ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต 57

Now you are reading ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต Chapter 57 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.57 – ราชาผู้พิชิต โต้กลับพลังเต็ม100

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

 ──ปราสาทใกล้กับชายแดน──

 

“นี่คือ ทั้งหมดที่ริเซ็ตได้พบที่[จุดเชื่อมเมือง]ค่ะ”

“ขอบคุณที่เหนือยนะ ดีจริงๆที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย”

 

ที่นี่คือเมืองป้อมปราการที่ขุนศึกรูปงามฮิลก้าเป็นผู้ดูแล ในหอพักที่อยู่มุมหนึ่งของเมือง

ผมก็ได้พบกับริเซ็ตที่กลับมาจาก[จุดเชื่อมเมือง]ได้อย่างปลอดภัย

 

คนที่ไปรับเธอกลับมาก็คือพวกฮาร์ปี้ ตอนที่ว่างๆผมได้ใช้[ปลุกเผ่าปักษา]ติดต่อพวกฮาร์ปี้ฝากให้ไปรับเอาไว้

 

แล้วพวกเธอก็พาเด็กสาวอีกคนนอกจากริเซ็ตมาด้วย

 

“ได้พบกันครั้งแรกสินะคะ ผู้ที่ตั้งตนเป็น[ราชาแห่งชายแดน]”

 

เด็กสาวคนนั้นพูดออกมา

เด็กสาว–บอกว่าเป็นเด็กเลยน่าจะเหมาะกว่า

 

เตี้ยกว่ายูกิโนะ แขนขาก็เล็ก ผมก็เป็นสีเงินที่อ่อนจนเกือบจะขาว มีตาเท่านั้นที่กลมโต สวมผ้าคลุมสีฟ้า ที่คอก็มีจี้ที่ห้อยลูกบอลคริสตัลอยู่

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก ดิฉันคือ–”

“พริมเทียร์ เบบี้ฟินิกส์ เรียกย่อๆว่าพริม หลานของหัวหน้าเผ่าฮาร์ปี้ นาไนร่าสินะ”

“การที่ดิฉันมาอยู่ที่นี่–”

“เพราะว่าพบกับริเซ็ตที่[จุดเชื่อมเมือง]โดยบังเอิญ ได้อยู่ด้วยกันนิดหน่อยตอนที่ริเซ็ตจะกลับมา แต่ริเซ็ตเคยถามจุดเด่นของพริมจากนาไนร่ามาแล้ว ก็เลยพากลับมาด้วย เพราะว่าตัวเล็ก ก็เลยให้ฮาร์ปี้2คนพากลับมาได้สบายๆ”

“…ทะ ท่างทางจะมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งดีนี่น่า”

 

พริมยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มออกมา

 

“แต่ว่า อย่าคิดว่าแค่นั้นจะทำให้ดิฉันยอมรับใช้คุณนะ!”

 

จะทำตัวซึนเดเระไปทำไมเนี่ย เด็กคนนี้

 

“เรื่องที่คุณตั้งตนเป็น[ราชาแห่งชายแดน]น่ะรู้แล้วค่ะ”

“ไม่ได้ตั้งตนสักหน่อย แต่คนรอบข้างเรียกกันไปเองต่างหาก”

“ทั้งเรื่องที่ควบคุมฮาร์ปี้ร่วมเผ่าของดิฉัน แล้วก็พิชิตชายแดน”

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่ขอร้องรุรุยกับโรโรย แล้วก็ให้รางวัลนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะมอบความรู้และกลยุทธของดิฉันให้คุณเอาไปใช้งานหรอก–”

“อืม นาไนร่ากำลังเป็นห่วงอยู่นะ ยังไงก็กลับไปพร้อมกับพวกรุรุยล่ะ”

“อู๊…”

 

ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ!?

แบบนี้มันก็เหมือนกับผมเป็นคนแกล้งสิ หยุดเลยนะ

 

ตอนที่ไปรับริเซ็ตกับพริมก็คือวันถัดจากที่ทดลองรบกับขุนศึกฮิลก้า

 

ทั้ง2คนเห็นการเคลื่อนทัพของขุนศึกลูกน้อง[สิบปราชญ์]ที่[จุดเชื่อมเมือง] ดังนั้น จึงมาบอกข้อมูลนั้นกับพวกเรา จำนวนทัพหน้าของศัตรูก็คือ1,000นาย เป็นทหารม้าเกือบทั้งหมด ทหารราบกับหน่วยสนับสนุนที่ขนเสบียงถูกเหลือไว้ด้านหลัง มุ่งตรงมาทางนี้ ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าเกิดอันตรายขึ้นมา ก็อยากจะให้พริมกลับไปกับพวกฮาร์ปี้ก่อน

 

ไม่คิดจะใช้อมนุษย์ในการต่อสู้ครั้งนี้

ถ้าให้ฮาร์ปี้ออกไปค้นหาศัตรู การต่อสู้ระหว่าง[สิบปราชญ์]กับ[เจ้าเมืองคิโทล]ก็จะกลายเป็น[มนุษย์]ปะทะ[อมนุษย์]

 

ดังนั้นก็เลยอยากจะรับมือโดยใช้แค่มนุษย์อย่างผมกับยูกิโนะ และริเซ็ตที่เกือบจะเหมือนมนุษย์เท่านั้น พริมเอง ดูภายนอกก็เป็นมนุษย์หรอก…แต่จะให้เด็กออกไปสู้ไม่ได้

 

“…มีประโยชน์แท้ๆ ทั้งๆที่ดิฉัน มีประโยชน์แท้ๆ”

“ไม่เห็นต้องร้องไห้เลยนี่”

“อุตส่าห์ไปรวบรวมความรู้ที่เมืองหลวง ศึกษากลยุทธและยุทธวิธี คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์แท้ๆ อุตส่าห์คิดว่าอยากจะรับใช้คนที่มีคุณสมบัติของราชาแท้ๆ…แต่กลับไม่ได้รับแม้แต่โอกาส…”

“ได้มีประโยชน์แน่นอนน่า ถ้าการต่อสู้นี้จบเมื่อไหร่เดี๋ยวจะไปรับนะ”

“ถ้าอย่างนั้น ช่วยบอกทีสิ[ราชาแห่งชายแดน]”

 

พริมกลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้งแล้วพูดออกมา

 

“ถึงจะบอกว่าทัพหน้า แต่ทหารม้าของอีกฝ่ายก็มีเกือบถึง1,000นาย จะโต้กลับไปยังไงล่ะคะ?”

“ทำให้หมดสภาพด้วยรั้วอาสาของเรา”

“ท่าทางจะมั่นใจนะคะ แต่ว่า แม่ทัพของศัตรูคือคนที่ถูกเรียกว่าคนที่มาจากต่างโลกนะคะ?”

“คนที่มาจากต่างโลก?”

“ค่ะ ตอนที่ออกทัพจาก[จุดเชื่อมเมือง]เขาตะโกนออกมาค่ะ ว่า[พลังของข้าน่ะเต็ม100เฟ้ย]”

“ริเซ็ตเองก็ได้ยินค่ะ! [พลังเต็ม100] หมายความว่ายังไงเหรอคะ…?”

 

พลังเต็ม100

หลอดพลังMAX แถมยังเป็นคนจากต่างโลก

ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็คงจะเป็นผู้ถูกอัญเชิญอย่างเป็นทางการ

 

“ขอบคุณสำหรับข้อมูล ท่าทางจะจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการสู้นิดหน่อยแล้ว”

“ขะ ขอบคุณที่มอบชมค่ะ [ราชาแห่งชายแดน] อะ อุตส่าห์ยอมฟังด้วย ดีใจจัง…”

 

พริมก้มหัวให้ผมด้วยสีหน้าเขินอาย

 

“เรื่องกลยุทธน่ะรู้ดีอยู่แล้ว ถ้ายังไง หลังจากนี้ก็ขอถามสักหน่อยละกัน เกี่ยวกับความเร็วในการเคลื่อนที่กับพลังนการทะลวงของทหารม้าลูกน้องของ[สิบปราชญ์]”

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่า…คิดจะโต้กลับศัตรูยังไงกันล่ะคะ? ถ้าถ่วงเวลาทหารม้า ทัพหลักก็จะตามมาอยู่ดี แต่ถึงจะปักหลักปล่อยทหารม้าไปก่อน พวกนั้นก็จะไปก่อความวุ่นวายกับหมู่บ้านรอบๆ ถ้าเกิดเรายังไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของ[พลังเต็ม100]มันก็อันตรายนะคะ”

“คิดวิธีรับมือพวกทหารม้าเอาไว้แล้วล่ะ”

 

ผมพูดออกไป

 

“ตอนนี้ รั้วของผมกำลังเตรียมตัวอยู่ ผลลัพธ์คงจะได้เห็นอย่างเร็วเลยล่ะ”

 

──หลายวันต่อมา ถนนใกล้เขตเจ้าเมืองคิโทล──

 

“ฮะฮะฮะ นี่คือการนำทัพเหรอเนี่ย”

 

เด็กหนุ่มส่งเสียงออกมาบนหลังม้า

เขาสวมเกราะสีดำเข้ม ที่ขี่อยู่คือม้าเหงื่อโลหิต

ที่มือถือหอกยาว เพราะว่าเหวี่ยงไปมาอย่างไม่มีความหมาย ทหารที่อยู่รอบๆเลยรู้สึกหวาดกลัว

 

“จะ[สิบปราชญ์]หรือน้องชายก็ช่าง ถ้ายอมรับในพลังของข้าล่ะก็จะเป็นใครก็ได้ เพราะว่าข้ามาที่นี่เพื่อกอบกู้ยุคมืดนี้ยังไงล่ะ”

“…ถึงจะบอกว่าทัพหน้า แต่บุกมาขนาดนี้มันจะดีเหรอขอรับ? ท่านโทคิ”

“หาา?”

 

เด็กชายที่ถูกเรียกว่าโทคิ จ้องไปที่เสนาธิการที่อยู่ข้างๆ

 

“กลยุทธมันก็ง่ายๆไม่ใช่เหรอไง ถ้าศัตรูไม่โผล่มา ก็เผาหมู่บ้านรอบๆให้เหี้ยนซะ ถ้าออกมาก็จัดการ มีปัญหาตรงไหนวะ?”

“หน่วยสนับสนุนกับทหารราบคุ้มกันตามมาไม่ทันขอรับ พวกเราเอง ถ้าไม่ได้กินอะไร ก็สู้ไม่ได้หรอกขอรับ”

“เสบียงอาหารไว้ไปชิงจากแถวนั้นเอาก็ได้นี่หว่า”

“คิดว่าศัตรูจะไม่คาดการณ์เรื่องนั้นไว้อยู่แล้วบ้างเหรอขอรับ?”

“…ข้ามีพลังเต็ม100นะว้อย?”

 

เด็กชายที่ถูกเรียกว่าโทคิจับหอกแล้วหัวเราะออกมา

 

“เทพธิดาที่เชิญข้ามาโลกใบนี้บอกมาแบบนี้ ข้าคือกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในผู้ที่ถูกอัญเชิญมา แข็งแกร่งที่สุดก็คือไม่มีใครที่จะเหนือกว่า หรือก็คือเต็มแม็กซ์ยังไงล่ะ ถึงได้เป็นพลังเต็ม100”

“ผมไม่เข้าใจคำพูดของท่านโทคิครับ”

“พลังแบบซิมเปิลที่ล่ะที่แข็งแกร่งที่สุดยังไงล่ะ เอาเถอะดูให้ดีล่ะ ยุคมืดนี้ ข้าจะเป็นคนสยบมันเอง”

 

เสนาธิการถอนหายใจให้กับเด็กหนุ่มที่หัวเราะอย่างไร้เดียงสา

ตามจริงแล้ว จะใช้กำลังทหารทั้งหมดมุ่งตรงไปยังเขตเจ้าเมืองคิโทล

ทหารม้า1,000นาย–ครึ่งหนึ่งก็แค่คำบลัฟ ตามจริงมีแค่60% 600นายเท่านั้น

แต่ว่าขุนศึกโทคิ โฮเซพูดออกมาแบบนี้ ว่า ให้ตนจัดการไป400คนผลมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ

 

ก็จริงที่ขุนศึกโทคินั้นแข็งแกร่ง

เพราะอย่างนั้นหนึ่งใน[สิบปราชญ์] จึงได้ทาบทามตัวเขาที่เคยเป็นลูกน้องของข้าหลวง และมอบตำแหน่งขุนศึกให้ ดูเหมือนเดิมทีโทคิจะใช้ชีวิตล่าอสูรอยู่ในภูเขาแล้วถูกข้าหลวงเก็บมา แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกหัวรุนแรงไม่ฟังเหตุผลอะไรตัวข้าหลวงเองก็เลยเก็บเอาไว้ไม่ไหว

 

“…แต่ว่าท่าน[สิบปราชญ์]ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะริบเขตแดนของพวกเจ้าเมือง แล้วรวมอำนาจทั้งหมดไว้ส่วนกลาง”

 

ทั้งหมดก็เพื่อรวมอำนาจของจักรพรรดิมังกรองค์ปัจจุบัน[องค์จักรพรรดิมังกร] แต่ความจริงก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก [สิบปราชญ์]นั้นรู้สึกไม่สบายใจ

กับเรื่องที่พวกเจ้าเมืองได้รับเขตปกครองและกำลังทหาร

 

“ดังนั้น–ข้ออ้างโจมตีจะยังไงก็ช่างมัน”

 

พูดแบบนั้นแล้วเสนาธิการก็ปิดปาก

ไม่ได้ นี่เป็นความคิดที่ไม่ดี ถ้าถามเรื่องแบบนี้ออกไป แค่นั้นก็ถูกลงโทษแล้ว

ระบบ[สิบปราชญ์]มันถึงทางตันแล้ว แต่ว่า มันก็ไม่ได้มีระบบอื่นมาแก้

 

“…ต้องไปต่อเท่านั้น…มีแต่ต้องไปต่อ…”

 

พูดแบบนั้นแล้วเสนาธิการก็ให้ม้าวิ่งต่อไป

หลังของโทคิ โฮเซเล็กลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะหายไป

 

“รอก่อน! ทหารม้าตามไม่ทันขอรับ พักสัก–”

ตอนที่เสนาธิการตะโกนออกมานั่นเอง–

 

“อะไรวะนั่นนนนนนนนนน!!?”

 

โทคิ โฮเซตะโกนออกมากลางถนน

หลายนาทีต่อมา เสนาธิการก็ได้เห็น

พวกทหารที่ตามมาก็หยุดม้าพร้อมกันทันที พอได้เห็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาที่ปลายถนนแล้ว ก็พูดอะไรไม่ออก

 

ถนนที่ตรงไปยังปราสาทตะวันตก เขตเจ้าเมืองคิโทล

ระหว่างทาง ได้มีปราสาทเล็กๆปรากฎขึ้นมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด