สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 252.2การสอบหน้าพระที่นั่ง (2)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 252.2การสอบหน้าพระที่นั่ง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 252 การสอบหน้าพระที่นั่ง (2)
กู้เจียวพาเซียวลิ่วหลังไปยังเรือนของตัวเอง

ในโรงหมอมีห้องตรวจ แต่นั่นสำหรับคนนอก ส่วนเขานั้นต่างออกไป

เซียวลิ่วหลังมาที่โรงหมอหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเข้ามาภายในห้องของกู้เจียว ที่นี่ไม่เหมือนห้องหนังสือ มีเครื่องเรือนเรียบง่าย หลังฉากกั้นลมยังมีเตียงหลังน้อยไว้ให้นางสำหรับพักผ่อน

ทั้งสองนั่งอยู่นอกฉากกั้นลม

ฉากกั้นลมเองก็ไม่ใช้ฉากกั้นลมลวดลายภูเขาแม่น้ำหรือมวลหมู่ดอกไม้ที่หญิงสาวทั่วไปโปรดปราน แต่กลับเป็นเพียงฉากสีฟ้าอ่อนไร้ลวดลาย ความชอบของนางมักจะแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่เสมอสินะ

ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนเคยนอนค้างอ้างแรมในห้องเดียวกันมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามอยู่ในห้องส่วนตัวของกู้เจียวแบบนี้ เซียวลิ่วหลังกลับรู้สึกว่าตนกำลังลุกล้ำเข้ามาในห้องลับของนางอย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของเซียวลิ่วหลังขึ้นสีระเรื่อ

กู้เจียวม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้น ไม่ได้เอาหมอนวัดชีพจรมาหนุนข้อมือเขา แต่กลับใช้มือของตนเองประคองข้อมือของเขาไว้

ข้อมือของเขาบวมอย่างรุนแรง นางคลึงเบาๆ ลงบนกระดูก กระดูกยังคงปลอดภัยดี

นางคลำไปตามหลังมือของเขาต่อ บริเวณนั้นบวมแดงเล็กน้อย น่าจะเป็นผลมาจากเลือดคั่งที่ข้อมือ

“เจ็บหรือไม่” นางถาม

“ไม่เจ็บ” เขาตอบ

กู้เจียวตรวจแม้กระทั่งนิ้วมือของเขา

มือของเขานั้นสวยมาก ฝ่ามือบาง นิ้วมือเรียวยาว ข้อต่อชัดเจน เล็บมือก็ตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน แม้แต่ข้อมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บก็เนียนละเอียดดุจเนื้อหยก

หากเป็นเมื่อชาติก่อน นี่คงเป็นมือของศัลยแพทย์หรือไม่ก็นักเปียโน

บาดเจ็บได้อย่างไรกันนะ

กู้เจียวหงุดหงิดไม่น้อย

ปกติยามอยู่บ้าน นางแทบไม่ยอมให้เขาทำงานหนักเลยแม้แต่นิด เพราะกลัวว่ามือของเขาจะบาดเจ็บ

“ไปทำอะไรมาหรือ” นางถาม

อันที่จริงระหว่างพวกเขาน้อยนักที่จะถามเรื่องพวกนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่กู้เจียวรักษาขาให้เขา ก็ไม่เคยถามเขาว่าไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บ ยามกู้เจียวถูกแส้เฆี่ยนจนหมดสติ เขาเองก็ไม่เคยถามว่ากู้เจียวไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครมา

ถึงแม้พวกเขาจะรู้ความจริงของอีกฝ่ายไม่มากก็น้อย ทว่าไม่เคยรับรู้จากปากของอีกฝ่ายโดยตรงเลย

“ชั้นหนังสือถล่มน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ตอนนั้นไม่ทันได้ระวัง”

กู้เจียวมองข้อมือที่บวมแดงของเขาพลางขมวดคิ้ว “วันหลังก็ระวังหน่อย”

เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “ได้”

วันแรกต้องประคบเย็น เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดคั่งแผ่กระจายตัว

กู้เจียวหยิบถุงประคบเย็นออกมาจากกล่องยาใบน้อยแล้วแนบลงบนข้อมือของเขา ถุงประคบเย็นแบบนี้ไม่จำเป็นต้องแช่เย็น เพียงแค่บีบก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ข้อเสียอยู่ที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้

เซียวลิ่วหลังชินกับการที่ได้เห็นนางหยิบสิ่งของพิสดารออกมาจากกล่องยาใบน้อย จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว จึงไม่เอ่ยถามนางว่าเจ้าน้ำแข็งนี่มาจากไหนกัน

มือข้างหนึ่งของนางประคองข้อมือของเขาไว้ ส่วนมืออีกข้างหน้าถือถุงน้ำแข็งแนบกับข้อมือด้านบน สักพักก็ย้ายตำแหน่ง ท่าทางดูจริงจังมากทั้งยังเบามือมากเช่นกัน

แววตาของเซียวลิ่วหลังวูบไหวก่อนจะยื่นมือออกไป “ข้าทำเอง”

กู้เจียวกำถุงน้ำแข็งหนีฝ่ามือของเขา “ไม่ต้อง มันเย็นมาก”

แล้วมือเจ้าไม่เย็นหรืออย่างไร

เซียวลิ่วหลังจ้องมองนาง ข้อมือทั้งเย็นทั้งเจ็บ ทว่าในหัวกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด เขาขยับปากก่อนจะโพล่งถามออกมา “ตอนเจ้ารักษาคนอื่น…ก็รักษาแบบนี้หรือ”

“เปล่า” กู้เจียวส่ายหน้า ก่อนจะประคบถุงน้ำแข็งให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ “ทำให้เจ้าแบบนี้แค่คนเดียว”

จู่ๆ หัวใจของเซียวลิ่วหลังก็พองโต ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังแสนรุนแรงท่วมท้นเข้ามา อันที่จริงนางเองก็ไม่บอกอย่างชัดเจนว่าที่ทำกับเขาแบบนี้นั้นหมายถึงแบบไหน แต่นั้นทำให้ลมหายใจของเขาแทบสงบนิ่งไม่ได้

เจ้าถุงน้ำแข็งนั้นเย็นเฉียบ มือซ้ายของนางเย็นจนชาไปหมดแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นไปใช้มือข้างขวาถือแทน แล้วใช้มือซ้ายอันเย็นเฉียบเมื่อครู่ประคองข้อมือเขาไว้

สลับไปมาอย่างนั้นอยู่หลายหน อาการบวมบนข้อมือของเซียวลิ่วหลังก็ดีขึ้นไม่น้อย ไม่มีความรู้สึกเจ็บแล้ว ทว่าฝ่ามือทั้งสองของนางก็แข็งจนแทบไร้ความรู้สึกไปแล้วเช่นกัน

ยามนางหันไปเก็บข้าวของ เซียวลิ่วหลังสังเกตได้ว่าท่าทางของนางดูเชื่องช้าไป

นางปิดกล่องยาลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงตัวนางเองไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ก็แค่มือสองข้างที่ชาเท่านั้นเอง เพราะตอนชาติก่อนหนาวจนแทบแข็งตายก็เคยมาแล้ว

ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ คราวนี้มีคนเป็นห่วงเป็นใยนาง

ขณะที่นางลุกยืนขึ้นจัดเก็บอุปกรณ์การรักษาอยู่นั้น ฝ่ามือเรียวยาวขาวดุจหยกข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาคว้าฝ่ามือเย็นเฉียบของนางไว้

มือนั้นเรียวยาวขาวนวล แฝงไปด้วยพละกำลังที่ไม่อาจขัดขืนได้ กำลังกอบกุมฝ่ามือของนางเอาไว้

ปลายนิ้วที่แข็งจนเจ็บปวดอบอุ่นขึ้นมาในทันใด

กู้เจียวมองเขาอย่างตกตะลึง

ทว่าเขากลับไม่มองกู้เจียว เพียงแต่กุมมือของนางไว้ที่กลางฝ่ามือของตัวเองอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

พริบตาเดียววันที่สิบห้าเดือนสี่ก็มาถึง การสอบย่อยก่อนการสอบเตี้ยนซื่อหน้าพระที่นั่งก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เซียวลิ่วหลังออกจากเรือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง นั่งรถม้าที่หลิวเฉวียนเป็นคนขับมาส่งถึงหน้าประตูใหญ่ของวังหลวง

ประตูใหญ่ของวังหลังมีทั้งหมดสามบาน บานตรงกลางคือประตูหลัก ใหญ่โตโอ่อ่า น่าจะสูงราวยี่สิบฉื่อได้ ส่วนสองข้างของประตูหลักก็ยังมีประตูเล็กอีกสองบาน

บานด้านซ้ายเป็นทางเข้าออกสำหรับเหล่าราชนิกูลในราชสำนัก ส่วนประตูฝั่งขวาเป็นทางเข้าออกของเหล่าขุนนาง

วันนี้เหล่าผู้เข้าสอบจะได้ใช้ประตูฝั่งขวา

บรรดาผู้เข้าสอบมารอกันที่หน้าประตูฝั่งขวาตั้งแต่เช้า เข้าแถวเรียงลำดับตามหมายเลขในบัตรเชิญเข้าสอบ

หมายเลขประจำตัวสอบของเซียวลิ่วหลังและตู้รั่วหานอยู่ติดกัน เซียวลิ่วหลังหมายเลขเจ็ดสิบห้า ตู้รั่วหานหมายเลขเจ็ดสิบหก ตู้รั่วหานมาถึงก่อนเซียวลิ่วหลัง เขาทักทายเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่เรียบร้อยแล้ว นานสองนานกว่าเซียวลิ่วหลังจะมาถึง

“เหตุใดเจ้าถึงได้มาช้านัก ข้านึกว่าเจ้าปอดแหกจนไม่มาแล้วเสียอีก!” ตู้รั่วหานอิจฉาที่เซียวลิ่วหลังแย่งตำแหน่งของตัวเองในใจของเฝิงหลินไป พอเจอหน้ากันทีไรก็มักจะประชดประชันเขาเช่นนี้

เซียวลิ่วหลังคร้านจะต่อปากต่อคำ ยืนเข้าแถวด้านหน้าเขาอย่างเงียบๆ เพียงเท่านั้น

ตู้รั่วหานเบ้ปาก “นี่ เจ้าไม่ตื่นเต้นเลยหรือ เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ตื่นเต้นแทบตายแหนะ”

หมายเลขเข้าสอบของอีกสองคนอยู่ลำดับต้นๆ คนหนึ่งหมายเลขยี่สิบเอ็ด อีกคนหนึ่งหมายเลขสามสิบเจ็ด พอได้ยินว่าต้องเข้าไปก่อนเซียวลิ่วหลังและตู้รั่วหาน สองคนนั้นก็สั่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว

โชคดีที่คนอื่นเองก็ประหม่าเช่นกัน คนที่ไม่สั่นเลยก็มีเพียงไม่กี่คนจริงๆ

ประการแรกเป็นเพราะทุกคนไม่เคยเข้าวังมาก่อน จึงได้ตื่นเต้นนิดหน่อย ประการที่สองเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ!

ทั้งๆ ที่ปาเข้าไปเดือนสี่แล้ว ว่ากันตามหลักอากาศควรจะดีขึ้นแล้ว ทว่าคืนก่อนหน้าจู่ๆ กลับมีฝนเทลงมาเสียอย่างนั้น อุณหภูมิถึงได้ต่ำลงมาอย่างกะทันหัน สายลมเย็นโบกพัดจนตัวสั่นงันงกกันไปหมด

เสียวลิ่วหลังหรี่ตา “เจ้าตื่นเต้นหรือ”

ตู้รั่วหานส่งเสียงเย้ยหยัน “อย่างข้ามีอะไรให้ตื่นเต้นกัน”

เซียวลิ่วหลังกวาดสายตามองเขา หากเจ้าไม่เขย่าขาคงน่าเชื่อกว่านี้

เมื่อถึงเวลา ประตูฝั่งขวาก็เปิดออก เจ้าหน้าที่กรมพิธีการเริ่มตรวจหนังเชิญและป้ายประจำตัวของผู้เข้าสอบ หลังจากตรวจเสร็จก็จะมีขันทีจากวังหลวงหนึ่งคนและเจ้าหน้าที่กรมพิธีการอีกหนึ่งคนนำเหล่าผู้เข้าสอบเข้าไปยังตำหนักไท่เหอ

การสอบย่อยครั้งนี้ไม่มีการค้นตัว ในเมื่อทุกคนไม่ใช่บัณฑิตจวี่เหรินที่มีแค่ชื่อทั่วไปแล้ว แต่ทุกคนล้วนแค่เป็นก้งซื่อ คนที่ออกจากที่นี่ไปก็เท่ากับเป็นถงจิ้นซื่อ

ถงจิ้นซื่อคืออะไรน่ะหรือ ก็คือว่าที่ขุนนางแห่งราชสำนักอย่างไรเล่า

“นี่ เจ้าหก เจ้ารู้ไหมว่านั่นคือใคร” เดินได้ครึ่งทาง จู่ๆ ตู้รั่วหันก็กระตุกแขนเสื้อเซียวลิ่วหลัง ส่งสายตาบอกว่าให้เขามองไปยังก้งซื่อหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งที่อยู่ออกไปไม่ไกล

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “นี่เจ้าพูดมากกว่าเฝิงหลินอีกหรือนี่”

เจ้าสของคนนี้พูดมากชะมัด มิน่าล่ะถึงอยู่ด้วยกันได้

ตู้รั่วหานบ่นอุบอิบ “ไม่อยากรู้ก็ช่างเถิด”

อันที่จริงเซียวลิ่วหลังรู้แล้วว่าตู้รั่วหานหมายถึงผู้ใด เขาคือหยวนอวี๋หลานชายของราชเลขาหยวน เมื่อครู่ตอนต่อแถวได้ยินเจ้าหน้าที่กรมพิธีการทักทายกับหยวนอวี๋ เรียกเขาว่าท่านชายหยวน

ซ่างซูหรือเจ้ากรมพิธีการเป็นศิษย์ของราชเลขาหยวน หากจะดูแลหยวนอวี๋เป็นพิเศษก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ส่วนเอกอัครราชทูตนั้น เขาเป็นศิษย์ของราชครูจวง แน่นอนว่าย่อมต้องเอาใจใส่อันจวิ้นอ๋องเป็นพิเศษ

หมายเลขเข้าสอบของอันจวิ้นอ๋องอยู่ด้านหลังเซียวลิ่วหลังและตู้รั่วหาน เซียวลิ่วหลังจึงไม่เห็นเขา

ผู้เข้าสอบทั้งหมดล้วนแต่เข้าสอบระดับเตี้ยนซื่อที่ตำหนักไท่เหฮอ จัดเตรียมไว้เพียงเบาะรองนั่งหนึ่งผืน ข้อสอบหนึ่งฉบับ ส่วนพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก ทางราชสำนักจะเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้ ผู้เข้าสอบต้องนั่งคุกเข่าทับส้นยามตอบข้อสอบ

ผู้คุมสอบเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการและกรมการทูต

เหล่าผู้เข้าสอบตั้งใจฟังซ่างซูแห่งกรมพิธีการประกาศกฎเกณฑ์และกล่าวเปิดพิธีจบ ก็คงมือขึ้นคำนับแล้วเตรียมตัวนั่งลง

การสอบย่อบสอบแค่เรียงความปากู่เหวินเพียงวิชาเดียว ทว่าคราวนี้กลับไม่ใช่คำถามในคัมภีร์ ส่วนโจทย์นั้นคือ “วิถีนั้นมิแบ่งแยกคน หากคนกีดกันวิถีให้ห่างไกล ไม่อาจเรียกว่าบำเพ็ญวิถีได้”

ประโยคนี้มาจากตำรา ‘จงยง บทที่สิบสาม’ หมายความว่า ‘วิถีบำเพ็ญนั้นไม่ใช่สิ่งสูงส่ง หากมีคนแสร้งว่าตนนั้นล้ำลึก ทำให้วิถีบำเพ็ญนั้นห่างไกลคน เช่นนั้นแล้วย่อมไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่แท้จริง’

โจทย์ข้อนี้มีวิธีตอบได้หลายแบบ สามารถวิจารณ์ได้ถึงแก่นแท้ของวิถีบำเพ็ญและรูปแบบ ทั้งยังสามารถวิจารณ์ถึงระดับและวิธีการบำเพ็ญ

หลังจากที่ผ่านการสอบระดับต้น ระดับอำเภอ และระดับสำนักที่โหดร้ายทั้งแล้วครั้งเล่า จู่ๆ มาเจอโจทย์ที่แสนง่ายดายถึงเพียงนี้ เหล่าผู้เข้าสอบเองกลับรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ด้วยเหตุนี้บรรยากาศในสนามสอบจึงดูแปลกตาไป ผู้เข้าสอบต่างจ้องมองข้อสอบตรงหน้าด้วยความงุนงง สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คุมสอบแจกข้อสอบผิดหรืออย่างไร

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *