู้สิว่าที่ไหนต้องการผักกาดขาว เส้นสายของเขาดีกว่าคุณอยู่แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล น้องหกต้องช่วยอยู่แล้ว”

 

พี่รองจ้าวไม่อยากไป และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จะเริ่มจากตรงไหน เขาแค่ไม่อยากไปให้น้องชายคนนี้ช่วยแล้ว

 

พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นพี่รองจ้าวทำตัวอืดอาดไม่ยอมขยับตัว จึงรู้ว่าหวังพึ่งไม่ได้แล้ว “คุณไม่ไปเดี๋ยวฉันไปเอง!”

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดจบก็เดินไปหาจ้าวเหวินเทาทันที

ตอนเช้าจ้าวเหวินเทาไม่อยู่บ้าน จึงเหลือแค่เย่ฉูฉู่

ตอนนี้เย่ฉูฉู่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหน้าประตูบ้าน นี่เป็นของที่จ้าวเหวินเทาตั้งใจซื้อกลับมาจากในเมืองไว้ให้ภรรยานั่ง เขาลองนั่งแล้วรู้สึกสบายมาก จึงคิดว่าภรรยาต้องชอบมากแน่ ๆ และเย่ฉูฉู่ก็ชอบมากจริง ๆ ตอนที่เสี่ยวไป๋หยางนอนเธอก็นั่งอยู่ที่หน้าประตู ฟังการเคลื่อนไหวของลูกชายที่อยู่ในห้องไปพลาง อ่านหนังสือไปพลาง หนังสือเหล่านี้เป็นของที่โจวหมิ่นส่งไปรษณีย์มาให้

พี่สะใภ้รองจ้าวเดินเข้ามาในลานบ้านก็เห็นเย่ฉูฉู่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก แกว่งไปมาอย่างสบาย ๆ กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมือ หล่อนก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาในทันที ดูอีกฝ่ายสิ พอดูอีกฝ่ายแล้วย้อนมามองตัวเอง คนคนนี้จะเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน?

ลูกสุนัขสองตัวออกไปวิ่งเล่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ว่าในบ้านมีคนมา จึงวิ่งกลับมาพร้อมกับส่งเสียงเห่า ‘โฮ่ง ๆ’ ทั้งสองตัวนี้ได้กินอาหารอย่างดี กินอิ่มตัวก็ใหญ่จนเท่ากับครึ่งหนึ่งของสุนัขโตเต็มวัยแล้ว เมื่อวิ่งด้วยท่าทางกำยำน่าเอ็นดูช่างดูสง่างาม

เย่ฉูฉู่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า ตอนที่เงยหน้ามองก็พบว่าพี่สะใภ้รองจ้าวยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว จึงรีบวางหนังสือและกล่าวทักทาย “พี่สะใภ้รองมาแล้ว รีบเข้ามาเถอะค่ะ!”

ลูกสุนัขทั้งสองตัวก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เย่ฉูฉู่จึงตะโกนเสียงสูง ทั้งสองตัวก็รีบหมอบลงกับไม่ได้ส่งเสียงเห่าอีก

พี่สะใภ้รองจ้าวเดินเข้ามาในลานไปพลางก็มองดูสุนัขทั้งสองตัวไปพลาง เดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ “เชื่อฟังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”

 

“สอนพวกมันตั้งแต่เล็ก ๆ น่ะค่ะ พี่สะใภ้รองเข้าบ้านก่อนสิคะ!” เย่ฉูฉู่เดินนำเข้าไปในบ้าน

“ไม่เข้าแล้วล่ะ นั่งคุยตรงนี้ก็ได้ สว่างกว่าตั้งเยอะ” พี่สะใภ้รองจ้าวมองไปยังเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ๆ ข้าง ๆ จึงหยิบมานั่งลง “เสี่ยวไป๋หยางล่ะ?”

“นอนแล้วค่ะ”

เย่ฉูฉู่เข้าบ้านไปหยิบโต๊ะเล็ก ๆ มาหนึ่งตัว วางลงข้าง ๆ พี่สะใภ้รองจ้าว ก่อนจะหยิบน้ำชามารินและ และผลไม้มาอีกหนึ่งถาด

พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นแบบนี้ ก็พูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สะใภ้หก ดูการใช้ชีวิตของเธอสิ นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าการใช้ชีวิต!”

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “รอพวกพี่ทำงานกันเสร็จก็เป็นเหมือนกับฉันแล้วล่ะค่ะ” จากนั้นก็เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้โยก

“นี่เก้าอี้อะไรเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?” พี่สะใภ้รองจ้าวเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก

“อันนี้คือเก้าอี้โยกค่ะ เหวินเทาซื้อกลับมาจากในเมือง” เย่ฉูฉู่กล่าว

“คงแพงมากเลยสินะ?” สิ่งแรกที่พี่สะใภ้รองจ้าวเป็นกังวลคือเรื่องราคา

“ก็ไม่แพงหรอกค่ะ พี่สะใภ้รอง พี่ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“เสร็จที่ไหนกันล่ะ! ข้าวโพดยังไม่ได้ไปหักเลย!” พี่สะใภ้รองจ้าวจิบน้ำชา “ตอนนี้คิดว่าจะเอาผักกาดขาวไปขาย แต่ผักกาดขาวเยอะขนาดนี้กินเองไม่หมดหรอก ที่ปลูกไว้ในลานบ้านก็พอกินแล้ว!”

เย่ฉูฉู่ทราบได้ถึงวัตถุประสงค์ที่พี่สะใภ้รองจ้าวมาแล้ว “พี่สะใภ้รอง พี่จะให้เหวินเทาช่วยขายผักกาดขาวสินะคะ?”

 

“ใช่!” พี่สะใภ้รองจ้าวรีบพูด “ฉันเองก็จนปัญญา พี่รองของเธอเป็นยังไงเธอเองก็รู้ บอกให้เขาไปขายของสู้ฆ่าเขาให้ตายยังจะดีเสียกว่า! ฉันเองก็เป็นผู้หญิง ฉันไม่มีปัญญาไปขายหรอก ก็เลยมาหาน้องหกให้ช่วยหน่อย บอกให้พี่รองของเธอมา เขาก็รู้สึกไม่ดีที่จะเอ่ยปากขอ พี่รองของเธอคนนี้นี่นะ เฮ้อ!”

 

เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ เหวินเทานอกจากวิ่งออกไปค้าขายเขาก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง พี่สะใภ้รอง พี่ไม่ต้องรีบร้อนนะ เดี๋ยวเหวินเทากลับมาคืนนี้ฉันจะถามเขาให้”

 

“ฉันรู้ว่าเขาไม่อยู่บ้านตอนเช้า ฉันก็เลยมาพูดกับเธอก่อนนี่แหละ” พี่สะใภ้รองจ้าวแอบเกรงใจ “ฉันรู้ว่าน้องหกยุ่งมาก ฉันเองก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ ถึงได้มารบกวนพวกเธอ”

“พี่สะใภ้รอง พี่อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ พี่พูดแบบนี้ดูห่างเหินกันเกินไปแล้ว” เย่ฉูฉู่รีบพูด

พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ “น้องสะใภ้หก เธอคงไม่รู้อะไร สำหรับพี่รองของเธอแล้ว การขายของเป็นเรื่องที่ยากมาก บอกให้เขาตะโกนเรียกลูกค้าเขายังไม่อ้าปากเลย นอกจากออกแรงแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!”

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หาทางขายออกไปเถอะพี่รอง ไม่งั้นเสียดายแย่เลย

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+