สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 646 ราชวงศ์แคว้นเยี่ยน

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 646 ราชวงศ์แคว้นเยี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 646 ราชวงศ์แคว้นเยี่ยน

พอกู้เจียวกลับไปที่ห้องก็ตรวจร่างกายให้กู้เหยี่ยนและบอกข่าวดีเรื่องห้องผ่าตัด กู้เหยี่ยนนอนหนุนหมอนที่วางอยู่บนตักของกู้เจียว ก่อนจะหลับตาพริ้มไปด้วยความรู้สึกสบายใจ

ค่ำคืนอันเงียบสงัด

ณ ตำหนักหลังหนึ่งในจวนตระกูลซู หลังจากมู่ชิงเฉินอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินปล่อยผมยาวสีดำขลับเงางามแล้วนั่งลงบนเตียง ยื่นมือเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงออกแล้วหยิบกล่องที่อยู่ในนั้นออกมา

ในนั้นเป็นตุ๊กตาผ้าเก่าๆ ปากของมันเป็นสีแดงเลือด มีเขี้ยว ลูกตาที่หลุดออกจากเบ้า รวมถึงเส้นผมบางๆ ตรงหัวของมัน

รุ่งเช้าวันถัดมา หลังจากกู้เจียวล้างหน้าเสร็จก็วัดชีพจรให้กู้เหยี่ยน

ที่เรือนมีสมาชิกใหม่เพิ่ม ทั้งท่านปู่ ทั้งเจ้าม้า ไหนจะเจ้าเสี่ยวจิ่วที่มักจะบินแวะเวียนมาบ้าง ทำให้บรรยากาศคึกคักกว่าเดิม กู้เหยี่ยนเองก็ไม่รู้สึกเบื่อเหมือนแต่ก่อนแล้ว

กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นจึงออกเดินทางไปเรียนได้อย่างสบายใจ

วันนี้มู่ชิงเฉินนั่งแถวหลังสุด กู้เจียวไม่ได้จะเข้าไปนั่งกับเขาในตอนแรก แต่ก็พบว่าไม่มีใครมีพลังมากพอที่จะทำให้ทุกคนอยู่ในท่าทีสงบนิ่งได้เท่าเขาอีกแล้ว

กู้เจียวหันไปทางซ้าย ก็เห็นจงติ่งกำลังโบกมือให้

พอหันไปทางขวา ก็เจอโจวถงกำลังโบกมือให้เช่นกัน

หลังจากพิจารณาอย่างดีแล้ว กู้เจียวจึงยอมเดินแบกกระเป๋าไปที่แถวสุดท้ายของห้องและนั่งลงข้างๆ มู่ชิงเฉิน

โจวถงที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เตรียมจะหยิบสมุดการบ้านขึ้นมา พั่บ!

ทว่ากลับถูกมู่ชิงเฉินตัดหน้าไปเสียก่อน

โจวถงเลยยอมหันกลับไปแต่โดยดี

กู้เจียวเร่งมือลอกการบ้านอย่างรวดเร็ว กระทั่งอาจารย์เกาเข้ามาในห้องเรียนพอดี

คาบเช้าเป็นวิชาของอาจารย์เกาและอาจารย์เจียง

วิชาของอาจารย์เกาคือวิชาคำนวณ ซึ่งผู้สอนมีลักษณะค่อนข้างเข้มงวดและดุ ขณะที่อาจารย์เจียงสอนวิชาสี่หนังสือห้าคัมภีร์และปรัชญา เขาบุคลิกอ่อนโยน แต่ก็หัวโบราณเช่นเดียวกัน

อาจารย์ทั้งสองเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าบัณฑิต แต่ไม่ว่าอย่างไร วิชาที่เหล่าบัณฑิตชื่นชอบที่สุดก็ยังคงเป็นของอาจารย์อู่อยู่ดี

ดูเหมือนว่าวิชาพละยังคงเป็นที่โปรดปรานของผู้เรียนเสมอไม่ว่าจะยุคไหนๆ

พอช่วงบ่าย มีเวลาราวหนึ่งชั่วยามให้บัณฑิตได้ทบทวนหนังสือ ตามมาด้วยวิชาขี่ม้าและยิงธนูโนเวลพีดีเอฟ

อันที่จริง คาบแรกของช่วงบ่ายจะต้องเป็นวิชาของอาจารย์อู่ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนจัดจึงต้องเลื่อนวิชาพละออกไป

หลังจากชั้นเรียนขี่ม้าและยิงธนูเริ่มขึ้น ทุกคนพบว่าไม่มีลูกธนูตั้งเป้าไว้บนทุ่งหญ้า กลับมีกระบองและไม้กลมๆ ขนาดเท่ากำปั้นอยู่ในมือของอาจารย์อู่แทน

“วันนี้เรียนกีฬาตีคลีกัน” อาจารย์อู่กล่าว

บัณฑิตทุกคนต่างพากันทำหน้าตกใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่กีฬาที่เหล่าบัณฑิตคุ้นเคยนัก

“ท่านอาจารย์ เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดจะสอนตีคลีขึ้นมาขอรับ” โจวถงเอ่ยขึ้น

ตีคลีเป็นกีฬาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดและเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในเซิ่งตู อย่างไรก็ตาม ตีคลีเป็นกีฬาที่มีความอันตรายในระดับหนึ่ง ดังนั้นสำนักบัณฑิตหลายๆ แห่งจึงไม่ได้มีการสอนตีคลีในหลักสูตร

อาจารย์อู่หัวเราะร่า ก่อนตอบ “เมื่อเช้านี้ข้าได้ปรึกษาหารือกับท่านเจ้าสำนักเสิน และตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันคลีม้าประจำปีนี้”

โจวถงถึงกับเหวอ “ว่าอย่างไรนะขอรับ การแข่งขันตีคลี สำนักบัณฑิตพวกเราหรือขอรับ”

จะให้เหล่าบัณฑิตที่ถนัดแต่ด้านบุ๋นแบบพวกเขาไปแข่งอะไรแบบนั้นเนี่ยนะ

รนหาที่ตายกันชัดๆ

คนอื่นๆ ก็มีความเห็นไม่ต่างกันกับโจวถง หากให้ไปแข่งสอบเข้าวังยังว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร แข่งตีคลีอย่างนั้นรึ ลืมไปเสียเถอะ

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ทั้งเจ้าสำนักและอาจารย์อู่เคยสมัครเข้าร่วมการแข่งขันตีคลีโดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยซ้ำ พวกเขายิงประตูไม่ได้เลยสักลูกเดียว มิหนำซ้ำยังถูกโจมตีอย่างแสนสาหัสยิ่งนัก

หมายความว่าทั้งเจ้าสำนักและอาจารย์อู่ลืมบทเรียนจากอดีตไปแล้วอย่างนั้นหรือ

“อะแฮ่ม!” อาจารย์อู่กระแอมในลำคอและเอ่ยอย่างจริงจัง “ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างจากเมื่อก่อน สำนักบัณฑิตของเราแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันกับสำนักบัณฑิตอื่นๆ ได้ ข้าและเจ้าสำนักเชื่อมั่นในตัวพวกเจ้า!”

ตอนเขาเอ่ยนั้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กู้เจียวอยู่เสมอ จะเหลือก็แค่ไม่ได้เอ่ยชื่อของกู้เจียวออกมา

“เอาละ พวกเจ้าไปเลือกม้ากันก่อน!” อาจารย์อู่ออกคำสั่ง

ทุกคนจึงเดินไปที่โรงม้า

“เซียวลิ่วหลัง มาตรงนี้ที” อาจารย์อู่เรียกกู้เจียว

“อาจารย์ต้องให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งอย่างแน่นอน” จงติ่งเอ่ยกับกู้เจียวพร้อมส่งสายตาให้

โจวถงชูมือขึ้น “สู้เขา!”

กู้เจียวเดินเข้าไปหาอาจารย์อู่ที่กำลังทำหน้ายิ้มกริ่ม จากนั้นเอ่ยถามกู้เจียว “เจ้าเคยเล่นตีคลีมาบ้างไหมตอนอยู่แคว้นเจา”

“ไม่เคยขอรับ” กู้เจียวตอบไปตามความจริง

“เอ่อ” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน “ไม่เป็นไร ข้าสอนเจ้าได้ ทุกวันหลังเลิกเรียนมาหาข้าที่สนาม เราจะฝึกกันราวหนึ่งชั่วยาม”

เรียนเหนื่อยแล้วยังต้องมาฝึกซ้อมอีกรึ

กู้เจียวไม่ต้องการ

กู้เจียวไม่อยากเรียนพิเศษ!

“งานนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเกียรติแก่ตัวเจ้าเอง แต่ยังเป็นเกียรติของสำนักบัณฑิตด้วย”

“ข้าหวังในตัวเจ้าไว้มาก หวังว่าเจ้าจะกอบกู้เกียรติยศชื่อเสียงมาให้สำนักบัณฑิตของเรา”

กู้เจียวยังคงไม่ต้องการ

“นี่จะเป็นผลดีสำหรับตัวเจ้าเองนะ หากเจ้าดังขึ้นมา อาจจะได้สิทธิ์อยู่ที่เซิ่งตูต่อได้อีกนะ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

กู้เจียวยังคงยืนกราน

อาจารย์อู่เริ่มหมดมุกแล้ว

พลางนึก หน่วยก้านเจ้าก็ออกจะดี

ไม่อยากเล่นตีคลีอย่างนั้นรึ

กู้เจียวตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์อู่ ข้าเรียนหนังสือไม่เก่ง เลยต้องใช้เวลาไปกับการเรียน ไม่มีเวลามาคิดเรื่องการแข่งขันหรอกขอรับ การเรียนต้องมาก่อน”

เดี๋ยวก่อนนะ ตอนเจ้านั่งลอกการบ้านเพื่อนทุกเช้าไม่เห็นจะพูดแบบนี้บ้างเลย ไหนจะตอนที่แอบหลับระหว่างคาบอีก อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นนะ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

กู้เจียวประสานมือเพื่ออำลา ก่อนจะเดินไปที่โรงม้า

ขณะเดียวกัน เหล่าบัณฑิตกำลังจับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องการแข่ง

“นี่ พวกเจ้าได้ข่าวแล้วหรือยัง การแข่งขันตีคลีจะจัดขึ้นที่สำนักบัณฑิตหลิงโป และนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่จัดขึ้นที่นั่น”

“สำนักบัณฑิตหลิงโป ใช่สำนักบัณฑิตที่มีห้องเด็กเทวดาใช่ไหม”

“ใช่แล้ว! ที่นั่นแหละ!”

“เอ๋ ใช่ที่ตั้งอยู่ข้างๆ สำนักบัณฑิตชังหลันด้วยใช่หรือไม่ พวกเจ้าว่า…สาวๆ ชังหลันจะไปดูการแข่งขันด้วยหรือไม่”

“ก็ไปดูกันทุกปีอยู่แล้วนี้ ปีนี้ก็คงไปด้วยล่ะ”

กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็รีบม้วนตัวกลับมาหาอาจารย์อู่ในทันทีทันใด “ท่านอาจารย์ กฎการแข่งขันมีอะไรบ้างขอรับ”

อาจารย์อู่ “…”

ไหนตอนแรกจะไม่แข่งแล้วไม่ใช่รึ

ขณะเดียวกัน ณ ห้องทำงานของเจ้าสำนัก มู่ชิงเฉินกำลังสนทนาอย่างเป็นมิตรอยู่กับเจ้าสำนักเสิน

“เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยร่วมงานของสำนักบัณฑิตมาก่อน แต่ครั้งนี้ข้าอยากให้เจ้าลงแข่งด้วยจริงๆ ” เจ้าสำนักเอ่ยชวน

มู่ชิงเฉินเป็นหนึ่งในบัณฑิตไม่กี่คนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทักษะการเล่นตีคลีของเขาสูงมากและอยู่ในอันดับต้นๆ ของเซิ่งตู

เจ้าสำนักยิ้มให้เขา พร้อมกับเอ่ย “เพื่อนร่วมห้องของเจ้าที่ชื่อเซียวลิ่วหลังก็จะร่วมการแข่งครั้งนี้ด้วย เขาเป็นมือใหม่ หวังว่าเจ้าจะช่วยสอนเขานะ”

พอออกมาจากห้องของเจ้าสำนัก มู่ชิงเฉินก็พุ่งตรงไปที่สนาม

“ท่านพี่สี่!”

บัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งที่รีบวิ่งออกมาจากด้านข้างแล้วเอ่ยเรียกชื่อเขา

ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมู่ชวน เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารกลางวันของเขา

พ่อของมู่ชวนและแม่ของมู่ชิงเฉินเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ในแง่ของสายเลือด พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พอมู่ชิงเฉินเลือกใช้นามสกุลของแม่ มู่ชวนจึงนับเขาเป็นคนในครอบครัวไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องบังเอิญที่มู่ชิงเฉินเป็นหลานชายคนที่สี่ของตระกูล มู่ชวนก็เลยเรียกเขาเช่นนั้น

“เจ้าไม่มีเรียนรึ” มู่ชิงเฉินเอ่ยทัก

“ข้าก็หนีออกมาน่ะสิ!” มู่ชวนตอบ

“มีธุระอะไร” มู่ชิงเฉินถามห้วนๆ

“เมื่อครู่นี้ข้าเดินผ่านห้องเจ้าสำนัก และได้ยินว่าท่านจะร่วมแข่งขันตีคลี เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ” มู่ชวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“นี่เจ้าโดดเรียนมาเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรอกรึ” มู่ชิงเฉินหรี่ตามองเขา

“ก็ข้าอยากรู้นี่นา!” มู่ชวนหัวเราะเขินๆ

“กลับไปเรียนของเจ้าต่อเถอะ” มู่ชิงเฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า

แต่มู่ชวนยังคงเดินตามเขาไป “ถ้าท่านแข่ง ข้าก็จะแข่งด้วย!”

แล้วมู่ชิงเฉินก็เดินออกไป

การแข่งขันตีคลีจะมีการแข่งระหว่างสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีผู้เล่นสี่คน แบ่งเป็นกองหน้าสองคน เป็นตัวหลักกับตัวรอง แล้วมีกองกลางหนึ่งคน อีกทั้งกองหลังอีกหนึ่งคน

กองกลางมีหน้าที่กันศัตรูและส่งรับลูกตีคลี ส่วนกองหลังทำหน้าที่ป้องกันประตูไม่ให้อีกฝ่ายยิงลูก

พอมู่ชิงเฉินมาถึงที่สนาม ก็พอเหมาะพอเจาะกับช่วงที่กู้เจียวเพิ่งคุยกับอาจารย์อู่เรื่องกฎการเล่นตีคลีเสร็จและกำลังยืนเลือกไม้ตีคลี

“เลือกอันนี้สิดี!” โจวถงหยิบไม้ตีคลีขึ้นมาแล้วเอ่ยกับกู้เจียว

“อันนั้นมันไม่ดูผุพังไปหน่อยรึ ใช้อันนี้ดีกว่า” จงติ่งเอ่ยพร้อมกับหยิบไม้ตีคลีอีกด้ามให้กู้เจียว

ทุกคนต่างพากันมุงดูกู้เจียวที่กำลังเลือกไม้อยู่รอบๆ สนาม

ขณะที่มู่ชิงเฉินกำลังจะเดินเข้าไป ทันใดนั้น มีกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมพุ่งตัวเข้ามาจากอีกฝั่งของสนาม

จำนวนพวกเขามีอยู่ราวยี่สิบคน แต่กลับดูทรงพลังเป็นพิเศษ ราวกับกองทหารม้าหลายพันคน

ในบรรดาคนเหล่านั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเปล่งรัศมีความอ่อนโยนและแตกต่างกว่าใครเพื่อน เดินเข้ามาหามู่ชิงเฉินพร้อมประสานมือให้กัน แล้วมู่ชิงเฉินก็เดินตามชายหนุ่มคนนั้นออกไป

จงติ่งแทบจะละสายตาจากชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนและสูงส่งกว่าบรรดาผู้ชายที่มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งผู้นั้นไปไม่ได้

“เขาคือผู้ใดกัน” จงติ่งพึมพำ

โจวถงยืดคอมองตามออกไป ก่อนจะอุทานออกมา “สวรรค์โปรด พวกเขาเป็นคนของจวนไท่จื่อนี่นา!”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” จงติ่งเอ่ยถาม

โจวถงไม่กล้าแม้แต่จะชี้นิ้วไปทางนั้น จึงได้แต่ใช้สายตา “ข้าเคยเจอพวกเขาในเมือง พวกเขาเป็นทหารองครักษ์ผ้าแพรอย่างไรเล่า”

จงติ่งทำหน้าราวกับไม่เชื่อ “คนจากจวนไท่จื่อมาที่สำนักบัณฑิตพวกเราเนี่ยนะ!”

สวรรค์โปรด!

นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

ชีวิตนี้เขาได้เจอคนของไท่จื่อแล้วจริงๆ ใช่ไหม!

โจวถงอธิบายต่อ “ชายหนุ่มที่เจ้าเห็นคนนั้น…หากข้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นท่านหมิงจวิ้นอ๋องจากจวนไท่จื่อ”

“บุตรชายของไท่จื่ออย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม

“อื้ม” โจวถงพยักหน้า “พระโอรสของไท่จื่อ”

กู้เจียวหันไปมองตามพวกเขา แม้ระยะจะไกลพอสมควร แต่สายตาอันแหลมคมของกู้เจียวก็ยังสามารถจับภาพใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มในชุดผ้าแพรได้

ชายหนุ่มมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเปล่งรัศมีความเป็นผู้บังคับบัญชา เขาพูดคุยกับมู่ชิงเฉินด้วยแววตาที่อ่อนโยน พร้อมทั้งแสดงรอยยิ้มเป็นครั้งคราว

โจวถงกล่าวด้วยความอิจฉา “มีเพียงท่านชายชิงเฉินเท่านั้นที่ยศสูงพอที่ท่านหมิงจวิ้นอ๋องจะให้เกียรติมาพบ ต่างจากพวกเรา เราไม่มีคุณสมบัติพอแม้แต่จะไปเข้าเฝ้าหมิงจวิ้นอ๋องเลยด้วยซ้ำ”

หมิงจวิ้นอ๋องเสด็จมาที่สำนักบัณฑิตโดยไม่ระบุตัวตน และไม่ได้ให้ใครมาต้อนรับ หลังจากทักทายกับมู่ชิงเฉินเสร็จพวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานของเจ้าสำนักเสิน

“หมิงจวิ้นอ๋องเคยเป็นบัณฑิตของเทียนฉงด้วยล่ะ” โจวถงเอ่ยกับกู้เจียว

ขณะที่กู้เจียวยังคงยืนเลือกไม้อยู่

กู้เจียวแค่ฟังหูไว้หูเท่านั้น

คนของจวนไท่จื่อไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรด้วยแม้แต่นิด

จงติ่งหันมองรอบทิศ พอเห็นว่าทางสะดวกแล้วจึงรีบกระซิบออกมาอย่างอดไม่ได้ “เมื่อครู่มีพวกคนแคว้นเยี่ยนอยู่ ข้าก็เลยไม่กล้าพูด เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนไท่จื่อหรือไม่”

“ไม่รู้” กู้เจียวเอ่ยตอบนิ่งๆ มือพลางเปลี่ยนไม้คลีม้าไป

จงติ่งเป็นคนชอบพูด เขาไม่สนใจว่ากู้เจียวจะชอบฟังหรือไม่ เขาสนใจแค่ว่าเขาอยากจะพูดหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ

เขาลดเสียงลงแล้วเอ่ย “เดิมทีไท่จื่อมิใช่ว่าที่จักรพรรดิโดยชอบ รวมถึงหมิงจวิ้นอ๋องก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นอ๋อง”

ไม้อันนี้เบาไป ใช้ไม่ได้ กู้เจียวขมวดคิ้ว แล้วเลือกไม้ต่อ

จงติ่งเดินไปรอบๆ กู้เจียวแล้วเล่าต่อ “ไท่จื่อทรงเป็นพระโอรสคนที่สองของฮ่องแต้และหันกุ้ยเฟย เจ้ารู้จักตระกูลหันหรือไม่”

“ไม่รู้” กู้เจียวตอบ

“ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก รู้แค่ว่าตระกูลของพวกเขาเก่งกาจมาก ที่จริงแล้ว เดิมผู้ที่เป็นว่าที่ฮ่องเต้ ก็คือองค์หญิงสาม”

พอฟังถึงตรงนี้ กู้เจียวก็เริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง มือที่กำลังเลือกไม้อยู่ก็พลันนิ่งลง แล้วหันมาหาจงติ่ง “องค์หญิงเป็นว่าที่ฮ่องเต้ได้ด้วยรึ”

ช่างเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก

จงติ่งรีบเล่าต่อ “ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน เป็นครั้งแรกที่แคว้นเยี่ยนจะได้มีผู้นำเป็นสตรี เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเชษฐาของฮองเฮาคือใคร”

ที่เขาถามกู้เจียวมิใช่เพราะรอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่เขาถามเพื่อเตรียมจะเล่าเรื่องต่อ “เขาคือเซวียนหยวนลี่ เทพเจ้าสงครามแห่งแคว้นเยี่ยน! น้องสาวของเซวียนหยวนลี่จึงได้เข้ามายังพระราชวัง ขึ้นเป็นฮองเฮาและให้กำเนิดพระธิดา ในงานเลี้ยงคืนพระจันทร์เต็มดวง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้พระธิดารับตำแหน่งไท่หนี่ว์หรือมกุฎราชกุมารี เป็นผู้ที่ได้รับความรักและความเอ็นดูอย่างล้นเหลือ! บิดาเป็นฮ่องเต้ มารดาเป็นฮองเฮา แถมยังมีพระปิตุลาเป็นแม่ทัพที่คุมกองทหารนับหมื่น…เฮ้อ ไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์ได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“แล้วต่อมาล่ะ” กู้เจียวไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องพรรค์นี้เท่าใดนัก แต่อาจเป็นเพราะตอนนี้กู้เจียวได้อาวุธของเซวียนหยวนลี่มาครอบครอง เลยพลอยทำให้นางอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเซวียนหยวนไปด้วย

“ภายหลังน่ะหรือ ก็ไม่มีภายหลังแล้วน่ะสิ เซวียนหยวนก่อกบฏ ตำแหน่งไท่หนี่ว์ถูกเพิกถอน ฮองเฮาถูกคุมขังไว้ที่ตำหนักเย็น ตระกูลของพวกเขาถึงคราวล่มสลาย”

กู้เจียวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “แล้วนาง…อายุเท่าไหร่”

จงติ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “เหมือนจะไล่เลี่ยกันกับไท่จื่อนะ บุตรชายของนางอายุเยอะกว่าหมิงจวิ้นอ๋องแค่พรรษาเดียวเท่านั้น หมิงจวิ้นอ๋องปีนี้อายุสิบแปดพรรษา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด