ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต 40

Now you are reading ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต Chapter 40 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.40 – ราชาผู้พิชิต ต้อนรับทูต

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

“ข้ามาในฐานะตัวแทนของท่านซิลเวียร์ คิโทล บุตรีคนที่3ของท่านเจ้าเมืองคิโทล”

 

ผู้ชายสวมเกราะพูดออกมา

ทูตที่มาจากเขตของเจ้าเมือง มีประมาณ20คน ทุกคนอยู่ในชุดอาวุธพร้อม

คนที่มีพูดกับพวกเราคือ ผู้ชายที่ดูเหมือนนักดาบ ค่อนข้างสูง มีดาบใหญ่สองคมอยู่ที่หลัง

ข้างๆมีผู้เฒ่าที่สวมผ้าคลุมอยู่ ดูจากที่ที่ขัดคำพูดของนักดาบแล้ว ท่าทางทางนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบ

 

พวกเราออกไปต้อนรับทูตที่นอกหมู่บ้าน

การให้คนติดอาวุธจำนวนมากเข้ามาในกำแพงปราสาทมันอันตราย

จะให้เข้าหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ต้องขอฟังธุระก่อน

 

คนต้อนรับคือผมกับฮารุกะ ริเซ็ตกับยูกิโนะ เตรียมรับมืออยู่ข้างหลัง

สถานที่คือนอกสวนที่ล้อมรอบหมู่บ้าน อีกฝั่งของรั้วไม้ที่สร้างมาเพื่อป้องกันสัตว์ป่า

 

ทั้งผมและฮารุกะต่างก็ไม่ถืออาวุธ ก่อนอื่นก็ไปอย่างเป็นมิตรดีกว่า

 

“ผู้ใหญ่บ้าน ฮารุกะ คัลมิเรียค่ะ ส่่วนทางนี้คือพี่ชาย คิริว โชมะ การที่พวกเราพี่น้องได้มาพบกับทูตของบุตรีของเจ้าเมืองคิโทลผู้สูงส่งเนี่ย รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ”

 

ฮารุกะสูดลมหายใจ แล้วก็ท่องคำแนะนำตัวตามที่ริเซ็ตสอนมา

 

“ที่นี่คือชายแดน พวกเราคืออมนุษย์ มาถึงที่นี่ มีธุระอะไรเหรอคะ”

“สูงไป”

 

ชายพกดาบพูดออกมา

 

“เป็นแค่อมนุษย์ บังอาจมาทำยืนต้อนรับทูตขององค์หญิงช่างอวดดีจริงๆ คุกเข่าลงซะ แล้วก็อยู่เงียบๆจนกว่าทางนี้จะพูดจบก็พอ”

“…คือว่า”

 

ฮารุกะมองมาที่ผมอย่างสับสน

ไม่คิดเลยว่าจะมาด้วยสายตาดูหมิ่นขนาดนี้

 

ก่อนที่จะมาต้อนรับทูต พวกเราพูดกับทุกคนในหมู่บ้านมานิดหน่อยแล้ว

ทูตของ[เจ้าเมืองคิโทล]ไม่เคยมาถึงที่ชายแดน ดังนั้น ก็เลยเดาไม่ได้สักนิดว่ามีธุระอะไร ถ้าเกิดทางนั้นมาแบบเป็นมิตร ทางนี้ก็จะเป็นมิตรตอบ แต่ถ้าอีกฝั่งมาข่มล่ะก็ เอาเถอะ ก็ตอบโต้ไปตามที่เหมาะสมละกัน

 

ก็เลยเผื่อไว้กรณีที่ทำตัวใหญ่โตจนพูดไม่รู้เรื่องขึ้นมา–

 

“ในตอนนั้น ราชาของพวกเราจะเป็นคนจัดการเอง”

 

ทั้งริเซ็ต ทั้งฮารุกะ แล้วก็ทุกคนในหมู่บ้าน ยิ้มเยาะแล้วพูดออกมา

เดี๋ยวสิ จะให้จัดการก็แย่นา

 

“…ท่านพี่”

 

ฮารุกะพึมพำออกมา

 

“เรา ไม่มีทางคุกเข่าให้กับคนอื่นนอกจากท่านพี่หรอกค่ะ”

 

พูดแบบนั้นแล้วฮารุกะก็ยื่นมือมา

ผมแปะมือเบาๆ เป็นการแปะมือเปลี่ยนตัว

ทั้งๆที่ยังต้อนรับทูตได้ไม่ถึง3นาที ยอมแพ้เร็วเกินไปละ

 

…ช่วยไม่ได้นะ

ตรงนี้ก็ต้องขอใช้ความสามารถในการจัดการความเป็นจริงของอดีตพนักงานบริษัทหน่อยละกัน

 

“ต้องขอพูดกับคุณทูตหน่อยนะครับ”

 

ผมพูดออกไป

ที่อีกฝั่งริเซ็ต ยูกิโนะ ผู้ใหญ่และเด็กๆในหมู่บ้านกำลังมองมาทางนี้ด้วยความเป็นห่วง

สบายใจเถอะ ไอ้พวกที่คุยไม่รู้เรื่องเนี่ย ชินตั้งแต่โลกเดิมละ

ตรงนี้ก็แค่พูดไปตามสเต็ปก็พอ

 

“ที่นี่คือชายแดน คิดว่าองค์หญิงผู้ปราดเปรื่องคงจะเข้าจอยู่แล้วว่าทางเราก็ไม่ค่อยได้รับรู้มารยาทของศูนย์กลางเท่าไหร่ครับ แถมที่นี่ต้องระวังอสูรอยู่ตลอดเวลา จึงต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมสู้ในทันทีเสมอ ก็เปรียบเสมือนธรรมเนียมปฏิบัติของชายแดนครับ การคุกเข่าก็เปรียบเสมือนการเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายครับ ดังนั้นถ้าเกิดไม่ได้คุยในกันในแบบนี้ล่ะก็คงจะคุยไม่รู้เรื่องครับ”

 

ก่อนอื่นก็ใช้เหตุผล พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกยอมรับได้

 

“แถมการที่อุตส่าห์มาถึงสถานที่ห่างไกลแบบนี้ แสดงว่ามีเรื่องที่สำคัญกับหมู่บ้านของพวกเราสินะครับ คงจะไม่ทำอะไรเสียมารยาทอย่างจะพูดไปทั้งๆแบบนั้นโดยไม่เห็นหัวคนที่สั่งการมาขนาดนั้นหรอกนะครับ แถมถึงจะเป็นชายแดน การที่จะยืนคุยกันแบบนี้ก็เหมาะสมมากกว่าอยู่ดีครับ ก็ประมาณนี้ครับ

 

ก็ประมาณนี้

ก็เคยเป็นพนักงานบริษัทนี่นา ก็เคยส่งเมลทักทายไปอยู่บ้าง แถมตอนที่จะเปลี่ยนงาน การใช้วิธีการพูดแบบนี้ล่ะของถนัด ไม่คิดเลยว่าจะได้เอาใช้ในต่างโลก

 

“……ท่านพี่…สุดยอด”

 

ฮารุกะที่อยู่ข้างๆผมถอนหายใจออกมา

 

“…อึก”

 

กลับกันทูตชายคนนั้นก็กัดฟัน

เอามือแตะไปที่ดาบตรงเอว…เฮ้ย จะชักดาบออกมาเหรอฟะ

 

“พอแค่นั้นล่ะ ดีมุส!”

 

ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆนักดาบ ส่งเสียงออกมา

 

“เพราะเสนอตัวจะเจรจาก็เลยให้ออกไป แต่ถ้าพูดอะไรดีๆไม่ได้ก็ถอยไปซะ”

“…ชิ”

 

ชายคนนั้นเดาะลิ้นแล้วถอยไปด้านหลัง

แล้วผู้เฒ่าสวมผ้าคลุมก็ออกมาข้างหน้าแทน

 

“ต้องขออภัยด้วย ถึงอีกฝ่ายจะเป็นอมนุษย์ แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีมารยาทขั้นต่ำล่ะนะ”

“…ตามนั้นเลยครับ”

“ข้าคือตัวแทนของท่านซิลเวียร์ คิโทล นามว่า โดกัล”

 

ผู้เฒ่าลูบเคราแล้วแนะนำตัว

 

“ต้องขอขอบคุณที่ทักทายกันอย่างมีมารยาท–”

“คงจะรู้เรื่องที่[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]ล่มสลายแล้วสินะ?”

 

ผู้เฒ่าพูดโดนไม่เมินคำพูดของผม

 

“วันก่อนมีเผ่ายักษ์กับคนจาก[หมู่บ้านมาวารุ]นำตัวผู้บริหารของลัทธิมาส่งที่อาณาเขตของเจ้าเมือง จากข้อมูลที่ได้จากผู้บริหาร กองทัพของท่าน[เจ้าเมืองคิโทล]จึงสามารถทะลวงหลังของลัทธิแล้วจัดการลงได้ ส่วนเรื่องการจับตัวผู้บริหารคนนั้น ได้ยินมาว่า…ก็คือมนุษย์ผู้ชายที่อยู่[หมู่บ้านฮาซามะ] ก็คือเจ้าสินะ?”

“ก็ไม่รู้สิ…?”

 

จะยอมรับก็ได้อยู่หรอก…แต่ไม่ดีกว่า

เจ้านี่ไม่ได้มองไปที่ฮารุกะที่อยู่ข้างๆหรือพวกริเซ็ตสักนิด

ถึงจะพูดสุภาพ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องที่ว่าดูถูกอมนุษย์

 

“จะขอมอบรางวัลให้กับเจ้า สิทธิที่จะได้รับใช้องค์หญิง”

 

ไม่ต้องการว้อย

 

แต่ว่า พวกทหารที่อยู่ด้านหลังผู้เฒ่าก็ส่งเสียงออกมาว่า “โอ้”

ผู้เฒ่าเองก็ยืดอกอย่างพอใจ

 

“องค์หญิงกำลังรวบรวมทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเจ้าเมืองคิโทลก็เป็นตระกูลมีชื่อที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของราชวงศ์มาหลายผู้หลายคนมาตั้งแต่อดีต ตามจริงแล้วกว่าจะได้พบหน้าก็ต้องรอถึง3เดือน แต่นี่ให้เป็นกรณีพิเศษเลย รีบไปเตรียมสัมภาระออกมาซะเถอะ”

“ขอปฏิเสธครับ”

“แล้วถ้าเจ้ามีลูกน้องอมนุษย์อยู่ด้วย ก็ขอสั่งให้พาคนพวกนั้นไปด้วย คนที่ต่อสู้ได้อย่างน้อย10คน จะให้เข้าร่วมหน่วยขององค์หญิงได้ เงินเดือนที่เจ้าจะได้ก็จะเท่ากับทหารปกติ ส่วนอมนุษย์จะได้รับ50% แค่นี้ล่ะ”

“ก็บอกว่าขอปฏิเสธครับ”

“แกพูดอะไรออกมาน่ะ?”

 

นั่นมันคำพูดของทางนี้ว้อย

ชายแดนอุตส่าห์สงบแล้วแท้ๆ ทำไมต้องไปเป็นลูกน้องของกองทัพเจ้าขุนที่ไหนไม่รู้ด้วยฟะ งี่เง่าชะมัด

 

“เจ้าคงมีเหตุผลอะไรถึงได้มาอยู่ชายแดนแบบนี้สินะ?”

 

ผู้เฒ่าผมขาว พูดออกมาด้วยใบหน้าอ่อนโยนแบบน่าสงสัย

 

“ถ้ามาเป็นลูกน้อง องค์หญิงซิลเวียร์ก็จะคุ้มครองเจ้าให้ได้ จะยกโทษให้กับความผิดของเจ้าชดใช้ด้วยการต่อสู้ ก็เป็นแบบนี้ล่ะ ก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?”

 

อา แบบนี้เองเหรอ

ท่าทางเจ้านี้จะคิดว่าผมไปทำอะไรผิดที่ศูนย์กลางเลยหนีมาที่ชายแดน

ดังนั้นก็เลยจะให้มาเป็นลูกน้อง ผมจะได้ไม่ถูกลงโทษ

 

“…เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วนะ”

“…ท่านพี่”

 

ฮารุกะมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง

จะทำอะไรเหรอ ก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

เพียงแต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนในหมู่บ้านต้องมามีปัญหา ก็อีกฝ่ายมีกองทัพแถมยังเกี่ยวข้องกับท่านเจ้าเมืองด้วยนี่นะ

 

“โทษที ยังไงก็คงต้องปฏิเสธล่ะ”

 

ผมมองผู้เฒ่ากลับไปแล้วพูดออกมา

เลิกพูดอ้อมค้อมดีกว่า ยังไงอีกฝ่ายมันก็ไม่ยอมฟังอยู่แล้ว

พูดอะไรยาวๆกับคนที่พูดไม่รู้เรื่อง มันเสียเวลาเปล่า

 

“สำหรับผม ก็แค่อยู่ชายแดนมันผ่อนคลายได้มากกว่าน่ะ”

“…เปล่าประโยชน์สินะ ท่านโดกัล”

 

นักดาบเมื่อกี้ยักไหล่

 

“ข้าก็บอกไปแล้วว่าชายแดนที่มีแต่พวกชั้นต่ำพรรค์นี้ ไม่มีบุคลากรที่ใช้งานได้หรอกไม่ใช่เหรอไง”

“หุบปากซะดีมุส แกสงสัยคำสั่งขององค์หญิงงั้นเหรอ”

“ก็ให้มาถึงหมู่บ้านซอมซ่อแบบนี้ ก็มีเรื่องอยากจะบ่นเป็นภูเขาเลยล่ะ”

 

นักดาบเอาดาบใหญ่ที่ห้อยอยู่ที่เอวกระแทกไปที่พื้น

 

“หมู่บ้านพรรค์นี้ ข้าคนเดียวก็ทำลายได้แล้ว ขอแค่มีคำสั่งล่ะนะ ทำแบบนั้นแล้วพาเจ้านี้ไปก็พอใช่ไหมล่ะ?”

“พูดอะไรโง่ๆ!!”

“…ก็ตามที่ผู้เฒ่าคนนี้บอกนั่นล่ะ”

 

ผมพูดออกไป

ทำตัวดีๆหน่อยเถอะ ใช้เวลาเสียเปล่าจนหงุดหงิดแล้ว

ฮารุกะเอง ริเซ็ต ฮารุกะ แล้วก็พวกชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกเดียวกัน ทุกคนทำหน้ายังกับเจอแมลงตอม

 

“อย่างแกไม่มีทางทำอะไรหมู่บ้านได้หรอก ไม่สิ แค่จะเป็นคู่ต่อให้ผมยังทำให้ไม่ได้เลย”

“““–หา!?”””

 

พวกทหารกับผู้เฒ่า แล้วก็นักดาบเมื่อกี้ ส่งเสียงออกมา

 

“แก! เมื่อกี้ พูดอะไรออกมา!?”

 

นักดาบเอามือจับไปที่ดาบสองคมแล้วมองมาที่ผม

 

“ข้าอ่อนกว่าแกเหรอ? พูดอะไรบ้าๆ! ข้าคือนักดาบที่ได้รับการยอมรับจากองค์หญิงซิลเวียร์นะว้อย!”

“เหรอ ถ้างั้น ขอดูฝีมือการใช้ดาบนั่นหน่อยได้ไหม?”

 

ผมชี้ไปที่รั้วไม้ที่ล้อมรอบสวน

 

“ฟันรั้วไม้นั่นให้ขาดได้ไหม?”

“หา!?”

“เห็นบอกจะถล่มหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียวนี่ แค่นั้นก็น่าจะทำได้ไม่ใช่เหรอ?”

“กะ แก! กำลังดูถูกข้างั้นเหรอ!!”

 

ชายคนนั้นหยิบดาบแล้วเดินออกมา

จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้รั้วที่ล้อมสวนแล้วยกดาบขึ้นสูง

 

“อย่ามาล้อเล่นนะว้อย! ไอ้แท่งไม้บางๆพรรค์นี้มันจะมีอะไรกัน!!”

“อย่าจะดีกว่านะ อาวุธที่แสนสำคัญจะบิ่นเอา”

“งี่เง่า!!”

 

ชายคนนั้นตรงไปที่รั้วแล้วก็ฟาดดาบลงไป

พวกชาวบ้านก็ถอยออกไปพร้อมๆกัน

 

แล้วก็–

 

 

 

ปะกิ๊ง

 

 

 

เสียงแข็งๆดังขึ้นพร้อมกับดาบที่หักลง

 

“……ห๊ะ? หาาาาาาาาาา!!?”

“อันตรายนะเนี่ย ถ้าเด็กๆมีแผลขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”

 

ผมใช้[ปลุกเผ่ามังกร]แล้วก็สร้างเกล็ดมังกรขึ้นมาที่ฝ่ามือ

ใช้มือนั่นจับดาบที่ตก แล้วส่งให้ชายคนนั้น

 

“อาวุธอันแสนสำคัญไม่ใช่เหรอ? เอากลับไปจะดีกว่านะ”

“อะ…อะ…อะอะอะอะอะอะ”

 

ชายคนนั้นตัวสั่นเล็กน้อย

ก็นะ ก็คงแบบนั้นล่ะ ก็รั้วที่ป้องกันสวนมันใช้ไม้บางๆเองนี่นา

เพียงแค่ถูกผม[Enchant(เสริมแกร่ง)]ไว้

 

รั้วทุกจุดคือ[กระบอง]ที่ผมทำการเสริมแกร่ง

ด้วยสกิลของจักรพรรดิมังกร[Naming Bless(เสริมอัตลักษณ์ชื่อ)] ทำการเพิ่มอัตลักษณ์[กระบองโลหะ]=[กระบอง]เสริมความแข็งขึ้น

 

เพราะคิดว่า[เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินจะได้ใช้เป็นอาวุธได้ เจ้านี่เองก็เลยเป็นกระบอง ดังนั้นถ้าเอนชานต์[กระบองโลหะ]เข้าไป…]ก็เลยใช้[เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ]เข้าไป ก็ได้ออกมาเป็นอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นในเขตแดนผลของ[เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ]ก็ยาวขึ้นอย่างมาก สามารถอยู่ได้ประมาณ10วันอย่างสบายๆ

 

แต่ว่า อยู่ในระดับที่นักดาบมีฝีมือก็ยังตัดไม่ขาดเลยเหรอเนี่ย

จะว่าไปจำนวนของ[วงเวท]ก็มีเพิ่มขึ้นสินะ [เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ]เองก็อาจจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย

 

“แต่ว่า จัดการไอ้แท่งนั่นคงจะดีกว่าสินะ”

 

ผมยืมดาบสั้นมาจากริเซ็ตที่อยู่อีกฝั่งของรั้ว แล้วดึงแท่งไม้ที่หักดาบของชายคนนั้นออกมา จากนั้นก็ถอน[Enchant(เสริมแกร่ง)]ออกแล้วส่งให้ฮารุกะ

 

“มันเป็นแท่งไม้อาชญากรที่บังอาจหักดาบของทูตของท่านเจ้าเมืองคิโทล จัดการทิ้งน่าจะดีกว่า ฝากด้วยล่ะ ฮารุกะ”

“ค่าา ฮ๊า”

 

ปะกิ๊ง

 

ฮารุกะจับปลายทั้งสองเข้าแล้วเตะมันจนแท่งไม้หักลง

 

““““อะไรน่ะะะะะะะะ!!?””””

 

ฝั่ง[เจ้าเมืองคิโทล]ส่งเสียงกรีดร้องออกมา

ทั้งผู้เฒ่า ทั้งชายนักดาบ ต่างก็ตัวสั่นจนถอยออกไป

 

ต้องกดดันไปอักสักหน่อย

 

“จะว่าไปแล้ว ตรงนั้นยังเหลือตอไม้อยู่สินะ พอเห็นไหม พวกเด็กๆ”

 

ผมชี้ไปที่ตอไม้เล็กๆตรงนอกรั้ว

 

“เอ๊ะ?” “คะ ครับ” “ก็มีอยู่นะ องค์ราชา”

“การที่ปล่อยให้มันเหลืออยู่ได้ มันคงรกตาทูตของท่านเจ้าเมืองน่ะ ตรงนั้นมีจอบอยู่สินะ? ช่วยขุดออกไปหน่อยได้ไหม?”

““““รับทราบค่ะ/ครับ!!””””

 

พวกเด็กๆหยิบจอบแล้วตรงไปที่นอกรั้ว

จากนั้นก็เข้าล้อมตอไม้นั้น แล้วฟาดจอบลงไป–

 

 

ฉึก

 

 

““““!!!!???””””

 

 

ฉึก ฉึกฉึก!!

 

 

“ตอไม้นั่น!?” “ดะ ด้วยพลังของเด็กแบบนั้น!?” “ดูดิ ตอไม้หายไปหมดเลย!” “โกหกน่า ราวกับว่าเป็นแค่กองทรายเลย…”

 

แน่นอนว่าที่พวกเด็กๆใช้ก็คือ [จอบเหล็ก]=[จอบทะลวง] ที่ได้รับการเสริมความสามารถในการทะลุทะลวงของผม

เพียงแต่ ทูตของ[เจ้าเมืองคิโทล] ก็แยกมันกับจอบธรรมดาๆไม่ได้แน่นอน

ทั้งผู้เฒ่าทั้งนักดาบ แล้วก็พวกทหารคนอื่นๆ ต่างก็ทำท่าอยากจะวิ่งหนีเต็มแก่แล้ว

 

เท่านี้นักดาบนั่นคงจะไม่พูดอะไรอย่างถล่ม[หมู่บ้านฮาซามะ]แล้วล่ะนะ

ถึงจะไม่ได้พูดแบบเอาจริง แต่ก็ต้องตอกฝาโลงให้ดูเผื่อไว้ก่อน

 

“จะว่าไป มีเรื่องอยากจะถามสักเรื่อง”

 

ผมพูดออกไป

 

“ระหว่างทางที่พวกคุณมาจากอาณาเขตของท่านเจ้าเมือง ได้เจออสูรบ้างไหม?”

“…ไม่”

 

ผู้เฒ่าส่ายหน้า

 

“พวกเราคือกลุ่มผู้มีฝีมือยังไงล่ะ อสูรเองก็คงจะกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ใช่ไหมล่ะ”

“ผิดแล้วล่ะ อสูรแถวๆนี้ ถูกผมจัดการไล่ไปหมดแล้วล่ะ”

“—-!?”

“ก็มันเหมาะจะใช้ทดสอบพลังนี่นา”

 

ผมมองไปที่พวกนักดาบกับผู้เฒ่า แล้วก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“ที่ต่อสู้กับ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]เอง ก็ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรมอะไรสักนิด เพียงแต่ มันขัดหูขัดตากับการใช้ชีวิตที่นี่ของผมก็เลยทำลายทิ้งไปเท่านั้นเอง”

 

ก็ไม่ได้โกหกนะ อืม

 

“อสูรที่เหลือเอง ตอนนี้ก็กลัวผมจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ว่า ตอนที่ผมออกจากชายแดนไป ก็คงจะกลับมาโจมตีผู้คนอีกครั้ง ไม่ใช่แค่กับชายแดนเท่านั้นหรอกนะ แต่กับพวกที่อยู่ใกล้่ๆอาณาเขตของเจ้าเมืองด้วย

ดังนั้น ผมออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก ถ้าจะออกก็จำเป็นต้องมีพิธีอะไรบางอย่าง ถ้าช่วยเข้าใจก็จะขอบคุณมาก”

 

…เอาแค่นี้ละกัน

มาถึงตรงนี้แล้ว [คิริวโอ โชมะ]จะตื่นเอา

ดังนั้นก็เลยไม่อยากจะยุ่งกับพวกที่ไร้เหตุผลแบบนี้เลย

แค่อยู่ด้วย…ก็ทำเอาแทบจะกลับไปเป็นสมัยจูนิเบียวที่ออกตามหาความชั่วร้ายแล้ว

 

“พูดอะไรงี่เง่า!!”

 

อยู่ๆนักดาบเมื่อกี้ก็ตะโกนออกมา

 

“ไล่อสูรออกไปหมดงั้นเหรอ!? อย่ามาล้อเล่นนะเฟ้ย! ไอ้คนไม่รู้จักประมาณตนอย่างแกจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน!! ยังไงซะไอ้รั้วกับเด็กเมื่อกี้ ก็คงจะใช้ทริกอะไรสักอย่างล่ะสิ! ไอ้เรื่องที่อมนุษย์จะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้หรอกว้อย!!”

“หยุดซะดีมุส! บางทีคนคนนั้นอาจจะเป็น–”

“หนวกหู! เฮ้ย แกน่ะ ยืมดาบหน่อยดิ!!”

 

นักดาบที่ถูกเรียกว่าดีมุส ขโมยดาบมาจากทหารข้างๆ

หันปลายมาทางนี้แล้วออกวิ่ง

 

“มาสู้กับข้าซะ! อย่างแกมันก็มีดีแค่ปาก–อั๊ก!?”

“…หันดาบใส่ท่านพี่สินะ?”

 

ไม่ทันให้ผมลงมือเลย

นักดาบดีมุสตัวงอแล้วปลิวออกไป ดาบก็หักลง เจ้านั่นเข้าใกล้ผมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

“เรื่องนั้นเราไม่มีทางยอมได้เด็ดขาด? คิดจะประกาศสงครามกันสินะ? ก็ได้นะ? เรากับนาย จะสู้กันแบบจนกว่าจะตายไปข้างให้ก็ได้?”

“…อะ อะ อาาาาาา”

 

คนที่ซัดนักดาบดีมุสจนปลิวก็คือ ฮารุกะ

ไม่รู้ไปดึง[กระบอง]ออกมาจากรั้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ ก็เป็นของที่มีไว้ใช้อย่างนี้แล้วนี่นะ ทำได้ดีนี่ ฮารุกะ

 

“ขอประกาศในนามของผู้ใหญ่บ้านฮาซามะ ท่านผู้นี้ ท่านคิริว โชมะคือราชาของพวกเราอมนุษย์ ดังนั้นการหันดาบให้คือสิ่งที่อภัยให้ไม่ได้ รวมถึงเรื่องที่จะพบไปโดยไม่สนความรู้สึกของท่านด้วย

แน่นอนว่าถ้าเกิดท่านพี่ตัดสินใจว่าจะเป็นลูกน้องของเจ้านายพวกคุณ เราก็จะให้ไปด้วยความยินดี แต่ว่า ท่านพี่ปฏิเสธพวกคุณไปแล้ว สำหรับเรามันก็เท่านั้นล่ะ ถ้าคิดจะพูดอะไรให้มันเสียเปล่าไปมากกว่านี้ เราผู้นี้จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง!!”

“ก็พูดอะไรยาวๆได้ไม่ใช่เหรอไงกันคะ ฮารุกะ”

 

ริเซ็ตก็ด้วยเหรอ…

กระโดดข้ามรั้วแล้วไปยืนกำดาบอยู่ข้างๆฮารุกะ

ที่ยังไม่เอาดาบออกจากฟักก็สมกับเป็นริเซ็ต กำลังรอคำอนุญาตของผมสินะ

 

“ท่านพี่โชมะก็คือราชาของพวกริเซ็ตค่ะ สิ่งที่พวกคุณควรทำก็คือพันธมิตรอย่างเท่าเทียมค่ะ ถ้ามีเรื่องจะพูดก็ไปพานายของพวกคุณ องค์หญิงซิลเวียร์มาเถอะค่ะ การที่คนอย่างพวกคุณ มาพูดโดยตรงกับองค์ราชาเนี่ยจะตีตนผิดเกินไปแล้วค่ะ!”

“[การกระทำอันเสียมารยาท จะปลุกความโกลาหลในอดีต ชักนำโลกไปสู่นรกเยือกแข็ง]”

 

มีประโยคที่่เอาหนาววูบดังขึ้นมาจากข้างหลัง

ยูกิโนะนั่นเอง ก็เข้าใจหรอกว่าโกรธ…แต่คนบนโลกทางนี้ไม่มี[ความสามารถในการแปลภาษาจูนิเบียว]หรอกนะ เกิดขึ้นว่าจริงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

 

“ความสามารถของเรามิอาจเอื้อมถึงสวรรค์ชั้นที่8 แต่ก็สามารถสังหารเทพมารแห่งสวรรค์ชั้น5ได้…นายที่แท้จริงของเราจะชี้นำแผ่นดินไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ องค์ราชามังกรแห่งเกษตรอินทรีย์ ผู้ที่บังอาจมาเหยียบย่ำแผ่นดินแห่งการกำเนิดนั้น จะชดใช้ด้วยบทลงโทษแห่งการแช่แข็งเสียเถิด”

 

เกล็ดน้ำแข็งกระจายอยู่รอบๆ

เวทมนตร์ของยูกิโนะ เธอควบคุมเวทมนตร์สายน้ำแข็ง ดูเหมือนจะเอามาใช้เพื่อการขู่

 

“หันดาบให้พี่โชมะสินะ!” “ไม่รักชีวิตเอาบ้างเลย” “พี่ชายน่ะแกร่งมากเลยนะ!” “แถมยังเป็นคนลึกลับที่ทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ๋ด้วย!!”

 

“ใช่แล้วล่ะใช่แล้วล่ะ!!” “ชายแดน ก็ไม่ใช่พื้นที่ที่ถูกมนุษย์ปกครองอยู่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย!” “ดังนั้นอมนุษย์ก็เลยถูกขับไล่มาที่นี่ยังไงล่ะ!!” “ราชาแห่งชายแดนน่ะ พวกเราจะเป็นคนตัดสินเอง!!”

 

แม้แต่เด็กๆ กับพวกชาวบ้านก็ด้วย

 

“จะขอพูดอีกครั้ง ผมจะไม่ไปเป็นลูกน้องขององค์หญิงซิลเวียร์ เพียงแต่ ถ้าต้องการเป็นพันธมิตรอย่างทัดเทียมกันจะรับให้ก็ได้”

 

ผมพูดออกไป

 

“แล้ว พวกเราไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับ[เจ้าเมืองคิโทล] สิ่งนี้…พวกชาวบ้านที่ผมปกครองก็คิดเช่นเดียวกัน เรื่องที่เห็นค่ากันก็ขอรับคำชมไว้ แล้วต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจจะตอบสนองความต้องการให้ได้ แค่นี้ล่ะ”

“เข้าใจแล้ว…คำนั้น จะไปบอกองค์หญิงให้”

 

ผู้เฒ่าจ้องมาที่ผมแล้วพูดออกมา

จากนั้นผู้เฒ่ากับพวกทหาร ก็เก็บนักดาบที่ล้มลงไปแล้วจากไปทั้งๆอย่างนั้น

 

 

“…เห้อ”

 

 

กลับไปแล้วเหรอ

จบง่ายๆก็ดีแล้ว เพราะว่าไม่ต้องเรียก[คิริวโอ โชมะ]ออกมาจัดการ

เพราะว่าผมในวัยจูนิเบียวเป็นผู้ที่ออกค้นหาความชั่วร้ายยังไงล่ะ

ถ้าเป็นพวกที่ชั่วร้าย ผมในวัยนั้นอาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้

 

ดังนั้น ถ้ามีคนแบบผู้เฒ่ากับนักดาบนั่นอยู่ ก็ทำงานได้ยาก

ถ้าเป็นโลกเดิมก็แค่ส่งคำขอลาออกไปก็พอแล้ว…แต่โลกนี้พลังพิเศษดันตื่นขึ้นมาด้วยนี่สิ

ถ้าเกิดคลั่งขึ้นมาก็อาจจะเป็นแบบนี้[ฟุฮะฮะฮะฮะฮะ! ราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์มาเยือนที่แห่งนี้แล้ว จงจับตาดูอสูรรับใช้ของข้าให้ดีเถิด!!] แย่แน่ๆ

 

“…ประตูสู่ความจูนิเบียว ถ้าเกิดเปิดขึ้นมาแล้วมันก็ปิดลำบากนี่นะ…”

 

เฮ้อ ผมถอนหายใจออกมา

 

ฮารุกะเสียบกระบองลงบนพื้น ท่าทางจะยังโกรธอยู่

ยูกิโนะที่ใช้เวทมนตร์ขู่ทูตเองก็กำลังขอโทษพวกชาวบ้านอยู่ แต่วพกชาวบ้านก็ไม่ได้สนใจอะไร ยูกิโนะนั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในโหมดจูนิเบียวก็มีมารยาทดีอยู่

 

“ท่านพี่โชมะ มีเรื่องที่อยากจะบอกเรื่องหนึ่งค่ะ”

 

อยู่ๆริเซ็ตก็มองมาที่ผมแล้วพูดออกมา

 

“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ออกเดินทางกับท่านแม่ ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงซิลเวียร์ค่ะ…คิดว่าไม่ได้เป็นคนที่ไม่ได้กีดกันอมนุษย์นะคะ”

“งั้นเหรอ?”

“แน่นอน ว่าเป็นข่าวลือค่ะ อย่างพวก ช่วยเด็กชาวอมนุษย์ที่ล้ม อะไรแบบนี้ค่ะ แต่การที่ลูกน้องดูถูกอมนุษย์เนี่ย…ก็เลยทำเอาสงสัยเลยนะคะ”

 

คำตอบนั้น ได้รับในหลายวันต่อมา

มีจดหมายมาจากองค์หญิงซิลเวียร์

 

 

 

[อยากจะขอเป็นพันธมิตรกับราชาแห่งอมนุษย์อย่างเท่าเทียม]

 

 

 

ในจดหมายเขียนเอาไว้แบบนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด