สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 179 พ่อตา

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 179 พ่อตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คิดหรือว่าคนอย่างเซียวลิ่วหลังจะคล้อยตามง่ายๆ

ไม่ใช่อะไร แต่เพราะคนที่ดูแลการเงินและค่าใช้จ่ายทุกอย่างเป็นหน้าที่ของกู้เจียวแต่แรก แม้เขาเองจะใช้เงินได้ตามอำเภอใจ แต่เงินทุกแดงต้องผ่านมือกู้เจียวก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว

หากเดือนไหนไม่ได้จ่ายค่าเช่าเรือน นางต้องจับได้อยู่แล้ว

เสี่ยวจิ้งคงที่ชอบกดขี่พี่เขยเป็นชีวิตจิตใจ จู่ๆ เกิดอยากจะเว้นค่าเช่าขึ้นมา แสดงว่าคงจะจนตรอกแล้วจริงๆ

กู้เจียวไม่ใช่คนที่จะหลอกง่ายๆ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมีหรือที่นางจะไม่รู้

เซียวลิ่วหลังปฏิเสธข้อเสนอจองเสี่ยวจิ้งคงทันควัน

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้เสียแล้วว่าใจของพี่เขยตัวแสบน่ะล้ำลึกยิ่งกว่ามหาสมุทรเสียอีก พลอยนึกไปว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา เด็กน้อยได้แต่รู้สึกละอายใจ

เขารอกู้เจียวมารับหลังเลิกเรียน ในใจของเขาทั้งอยากเจอเจียวเจียว แต่ก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางเช่นกัน เสี่ยวจิ้งคงไม่เคยรู้สึกลังเลขนาดนี้มาก่อน

เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่าในตอนนั้นเอง กู้เจียวของเขาดันเกิดเรื่องขึ้น นางกระโดดลงมาแล้วตกลงไปในรถม้า แถมยังทับร่างของใครคนหนึ่งอีกด้วย

กู้เจียวมึนงงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้สติ จึงรีบลุกขึ้น แล้วหันไปหาอีกฝ่าย “นี่ลุง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ไม่เป็นอะไรอย่างนั้นเรอะ

เขาเกือบจะสำลักตายแล้วด้วยซ้ำ

ระดับเขาที่เป็นถึงอู่โหว ชนะศึกมานักต่อนัก ผ่านสมรภูมินองเลือดตั้งมากมาย ความภาคภูมิใจของแคว้น อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติเขาได้ลาโลกในสภาพที่ดีกว่านี้หน่อยก็ยังดี

ลองนึกดูสิว่าประวัติศาสตร์จะจารึกสาเหตุการตายของเขาไว้อย่างไร อู่โหวชั้นหนึ่ง เสียชีวิตด้วยอาการสำลัก อายุเท่าไหร่ก็ว่าไป

ให้ตายสิ!

เซวียนผิงโหวก่นด่าฉังจิ่งไปกว่าร้อยพันครั้งในใจ โทษฐานที่ทะเล่ร่อทะร่ล่าาเคลื่อนย้ายหลังคารถม้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า สักพักเขาสัมผัสได้ถึงแรงจากมือเล็กๆ ที่ดันเข้าที่แผ่นหลังของเขา แล้วช้อนร่างของเขาขึ้น ลำแขนทั้งสองข้างหนีบช่วงหน้าท้องของเขาไว้ จากนั้นดันขึ้นอย่างสุดแรง

เขาสัมผัสได้ถึงแรงลมที่พุ่งขึ้นจากทรวงอก และแล้วเม็ดพุทราที่ติดอยู่ในลำคอพุ่งพรวดออกจากปาก

ขณะเดียวกัน ฉังจิ่งเองก็กำลังก้มลงไปบนพื้นเพื่อที่จะพลิกดูหลังคารถว่ามีของเขาตกอยู่ไหม สุดท้ายก็เจอจริงๆ !

หลังจากที่ฉังจิ่งเก็บลูกแก้วไว้กับตัวแล้ว ขณะที่เขากำลังจะยกหลังคากลับคืนที่เดิม ก็หันไปเจอะกับเซวียนผิงโหวกำลังจ้องตาเขียวมาทางนี้

แถมข้างๆ เซวียนผิงโหวยังมีแม่นางแปลกหน้ายืนอยู่ข้างๆ ด้วย

ฉังจิ่งนึกในใจ เอ่อ…เมื่อครู่นี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ

เซวียนผิงโหวยกมุมปากขึ้นแล้วขึ้นอีกราวกับคนเป็นลมชัก

ฉังจิ่งหลบหน้า พลันนึกได้ว่าตัวเองอาจทำให้ท่านโหวไม่พอใจ จึงเอ่ย “กระหม่อมตามหาลูกแก้วขอรับ”

เซวียนผิงโหวคิดในใจ ใช่สิ ข้าไม่สำคัญเท่าลูกแก้วลูกเดียวของเจ้าสินะ!

ฉังจิ่งค่อยๆ วางหลังคากลับไปยังตำแหน่งเดิม พร้อมกับเอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดี “ระวังหัวด้วยขอรับ”

เซวียนผิงโหวนึกในใจ เฮอะ เพิ่งจะมาเป็นห่วงตอนนี้เรอะ!

ขณะเดียวกัน นายทหารสี่นายกำลังไล่ตามกู้เจียว

เซวียนผิงโหวได้รับการไหว้วานจากน้องสาว ซึ่งก็คือเซียวฮองเฮา ให้ไปรับหลานชาย ฉินฉู่อวี้ เพราะได้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นที่กั๋วจื่อเจียน เซียวฮองเฮาไม่สะดวกออกนอกวัง ส่วนไท่จื่อเฟยก็ถูกกักบริเวณอยู่ หน้าที่นี้เลยตกเป็นของเขา

เซวียนผิงโหวพยายามไม่ทำตัวเอิกเกริก เลยใช้รถม้าธรรมดาๆ แล้วให้ฉังจิ่งเป็นสารถี

ดังนั้นพวกทหารทั้งสี่คนจึงไม่มีใครเดาได้ว่ารถม้าคนนี้มีเซวียนผิงโหวนั่งอยู่

พวกเขาไล่ตามกู้เจียวมาสักพัก จู่ๆ นางก็หายไป พวกเขาเดาว่านางหลบอยู่ในรถม้า

ทหารทั้งสี่ไม่ไถ่ไม่ถามสารถีแม้แต่คำเดียว แล้วตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปในทันใด

ฉังจิ่งไหวตัวทัน ก่อนจะกระโดดขึ้นกลางอากาศ ผลักทั้งสี่คนกระเด็นออกไป!

กู้เจียวที่แอบดูอยู่หลังม่านได้แต่ร้องอุทาน ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก!

จะว่าไปแล้วก็คุ้นหน้าอยู่เหมือนกัน เคยเห็นที่ไหนนะ

กู้เจียวเคยเจอฉังจิ่งตอนที่นางถูกฝังอยู่ในซากร้านถล่ม ในตอนนั้นเอง ฉังจิ่งพาเหล่าทหารคนสนิทของเซวียนผิงโหวมาช่วยยกก้อนหินออกไป

น่าเสียดายที่กู้เจียวไม่ได้เห็นหน้าเขาเต็มๆ

หลังจากที่ทหารทั้งสี่ล้มลงไปกองกับพื้นได้ไม่นาน องค์ชายสี่ก็ปรากฏตัวขึ้น

คนอื่นไม่รู้ไม่เป็นไร แต่สำหรับองค์ชายสี่แล้วไม่มีทางที่เขาจะเดาไม่ออก เพราะคนที่ยืนอยู่หน้ารถม้าก็คือฉังจิ่ง ซึ่งเป็นจอมยุทธหมายเลขหนึ่งของเซวียนผิงโหว

ฉังจิ่งมิใช่คนที่เผยตัวในที่แจ้ง เพราะตำแหน่งเดิมของเขาคือองครักษ์ลับ จะมีก็แค่ช่วงนี้ที่เขาเริ่มออกหน้าบ้างแล้ว

องค์ชายสี่รู้ทันทีว่าในรถม้านี้มีใครนั่งิอยู่ เขาลงจากอานม้า ก่อนจะเดินมาที่หน้ารถม้าแล้วคำนับ “ท่านลุง”

เซวียนผิงโหวมีศักดิ์เป็นพี่ชายของฮองเฮา ซึ่งฮองเฮาถือว่าเป็นมารดาขององค์ชายทุกคน จึงไม่แปลกที่องค์ชายสี่จะเรียกเขาว่าลุง

แต่ลุงคนนี้จะรับองค์ชายสี่เป็นหลานไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง

ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในแต่อย่างใด

องค์ชายสี่เป็นเจ้า ส่วนเซวียนผิงโหวเป็นขุนนาง ต่อให้เซวียนผิงโหวเป็นลุงแท้ๆ ของเขา แต่ก็ต้องทำตามประเพณีเคารพผู้ที่มียศศักดิ์สูงกว่า

แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีกว่าเซวียนผิงโหวเป็นคนทะนงตนมากแค่ไหน อย่าว่าแต่องค์ชายสี่เลย ต่อให้เป็นไท่จื่อ ก็ต้องเคารพเขาและเรียกเขาว่าท่านลุง

องค์ชายเริ่มหน้าชา แต่ก็ไม่คิดจะทำตัวยกตนข่มท่านอยู่แล้ว จากนั้นเขาหันไปมองนายทหารมือฉมังสี่นายของเขาที่นอนโอดโอยอยู่บนพื้น ก่อนจะหันไปเห็นสีหน้าอันไม่พอใจของฉังจิ่ง เขาจึงกัดฟันทน แล้วยื่นมือคำนับ “เมื่อครู่คนของข้าเกิดเสียมารยาทและล่วงเกินท่าน โปรดท่านลุงลงโทษตามความเหมาะสม”

จู่ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นจากในรถ จากนั้นผ้าม่านรถก็ถูกเปิดออก

เซวียนผิงโหวใช้สายตาที่เย็นชาและหยิ่งยโสจ้องเข้าไปที่นัยน์ตาขององค์ชายสี่ “ดูแลหมาของเจ้าให้ดี ไม่อย่างนั้นข้าจะจับตอนให้หมด”

เอ่ยจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ เซวียนผิงโหวก็รีบดึงผ้าม่านลงอย่างไม่ใยดี!

องค์ชายบีบมือตัวเองแน่น โน้มตัวลงแล้วยื่นมือคำนับ ก่อนเอ่ย “หลานชายเข้าใจแล้วขอรับ”

“แล้วยังไม่ไปอีกรึ” ฉังจิ่งเอ่ยเร่ง

องค์ชายสี่ขมวดคิ้วหนัก ก่อนจะพาทหารลูกน้องที่เพิ่งโดนเล่นงานมากลับไป

แม้เขาจะเดินออกไปไกลแล้ว แต่มิวายก็หันกลับมามองที่รถม้าด้วยสายตาอาฆาต

เซวียนผิงโหว ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าได้ล้มลงมาเชียวล่ะ !

หลังจากที่องค์ชายสี่จากไป เซวียนผิงโหวหันไปพินิจพิเคราะห์แม่นางที่อยู่ข้างๆ นี้

หน้าตาของนางแลดู…เหนือความคาดหมาย

เขาเห็นใบหน้าข้างขวาของกู้เจียว ก็เห็นว่าเป็นเด็กสาวรูปงาม แต่พอได้เห็นรอยปานแดงอีกฝั่ง ก็ถึงกับผงะ!

เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม “ชอบปีนขึ้นหลังคาหรือเจ้า”

กู้เจียวตอบ “ก็เป็นครั้งคราวน่ะท่าน”

หากว่ากันตามจริง คนที่ผิดก็คือฉังจิ่ง เซวียนผิงโหวไม่กล่าวโทษเด็กสาวอยู่แล้ว ซ้ำเขายังพอเดาออกว่าเหตุใดนางถึงได้มาหกเหินเดินบนหลังคา

“หมอหญิงรึ” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

“ข้าเป็นหมอ” กู้เจียวแก้คำ

เซวียนผิงโหวพ่นหัวเราะ “ก็คือหมอหญิงนั่นแหละ”

“ไม่ใช่” กู้เจียวทำหน้าจริงจัง “หมอหญิงรักษาแค่ผู้หญิง แต่เมื่อครู่ ข้ารักษาท่านด้วย”

แล้วท่านเป็นผู้หญิงหรือเปล่าล่ะ

เซวียนผิงโหว “…”

เซวียนผิงโหวรู้สึกปวดฟัน!

หน้าตาก็งั้นๆ แต่ปากเก่งจังนะ

เซวียนผิงโหวหยิบถุงเงิน ล้วงไปมาอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบเหรียญที่เล็กที่สุดออกมา พลางทำหน้าไม่พอใจ “นี่ ค่ารักษา!”

คราวนี้คนปวดฟันกลายเป็นกู้เจียวเสียเอง!

อยู่เมืองหลวงมาตั้งนาน เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นคนจากราชนิกุลตระหนี่กับค่ารักษา กู้เจียวอดคิดไม่ได้เลยว่าที่องค์ชายสี่เรียกเขาว่าท่านลุงคงไม่เกินจริง

เซวียนผิงโหวแสยะยิ้มใส่ “ทำไม ข้าให้น้อยไปรึ เจ้าเป็นหมอนี่ ไม่ได้เป็นโจร รักษาแค่นั้น จะคิดเงินเท่าไหร่กันเชียว”

กู้เจียวหมดคำจะพูด

แม้จะไม่สบอารมณ์

แต่ก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าโดยดี

จากนั้น ก็เดินลงจากรถม้า

จู่ๆ เซวียนผิงโหวเปิดผ้าม่านออก “ข้าให้เงินน้อยไปรึ”

กู้เจียวพยักหน้า

เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วด้วยความสะใจ “ข้าไม่ให้เพิ่มหรอก!”

กู้เจียว “…”

เด็กสาวเหยียบร่างเขาหนึ่งทีก่อนออกไป เซวียนผิงโหวเจ็บทั้งหน้าทั้งตัว

เซวียนผิงโหวมิได้มองว่ากู้เจียวช่วยชีวิตเขาไว้ ในเมื่อนางเป็นหมอ นั่นย่อมเป็นหน้าที่ที่นางควรทำ

เมื่อครู่นางเองก็ช่วยเหลือเขาตามกำลัง ส่วนเขาก็จ่ายค่าหมอไปตามระเบียบ

ยื่นหมูยื่นหมาแมวกัน ไม่มีใครติดค้างใคร

เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างขอไปที “เอาละ เดินทางไปที่กั๋วจื่อเจียนเถิด เห็นว่าเกิดเรื่องกับหลานข้ามิใช่รึ รีบไปเถอะ ข้าไม่อยากให้เขางอแง”

ณ กั๋วจื่อเจียน

ผู้ดูแลหลิวมารออยู่ด้านนอกก่อนอยู่แล้ว พร้อมกับซูกงกง ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทของเซียวฮองเฮา

ซูกงกงมือถือไม้แส้หางม้า เอ่ยถามอย่างร้อนรน “ผู้ดูแลหลิว เหตุใดท่านโหวยังไม่มาอีก”

ผู้ดูแลหลิวตอบอย่างเกรงใจ “น่าจะเจอเรื่องระหว่างทางกระมังขอรับ”

ก่อนหน้านี้ ซูกงกงเข้าไปที่จวนเซวียนผิงโหว แต่พบว่าเซวียนผิงโหวไม่อยู่ที่นั่น ผู้ดูแลหลิวจึงวานให้ทหารคนสนิทไปตามท่านโหว โดยเขากับซูกงกงเดินทางมาที่กั๋วจื่อเจียนก่อน

“ไอ้หยา” ซูกงกงเริ่มรอไม่ไหว “จะว่าเรื่องเล็กก็ไม่ใช่ เรื่องใหญ่ก็ไม่เชิง เพียงแต่ว่า ฮองเฮาทรงเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชายเจ็ดก็เท่านั้น ตั้งแต่เล็กจนโต พระองค์ไม่เคยอยู่ห่างฮองเฮาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จู่ๆ ดันถูกส่งมาเรียนในที่แบบนี้ แถมสั่งห้ามมิให้เปิดเผยตัวตนอีกด้วย…ผู้ดูแลหลิวรู้หรือไม่ องค์ชายเจ็ดถูกเด็กคนอื่นกลั่นแกล้งตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเรียนเลยล่ะ”

ที่จริงก็แค่เด็กสองคนวิ่งชนกันเท่านั้น แต่ด้วยความลำเอียงของซูกงกง ก็เลยบิดเบือนเรื่องราวไป

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือท่าน” ผู้ดูแลหลิวทำหน้าสงสัย

“ก็นั่นน่ะสิ ฮองเฮาทรงตรัสว่า ฝ่าบาทน่ะใจแข็งจะตาย ให้องค์ชายเจ็ดไปเรียนหนังสือในฐานะองค์ชายจะเป็นอะไรไป แต่ฝ่าบาทกลับตรัสว่า หากทำเช่นนั้น ก็ไม่มีความหมายอะไรที่ส่งองค์ชายไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน ที่วังก็มีครูสอนตั้งเยอะแยะ!”

ผู้ดูแลหลิวเป็นคนฉลาด พอได้ยินซูกงกงเอ่ยเช่นนี้ก็พอเดาออกว่าเขากำลังแสดงความไม่พอใจต่อเซวียนผิงโหว แต่ไม่กล้าต่อว่าตรงๆ เลยต้องหยิบยกเรื่องอื่นมาพูดตำหนิแบบอ้อมๆ

สักพักก็บ่นต่ออีกประโยคสองประโยค

จนแล้วจนเล่า เซวียนผิงโหวก็ยังไม่ปรากฏตัว ซูกงกงเริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์ “เฮ้อ ตั้งแต่องค์ชายเจ็ดมาเข้าเรียนหนังสือที่นี่ก็เจอแต่เรื่องวุ่นๆ ทั้งโดนกลั่นแกล้ง ทั้งติดเชื้อโรคผิวหนัง เพิ่งจะมารักษาหายก็ช่วงนี้ พอหายดีกลับมาเรียน ก็ดันมาเกิดเรื่องขึ้นอีก!”

เรื่องโรคผิวหนังนั้น ได้ข่าวว่าองค์ชายเจ็ดเป็นต้นตอแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่นๆ ในชั้นเรียนมิใช่รึ

เรื่องนี้ผู้ดูแลหลิวรู้ดี

เวลามีคนในวังป่วย ทุกคนจะได้ทราบข่าวอยู่แล้ว ตอนนั้นเซวียนผิงโหวยังไปเยี่ยมองค์ชายเจ็ดในวังอยู่เลย

ซูกงกงเอ่ยต่อ “ข้าขอไปดูด้านในก่อนแล้วกัน รบกวนผู้ดูแลหลิวยืนรอท่านโหวไปก่อนนะ”

ผู้ดูแลหลิวรีบยกมือคำนับ “ซูกงกงไม่ต้องเกรงใจ ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้โปรดสั่งมาได้เลย ท่านเข้าไปด้านในก่อนเถิด หากท่านโหวมาถึงแล้ว ข้าจะแจ้งให้ท่านโหวทราบว่าท่านมารอตรงนี้ก่อนอยู่แล้วขอรับ”

แล้วซูกงกงก็เดินเข้าไปในกั๋วจื่อเจียน

มีนางกำนัลสองคนคอยอยู่รับใช้ข้างๆ องค์ชายเจ็ด และจัดแจงเปลี่ยนอาภรณ์ให้เขาเรียบร้อย พวกเขานั่งรออยู่ในห้องเรียน ส่วนเซียวลิ่วหลังและจิ้งคงนั่งรออยู่อีกห้องข้างๆ

นางกำนัลพยายามโน้มน้าวให้องค์ชายเจ็ดอารมณ์ดีขึ้น แต่ฉินฉู่อวี้กลับงอแงและร้องโวยวายหนักกว่าเดิมเก่า เสียงของเขาดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเสียอีก

อาจารย์ซุนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งหมาดๆ ดันมาเจอเรื่องวุ่นวายตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน เขาคุมสถานการณ์เองไม่อยู่ เลยวานให้คนไปตามรองเจิ้ง

รองเจิ้งเดิมที่กำลังนอนซึมอยู่ในห้งองพัก พอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ก็พลันเด้งตัวลุกจากเตียง

“นายท่าน เป็นอะไรไปรึ” ผู้ดูแลเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องกับองค์ชายเจ็ดแล้ว” รองเจิ้งเอ่ยพลางทำหน้ายิ้มกริ่ม

ผู้ดูแลไม่เข้าสีหน้าของเขา “แล้ว…ท่านดีใจอะไรหรือ”

รองเจิ้งทำหน้าชื่นมื่น พลางเอ่ย “องค์ชายเจ็ดเป็นหลานของเซวียนผิงโหว เจ้าว่า ข้าใช้โอกาสนี้ซื้อใจเซวียนผิงโหวกับฮองเฮาดีไหม”

ผู้ดูแลทำหน้าลังเล “ราชครูจวงคงไม่ปลื้มกระมังขอรับ”

รองเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดต “เขาจะปลื้มหรือไม่ก็ช่าง ไม่เกี่ยวกับข้าอยู่แล้ว กับแค่ตำแหน่งจี้จิ่วเขายังช่วยข้าไม่ได้ คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนเชียว! สู้ข้าใช้โอกาสนี้เข้าทางเซวียนผิงโหวยังจะดีกว่า เผื่อว่าจะสำเร็จ”

ผู้ดูแล “เอ่อ…”

รองเจิ้งหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “แถมคนที่ก่อเรื่องคือเด็กของเซียวลิ่วหลัง ราชครูจวงกับอันจวิ้นอ๋องอยากปกป้องเขานัก แต่ข้าน่ะอยากกำจัดมันใจจะขาด! งานนี้นอกจากข้าจะได้ประจบเซวียนผิงโหวแล้ว ยังสามารถกำจัดเสี้ยนหนามไปได้อีกด้วย!”

เขาเพ่งเล็งเซียวลิ่วหลังมาโดยตลอด ส่วนองค์ชายเจ็ดเองก็มีปัญหากับเด็กของเซียวลิ่วหลัง ไม่คิดเลยว่าเขากับองค์ชายเจ็ดจะมีศัตรูเหมือนๆ กัน คงเป็นลิขิตของฟ้าสินะ!

“ราชครูจวง ในเมื่อท่านให้ข้าไม่ได้ ข้าจะไปขอจากเซวียนผิงโหวเอง!”

พอเอ่ยจบ รองเจิ้งก็รีบมุ่งหน้าไปยังกั๋วจื่อเจียนในทันใด

แม้เขาจะยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นจี้จิ่ว แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีใครครอบครองตำแหน่งจี้จิ่ว นั่นเท่ากับว่าในตอนนี้เขายังเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในกั๋วจื่อเจียนอยู่

อีกทั้งคราวนี้มีคนใหญ่คนโตมาเอี่ยวด้วย เขาล่ะอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าครั้งนี้เซียวลิ่วหลังจะรอดไปได้อีกหรือไม่!

รองเจิ้งตื่นเต้นมากจนแทบเป็นบ้า เขาไม่เห็นผู้ดูแลหลิวยืนอยู่ที่ประตูด้วยซ้ำ แต่ต่อให้เขาจะเห็น เขาก็ไม่รู้จักผู้ดูแลหลิวด้วยซ้ำ

เขามุ่งหน้าไปทางตึกชั้นเรียนปฐมวัย “ไหนเซียวลิ่วหลังกับเด็กนั่นล่ะ!”

“อยู่ที่ห้องเรียนทางสุดฝั่งตะวันออกขอรับท่าน” อาจารย์ซุนที่เพิ่งออกมาจากห้องของเซียวลิ่วหลัง พอเจอกับรองเจิ้ง ก็คำนับตามมารยาทแล้วเอ่ยตอบ

รองเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจ “ยังอยู่ในห้องเรียนอีกรึ ทำไมไม่จับขังไว้ นี่อาจารย์ซุน ข้าว่าท่านทำไม่เหมาะสมนะ! ที่ข้ารับท่านมา เพราะคิดว่าท่านจะใจเด็ดกว่าอาจารย์เจี่ยง! เรื่องแค่นี้ท่านจัดการให้อยู่หมัดไม่ได้เลยหรือ”

เดิมอาจารย์ซุนมิใช่คนเลวร้ายอะไร แต่เขาแค่รู้วิธีป้องกันตัวเองได้ดีกว่าอาจารย์เจี่ยง

คนหนึ่งเป็นบุตรชายของจักรพรรดินี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ยากจนจากเมืองเล็กๆ ใครๆ ก็สามารถเดาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *