คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 196 หลอมวิญญาณ

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 196 หลอมวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มารทรชน น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะหรือ คิดจะมารังแกนายหญิงของข้า ช่างไม่ประมาณตน !”

วาจาอันหยิ่งทะนงและองอาจน่าเกรงขามก้องสะท้อนไปทั่วโถงถ้ำ เพียงน้ำเสียงนั้นก็ชวนให้สั่นสะท้านอย่างมิอาจต้าน พริบตาต่อมาอสูรทุกตนที่อยู่ภายในที่แห่งนี้ก็ได้รับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง แรงกดดันมหาศาลนั้นบีบอัดไปทั่วร่างจนยากจะหายใจ

เมื่อครู่นี้เองที่ซิวเสร็จสิ้นกระบวนการแห่งการบ่มเพาะครั้งสำคัญ ในตอนนี้สภาวะพลังของมันยังไม่มั่นคงดีนัก ทว่าทันทีที่รับรู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกมันก็รีบออกมาอย่างไม่ลังเล ขณะนี้ซิวสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้แล้ว อสูรแห่งโชคชะตากำลังยืนอยู่เคียงข้างสตรีผู้เป็นนายอย่างภาคภูมิ

รูปลักษณ์ในร่างมนุษย์ของซิวคือบุรุษหนุ่มในชุดสีแดงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม แม้จะมีรูปร่างค่อนข้างผอมและตัวสูงมากทว่ากลับไม่ได้ดูเก้งก้าง ตรงกันข้ามอสูรในร่างบุรุษหนุ่มยังดูองอาจห้าวหาญ ที่สำคัญสภาวะพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายนั้นก็ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเหยียดหยามทุกสรรพสิ่ง แรงกดดันจากบุรุษผู้นี้ทำให้อสูรมายาทั้งหลายอยากคุกเข่าลงไปแทบเท้า

“เจ้าเองรึ !”

มารทรชนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แน่นอนว่ามันจดจำซิวได้เป็นอย่างดี

“เหอะ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจำข้าได้ด้วย !”

ซิวตอบโต้ด้วยวาจาเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันที่ได้รู้ว่า ถึงแม้จะถูกผนึกไว้หลายพันปี แต่จิตใจของเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เจ้ายังคง ‘ชั่วช้า’ เช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน ดูเหมือนที่นายหญิงเมตตาไม่ทำลายวิญญาณของเจ้าแต่กลับจับเจ้าผนึกไว้ที่นี่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด !”

ซิวกล่าวด้วยความโกรธแค้น มันคืออสูรมายาแห่งโชคชะตาของเทพมายา มันจึงรู้เรื่องราวนี้เป็นอย่างดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซิวคือหนึ่งในผู้ที่รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะความชั่วช้าในครานั้นทำให้ซิวเกลียดชังมารทรชนที่อยู่ตรงหน้าเข้ากระดูก หากไม่ใช่เพราะการทรยศของมารร้ายผู้นี้ อดีตนายหญิงของมันก็คงจะไม่ต้องบาดเจ็บสาหัส และกองกำลังของฝ่ายมารก็คงจะถูกกวาดล้างจนราบคาบไปแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ กว่าจะรู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด มันก็สายเกินไปแล้ว ในเมื่อเลือกที่จะไม่สังหารข้าตั้งแต่วันนั้น วันนี้ก็จงยอมรับความจริงเสียเถิดว่าพวกเจ้าไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว หึ ! ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนด้อยกว่าเมื่อก่อนจนน่าสมเพช แล้วเจ้าจะมีปัญญาอะไรมาต่อกรกับข้า”

หลังจากลอบประเมินพลังของซิว มารทรชนก็พบว่าพลังของสหายอสูรที่เปลี่ยนกลายเป็นอริไปแล้วนั้นยังด้อยกว่าตนอยู่ถึงขั้นหนึ่ง

หากเป็นในช่วงเวลาที่ซิวยังมีพลังที่สมบูรณ์ มารทรชนยอมรับเลยว่าแม้แต่ตัวเองเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรน่าเกรงขามตนนี้ ทว่าจากสิ่งที่เห็นตรงหน้าชี้ชัดว่า ในหลายพันปีที่ผ่านมาพลังของซิวถดถอยลงไปอย่างมหาศาล นั่นจึงทำให้วิญญาณคนทรยศไม่รู้สึกเกรงกลัวซิวอีกต่อไปแล้ว

“หึ ๆ ความแข็งแกร่งของข้าด้อยกว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ ?” ซิวแค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนจะลั่นวาจาที่เป็นดั่งคำสาบาน

“แค่จัดการกับวิญญาณคนต่ำช้าอย่างเจ้าพลังของข้าในตอนนี้ก็ถือว่ามากเกินพอ คอยดูเถอะมารร้าย วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้าออกไปจากโลกนี้ให้สิ้นซาก !”

น้ำเสียงของซิวเต็มไปด้วยความมาดมั่นและแน่วแน่ ในตอนนั้นเองสภาวะพลังอันน่าเกรงขามของมันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้อสูรที่อยู่โดยรอบ ทั้งสามจักรพรรดิอสูรสวรรค์รวมทั้งอสูรมายาในสังกัดของฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความหวาดหวั่นที่พรั่งพรูอยู่ในใจ

“วาจาโอหังนัก ! แต่จงยอมรับเสียเถอะว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”

มารทรชนไม่กล่าวสิ่งใดอีก ก้อนพลังสีดำปรากฏในมือโดยฉับพลัน วิญญาณมนุษย์ผู้ต่ำทรามขว้างพลังอันชั่วร้ายเข้าใส่ซิวอย่างรวดเร็ว

ก้อนเพลิงปรากฏในมือซิวในเสี้ยวพริบตา พลันพุ่งเข้าปะทะกับก้อนพลังสีดำที่ตรงเข้ามาหา

— ตูม ! —

มวลพลังอันรุนแรงทั้งสองปะทะกันกลางอากาศและก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พลังสะท้อนจากการปะทะทำให้เกิดระลอกคลื่นพลังสาดซัดไปรอบทิศทาง ทั้งพื้น ผนัง และเพดานถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหรียญทองมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้นปลิวว่อนกระจัดกระจาย

ความรุนแรงจากการปะทะของทั้งสองทำเอาอสูรมายาตนอื่น ๆ แทบจะทรุดลงไปกับพื้น พวกมันทั้งหมดและอีกหนึ่งสตรีมนุษย์รีบถอยห่างออกไปให้พ้นรัศมีที่เป็นอันตราย

“แม้ว่าพลังกร่อนวิญญาณของเจ้าจะทรงอานุภาพเพียงใด แต่จงรู้เอาไว้เสียว่า มันใช้กับข้าไม่ได้ผล !”

เปลวเพลิงของซิวถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับคุณสมบัติที่สามารถ ‘แผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง’ แน่นอนว่านั่นไม่เว้นแม้กระทั่งพลังกร่อนวิญญาณแห่งเผ่ามาร ในคราเกิดสงครามครั้งใหญ่กับกองทัพมาร เปลวเพลิงของซิวนับเป็นไพ่ตายใบสำคัญของเทพมายา

“ฮึ ๆ ๆ ข้าแค่ทดสอบพลังของเจ้าเท่านั้น อย่าเพิ่งคุยโวให้มันมากนัก !”

ใบหน้าของมารทรชนยังไม่มีแววกังวลให้เห็นแม้แต่น้อย สิ้นวาจาเย้ยหยันร่างของมันก็หายวับไป วิญญาณร้ายปรากฏตัวอีกครั้ง ณ จุดที่อยู่เบื้องหน้าซิวพร้อมกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา

ซิวมิกลัวเกรง กระบี่เพลิงปรากฏในมือพลัดวาดผ่านอากาศตรงเข้าปะทะกับกระบี่สีดำของมารทรชนจนเกิดเสียงดัง

หลังการปะทะกันนั้น ร่างของทั้งสองก็ถอยหลังออกไปคนละสามก้าว

“รู้หรือยังว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”

แม้ว่าพลังจะดูสูสีกัน ทว่าสีหน้าของมารทรชนกลับดูมั่นใจเหลือล้น ซิวในตอนนี้ไม่เหมือนซิวเมื่อหลายพันปีก่อนที่มันรู้จัก อสูรตนนี้ไม่ได้ทำให้มันกดดันได้เหมือนเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว

“หุบปากซะ ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตาย !”

ซิวตวาดวาจาเย็นชาตอบโต้ ในตอนนั้นเองร่างบุรุษชุดสีแดงก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตา อสูรขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

มันคือมังกรขนาดยักษ์ ส่วนลำตัวและส่วนหางงดงามตามอัตลักษณ์ของมังกรที่สมบูรณ์และทรงสง่า ทว่ากรงเล็บคมกริบทั้งสี่กลับมีถึงสิบเล็บ และส่วนหัวมีลักษณะบางประการที่แตกต่างจากมังกรตนอื่น ต้องกล่าวเลยว่ามันเป็นมังกรที่น่าเกรงขามโดยแท้จริง ไม่ว่าจะมนุษย์จิตใจห้าวหาญหรืออสูรในตำนานต่างก็รู้สึกสั่นสะท้านเมื่อได้อยู่ต่อหน้ามันเช่นนี้

“สวรรค์ นี่คือเทพอสูร !”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซิว หงส์แดงก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้

ตัวและหางเป็นมังกร มือและเท้ามีสิบเล็บ ‘…นี่มิใช่ ‘เทพอสูรในตำนาน’ หรอกหรือ อสูรที่เปรียบดั่งราชาแห่งโลกอสูรตนนั้น ?’

อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่า ‘เทพอสูรในตำนาน’ มีตัวตนอยู่ในอดีตและพบได้เพียงในดินแดนที่อยู่เหนือขึ้นไปจาก ‘ดินแดนเทพมายา’ เท่านั้น ไม่เคยมีบันทึกใดจารึกไว้ว่าพบเจออสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่ายิ่งใหญ่ปรากฏกายในแผ่นดินนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หงส์แดงตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ทั้งกระเรียนขาวบรรพกาล คชสารโลหิต รวมถึงอสูรตัวอื่น ๆ ต่างก็มองซิวด้วยท่าทางที่หวาดกลัวจับจิต ทว่าในสายตาที่หวั่นเกรงของพวกมันก็ล้วนแต่แฝงความประหลาดใจอย่างทั่วหน้า

แม้ว่าจะไม่อยากเชื่อเพียงใด ทว่าแรงกดดันเฉพาะตัวที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกายใหญ่โตก็ไม่โกหก ซิวจะต้องเป็นเทพอสูรในตำนานไม่ผิดแน่

“เหอะ ถึงเจ้าจะเปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมแต่ก็สู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้าเองก็เป็นถึงตัวตนที่สูงส่งที่สุดแห่งเผ่าอสูร มีเหตุผลใดที่เจ้าต้องมารับใช้มนุษย์ เหตุใดพวกเราไม่มีร่วมมือกันดั่งเช่นในอดีตเล่า ? หากเราทั้งคู่ฟื้นคืนพลังกลับมาได้ทั้งหมด ข้าสัญญาจะกลับไปยังมาตุภูมิที่เจ้าจากมาพร้อมกับเจ้าและจะช่วยเจ้าทวงความเป็นธรรมเอง ด้วยพลังของเรารวมกัน ถึงเวลานั้นจะมีผู้ใดจะกล้าต่อกร”

เมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของซิว มารทรชนก็กล่าวชี้ชวน ในตอนนี้มันเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันจากตัวตนอันยิ่งใหญ่ตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว

“หึ ๆ ๆ เจ้าอย่าฝันเลยจะดีกว่า เรื่องของข้าข้าจะเป็นผู้สะสางมันเอง เวลานี้สิ่งที่เจ้าสมควรทำคือสงบใจให้มากที่สุดแล้วเตรียมตัวตายก็พอ ข้าจะทำให้วิญญาณของเจ้าสูญสลายไปจากโลกนี้ เจ้าจะได้ไม่มีโอกาสก่อเรื่องชั่วช้าอีก”

ซิวแสยะยิ้มเย็นชา แม้จะได้ยินและเข้าใจวาจาของมารทรชนทุกประการ แต่ความคิดของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“โง่เขลานัก !”

มารทรชนจ้องมองซิวตาเขม็งพลางตวาดคำด่าทอ

เทพอสูรในตำนานไม่ลังเลอีกต่อไป ลูกเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานถูกพ่นออกจากปากตรงเข้าใส่ร่างของมารทรชนในทันที ความร้อนในครั้งนี้มหาศาลเสียจนแม้แต่อากาศก็ยังลุกไหม้ให้เห็นเป็นทางยาว

“ตายซะเถอะ !”

ซิวเปล่งเสียงดุดันออกมา

แม้ว่าเวลานี้ร่างกายจะอ่อนแอกว่าสมัยอดีตกาลอยู่มาก ทว่ามันก็ไม่เคยคิดเกรงกลัวมารทรชนเลยสักนิด เพราะตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์ พลังและฝีมือของคนทรยศผู้นี้ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของมันมาก่อน

ยิ่งกว่านั้นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา พลังของมารทรชนก็ถดถอยลงไปมากเช่นกัน แถมยังหลงเหลือเพียงแค่วิญญาณ ด้วยเปลงเพลิงที่เผาผลาญได้ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า ซิวจึงมั่นใจมากว่าจะเอาชนะได้

เมื่อเห็นลูกเพลิงที่ทรงพลานุภาพกำลังพุ่งเข้ามา ใบหน้าของมารทรชนก็ปรากฏความหวาดหวั่นขึ้นชั่ววูบ ในตอนนี้มันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

มารทรชนรีบรวบรวมหมอกและไอพลังสีดำเชื่อมผสานเป็นโล่กำบังตรงหน้าเพื่อป้องกันเปลวเพลิง

ในเวลาเดียวกันที่มือของมันก็ปรากฏก้อนพลังสีดำอันแปลกประหลาดขนาดใหญ่ ก้อนพลังนั้นถูกขวางเข้าปะทะใส่พลังของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รีรอ

— ตูม !–

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ ลูกเพลิงของซิวไม่ได้สลายหายไปราวกับไม่เคยปะทะกับแรงต้านทานใด ๆ มันเผาผลาญก้อนพลังสีดำ พุ่งทะลวงผ่านอากาศ ตรงเข้าหามารทรชนอย่างแน่วแน่

“คิดหรือว่ากระดองของเจ้าจะใช้ป้องกันเพลิงของข้าได้ ?”

ซิวเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

ลูกเพลิงของซิวปะทะกับเข้าโล่ป้องกันป้องกันที่เกิดจากการรวมตัวของหมอกสีดำก่อนจะหยุดเคลื่อนที่ ทว่าลูกเพลิงก็ถูกหยุดยั้งได้เพียงชั่วครู่ มันเปลี่ยนกลายเป็นปะทุขึ้นมาอย่างดุเดือด แล้วเกิดการลุกไหม้ขึ้นมารุนแรงราวกับกำลังตอบสนองต่อความเกรี้ยวกราดของผู้ใช้งาน เพียงชั่วพริบตาโล่สีดำทมิฬที่ปกป้องร่างกายของมารทรชนอยู่พลังทลายลง มันถูกเผาแล้วสลายหายไปในอากาศ

เมื่อสิ้นสิ่งปกป้อง ลูกเพลิงน่าหวาดกลัวก็ปะทะเข้ากับร่างของวิญญาณร้ายโดยตรง ไม่นานเปลวเพลิงแดงฉานก็ลุกท่วม ห่อหุ้มร่างของมารทรชนไว้ทั้งหมด

แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเพลิงของซิวมอดลงไปในอึดใจต่อมา

ซึ่งนั่นก็เนื่องมาจาก ในเสี้ยวลมหายใจที่ไฟลุกท่วมร่าง วิญญาณร้ายรีดเค้นพลังสีดำอันมหาศาลห่อหุ้มเพื่อคุ้มกันกายได้ทันเวลา

“เหอะ ดูเหมือนว่าเปลวเพลิงของเจ้าจะยังทำอะไรข้าไม่ได้”

ถึงแม้ในตอนนี้ ใบหน้าของมารทรชนจะดูดซีดเซียวลงไปมาก ทว่ามันก็ยังยิ้มอย่างสะใจได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเปลวเพลิงของซิวสร้างความเสียหายให้มันได้ไม่มากอย่างที่คิด

“หึ ๆ ๆ อย่าเพิ่งได้ใจไปนัก แม้ว่ารอบกายเจ้าจะมีม่านพลังที่แข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเหลือเพียงวิญญาณ ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและพละกำลังดังเช่นในอดีต แม้ว่าเพลิงของข้าจะเอาชนะพลังคุ้มกายของเจ้าได้ยากอยู่สักหน่อย แต่การจะหลอมวิญญาณเจ้าให้สลายไปนั้นไม่ใช่ปัญหา”

ซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเต็มเปี่ยม

มารทรชนชะงักไป ทว่าชั่วอึดใจมันก็ส่ายศีรษะ

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ต้องการหลอมวิญญาณของข้าอย่างนั้นรึ วิญญาณข้ายังได้รับการปกป้องจากผนึกของเทพมายาในอดีต หากจะทำลายวิญญาณของข้าก็ต้องอาศัยโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ที่มีกายเทพมายามาสนับสนุนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้”

แม้ว่าตอนนี้จะหลงเหลือเพียงวิญญาณ ทว่ามารทรชนก็ทราบดีว่าการจะหลอมละลายตนไม่ใช่เรื่องง่าย ในเรื่องนี้ต้องขอบคุณผนึกของเทพมายาที่ยังคงผนึกวิญญาณมันไว้อยู่ส่วนหนึ่ง แม้ว่าผนึกนี้จะทำให้มันไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการปกป้องมันได้ในตัว

“จริงอยู่ที่ว่าตอนนี้อดีตนายหญิงของข้าไม่อยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากายเทพมายาสูญหายไปจากแผ่นดินนี้”

ซิวเผยรอยยิ้มบาง “ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่นายหญิงของข้าวางผนึกและสร้างม่านพลังเอาไว้ เจ้าคิดหรือว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถผ่านเข้ามาได้โดยง่าย ?”

มารทรชนชะงักไป ในตอนนั้นเองที่สีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

วิญญาณร้ายเริ่มตระหนักในบางสิ่ง มันหันมองไปยังฉินอวี้โม่โดยฉับพลัน “หรือว่าเจ้า… ?!”

ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นมายืนข้างซิวก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างเป็นต่อแล้วแสร้งเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน “ยินดีด้วย เจ้าคาดเดาถูกต้องแล้ว แต่ว่าข้าไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของมารทรชนก็ซีดเผือดไร้สีเลือด หากมีมนุษย์ที่มีกายเทพมายา อีกทั้งยังมีเพลิงของซิวร่วมด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถหลอมละลายวิญญาณของมันได้แล้ว

เมื่อเห็นว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะเข้าตาจน มารทรชนก็คิดจะหลบหนี มันระเบิดพลังมายาออกมาเตรียมการจะเคลื่อนตัวหนีออกไปจากที่แห่งนี้ ทว่า…

“คิดจะหนีอย่างนั้นรึ คุกเพลิงผลาญสวรรค์ !”

ในชั่วพริบตากำลังเพลิงก็ปรากฏขึ้นมาโอบล้อมรอบร่างซีดขาวของวิญญาณผู้ร้ายและปิดกั้นทางหนีของมันเอาไว้

“ซิวข้าต้องทำอะไรบ้าง ?!”

ฉินอวี้โม่มองซิวแล้วเอ่ยถาม

“แค่ให้ข้ายืมหยด ‘โลหิตบริสุทธิ์’ ของท่านสักหยดก็พอ”

ซิวกล่าว ด้วยโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ครอบครองกายเทพมายา แม้เพียงหนึ่งหยดเท่านั้น ผนึกที่เสมือนมีส่วนช่วยคุ้มกันวิญญาณของมารทรชนอยู่ก็จะไร้ผล

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางใช้มีดกรีดตรงหว่างคิ้วแล้วรีดเอาโลหิตบริสุทธิ์ออกมา

โลหิตบริสุทธิ์นั้นต่างจากโลหิตธรรมดา การสูญเสียโลหิตธรรมดาจะไม่ส่งผลกระทบต่อกายาวิเศษนี้ แตกต่างจากโลหิตบริสุทธิ์เพราะถ้าหากโลหิตบริสุทธิ์สูญหายไปจากร่างกาย ร่างกายของฉินอวี้โม่ก็จะอ่อนแอไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะสร้างโลหิตบริสุทธิ์ใหม่ขึ้นมาทดแทนได้นางจึงจะกลับเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ สตรีตระกูลฉินก็ไร้ทางเลือก เพียงแค่อ่อนแอไปชั่วระยะเวลาหนึ่งมันแทบจะไร้ความหมายเมื่อเทียบกับการกำจัดมารร้ายตนนี้ไปให้ได้

ซิวส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างภักดี ขณะที่ใช้พลังควบคุมหยดโลหิตบริสุทธิ์อันล้ำค่าไปยังกำแพงเพลิงที่กำลังเผาผลาญมารทรชนอยู่

— ฟู่~ —

ในทันทีที่หยดโลหิตของฉินอวี้โม่ถูกเพลิงนั้นเผาผลาญจนสลายไป เพลิงของซิวก็เกรี้ยวกราดรุนแรงขึ้นในฉับพลัน แม้ว่าความร้อนจะไม่ได้เพิ่มขึ้น ทว่ากลิ่นอายและพลังของเพลิงนี้ก็หนักหน่วงรุนแรงกว่าเดิมจนสัมผัสได้ แม้แต่อสูรผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ ณ จุดที่ห่างออกไปก็ยังยากจะหายใจได้

ใบหน้าของมารทรชนซีดเผือด มันพยายามจะทำลายกำแพงเพลิงอย่างสุดชีวิต แต่ก็พบว่าไม่เป็นผลใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งฝืนรีดเค้นพลังกร่อนวิญญาณออกมาใช้ มารร้ายก็ยิ่งพบว่าร่างกายของมันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

ไม่นานนัก มารทรชนก็พบว่าวิญญาณของมันกำลังถูกเปลวเพลิงที่น่ากลัวแผดเผาและเริ่มสลายไป…

“ไม่ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า เจ้าจงจำเอาไว้ ถึงตายข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด !….”

มนุษย์ผู้ขายวิญญาณให้กับมารร้ายจ้องมองฉินอวี้โม่อย่างคั่งแค้น หากว่าสายตานั้นสังหารผู้คนได้ ฉินอวี้โม่ก็คงจะตายไปแล้ว

ภายในเวลาไม่นานวิญญาณของมารทรชนก็มอดไหม้ไปทั้งหมด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 196 หลอมวิญญาณ

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 196 หลอมวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มารทรชน น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะหรือ คิดจะมารังแกนายหญิงของข้า ช่างไม่ประมาณตน !”

วาจาอันหยิ่งทะนงและองอาจน่าเกรงขามก้องสะท้อนไปทั่วโถงถ้ำ เพียงน้ำเสียงนั้นก็ชวนให้สั่นสะท้านอย่างมิอาจต้าน พริบตาต่อมาอสูรทุกตนที่อยู่ภายในที่แห่งนี้ก็ได้รับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง แรงกดดันมหาศาลนั้นบีบอัดไปทั่วร่างจนยากจะหายใจ

เมื่อครู่นี้เองที่ซิวเสร็จสิ้นกระบวนการแห่งการบ่มเพาะครั้งสำคัญ ในตอนนี้สภาวะพลังของมันยังไม่มั่นคงดีนัก ทว่าทันทีที่รับรู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกมันก็รีบออกมาอย่างไม่ลังเล ขณะนี้ซิวสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้แล้ว อสูรแห่งโชคชะตากำลังยืนอยู่เคียงข้างสตรีผู้เป็นนายอย่างภาคภูมิ

รูปลักษณ์ในร่างมนุษย์ของซิวคือบุรุษหนุ่มในชุดสีแดงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม แม้จะมีรูปร่างค่อนข้างผอมและตัวสูงมากทว่ากลับไม่ได้ดูเก้งก้าง ตรงกันข้ามอสูรในร่างบุรุษหนุ่มยังดูองอาจห้าวหาญ ที่สำคัญสภาวะพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายนั้นก็ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเหยียดหยามทุกสรรพสิ่ง แรงกดดันจากบุรุษผู้นี้ทำให้อสูรมายาทั้งหลายอยากคุกเข่าลงไปแทบเท้า

“เจ้าเองรึ !”

มารทรชนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แน่นอนว่ามันจดจำซิวได้เป็นอย่างดี

“เหอะ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจำข้าได้ด้วย !”

ซิวตอบโต้ด้วยวาจาเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันที่ได้รู้ว่า ถึงแม้จะถูกผนึกไว้หลายพันปี แต่จิตใจของเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เจ้ายังคง ‘ชั่วช้า’ เช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน ดูเหมือนที่นายหญิงเมตตาไม่ทำลายวิญญาณของเจ้าแต่กลับจับเจ้าผนึกไว้ที่นี่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด !”

ซิวกล่าวด้วยความโกรธแค้น มันคืออสูรมายาแห่งโชคชะตาของเทพมายา มันจึงรู้เรื่องราวนี้เป็นอย่างดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซิวคือหนึ่งในผู้ที่รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะความชั่วช้าในครานั้นทำให้ซิวเกลียดชังมารทรชนที่อยู่ตรงหน้าเข้ากระดูก หากไม่ใช่เพราะการทรยศของมารร้ายผู้นี้ อดีตนายหญิงของมันก็คงจะไม่ต้องบาดเจ็บสาหัส และกองกำลังของฝ่ายมารก็คงจะถูกกวาดล้างจนราบคาบไปแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ กว่าจะรู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด มันก็สายเกินไปแล้ว ในเมื่อเลือกที่จะไม่สังหารข้าตั้งแต่วันนั้น วันนี้ก็จงยอมรับความจริงเสียเถิดว่าพวกเจ้าไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว หึ ! ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนด้อยกว่าเมื่อก่อนจนน่าสมเพช แล้วเจ้าจะมีปัญญาอะไรมาต่อกรกับข้า”

หลังจากลอบประเมินพลังของซิว มารทรชนก็พบว่าพลังของสหายอสูรที่เปลี่ยนกลายเป็นอริไปแล้วนั้นยังด้อยกว่าตนอยู่ถึงขั้นหนึ่ง

หากเป็นในช่วงเวลาที่ซิวยังมีพลังที่สมบูรณ์ มารทรชนยอมรับเลยว่าแม้แต่ตัวเองเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรน่าเกรงขามตนนี้ ทว่าจากสิ่งที่เห็นตรงหน้าชี้ชัดว่า ในหลายพันปีที่ผ่านมาพลังของซิวถดถอยลงไปอย่างมหาศาล นั่นจึงทำให้วิญญาณคนทรยศไม่รู้สึกเกรงกลัวซิวอีกต่อไปแล้ว

“หึ ๆ ความแข็งแกร่งของข้าด้อยกว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ ?” ซิวแค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนจะลั่นวาจาที่เป็นดั่งคำสาบาน

“แค่จัดการกับวิญญาณคนต่ำช้าอย่างเจ้าพลังของข้าในตอนนี้ก็ถือว่ามากเกินพอ คอยดูเถอะมารร้าย วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้าออกไปจากโลกนี้ให้สิ้นซาก !”

น้ำเสียงของซิวเต็มไปด้วยความมาดมั่นและแน่วแน่ ในตอนนั้นเองสภาวะพลังอันน่าเกรงขามของมันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้อสูรที่อยู่โดยรอบ ทั้งสามจักรพรรดิอสูรสวรรค์รวมทั้งอสูรมายาในสังกัดของฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความหวาดหวั่นที่พรั่งพรูอยู่ในใจ

“วาจาโอหังนัก ! แต่จงยอมรับเสียเถอะว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”

มารทรชนไม่กล่าวสิ่งใดอีก ก้อนพลังสีดำปรากฏในมือโดยฉับพลัน วิญญาณมนุษย์ผู้ต่ำทรามขว้างพลังอันชั่วร้ายเข้าใส่ซิวอย่างรวดเร็ว

ก้อนเพลิงปรากฏในมือซิวในเสี้ยวพริบตา พลันพุ่งเข้าปะทะกับก้อนพลังสีดำที่ตรงเข้ามาหา

— ตูม ! —

มวลพลังอันรุนแรงทั้งสองปะทะกันกลางอากาศและก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พลังสะท้อนจากการปะทะทำให้เกิดระลอกคลื่นพลังสาดซัดไปรอบทิศทาง ทั้งพื้น ผนัง และเพดานถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหรียญทองมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้นปลิวว่อนกระจัดกระจาย

ความรุนแรงจากการปะทะของทั้งสองทำเอาอสูรมายาตนอื่น ๆ แทบจะทรุดลงไปกับพื้น พวกมันทั้งหมดและอีกหนึ่งสตรีมนุษย์รีบถอยห่างออกไปให้พ้นรัศมีที่เป็นอันตราย

“แม้ว่าพลังกร่อนวิญญาณของเจ้าจะทรงอานุภาพเพียงใด แต่จงรู้เอาไว้เสียว่า มันใช้กับข้าไม่ได้ผล !”

เปลวเพลิงของซิวถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับคุณสมบัติที่สามารถ ‘แผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง’ แน่นอนว่านั่นไม่เว้นแม้กระทั่งพลังกร่อนวิญญาณแห่งเผ่ามาร ในคราเกิดสงครามครั้งใหญ่กับกองทัพมาร เปลวเพลิงของซิวนับเป็นไพ่ตายใบสำคัญของเทพมายา

“ฮึ ๆ ๆ ข้าแค่ทดสอบพลังของเจ้าเท่านั้น อย่าเพิ่งคุยโวให้มันมากนัก !”

ใบหน้าของมารทรชนยังไม่มีแววกังวลให้เห็นแม้แต่น้อย สิ้นวาจาเย้ยหยันร่างของมันก็หายวับไป วิญญาณร้ายปรากฏตัวอีกครั้ง ณ จุดที่อยู่เบื้องหน้าซิวพร้อมกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา

ซิวมิกลัวเกรง กระบี่เพลิงปรากฏในมือพลัดวาดผ่านอากาศตรงเข้าปะทะกับกระบี่สีดำของมารทรชนจนเกิดเสียงดัง

หลังการปะทะกันนั้น ร่างของทั้งสองก็ถอยหลังออกไปคนละสามก้าว

“รู้หรือยังว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”

แม้ว่าพลังจะดูสูสีกัน ทว่าสีหน้าของมารทรชนกลับดูมั่นใจเหลือล้น ซิวในตอนนี้ไม่เหมือนซิวเมื่อหลายพันปีก่อนที่มันรู้จัก อสูรตนนี้ไม่ได้ทำให้มันกดดันได้เหมือนเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว

“หุบปากซะ ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตาย !”

ซิวตวาดวาจาเย็นชาตอบโต้ ในตอนนั้นเองร่างบุรุษชุดสีแดงก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตา อสูรขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

มันคือมังกรขนาดยักษ์ ส่วนลำตัวและส่วนหางงดงามตามอัตลักษณ์ของมังกรที่สมบูรณ์และทรงสง่า ทว่ากรงเล็บคมกริบทั้งสี่กลับมีถึงสิบเล็บ และส่วนหัวมีลักษณะบางประการที่แตกต่างจากมังกรตนอื่น ต้องกล่าวเลยว่ามันเป็นมังกรที่น่าเกรงขามโดยแท้จริง ไม่ว่าจะมนุษย์จิตใจห้าวหาญหรืออสูรในตำนานต่างก็รู้สึกสั่นสะท้านเมื่อได้อยู่ต่อหน้ามันเช่นนี้

“สวรรค์ นี่คือเทพอสูร !”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซิว หงส์แดงก็อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้

ตัวและหางเป็นมังกร มือและเท้ามีสิบเล็บ ‘…นี่มิใช่ ‘เทพอสูรในตำนาน’ หรอกหรือ อสูรที่เปรียบดั่งราชาแห่งโลกอสูรตนนั้น ?’

อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่า ‘เทพอสูรในตำนาน’ มีตัวตนอยู่ในอดีตและพบได้เพียงในดินแดนที่อยู่เหนือขึ้นไปจาก ‘ดินแดนเทพมายา’ เท่านั้น ไม่เคยมีบันทึกใดจารึกไว้ว่าพบเจออสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่ายิ่งใหญ่ปรากฏกายในแผ่นดินนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หงส์แดงตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ทั้งกระเรียนขาวบรรพกาล คชสารโลหิต รวมถึงอสูรตัวอื่น ๆ ต่างก็มองซิวด้วยท่าทางที่หวาดกลัวจับจิต ทว่าในสายตาที่หวั่นเกรงของพวกมันก็ล้วนแต่แฝงความประหลาดใจอย่างทั่วหน้า

แม้ว่าจะไม่อยากเชื่อเพียงใด ทว่าแรงกดดันเฉพาะตัวที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกายใหญ่โตก็ไม่โกหก ซิวจะต้องเป็นเทพอสูรในตำนานไม่ผิดแน่

“เหอะ ถึงเจ้าจะเปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมแต่ก็สู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้าเองก็เป็นถึงตัวตนที่สูงส่งที่สุดแห่งเผ่าอสูร มีเหตุผลใดที่เจ้าต้องมารับใช้มนุษย์ เหตุใดพวกเราไม่มีร่วมมือกันดั่งเช่นในอดีตเล่า ? หากเราทั้งคู่ฟื้นคืนพลังกลับมาได้ทั้งหมด ข้าสัญญาจะกลับไปยังมาตุภูมิที่เจ้าจากมาพร้อมกับเจ้าและจะช่วยเจ้าทวงความเป็นธรรมเอง ด้วยพลังของเรารวมกัน ถึงเวลานั้นจะมีผู้ใดจะกล้าต่อกร”

เมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของซิว มารทรชนก็กล่าวชี้ชวน ในตอนนี้มันเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันจากตัวตนอันยิ่งใหญ่ตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว

“หึ ๆ ๆ เจ้าอย่าฝันเลยจะดีกว่า เรื่องของข้าข้าจะเป็นผู้สะสางมันเอง เวลานี้สิ่งที่เจ้าสมควรทำคือสงบใจให้มากที่สุดแล้วเตรียมตัวตายก็พอ ข้าจะทำให้วิญญาณของเจ้าสูญสลายไปจากโลกนี้ เจ้าจะได้ไม่มีโอกาสก่อเรื่องชั่วช้าอีก”

ซิวแสยะยิ้มเย็นชา แม้จะได้ยินและเข้าใจวาจาของมารทรชนทุกประการ แต่ความคิดของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“โง่เขลานัก !”

มารทรชนจ้องมองซิวตาเขม็งพลางตวาดคำด่าทอ

เทพอสูรในตำนานไม่ลังเลอีกต่อไป ลูกเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานถูกพ่นออกจากปากตรงเข้าใส่ร่างของมารทรชนในทันที ความร้อนในครั้งนี้มหาศาลเสียจนแม้แต่อากาศก็ยังลุกไหม้ให้เห็นเป็นทางยาว

“ตายซะเถอะ !”

ซิวเปล่งเสียงดุดันออกมา

แม้ว่าเวลานี้ร่างกายจะอ่อนแอกว่าสมัยอดีตกาลอยู่มาก ทว่ามันก็ไม่เคยคิดเกรงกลัวมารทรชนเลยสักนิด เพราะตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์ พลังและฝีมือของคนทรยศผู้นี้ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของมันมาก่อน

ยิ่งกว่านั้นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา พลังของมารทรชนก็ถดถอยลงไปมากเช่นกัน แถมยังหลงเหลือเพียงแค่วิญญาณ ด้วยเปลงเพลิงที่เผาผลาญได้ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า ซิวจึงมั่นใจมากว่าจะเอาชนะได้

เมื่อเห็นลูกเพลิงที่ทรงพลานุภาพกำลังพุ่งเข้ามา ใบหน้าของมารทรชนก็ปรากฏความหวาดหวั่นขึ้นชั่ววูบ ในตอนนี้มันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

มารทรชนรีบรวบรวมหมอกและไอพลังสีดำเชื่อมผสานเป็นโล่กำบังตรงหน้าเพื่อป้องกันเปลวเพลิง

ในเวลาเดียวกันที่มือของมันก็ปรากฏก้อนพลังสีดำอันแปลกประหลาดขนาดใหญ่ ก้อนพลังนั้นถูกขวางเข้าปะทะใส่พลังของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รีรอ

— ตูม !–

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ ลูกเพลิงของซิวไม่ได้สลายหายไปราวกับไม่เคยปะทะกับแรงต้านทานใด ๆ มันเผาผลาญก้อนพลังสีดำ พุ่งทะลวงผ่านอากาศ ตรงเข้าหามารทรชนอย่างแน่วแน่

“คิดหรือว่ากระดองของเจ้าจะใช้ป้องกันเพลิงของข้าได้ ?”

ซิวเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

ลูกเพลิงของซิวปะทะกับเข้าโล่ป้องกันป้องกันที่เกิดจากการรวมตัวของหมอกสีดำก่อนจะหยุดเคลื่อนที่ ทว่าลูกเพลิงก็ถูกหยุดยั้งได้เพียงชั่วครู่ มันเปลี่ยนกลายเป็นปะทุขึ้นมาอย่างดุเดือด แล้วเกิดการลุกไหม้ขึ้นมารุนแรงราวกับกำลังตอบสนองต่อความเกรี้ยวกราดของผู้ใช้งาน เพียงชั่วพริบตาโล่สีดำทมิฬที่ปกป้องร่างกายของมารทรชนอยู่พลังทลายลง มันถูกเผาแล้วสลายหายไปในอากาศ

เมื่อสิ้นสิ่งปกป้อง ลูกเพลิงน่าหวาดกลัวก็ปะทะเข้ากับร่างของวิญญาณร้ายโดยตรง ไม่นานเปลวเพลิงแดงฉานก็ลุกท่วม ห่อหุ้มร่างของมารทรชนไว้ทั้งหมด

แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเพลิงของซิวมอดลงไปในอึดใจต่อมา

ซึ่งนั่นก็เนื่องมาจาก ในเสี้ยวลมหายใจที่ไฟลุกท่วมร่าง วิญญาณร้ายรีดเค้นพลังสีดำอันมหาศาลห่อหุ้มเพื่อคุ้มกันกายได้ทันเวลา

“เหอะ ดูเหมือนว่าเปลวเพลิงของเจ้าจะยังทำอะไรข้าไม่ได้”

ถึงแม้ในตอนนี้ ใบหน้าของมารทรชนจะดูดซีดเซียวลงไปมาก ทว่ามันก็ยังยิ้มอย่างสะใจได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเปลวเพลิงของซิวสร้างความเสียหายให้มันได้ไม่มากอย่างที่คิด

“หึ ๆ ๆ อย่าเพิ่งได้ใจไปนัก แม้ว่ารอบกายเจ้าจะมีม่านพลังที่แข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเหลือเพียงวิญญาณ ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและพละกำลังดังเช่นในอดีต แม้ว่าเพลิงของข้าจะเอาชนะพลังคุ้มกายของเจ้าได้ยากอยู่สักหน่อย แต่การจะหลอมวิญญาณเจ้าให้สลายไปนั้นไม่ใช่ปัญหา”

ซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเต็มเปี่ยม

มารทรชนชะงักไป ทว่าชั่วอึดใจมันก็ส่ายศีรษะ

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ต้องการหลอมวิญญาณของข้าอย่างนั้นรึ วิญญาณข้ายังได้รับการปกป้องจากผนึกของเทพมายาในอดีต หากจะทำลายวิญญาณของข้าก็ต้องอาศัยโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ที่มีกายเทพมายามาสนับสนุนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้”

แม้ว่าตอนนี้จะหลงเหลือเพียงวิญญาณ ทว่ามารทรชนก็ทราบดีว่าการจะหลอมละลายตนไม่ใช่เรื่องง่าย ในเรื่องนี้ต้องขอบคุณผนึกของเทพมายาที่ยังคงผนึกวิญญาณมันไว้อยู่ส่วนหนึ่ง แม้ว่าผนึกนี้จะทำให้มันไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการปกป้องมันได้ในตัว

“จริงอยู่ที่ว่าตอนนี้อดีตนายหญิงของข้าไม่อยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากายเทพมายาสูญหายไปจากแผ่นดินนี้”

ซิวเผยรอยยิ้มบาง “ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่นายหญิงของข้าวางผนึกและสร้างม่านพลังเอาไว้ เจ้าคิดหรือว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถผ่านเข้ามาได้โดยง่าย ?”

มารทรชนชะงักไป ในตอนนั้นเองที่สีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

วิญญาณร้ายเริ่มตระหนักในบางสิ่ง มันหันมองไปยังฉินอวี้โม่โดยฉับพลัน “หรือว่าเจ้า… ?!”

ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นมายืนข้างซิวก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างเป็นต่อแล้วแสร้งเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน “ยินดีด้วย เจ้าคาดเดาถูกต้องแล้ว แต่ว่าข้าไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของมารทรชนก็ซีดเผือดไร้สีเลือด หากมีมนุษย์ที่มีกายเทพมายา อีกทั้งยังมีเพลิงของซิวร่วมด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถหลอมละลายวิญญาณของมันได้แล้ว

เมื่อเห็นว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะเข้าตาจน มารทรชนก็คิดจะหลบหนี มันระเบิดพลังมายาออกมาเตรียมการจะเคลื่อนตัวหนีออกไปจากที่แห่งนี้ ทว่า…

“คิดจะหนีอย่างนั้นรึ คุกเพลิงผลาญสวรรค์ !”

ในชั่วพริบตากำลังเพลิงก็ปรากฏขึ้นมาโอบล้อมรอบร่างซีดขาวของวิญญาณผู้ร้ายและปิดกั้นทางหนีของมันเอาไว้

“ซิวข้าต้องทำอะไรบ้าง ?!”

ฉินอวี้โม่มองซิวแล้วเอ่ยถาม

“แค่ให้ข้ายืมหยด ‘โลหิตบริสุทธิ์’ ของท่านสักหยดก็พอ”

ซิวกล่าว ด้วยโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ครอบครองกายเทพมายา แม้เพียงหนึ่งหยดเท่านั้น ผนึกที่เสมือนมีส่วนช่วยคุ้มกันวิญญาณของมารทรชนอยู่ก็จะไร้ผล

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางใช้มีดกรีดตรงหว่างคิ้วแล้วรีดเอาโลหิตบริสุทธิ์ออกมา

โลหิตบริสุทธิ์นั้นต่างจากโลหิตธรรมดา การสูญเสียโลหิตธรรมดาจะไม่ส่งผลกระทบต่อกายาวิเศษนี้ แตกต่างจากโลหิตบริสุทธิ์เพราะถ้าหากโลหิตบริสุทธิ์สูญหายไปจากร่างกาย ร่างกายของฉินอวี้โม่ก็จะอ่อนแอไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะสร้างโลหิตบริสุทธิ์ใหม่ขึ้นมาทดแทนได้นางจึงจะกลับเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ สตรีตระกูลฉินก็ไร้ทางเลือก เพียงแค่อ่อนแอไปชั่วระยะเวลาหนึ่งมันแทบจะไร้ความหมายเมื่อเทียบกับการกำจัดมารร้ายตนนี้ไปให้ได้

ซิวส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างภักดี ขณะที่ใช้พลังควบคุมหยดโลหิตบริสุทธิ์อันล้ำค่าไปยังกำแพงเพลิงที่กำลังเผาผลาญมารทรชนอยู่

— ฟู่~ —

ในทันทีที่หยดโลหิตของฉินอวี้โม่ถูกเพลิงนั้นเผาผลาญจนสลายไป เพลิงของซิวก็เกรี้ยวกราดรุนแรงขึ้นในฉับพลัน แม้ว่าความร้อนจะไม่ได้เพิ่มขึ้น ทว่ากลิ่นอายและพลังของเพลิงนี้ก็หนักหน่วงรุนแรงกว่าเดิมจนสัมผัสได้ แม้แต่อสูรผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ ณ จุดที่ห่างออกไปก็ยังยากจะหายใจได้

ใบหน้าของมารทรชนซีดเผือด มันพยายามจะทำลายกำแพงเพลิงอย่างสุดชีวิต แต่ก็พบว่าไม่เป็นผลใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งฝืนรีดเค้นพลังกร่อนวิญญาณออกมาใช้ มารร้ายก็ยิ่งพบว่าร่างกายของมันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

ไม่นานนัก มารทรชนก็พบว่าวิญญาณของมันกำลังถูกเปลวเพลิงที่น่ากลัวแผดเผาและเริ่มสลายไป…

“ไม่ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า เจ้าจงจำเอาไว้ ถึงตายข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด !….”

มนุษย์ผู้ขายวิญญาณให้กับมารร้ายจ้องมองฉินอวี้โม่อย่างคั่งแค้น หากว่าสายตานั้นสังหารผู้คนได้ ฉินอวี้โม่ก็คงจะตายไปแล้ว

ภายในเวลาไม่นานวิญญาณของมารทรชนก็มอดไหม้ไปทั้งหมด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+