คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 209 งานใหญ่ในนครเมฆา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 209 งานใหญ่ในนครเมฆา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จะ จ้าวนครเมฆา !”

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินซาน หลิงซานก็ผงะไปพร้อมกับอุทานด้วยอาการตื่นตระหนก ในที่สุดเขาก็นึกออกว่ายอดฝีมือปริศนาผู้นี้คือใคร

“เหอะ การจดจำข้ามันยากเย็นขนาดนั้นเชียวรึ !”

อวี๋จวินซานแค่นเสียงเย็นชา แรงกดดันอันรุนแรงปะทุออกจากร่างและพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม

“อย่าคิดว่าเป็นจ้าวอารามแล้วจะกระทำต่ำช้าอย่างไรในแผ่นดินนี้ก็ได้นะ กล้ามารังแกหลานสาวของข้า พวกเจ้ามันจะโอหังมากเกินไปแล้ว !”

หลิงซานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานเขารับรู้ได้เป็นอย่างดี เมื่อหลายสิบปีก่อนที่ได้พบกัน ความแข็งแกร่งของจ้าวครองนครเมฆาก็อยู่ในระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้ว ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้เขาจะพัฒนาไปอีกมากเพียงใด

เมื่อเผชิญหน้ากับอวี๋จวินซานเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงจอมยุทธ์จักรพรรดิทูตสวรรค์ก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าต่อกร นับว่าพลังสภาวะของคนผู้นี้ก่อให้เกิดความกดดันที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“จ้าวนครเมฆา เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น”

เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว หลิงซานก็รีบเปลี่ยนท่าที เขากล่าวถ้อยคำประนีประนอมเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงปัญหา

สถานการณ์ในตอนนี้อารามเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ในตอนนี้พวกเขาก็หมดโอกาสชนะแล้ว ขอเพียงหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว

“เข้าใจผิดอย่างนั้นรึ ? แต่ก่อนข้าจะมา ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะแสดงท่าทีว่าเข้าใจผิดเลยนี่ ที่สำคัญเจ้ายังเจตนาจะเอาชีวิตหลานสาวของข้าด้วย”

ท่าทีของอวี๋จวินซานไม่ได้โอนอ่อนลงเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างมากขึ้นกว่าเดิม

เป็นถึงจ้าวนครเมฆาก็ย่อมมีไหวพริบและปัญญาไม่เป็นรองผู้ใด อวี๋จวินซานล่วงรู้ถึงความคิดของหลิงซานดี เพราะไม่เห็นหนทางชนะอีกแล้ว อีกฝ่ายจึงกล่าวเพื่อหาช่องทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์วันนี้ไปให้ได้เท่านั้น ไม่แน่ว่าในอนาคตจ้าวอารามผู้นี้อาจจะคิดทำการต่ำช้าขึ้นมาอีกก็ได้

แต่จะอย่างไรก็ตาม จ้าวนครเมฆาก็หมายใจจะเอาเรื่องจ้าวอารามและพรรคพวกให้ได้ ผู้ที่บังอาจรังแกหลานสาวของเขาไม่สมควรถูกปล่อยให้ลอยนวลไปโดยง่าย อีกทั้งส่วนหนึ่งก็เพื่อแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าผู้มีความคิดชั่วช้ากล้าลงมือทำเรื่องเลวทราม ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี และขุมกำลังทั่วทั้งแผ่นดินก็จะได้ไม่เอามาเป็นเยี่ยงอย่าง

หลิงซานกัดฟันกรอด เขาเองก็ไม่ได้โง่ เขาเข้าใจในเจตนาของบุรุษตรงหน้าว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ

การรับมือกับผู้เฒ่าหัวแข็งเช่นนี้ วิธีที่ได้ผลไม่ใช่การเจรจาด้วยคำพูดแต่เป็นการต่อรองด้วยกำลัง ทว่าอวี๋จวินซานนั้นแข็งแกร่งมาก หากลงมือไปคงเป็นฝ่ายเขาเองที่จะเสียหายหนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีว่าวันนี้หลิงซานคงต้องยอมเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา

“ฮ่า ๆ ๆ จ้าวนครเมฆา เหตุการณ์ในวันนี้คือเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ หากว่าข้าทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่เป็นหลานสาวของท่าน ไฉนเลยข้าจะกล้ากระทำเช่นนี้ได้”

หลิงซานแย้มยิ้มก่อนจะล้วงเอาโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ

“นี่คือ ‘โอสถอนันตคุณ’ นับเป็นหนึ่งในโอสถที่หายากเหนือคำบรรยาย ข้าคิดว่าสิ่งนี้มีมูลค่าเหมาะสมสำหรับการชดเชยสิ่งที่เข้าใจผิดกันในวันนี้ คุณหนูอวี้โม่โปรดรับสิ่งนี้ไว้และยกโทษให้ข้าที่มาล่วงเกินคุณหนูด้วย”

ต้องบอกเลยว่าสมแล้วที่เป็นถึงจ้าวอาราม หลิงซานผู้นี้หาวิธีแก้ปัญหาได้ชาญฉลาดไม่น้อย

หากเขานำสิ่งของที่ดูธรรมดาออกมา เห็นทีว่าวันนี้จ้าวอารามคงได้ชะตาขาดเป็นแน่ ทว่าเมื่อต่อรองด้วยสิ่งล้ำค่ามหาศาลเช่นนั้นก็ช่วยให้สถานการณ์แตกต่างออกไป

โอสถเม็ดนี้มิอาจประเมินมูลค่าได้ แม้แต่หลิงซานที่เป็นถึงจ้าวอารามและตามหามันมาทั้งชีวิตก็ยังมีครอบครองเพียงแค่สองเม็ด มันคือโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังอย่างฉับพลันให้กับผู้ที่กินเข้าไป มันสามารถใช้พลิกสถานการณ์ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายได้ ราวกับว่าโอสถเม็ดนี้คือชีวิตสำรองที่มีพลังยิ่งกว่าชีวิตเดิมเลยก็ว่าได้

“ในเมื่อจ้าวอารามสำนึกผิดแล้ว ข้าก็จะให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์รับมันไว้”

อวี๋จวินซานที่รู้ถึงคุณค่าของโอสถอนันตคุณดีกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เจือแววเยาะหยันน้อย ๆ

แม้จะอยากเอาเรื่องอีกฝ่ายให้หลาบจำ แต่เมื่อคิดให้ดีตัวเขาเองก็ไม่ต้องการทำให้เรื่องบานปลาย หากวันนี้จะเอาชีวิตของจ้าวอารามจริง ๆ ย่อมหลีกหนีความบาดหมางร้ายแรงและเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ที่จะเกิดตามมาในอนาคตไม่ได้ เพราะคนของอีกฝ่ายคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ ไหนจะมีคนจากดินแดนหนเหนือที่จะเข้ามาแทรกแซงหลังจากนี้อีกด้วย

เวลานี้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมยื่นข้อเสนอที่ฝั่งของตนเสียหายและได้รับผลอันเจ็บปวดไม่น้อยมาแล้ว จ้าวนครเมฆาก็พึงพอใจจึงยอมรามือเช่นกัน

“ในเมื่อท่านจ้าวอารามบอกว่ามันคือการเข้าใจผิด เช่นนี้ข้าก็จะไม่ถือสาหาความกับเรื่องในวันนี้ แต่ในอนาคตข้าไม่อยากเห็นคนจากอารามมารังแกเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้าอีก หากว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครา ข้ารับรองว่าจะทำลายอารามให้ราบเป็นหน้ากลองด้วยมือข้าเอง !”

อวี๋จวินซานกล่าวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังและแน่วแน่ ไม่มีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยในคำที่เขากล่าว ผู้ที่เป็นถึงจ้าวครองนครเมฆาย่อมมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้

ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ แม้แต่ขุมกำลังที่ทรงอำนาจอย่างอารามก็ไม่อยู่ในสายตาของคนจากนครเมฆา

“เหอะ จ้าวนครเมฆา ชักจะโอหังมากเกินไปแล้ว !”

หลงจื้อแค่นเสียงด่าทออย่างเหลืออด ทว่าก็ไม่ได้ลงมือโจมตีแต่อย่างใด

ระดับความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานเขาทราบเป็นอย่างดี แต่กระนั้นคนจากดินแดนหนเหนืออย่างเขาก็ไม่สามารถทนฟังวาจาแสนโอหังของผู้ที่อยู่ในดินแดนที่ต่ำชั้นกว่าได้

“ฮ่า ๆ ๆ โอหังงั้นรึ หากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร เจ้าจะทำให้ข้าหยุดโอหังได้หรือ ? แม้จะเป็นคนจากดินแดนหนเหนือ แต่อย่างพวกเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอหรอก”

อวี๋จวินซานยิ้ม เขากล่าวโดยไม่สนใจคำยั่วยุของหลงจื้อ

คนจากนิกายหงส์มังกรไม่ได้อยู่ในสายตาจ้าวนครเมฆาเลยแม้แต่น้อย หากเป็นยอดฝีมือระดับสูงจากดินแดนหนเหนือมาเอง หรือเป็นตอนที่พวกหลงจื้ออยู่ในสภาพที่ใช้พลังได้เต็มที่ บางทีเขาอาจจะมีความยำเกรงอยู่บ้าง ทว่าเบื้องหน้าเป็นเพียงผู้ที่ถูกยับยั้งพลังเอาไว้ให้อยู่ในระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์เท่านั้น ซึ่งนั่นไม่อยู่ในสายตาของเขา

“หึ ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

ยิ่งฟังวาจาของอวี๋จวินซาน ใบหน้าของหลงจื้อก็ยิ่งบิดเบี้ยวด้วยความขุ่นเคือง น่าเสียดายที่เขาถูกยับยั้งพลัง มิฉะนั้นการจะเอาชนะจ้าวนครเมฆาคงไม่ได้ยากเย็นสำหรับเขาที่มาจากดินแดนหนเหนือ

หากเขาฝืนปะทะกับจ้าวนครเมฆาด้วยระดับพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คงไม่เป็นผลดีแน่ แม้จะฝืนความรู้สึกเพียงใดแต่ก็จำเป็นต้องข่มใจเอาไว้ก่อน

“ฮ่า ๆ ๆ อีกหนึ่งเดือนนครเมฆาของเราจะมีงานใหญ่ หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะมาเข้าร่วม พวกเราเองก็อยากได้รับคำชี้แนะจากคนของดินแดนหนเหนืออยู่เหมือนกัน !”

ด้วยวาจาและใบหน้าของหลงจื้อทำให้อวี๋จวินซานระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น หลังจากนั้นผู้ครองนครเมฆาก็เอ่ยปากเชื้อเชิญกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเข้าร่วมงานใหญ่

อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ นครเมฆาจะมีงานใหญ่เกิดขึ้น ในวันนั้น หากคนเหล่านี้กล้าปรากฏตัว เขาก็จะถือโอกาสแสดงแสนยานุภาพให้พวกเขาเห็นว่าแท้จริงแล้วชาวหวนหลิงน่ากลัวเพียงใด

“ได้ พวกเราไม่พลาดอย่างแน่นอน !”

หลิงซานกระแทกเสียงตอบรับด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เช่นนั้น วันนี้พวกเราก็ต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันอีกครั้งที่นครเมฆา”

สิ้นประโยคดังกล่าว จ้าวอารามและคนของเขาก็หันหลังแล้วเร่งรีบเดินทางกลับโดยไม่ลังเล

สามพี่น้องเหยา รวมถึงยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรทั้งสี่ก็กลับออกไปเช่นกัน

ยามนี้ความโกลาหลทั้งหมด ณ ลานหน้าประตูนครไป๋อวิ๋นได้จบสิ้นลงแล้ว

“ท่านตา เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ ?”

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปหาบุรุษผู้มีศักดิ์เป็นตาด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนยินดี คุณหนูผู้ไม่เคยเห็นหน้าญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาค่อย ๆ จับแขนคนที่นางเรียกขานว่าท่านตาแล้วกล่าวถาม อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของนางก็เจือแววแห่งความสุขใจอยู่ไม่น้อย

“ข้าได้ยินว่านครไป๋อวิ๋นถูกโจมตีจึงรีบมาเพราะกลัวว่าหลานสาวที่กล้าหาญของข้าจะมีอันตราย”

อวี๋จวินซานกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มตื้น ความอาทรเด่นชัดในดวงตาที่ใช้สำรวจร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า เขาเองก็เฝ้ารอการได้พบเจอสาวน้อยผู้นี้มานานมากแล้ว

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเพิ่งเคยพบเจอผู้เป็นตาเป็นครั้งแรก และอวี๋จวินซานเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าหลานสาวครั้งแรกเช่นกัน ทว่าทั้งสองคนกลับสัมผัสถึงความอบอุ่นแห่งสายสัมพันธ์ทางสายเลือดได้อย่างเด่นชัด

ฉินอวี้โม่ได้แต่เปิดรอยยิ้มกว้าง นางกำลังตื้นตันจนกล่าวสิ่งใดไม่ออกเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงหาที่บุรุษตรงหน้ามีต่อตนเอง

“เจ้าเก็บโอสถเม็ดนี้เอาไว้ ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคต”

จ้าวนครเมฆายื่นโอสถล้ำค่าที่ได้มาจากจ้าวอารามให้ผู้เป็นหลานสาวก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ ?”

อวี๋จวินซานสำรวจดูโดยรอบตั้งแต่มาถึง ทว่าเขากลับไม่พบแม้แต่เงาของหลายชายคนโตจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ เพราะเฝ้าดูอยู่ตลอด เพราะลอบให้คนส่งข่าวเสมอมา และผู้ครองนครเมฆาก็เคยเห็นภาพเหมือนของทั้งหลานสาวและหลานชายมาแล้วจึงรู้จักใบหน้าของทั้งสองเป็นอย่างดี แต่เหตุใดในที่แห่งนี้เขาจึงเห็นเพียงหลานสาวผู้เดียวเท่านั้น

“พี่ใหญ่ไปที่ดินแดนหนเหนือเพื่อตามหาท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดจะปกปิดเรื่องสำคัญ นางบอกกล่าวผู้เป็นตาไปตามตรง

“หึ ๆ ๆ ช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่กล้าหาญยิ่งนัก”

อวี๋จวินซานหัวเราะน้อย ๆ ถึงแม้จะเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็เชื่อมั่นในการตัดสินใจของหลานชาย ฉินอี้เฟยเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังเข้มแข็งห้าวหาญสมชายชาตรี ได้ยินเช่นนี้เขาก็อดนึกภูมิใจไม่ได้

บัดนี้ใจของเขาอยากจะพบหน้าผู้เป็นหลานชายยิ่งนัก ขนาดหลานสาวยังมีพรสวรรค์สูงส่งที่เปรียบได้ดั่งสมบัติล้ำค่าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นหลานชายก็คงจะเก่งกล้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีลูกหลานเก่งกาจอาจหาญถือเป็นเรื่องที่ดีต่อหัวใจผู้อาวุโสผู้นี้แล้ว

“จ้าวนครเมฆา ข้าได้ยินเรื่องของท่านมานาน เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบ”

ผู้เฒ่าฉินเฟินก้าวตรงเข้ามาก่อนจะประกบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือแล้วกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท

“ผู้นำตระกูลฉิน ข้าก็ได้ยินเรื่องของท่านมามากเช่นกัน หากจะว่าไปแล้วพวกเราก็ถือว่ามีความเกี่ยวดองกันเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว แม้ว่าบุตรชายของท่านจะแอบนำบุตรสาวข้าไปซุกซ่อนในตระกูลจากสายตาข้ามาหลายปีก็ตาม”

อวี๋จวินซานกล่าวตอบด้วยยิ้มมุมปาก แม้ว่าวาจานั้นจะมีถ้อยคำเหน็บแหนบและฟังคล้ายไม่สบอารมณ์พอสมควร แต่ภายในน้ำเสียงก็ไร้ซึ่งความเคืองแค้น มันจึงดูเหมือนกับเป็นการกล่าวหยอกล้อเสียมากกว่า

แท้จริงแล้วเกี่ยวกับเรื่องความรักของบุตรสาวใจเขาค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ว่าบุตรสาวที่รักจะเลือกผู้ใด ขอเพียงนางมีความสุขเขาเองก็ล้วนยินดี

ถึงเรื่องนี้จะถูกปิดบังอยู่เนิ่นนาน ทว่าอวี๋จวินซานก็รู้ดีว่าบุตรสาวของตนมีความสุข ซึ่งนั่นก็ทำให้เขามีความสุขด้วยเช่นกัน

“ท่านลุง”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเองก็ก้าวเข้ามาทักทายจ้าวนครเมฆาด้วยความนอบน้อม

“หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าบุตรชายของเจ้าจะก้าวหน้าช้าไปสักหน่อยนะ”

เพราะความเกี่ยวดองทางเครือญาติบวกรวมกับสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน อวี๋จวินซานจึงรู้จักคุ้นเคยกับผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างดี เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา จ้าวนครเมฆาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มิได้ ๆ บุตรชายของข้าไหนเลยจะเทียบกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉีเยวี่ยนเวยก็เผยรอยยิ้มพลางกล่าวอย่างอับจนปัญญา ไม่ต้องกล่าวถึงฉินอวี้โม่ แม้แต่พรสวรรค์ของตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีเท่ากับบุตรชายของเขาด้วยซ้ำ พัฒนาการขององค์ชายฉีอวี้ในหลายปีมานี้ทำให้เขาพึงพอใจมากแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ หย่าเอ๋อร์สบายดีใช่ไหม ท่านพ่อของนางฝากข้ามาส่งข่าวว่า เขาอยากให้นางกลับไปเพื่อเข้าร่วมงานใหญ่ของนครเมฆาที่กำลังจะมาถึงด้วย”

อวี๋จวินซานยิ้มกว้าง หากจะกล่าวถึงพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ เขาเชื่อว่าเป็นตัวเขาเองที่ภาคภูมิใจยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน หลานสาวที่เขาไม่เคยได้อุ้มชูดูแลผู้นี้ทำให้เขาทั้งปลาบปลื้มและประหลาดใจมิอาจเอ่ย

ด้วยพรสวรรค์ระดับนั้น เขาเชื่อเหลือเกินว่าอีกไม่นานฉินอวี้โม่จะต้องกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้ และจะสามารถสร้างชื่อให้เป็นที่เลื่องลือในดินแดนหนเหนือได้

“พวกเราต้องไปเข้าร่วมอย่างแน่นอน”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยพยักหน้า เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องไปร่วมงานใหญ่ครั้งนี้ให้ได้

คนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยเข้ามาทักทายอวี๋จวินซานอย่างนอบน้อม เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวนครเมฆา พวกเขาไม่กล้าจะทำกิริยาเย่อหยิ่งหรือเพิกเฉย

“เจ้าเองสินะคู่หมั้นของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ หานโม่ฉือใช่หรือไม่ ?”

เมื่อได้มองดูบุรุษตระกูลหานที่ยืนอยู่ข้างกายหลานสาว อวี๋จวินซานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ไม่ว่าจะด้านหน้าตา พรสวรรค์ หรือความแข็งแกร่ง หานโม่ฉือผู้นี้ก็ล้วนเหมาะสมกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาทุกประการ

“คารวะท่านตา”

หานโม่ฉือกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโค้งตัวแสดงการคารวะญาติผู้ใหญ่ของสตรีที่รัก

“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าคือผู้ที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์เลือกแล้ว แน่นอนว่าข้าเองก็ไร้ปัญหา ขอเพียงเจ้ากับหลานสาวของข้าเข้ากันได้ก็นับว่าเพียงพอ”

อวี๋จวินซานโบกมือเป็นสัญญาณให้หานโม่ฉือเงยหน้าขึ้นและไม่ต้องเกรงใจ เมื่อได้มองสำรวจด้วยตาเขาก็พอจะทราบได้ว่าหานโม่ฉือเป็นคนดี ขอเพียงคนผู้นี้ทุ่มเทปกป้องฉินอวี้โม่ทั้งกายและใจ เขาก็เต็มใจยอมรับในฐานะว่าที่หลานเขย

หานโม่ฉือเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มยินดี ในตอนนั้นเองที่บุรุษน้ำแข็งรู้สึกได้ถึงแรงบีบเบา ๆ ที่ฝ่ามือ เป็นสตรีข้างกายที่หันมาอมยิ้มให้เขาโดยไม่กล่าวสิ่งใด

“ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นานนครเมฆาจะมีงานสำคัญ ข้าอยากให้ทุกคนไปเข้าร่วมด้วย”

อวี๋จวินซานประกาศคำเชิญชวนทุกคนในที่แห่งนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณท่านจ้าวนครเมฆาที่ให้เกียรติพวกเรา พวกเราต้องไปอย่างแน่นอน”

ทั้งคนจากไป๋อวิ๋นและสองพ่อลูกตระกูลหลิน พันธมิตรที่ฉินอวี้โม่เรียกตัวมาต่างก็พยักหน้า พวกเขาตกลงปลงใจที่จะเข้าร่วมงานใหญ่ที่นครเมฆาจัดขึ้น

“จ้าวนครเมฆา ท่านจะให้เกียรติไปเยี่ยมเยือนจวนตระกูลฉินของเราสักครั้งได้หรือไม่ ?”

ผู้เฒ่าฉินเฟินออกปากเชิญบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติให้ไปที่จวน เวลานี้เขามีเรื่องบางอย่างอยากจะสนทนากับจ้าวนครเมฆา

“ข้าต้องไปแน่นอน ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะหารือกับท่านเช่นกัน ”

อวี๋จวินซานตอบตกลงโดยไม่ลังเล เขาเองก็มีเรื่องมากมายที่ต้องพูดคุยกับคนในตระกูลฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉินอวี้โม่ หลานสาวผู้ที่เขาถวิลหามาเนิ่นนาน

“โม่ฉือ เจ้าก็ตามพวกเรามาด้วย”

อวี๋จวินซานหันไปกล่าวกับหานโม่ฉือหนึ่งประโยค ก่อนจะออกเดินไปยังทิศทางที่ตระกูลฉินตั้งอยู่พร้อมกับผู้เฒ่าฉินเฟิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 209 งานใหญ่ในนครเมฆา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 209 งานใหญ่ในนครเมฆา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จะ จ้าวนครเมฆา !”

เมื่อได้ยินวาจาของอวี๋จวินซาน หลิงซานก็ผงะไปพร้อมกับอุทานด้วยอาการตื่นตระหนก ในที่สุดเขาก็นึกออกว่ายอดฝีมือปริศนาผู้นี้คือใคร

“เหอะ การจดจำข้ามันยากเย็นขนาดนั้นเชียวรึ !”

อวี๋จวินซานแค่นเสียงเย็นชา แรงกดดันอันรุนแรงปะทุออกจากร่างและพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม

“อย่าคิดว่าเป็นจ้าวอารามแล้วจะกระทำต่ำช้าอย่างไรในแผ่นดินนี้ก็ได้นะ กล้ามารังแกหลานสาวของข้า พวกเจ้ามันจะโอหังมากเกินไปแล้ว !”

หลิงซานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานเขารับรู้ได้เป็นอย่างดี เมื่อหลายสิบปีก่อนที่ได้พบกัน ความแข็งแกร่งของจ้าวครองนครเมฆาก็อยู่ในระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้ว ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้เขาจะพัฒนาไปอีกมากเพียงใด

เมื่อเผชิญหน้ากับอวี๋จวินซานเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงจอมยุทธ์จักรพรรดิทูตสวรรค์ก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าต่อกร นับว่าพลังสภาวะของคนผู้นี้ก่อให้เกิดความกดดันที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“จ้าวนครเมฆา เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น”

เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว หลิงซานก็รีบเปลี่ยนท่าที เขากล่าวถ้อยคำประนีประนอมเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงปัญหา

สถานการณ์ในตอนนี้อารามเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ในตอนนี้พวกเขาก็หมดโอกาสชนะแล้ว ขอเพียงหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว

“เข้าใจผิดอย่างนั้นรึ ? แต่ก่อนข้าจะมา ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะแสดงท่าทีว่าเข้าใจผิดเลยนี่ ที่สำคัญเจ้ายังเจตนาจะเอาชีวิตหลานสาวของข้าด้วย”

ท่าทีของอวี๋จวินซานไม่ได้โอนอ่อนลงเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างมากขึ้นกว่าเดิม

เป็นถึงจ้าวนครเมฆาก็ย่อมมีไหวพริบและปัญญาไม่เป็นรองผู้ใด อวี๋จวินซานล่วงรู้ถึงความคิดของหลิงซานดี เพราะไม่เห็นหนทางชนะอีกแล้ว อีกฝ่ายจึงกล่าวเพื่อหาช่องทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์วันนี้ไปให้ได้เท่านั้น ไม่แน่ว่าในอนาคตจ้าวอารามผู้นี้อาจจะคิดทำการต่ำช้าขึ้นมาอีกก็ได้

แต่จะอย่างไรก็ตาม จ้าวนครเมฆาก็หมายใจจะเอาเรื่องจ้าวอารามและพรรคพวกให้ได้ ผู้ที่บังอาจรังแกหลานสาวของเขาไม่สมควรถูกปล่อยให้ลอยนวลไปโดยง่าย อีกทั้งส่วนหนึ่งก็เพื่อแสดงให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าผู้มีความคิดชั่วช้ากล้าลงมือทำเรื่องเลวทราม ย่อมไม่มีจุดจบที่ดี และขุมกำลังทั่วทั้งแผ่นดินก็จะได้ไม่เอามาเป็นเยี่ยงอย่าง

หลิงซานกัดฟันกรอด เขาเองก็ไม่ได้โง่ เขาเข้าใจในเจตนาของบุรุษตรงหน้าว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ

การรับมือกับผู้เฒ่าหัวแข็งเช่นนี้ วิธีที่ได้ผลไม่ใช่การเจรจาด้วยคำพูดแต่เป็นการต่อรองด้วยกำลัง ทว่าอวี๋จวินซานนั้นแข็งแกร่งมาก หากลงมือไปคงเป็นฝ่ายเขาเองที่จะเสียหายหนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีว่าวันนี้หลิงซานคงต้องยอมเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา

“ฮ่า ๆ ๆ จ้าวนครเมฆา เหตุการณ์ในวันนี้คือเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ หากว่าข้าทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่เป็นหลานสาวของท่าน ไฉนเลยข้าจะกล้ากระทำเช่นนี้ได้”

หลิงซานแย้มยิ้มก่อนจะล้วงเอาโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ

“นี่คือ ‘โอสถอนันตคุณ’ นับเป็นหนึ่งในโอสถที่หายากเหนือคำบรรยาย ข้าคิดว่าสิ่งนี้มีมูลค่าเหมาะสมสำหรับการชดเชยสิ่งที่เข้าใจผิดกันในวันนี้ คุณหนูอวี้โม่โปรดรับสิ่งนี้ไว้และยกโทษให้ข้าที่มาล่วงเกินคุณหนูด้วย”

ต้องบอกเลยว่าสมแล้วที่เป็นถึงจ้าวอาราม หลิงซานผู้นี้หาวิธีแก้ปัญหาได้ชาญฉลาดไม่น้อย

หากเขานำสิ่งของที่ดูธรรมดาออกมา เห็นทีว่าวันนี้จ้าวอารามคงได้ชะตาขาดเป็นแน่ ทว่าเมื่อต่อรองด้วยสิ่งล้ำค่ามหาศาลเช่นนั้นก็ช่วยให้สถานการณ์แตกต่างออกไป

โอสถเม็ดนี้มิอาจประเมินมูลค่าได้ แม้แต่หลิงซานที่เป็นถึงจ้าวอารามและตามหามันมาทั้งชีวิตก็ยังมีครอบครองเพียงแค่สองเม็ด มันคือโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังอย่างฉับพลันให้กับผู้ที่กินเข้าไป มันสามารถใช้พลิกสถานการณ์ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายได้ ราวกับว่าโอสถเม็ดนี้คือชีวิตสำรองที่มีพลังยิ่งกว่าชีวิตเดิมเลยก็ว่าได้

“ในเมื่อจ้าวอารามสำนึกผิดแล้ว ข้าก็จะให้เสี่ยวโม่เอ๋อร์รับมันไว้”

อวี๋จวินซานที่รู้ถึงคุณค่าของโอสถอนันตคุณดีกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เจือแววเยาะหยันน้อย ๆ

แม้จะอยากเอาเรื่องอีกฝ่ายให้หลาบจำ แต่เมื่อคิดให้ดีตัวเขาเองก็ไม่ต้องการทำให้เรื่องบานปลาย หากวันนี้จะเอาชีวิตของจ้าวอารามจริง ๆ ย่อมหลีกหนีความบาดหมางร้ายแรงและเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ที่จะเกิดตามมาในอนาคตไม่ได้ เพราะคนของอีกฝ่ายคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ ไหนจะมีคนจากดินแดนหนเหนือที่จะเข้ามาแทรกแซงหลังจากนี้อีกด้วย

เวลานี้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมยื่นข้อเสนอที่ฝั่งของตนเสียหายและได้รับผลอันเจ็บปวดไม่น้อยมาแล้ว จ้าวนครเมฆาก็พึงพอใจจึงยอมรามือเช่นกัน

“ในเมื่อท่านจ้าวอารามบอกว่ามันคือการเข้าใจผิด เช่นนี้ข้าก็จะไม่ถือสาหาความกับเรื่องในวันนี้ แต่ในอนาคตข้าไม่อยากเห็นคนจากอารามมารังแกเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้าอีก หากว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครา ข้ารับรองว่าจะทำลายอารามให้ราบเป็นหน้ากลองด้วยมือข้าเอง !”

อวี๋จวินซานกล่าวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังและแน่วแน่ ไม่มีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยในคำที่เขากล่าว ผู้ที่เป็นถึงจ้าวครองนครเมฆาย่อมมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้

ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ แม้แต่ขุมกำลังที่ทรงอำนาจอย่างอารามก็ไม่อยู่ในสายตาของคนจากนครเมฆา

“เหอะ จ้าวนครเมฆา ชักจะโอหังมากเกินไปแล้ว !”

หลงจื้อแค่นเสียงด่าทออย่างเหลืออด ทว่าก็ไม่ได้ลงมือโจมตีแต่อย่างใด

ระดับความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานเขาทราบเป็นอย่างดี แต่กระนั้นคนจากดินแดนหนเหนืออย่างเขาก็ไม่สามารถทนฟังวาจาแสนโอหังของผู้ที่อยู่ในดินแดนที่ต่ำชั้นกว่าได้

“ฮ่า ๆ ๆ โอหังงั้นรึ หากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร เจ้าจะทำให้ข้าหยุดโอหังได้หรือ ? แม้จะเป็นคนจากดินแดนหนเหนือ แต่อย่างพวกเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอหรอก”

อวี๋จวินซานยิ้ม เขากล่าวโดยไม่สนใจคำยั่วยุของหลงจื้อ

คนจากนิกายหงส์มังกรไม่ได้อยู่ในสายตาจ้าวนครเมฆาเลยแม้แต่น้อย หากเป็นยอดฝีมือระดับสูงจากดินแดนหนเหนือมาเอง หรือเป็นตอนที่พวกหลงจื้ออยู่ในสภาพที่ใช้พลังได้เต็มที่ บางทีเขาอาจจะมีความยำเกรงอยู่บ้าง ทว่าเบื้องหน้าเป็นเพียงผู้ที่ถูกยับยั้งพลังเอาไว้ให้อยู่ในระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์เท่านั้น ซึ่งนั่นไม่อยู่ในสายตาของเขา

“หึ ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

ยิ่งฟังวาจาของอวี๋จวินซาน ใบหน้าของหลงจื้อก็ยิ่งบิดเบี้ยวด้วยความขุ่นเคือง น่าเสียดายที่เขาถูกยับยั้งพลัง มิฉะนั้นการจะเอาชนะจ้าวนครเมฆาคงไม่ได้ยากเย็นสำหรับเขาที่มาจากดินแดนหนเหนือ

หากเขาฝืนปะทะกับจ้าวนครเมฆาด้วยระดับพลังที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คงไม่เป็นผลดีแน่ แม้จะฝืนความรู้สึกเพียงใดแต่ก็จำเป็นต้องข่มใจเอาไว้ก่อน

“ฮ่า ๆ ๆ อีกหนึ่งเดือนนครเมฆาของเราจะมีงานใหญ่ หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะมาเข้าร่วม พวกเราเองก็อยากได้รับคำชี้แนะจากคนของดินแดนหนเหนืออยู่เหมือนกัน !”

ด้วยวาจาและใบหน้าของหลงจื้อทำให้อวี๋จวินซานระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น หลังจากนั้นผู้ครองนครเมฆาก็เอ่ยปากเชื้อเชิญกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเข้าร่วมงานใหญ่

อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ นครเมฆาจะมีงานใหญ่เกิดขึ้น ในวันนั้น หากคนเหล่านี้กล้าปรากฏตัว เขาก็จะถือโอกาสแสดงแสนยานุภาพให้พวกเขาเห็นว่าแท้จริงแล้วชาวหวนหลิงน่ากลัวเพียงใด

“ได้ พวกเราไม่พลาดอย่างแน่นอน !”

หลิงซานกระแทกเสียงตอบรับด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “เช่นนั้น วันนี้พวกเราก็ต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันอีกครั้งที่นครเมฆา”

สิ้นประโยคดังกล่าว จ้าวอารามและคนของเขาก็หันหลังแล้วเร่งรีบเดินทางกลับโดยไม่ลังเล

สามพี่น้องเหยา รวมถึงยอดฝีมือจากนิกายหงส์มังกรทั้งสี่ก็กลับออกไปเช่นกัน

ยามนี้ความโกลาหลทั้งหมด ณ ลานหน้าประตูนครไป๋อวิ๋นได้จบสิ้นลงแล้ว

“ท่านตา เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ ?”

ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปหาบุรุษผู้มีศักดิ์เป็นตาด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนยินดี คุณหนูผู้ไม่เคยเห็นหน้าญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาค่อย ๆ จับแขนคนที่นางเรียกขานว่าท่านตาแล้วกล่าวถาม อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของนางก็เจือแววแห่งความสุขใจอยู่ไม่น้อย

“ข้าได้ยินว่านครไป๋อวิ๋นถูกโจมตีจึงรีบมาเพราะกลัวว่าหลานสาวที่กล้าหาญของข้าจะมีอันตราย”

อวี๋จวินซานกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มตื้น ความอาทรเด่นชัดในดวงตาที่ใช้สำรวจร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า เขาเองก็เฝ้ารอการได้พบเจอสาวน้อยผู้นี้มานานมากแล้ว

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเพิ่งเคยพบเจอผู้เป็นตาเป็นครั้งแรก และอวี๋จวินซานเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าหลานสาวครั้งแรกเช่นกัน ทว่าทั้งสองคนกลับสัมผัสถึงความอบอุ่นแห่งสายสัมพันธ์ทางสายเลือดได้อย่างเด่นชัด

ฉินอวี้โม่ได้แต่เปิดรอยยิ้มกว้าง นางกำลังตื้นตันจนกล่าวสิ่งใดไม่ออกเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงหาที่บุรุษตรงหน้ามีต่อตนเอง

“เจ้าเก็บโอสถเม็ดนี้เอาไว้ ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคต”

จ้าวนครเมฆายื่นโอสถล้ำค่าที่ได้มาจากจ้าวอารามให้ผู้เป็นหลานสาวก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ ?”

อวี๋จวินซานสำรวจดูโดยรอบตั้งแต่มาถึง ทว่าเขากลับไม่พบแม้แต่เงาของหลายชายคนโตจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ เพราะเฝ้าดูอยู่ตลอด เพราะลอบให้คนส่งข่าวเสมอมา และผู้ครองนครเมฆาก็เคยเห็นภาพเหมือนของทั้งหลานสาวและหลานชายมาแล้วจึงรู้จักใบหน้าของทั้งสองเป็นอย่างดี แต่เหตุใดในที่แห่งนี้เขาจึงเห็นเพียงหลานสาวผู้เดียวเท่านั้น

“พี่ใหญ่ไปที่ดินแดนหนเหนือเพื่อตามหาท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ไม่คิดจะปกปิดเรื่องสำคัญ นางบอกกล่าวผู้เป็นตาไปตามตรง

“หึ ๆ ๆ ช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่กล้าหาญยิ่งนัก”

อวี๋จวินซานหัวเราะน้อย ๆ ถึงแม้จะเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็เชื่อมั่นในการตัดสินใจของหลานชาย ฉินอี้เฟยเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งยังเข้มแข็งห้าวหาญสมชายชาตรี ได้ยินเช่นนี้เขาก็อดนึกภูมิใจไม่ได้

บัดนี้ใจของเขาอยากจะพบหน้าผู้เป็นหลานชายยิ่งนัก ขนาดหลานสาวยังมีพรสวรรค์สูงส่งที่เปรียบได้ดั่งสมบัติล้ำค่าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นหลานชายก็คงจะเก่งกล้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีลูกหลานเก่งกาจอาจหาญถือเป็นเรื่องที่ดีต่อหัวใจผู้อาวุโสผู้นี้แล้ว

“จ้าวนครเมฆา ข้าได้ยินเรื่องของท่านมานาน เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบ”

ผู้เฒ่าฉินเฟินก้าวตรงเข้ามาก่อนจะประกบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือแล้วกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท

“ผู้นำตระกูลฉิน ข้าก็ได้ยินเรื่องของท่านมามากเช่นกัน หากจะว่าไปแล้วพวกเราก็ถือว่ามีความเกี่ยวดองกันเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว แม้ว่าบุตรชายของท่านจะแอบนำบุตรสาวข้าไปซุกซ่อนในตระกูลจากสายตาข้ามาหลายปีก็ตาม”

อวี๋จวินซานกล่าวตอบด้วยยิ้มมุมปาก แม้ว่าวาจานั้นจะมีถ้อยคำเหน็บแหนบและฟังคล้ายไม่สบอารมณ์พอสมควร แต่ภายในน้ำเสียงก็ไร้ซึ่งความเคืองแค้น มันจึงดูเหมือนกับเป็นการกล่าวหยอกล้อเสียมากกว่า

แท้จริงแล้วเกี่ยวกับเรื่องความรักของบุตรสาวใจเขาค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ว่าบุตรสาวที่รักจะเลือกผู้ใด ขอเพียงนางมีความสุขเขาเองก็ล้วนยินดี

ถึงเรื่องนี้จะถูกปิดบังอยู่เนิ่นนาน ทว่าอวี๋จวินซานก็รู้ดีว่าบุตรสาวของตนมีความสุข ซึ่งนั่นก็ทำให้เขามีความสุขด้วยเช่นกัน

“ท่านลุง”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเองก็ก้าวเข้ามาทักทายจ้าวนครเมฆาด้วยความนอบน้อม

“หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าบุตรชายของเจ้าจะก้าวหน้าช้าไปสักหน่อยนะ”

เพราะความเกี่ยวดองทางเครือญาติบวกรวมกับสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน อวี๋จวินซานจึงรู้จักคุ้นเคยกับผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างดี เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา จ้าวนครเมฆาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มิได้ ๆ บุตรชายของข้าไหนเลยจะเทียบกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉีเยวี่ยนเวยก็เผยรอยยิ้มพลางกล่าวอย่างอับจนปัญญา ไม่ต้องกล่าวถึงฉินอวี้โม่ แม้แต่พรสวรรค์ของตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีเท่ากับบุตรชายของเขาด้วยซ้ำ พัฒนาการขององค์ชายฉีอวี้ในหลายปีมานี้ทำให้เขาพึงพอใจมากแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ หย่าเอ๋อร์สบายดีใช่ไหม ท่านพ่อของนางฝากข้ามาส่งข่าวว่า เขาอยากให้นางกลับไปเพื่อเข้าร่วมงานใหญ่ของนครเมฆาที่กำลังจะมาถึงด้วย”

อวี๋จวินซานยิ้มกว้าง หากจะกล่าวถึงพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ เขาเชื่อว่าเป็นตัวเขาเองที่ภาคภูมิใจยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน หลานสาวที่เขาไม่เคยได้อุ้มชูดูแลผู้นี้ทำให้เขาทั้งปลาบปลื้มและประหลาดใจมิอาจเอ่ย

ด้วยพรสวรรค์ระดับนั้น เขาเชื่อเหลือเกินว่าอีกไม่นานฉินอวี้โม่จะต้องกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้ และจะสามารถสร้างชื่อให้เป็นที่เลื่องลือในดินแดนหนเหนือได้

“พวกเราต้องไปเข้าร่วมอย่างแน่นอน”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยพยักหน้า เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องไปร่วมงานใหญ่ครั้งนี้ให้ได้

คนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยเข้ามาทักทายอวี๋จวินซานอย่างนอบน้อม เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวนครเมฆา พวกเขาไม่กล้าจะทำกิริยาเย่อหยิ่งหรือเพิกเฉย

“เจ้าเองสินะคู่หมั้นของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ หานโม่ฉือใช่หรือไม่ ?”

เมื่อได้มองดูบุรุษตระกูลหานที่ยืนอยู่ข้างกายหลานสาว อวี๋จวินซานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ไม่ว่าจะด้านหน้าตา พรสวรรค์ หรือความแข็งแกร่ง หานโม่ฉือผู้นี้ก็ล้วนเหมาะสมกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาทุกประการ

“คารวะท่านตา”

หานโม่ฉือกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโค้งตัวแสดงการคารวะญาติผู้ใหญ่ของสตรีที่รัก

“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าคือผู้ที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์เลือกแล้ว แน่นอนว่าข้าเองก็ไร้ปัญหา ขอเพียงเจ้ากับหลานสาวของข้าเข้ากันได้ก็นับว่าเพียงพอ”

อวี๋จวินซานโบกมือเป็นสัญญาณให้หานโม่ฉือเงยหน้าขึ้นและไม่ต้องเกรงใจ เมื่อได้มองสำรวจด้วยตาเขาก็พอจะทราบได้ว่าหานโม่ฉือเป็นคนดี ขอเพียงคนผู้นี้ทุ่มเทปกป้องฉินอวี้โม่ทั้งกายและใจ เขาก็เต็มใจยอมรับในฐานะว่าที่หลานเขย

หานโม่ฉือเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มยินดี ในตอนนั้นเองที่บุรุษน้ำแข็งรู้สึกได้ถึงแรงบีบเบา ๆ ที่ฝ่ามือ เป็นสตรีข้างกายที่หันมาอมยิ้มให้เขาโดยไม่กล่าวสิ่งใด

“ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นานนครเมฆาจะมีงานสำคัญ ข้าอยากให้ทุกคนไปเข้าร่วมด้วย”

อวี๋จวินซานประกาศคำเชิญชวนทุกคนในที่แห่งนั้นด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณท่านจ้าวนครเมฆาที่ให้เกียรติพวกเรา พวกเราต้องไปอย่างแน่นอน”

ทั้งคนจากไป๋อวิ๋นและสองพ่อลูกตระกูลหลิน พันธมิตรที่ฉินอวี้โม่เรียกตัวมาต่างก็พยักหน้า พวกเขาตกลงปลงใจที่จะเข้าร่วมงานใหญ่ที่นครเมฆาจัดขึ้น

“จ้าวนครเมฆา ท่านจะให้เกียรติไปเยี่ยมเยือนจวนตระกูลฉินของเราสักครั้งได้หรือไม่ ?”

ผู้เฒ่าฉินเฟินออกปากเชิญบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติให้ไปที่จวน เวลานี้เขามีเรื่องบางอย่างอยากจะสนทนากับจ้าวนครเมฆา

“ข้าต้องไปแน่นอน ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะหารือกับท่านเช่นกัน ”

อวี๋จวินซานตอบตกลงโดยไม่ลังเล เขาเองก็มีเรื่องมากมายที่ต้องพูดคุยกับคนในตระกูลฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉินอวี้โม่ หลานสาวผู้ที่เขาถวิลหามาเนิ่นนาน

“โม่ฉือ เจ้าก็ตามพวกเรามาด้วย”

อวี๋จวินซานหันไปกล่าวกับหานโม่ฉือหนึ่งประโยค ก่อนจะออกเดินไปยังทิศทางที่ตระกูลฉินตั้งอยู่พร้อมกับผู้เฒ่าฉินเฟิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+