สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 305 องค์หญิง

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 305 องค์หญิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 305 องค์หญิง

ภาพลักษณ์ของจวงไทเฮาไม่ได้พังทลายลงง่ายๆ อย่างไรเสียนางก็ไม่แยแสคนอื่นอยู่แล้ว

ซูเฟยกำลังจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้องค์ชายห้า แววตาเย็นเยียบของจวงไทเฮาก็กวาดมองมา ซูเฟยตกใจจนหน้าซีดเผือด

จวงไทเฮามาอย่างรวดเร็วและกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน เวลาเพียงพริบตาเดียวเกี้ยวหงส์ก็เคลื่อนไปไกลเสียแล้ว

แม้ว่าองค์ชายห้าจะได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่บ้างก็จริง แต่ใครจะไปกล้าชิงตัวคนมาจากมือจวงไทเฮากัน

“ไทเฮาก็ช่างลำเอียงนัก ไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอู่” ซูเฟยน้อยอกน้อยใจยิ่ง

เซียวฮองเฮาถลึงตาใส่นางอย่างเย็นชา “ซูเฟย ระวังปากด้วย!”

ซูเฟยเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองปากพล่อยไป จึงรีบค้อมกายคำนับ “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”

จวงกุ้ยเฟยโพล่งถามซูเฟย “หลานสาวคนนั้นของเจ้ามีฝีมือการแพทย์ด้วยรึ”

ซูเฟยอ้ำอึ้ง

นางจะไปรู้ได้อย่างไร

นางไม่เคยเจอเด็กคนนั้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!

กู้จิ่นอวี๋เอ่ยขึ้นเบาๆ “ทูลกุ้ยเฟย พี่สาวมีฝีมือการแพทย์เพคะ ตอนอุบัติเหตุที่ศาลาว่าการกรมโยธา ผู้บาดเจ็บสาหัสมากมายล้วนถูกส่งไปที่โรงหมอของพี่สาวเพคะ”

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุของศาลาว่าการกรมโยธาอีกรึ!” ซูเฟยตวาดใส่กู้จิ่นอวี๋

ซูเฟยได้รับความโปรดปรานอยู่ในวังหลวงหลายปี หากมิใช่เพราะกู้จิ่นอวี๋ลากนางมาซวยด้วย ยามนี้นางก็ยังคงเป็นชายาคนฏโปรดของฝ่าบาทอยู่!

เซียวฮองเฮากับจวงกุ้ยเฟยรู้เรื่องภายในดี ไม่แยแสท่าทางกระวีกระวาดของซูเฟย ใบหน้าไร้อารมณ์ยิ่ง

จวงกุ้ยเฟยเอ่ยกับเซียวฮองเฮา “ในเมื่อไทเฮาเรียกหมอมาพบ ร่างกายคงจะไม่ค่อยสบายนัก หม่อมฉันจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักเหรินโซ่วเสียหน่อย”

เซียวฮองเฮาพยักหน้าช้าๆ “ก็ดี ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกหน่อย คงไม่ได้ไปด้วย เดี๋ยวข้าจะไปถวายพระพรเสด็จแม่ทีหลัง”

จวงกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม ก่อนค้อมกายเล็กน้อย แล้วหันหลังจากไป

วินาทีที่หันหลังกลับ รอยยิ้มบนใบหน้านางก็จางหายไปทันที

ต่อให้นางตำแหน่งสูงส่งกว่านี้ ได้รับความสำคัญจากไทเฮากว่านี้ สุดท้ายก็เรียกไทเฮาว่าเสด็จแม่ไม่ได้อยู่ดี!

เซียวฮองเฮาไปหาฉินฉู่อวี้ต่อ

นางเดินมาสองสามก้าว ในหัวพลันสว่างวาบ “ซูกงกง เด็กคนนั้น…คงจะไม่ใช่แม่นางที่ประดิษฐ์เครื่องเป่าลมกับปูนหรอกกระมัง”

“นางนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงพยักหน้า

เซียวฮองเฮาปาดเหงื่อเย็นให้ตัวเอง

ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเด็กคนนั้นมาก โชคดีที่ตนไม่ได้ลงโทษนางไปเสียก่อน

ทว่าในทางกลับกัน เด็กคนนั้นกลายเป็นแขกของจวงไทเฮาไปได้อย่างไรกัน

ท่าทางนางกับจวงไทเฮาสนิทสนมกันยิ่ง เหมือนว่าจะไม่ได้รู้จักกันวันแรกแล้วด้วย

ฝ่าบาททราบเรื่องนี้หรือไม่

อีกด้านหนึ่ง จวงไทเฮากับกู้เจียวกลับมาถึงตำหนักเหรินโซ่วแล้ว

ฉินกงกงสั่งห้องเครื่องให้ทำขนมที่กู้เจียวชอบมาให้

จวงไทเฮาพานางกลับมาที่ห้องนอนตัวเอง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยาว “เล่ามาซิ วันนี้มีเวลามาหาข้าได้อย่างไร”

กู้เจียวนั่งลงข้างกายนาง ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “คิดถึงท่านย่าขึ้นมา”

จวงไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าไม่เชื่อหรอก!”

กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก หยิบกล่องอาหารออกมาจากตะกร้าใบน้อย หลังจากเปิดออกกลิ่นน้ำตาลแดงกับเนยกรอบโรยงาก็ลอยโชยเข้าจมูก

“ยังร้อนๆ อยู่เลย” กู้เจียวหยิบขนมข้าวเหนียวน้ำตาลแดงที่ยังร้อนกรุ่นอยู่ออกมา บนก้อนขนมที่ปิ้งจนดำเงาโรยด้วยงาขาวที่เพิ่งบดเสร็จ สีน่ารับประทาน กลิ่นหอมอบอวล

จวงไทเฮากลืนน้ำลายเป็นระลอก!

กู้เจียววางชามรูปเป็ดน้อยสีเหลืองอ่อนลงตรงหน้าจวงไทเฮา

จวงไทเฮามองจานชามของเสี่ยวจิ้งคงด้วยสีหน้าทะมึน เหตุใดต้องใช้ชามของเด็กเล็กเช่นนี้ด้วยเล่า!

“ที่บ้านไม่มีชามแล้วรึ” นางถามด้วยสีหน้าดำทะมึน

กู้เจียวส่งเสียงอ้อ แล้วเอ่ย “วันนี้บ้านท่านลุงโจวกับท่านป้าหลิวจัดงานเลี้ยงสุราขึ้นพร้อมกัน ชามไม่พอใช้ จึงมายืมเอาไป”

โดนยืมจนตู้จานชามเกลี้ยงเลย เหลือแค่จานชามของเสี่ยวจิ้งคงที่แปลกประหลาดจนคนเขาไม่กล้ายืม

จานชามเหล่านี้กู้เจียวเป็นคนทำเองกับมือ ทำเป็นรูปร่างที่เขาชอบ แต่เขาเป็นประเภทได้ใหม่แล้วลืมเก่า ขอแค่กู้เจียวทำของใหม่มาให้ เขาก็จะไม่เอาของเก่าอีกเลย

ยามนี้เขากำลังหลงใหลชามแมวใบน้อยอยู่ จึงไม่ใช้ชามเป็ดน้อยสีเหลืองอีกแล้ว

จวงไทเฮา ดังนั้นเจ้าไม่เพียงแต่ใช้จานชามที่เจ้าเณรน้อยเคยใช้อย่างเดียว ยังใช้จานชามที่เขาไม่เอาแล้วด้วย…ข้าปวดใจนัก

ข้าไม่พูดแล้ว!

ขนมข้าวเหนียวน้ำตาลแดงช่างเย้ายวนใจเกินต้านทาน ถึงแม้ว่าจะรังเกียจไอ้ชามเป็ดน้อยสีเหลืองใบนี้มาก แต่จวงไทเฮาก็ยังเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศคำใหญ่ที่กู้เจียวเอามาให้อยู่ดี

นางกินไปแค่สามชิ้น กู้เจียวก็ไม่อนุญาตให้นางกินอีก

“ยังเหลืออีกสามชิ้นแท้ๆ” จวงไทเฮาเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ

“นั่นให้ฉินกงกง” กู้เจียวบอก

จวงไทเฮา อ๋อ อย่างไรเสียอีกเดี๋ยวของฉินคุนก็เป็นของนางอยู่ดี!

กู้เจียว “ข้าจะยกไปให้ฉินกงกงแล้วดูเขากินด้วย”

จวงไทเฮา “!!!”

เมื่อจวงกุ้ยเฟยมาถึงตำหนักเหรินโซ่ว ช่วงเวลาเสพสุขกับขนมข้าวเหนียวน้ำตาลแดงก็ผ่านพ้นไปแล้ว

กู้เจียวกำลังจับชีพจรให้จวงไทเฮา ทั้งสองนั่งกันอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน ตะวันสาดแสงลอดผ่านม่านเข้ามา ส่องผมสีเงินบนศีรษะของจวงไทเฮาและส่องผมสีดำขลับของเด็กสาวด้วย

ภาพตรงหน้างดงามและแสนสงบร่มเย็น

จวงกุ้ยเฟยชะงักงัน

นางรู้สึกว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป เมื่อครู่ในชั่วขณะนั้นนึกไม่ถึงว่าในแววตาของท่านป้าจะมีความเอื้ออาทรทอประกายออกมา

คนที่ไร้ความเมตตาที่สุดในแผ่นดินนี้ก็คือท่านป้า

อารมณ์ในแววตาจวงไทเฮาถูกเก็บงำไปแล้ว เหลือเพียงความเย่อหยิ่งและความน่าเกรงขามบนในหน้า “เจ้ามาทำอะไร”

จวงกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม “ท่านป้าเชิญหมอชาวบ้านมามิใช่หรือ ข้าจึงมาเยี่ยมท่านป้า”

อย่างไรเสียก็เป็นหลานสาวแท้ๆ จวงไทเฮาจึงไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อจวงกุ้ยเฟย มิฉะนั้นนางคงไม่เข้ามาได้เร็วเพียงนี้ หากเป็นฮองเฮามาถวายพระพร จะต้องรออยู่ด้านนอกสักพักเลยทีเดียว

จวงไทเฮาเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ให้คนมาตรวจเพื่อความสบายใจเท่านั้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้วเพคะ” จวงกุ้ยเฟยเอ่ยพลางนั่งลงบนม้านั่งที่ต่ำกว่าจวงไทเฮาเล็กน้อย

กู้เจียวนั่งอยู่ข้างกายจวงไทเฮาเพื่อจับชีพจรให้

จวงไทเฮาไม่ได้ใช้ธรรมเนียมในวังกับกู้เจียว ด้วยเหตุนี้กู้เจียวจึงไม่รู้ว่าเก้าอี้ยาวตัวนี้มีไว้ให้จวงไทเฮาโดยเฉพาะ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้นั่ง

เวลาหมอหลวงจับชีพจรถวายจวงไทเฮาต้องคุกเข่ากับพื้นกันทั้งสิ้น

จวงกุ้ยเฟยย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่ากู้เจียวนอนมาแล้วแม้กระทั่งเตียงของจวงไทเฮา ทั้งนอนขวางนอนฟุบ นอนน้ำลายไหล…สารพัดท่านอน

กู้เจียวจับชีพจรเสร็จก็วางมือจวงไทเฮากลับคืนเบาๆ

“บอกแล้วว่าข้าไม่เป็นอะไร” จวงไทเฮาแค่นเสียงเอ่ย ซ้ำไม่ได้เรียกนางมาเป็นหมอที่ตำหนักเหรินโซ่วจริงๆ เสียหน่อย

กู้เจียวเอ่ย “ห้ามแอบกินน้ำตาลอีก”

จวงไทเฮาอึกอัก “ขะขะข้าแอบกินที่ไหนกัน! ฉินคุนสุนัขรับใช้นั่น…”

จวงไทเฮาเอ่ยมาครึ่งทางก็นึกได้ว่าจวงกุ้ยเฟยยังอยู่ตรงนี้ด้วย นางจึงเปลี่ยนน้ำเสียงเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่กินหรอกน้ำตาลน่ะ ของกินของเด็กๆ!”

“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นดูแล้วคงไม่ต้องให้อันนี้แล้วล่ะ” กู้เจียวเก็บผลไม้เคลือบน้ำตาลเงาวับที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากลับคืน

จวงไทเฮา “ห้ามเก็บไปเด็ดขาด!”

จวงกุ้ยเฟย “…”

อันที่จริงจวงไทเฮามีมาดเต็มเปี่ยมยิ่งนัก จุดนี้ไม่ว่าจะก่อนกลับวังหรือหลังกลับวังท่านย่าก็ยังเป็นจวงไทเฮา ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายนัก

แม้กระทั่งคำพูดที่นางเอ่ยกับกู้เจียวก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดีเด่อะไรนัก

ทว่าชื่นชอบคนๆ หนึ่งไม่มีทางปิดบังไว้อยู่ ตอนมองไปที่คนๆ นั้นแววตาจะมีประกายอยู่ดี

คราก่อนจวงกุ้ยเฟยเห็นท่านป้าชอบคนอื่นเช่นนี้ ก็เป็นครั้นเมื่อตอนที่องค์หญิงหนิงอันอยู่ในวัง

แม้ว่าองค์หญิงหนิงอันจะไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของท่านป้า แต่กลับเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ท่านป้าแทบจะทุ่มเทความรักทั้งหมดให้

น่าเสียดายที่องค์หญิงหนิงอันออกเรือนไปอยู่ไกลแสนไกลถึงสถานที่หนาวเย็นอันขมขื่นทางตอนเหนือโดยไม่สนใจการห้ามปรามของจวงไทเฮา

ท่านป้าเอ่ยกับนาง ‘เจ้ากล้าเดินออกจากประตูบานนี้ ข้าจะตัดขาดกับเจ้า!’

ท่านป้ามีอำนาจล้นราชสำนัก สามารถควบคุมฟ้าดินได้ เล่นสนุกกับใต้หล้าอยู่ในฝ่ามือ ทว่ากลับควบคุมการแต่งงานของลูกสาวคนเดียวไม่ได้

เพราะรักมากไปจึงได้มีจุดอ่อน

เมื่อองค์หญิงหนิงอันใช้ความตายเป็นเครื่องพิสูจน์ ท่านป้าก็พ่ายแพ้

จวงกุ้ยเฟยไม่มีทางลืมคืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน…ที่องค์หญิงหนิงอันสวมชุดแต่งงานสีแดงสด โขกศีรษะกับพื้นสามครั้งทั้งน้ำตานองหน้าอยู่นอกตำหนักเหรินโซ่วอันเงียบงัน ท่ามกลางลมหนาวและหิมะโปรยปรายทั่วฟ้า ‘หม่อมฉันอกตัญญู…ไม่อาจรับใช้ดูแลเสด็จแม่ได้…ไม่อาจดูแลเสด็จแม่ตลอดชีวิตได้…ขอเสด็จแม่…โปรดรักษาตัวด้วย…หม่อม…ฉัน…ขอ…ลา!’

พอองค์หญิงหนิงอันออกเรือนแต่งงาน ท่านป้าก็ล้มป่วยจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

หลังจากนั้นท่านป้าก็ตัดสิ้นอารมณ์ความรู้สึกสุดท้าย กลายเป็นปีศาจทำลายบ้านเมืองให้ล่มจมเต็มตัวและมีอำนาจล้นราชสำนัก

……

ทางด้านซูเฟยหลังจากพาองค์ชายห้ากลับมาถึงตำหนักฉางชุนแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกพิกล

นางจึงเรียกกู้จิ่นอวี๋ให้มาหา “เหตุใดเมื่อก่อนเจ้าจึงไม่เล่าเรื่องที่เด็กคนนั้นว่ามีฝีมือการแพทย์ให้ข้าฟัง”

กู้จิ่นอวี๋หลบสายตาลงแล้วเอ่ย “ก็ซูเฟยไม่ได้ถามนี่นา”

ซูเฟยสูดหายใจเฮือกหนึ่ง!

ซูเฟยขมวดคิ้วถามอีกต่อ “นางรู้จักไทเฮาตั้งแต่เมื่อใด”

กู้จิ่นอวี๋ส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ”

“ถามอะไรก็ไม่รู้ๆ ไร้ประโยชน์นัก!” ซูเฟยถามจากกู้จิ่นอวี๋ไม่ได้ความอะไรเลย จึงให้นางกลับไปอย่างรำคาญ

ซูเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งคิดว่าแปลกพิกล เด็กคนนั้นไม่ใช่คนของฝ่าบาทหรือไร นางได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาท แล้วเหตุใดจึงได้สนิทสนมกับไทเฮาเช่นนี้เล่า

หรือว่า…นางจะเข้าพวกกับไทเฮาไปแล้ว

เหอะ

ซูเฟยพลันหัวเราะเสียงเย็นออกมา

ดียิ่งนัก นางกำลังกลุ้มใจที่ไร้หนทางจัดการเด็กคนนี้อยู่พอดีเลย โอกาสมาหาพอเหมาะพอเจาะเสียจริง

“ใครก็ได้”

“ซูเฟย” นางกำนัลคนหนึ่งเดินมาหา

“ฝ่าบาทอยู่ที่ใดรึ” ซูเฟยถาม

“ที่ห้องหนังสือเพคะ” นางกำนัลบอก

ซูเฟยเลิกคิ้วขึ้น “เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปห้องหนังสือ”

นางจะทำลายญาติอย่างมีคุณธรรม เปิดโปงนางเด็กนั่นกับฝ่าบาท!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *