สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 425 ตบหน้า (1)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 425 ตบหน้า (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 425 ตบหน้า (1)

บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างร้องทัก “ว่าอย่างไรนะ ไท่จื่องั้นรึ เวินหยางเป็นพี่เขยของพระองค์นะ จะทรงทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน”

ชายหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะพลางโต้ “ท่านไม่รู้อะไร ไท่จื่อไม่ชอบขี้หน้าคนฝั่งนั้นอยู่แล้ว แทบจะตัดขาดกันเลยก็ว่าได้ ยังจำเหตุการณ์สะพานขาดตอนช่วงปีใหม่ได้หรือไม่ คนของตระกูลเวินถือวิสาสะปิดสะพานและถนนโดนเอาชื่อของไท่จื่อเฟยบังหน้า ทำให้ผู้คนที่จะเดินทางไปไหว้พระไม่มีทางให้ไป ก็เลยต้องกรูกันไปใช้สะพานแขวนแทน สุดท้ายสะพานแขวนนั่นก็ขาดในที่สุด”

บัณฑิตหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้น “ข้าจำได้ ฝ่าบาททรงลงโทษไท่จื่อเฟยเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยล่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยต่อ “นั่นสิ หลังจากนั้นไท่จื่อเฟยก็ไม่ได้ข้องแวะกับครอบครัวทางนั้นอีกเลย แต่เจ้าคนที่ชื่อเวินหยางนั่นดันโวยวายถึงขั้นบุกเข้าไปในวังจะขอเงินจากไท่จื่อเฟยให้ได้ แถมยังมีหน้าไปต่อว่านางอีกว่าเป็นแม่ไก่ที่ไม่ออกไข่!”

แม้จะไม่ตรงกับประโยคเดิมที่เวินหยางพูดไว้เสียทีเดียว พอเอามาพูดต่อๆ กันย่อมต้องมีการเติมเล็กผสมน้อยอยู่แล้ว

“พอไท่จื่อทรงกริ้ว ก็เลยจัดการกับเจ้าเวินหยางนั่น…”

ชายหนุ่มเล่าไปพลางทำท่าเอามือกุมที่คอ

กู้เจียวได้ยินเรื่องนี้จากที่โรงหมอ เถ้าแก่รองกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระกับนาง

“เขาว่ากันว่าเป็นฝีมือไท่จื่อนะ” เถ้าแก่รองเอ่ย

ด้วยความที่เถ้าแก่รองสามารถช่วงชิงพื้นที่ในการร่วมมือกับร้านค้าเจ้าใหญ่ๆ ได้สำเร็จจนเหยียบหุยชุนถังได้จมเท้า ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาเชิดหน้าชูตาไปได้มากกว่านี้แล้ว

กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที แล้วเงียบไป

“เจ้าว่าใช่หรือไม่” เถ้าแก่รองยังคงถามต่อ

ก็ต้องไม่ใช่อยู่แล้วสิ

ในมุมมองของกู้เจียว ไท่จื่อไม่ใช่คนที่พลั้งมือฆ่าคนแบบนั้นแน่นอน

ฆาตกรตัวจริงไม่นานก็คงปรากฏ

หนิงอ๋องทรงคิดวิธีการได้แยบยลเช่นนี้ เรียกได้ว่าเปิดมุมมองโลกใหม่เลยทีเดียว

ในเมื่อจับผิดไท่จื่อเฟยไม่ได้ ถึงกับต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของคนเป็นพี่เป็นน้องกันเลยหรือ

ดึงคนไร้น้ำยาแบบนั้นมาเป็นนกต่อ

กู้เจียวคาดไม่ถึงว่าหนิงอ๋องจะเลือดเย็นขนาดนี้ อย่างน้อยนั่นก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเวินหลินหลัง บอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าเลยรึ

ความเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมเช่นนี้ของเขามีส่วนคล้ายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต่อให้ไท่จื่อฝึกฝนร่ำเรียนไปอีกสิบปีอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้แบบนั้นแน่นอน

คนแบบนี้หากเกิดและเติบโตขึ้นมาในกลียุค คงต้องได้เป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน

“ไอ่หยา! เถ้าแก่รอง! แม่นางกู้! แย่แล้ว แย่แล้ว!”

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุย เถ้าแก่รองก็วิ่งเหงื่อตกเข้ามา “เกิดเรื่องที่ห้องทำงานแล้ว!”

ห้องทำงานที่ว่าคือโรงงานผลิตยาของเมี่ยวโส่วถัง สถานที่นี้เดิมเคยเป็นร้านขายสุราขนาดเล็กในพื้นที่เปิดในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองหลวง

สายการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในนั้นคือยารักษาแผล ซึ่งใช้พื้นที่ลานขนาดใหญ่สองลาน ตามด้วยยาขี้ผึ้งและยาบำรุงอื่นๆ

กว่ากู้เจียวกับเถ้าแก่รองไปถึง ก็พบว่าไฟเริ่มมอดแล้ว ทว่าโรงเก็บยารักษาแผลกลับถูกเผาเป็นที่เรียบร้อย

“ไอ้หยา นั่นมันยาพันกว่าขวดเลยนะ! สิ้นเดือนก็ต้องส่งของแล้วด้วย!” ผู้ดูแลหวังเอ่ยอย่างใจสลาย

“มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตไหม”

เป็นสิ่งแรกที่กู้เจียวเอ่ยถาม

ผู้ดูแลหวังจึงไปตามคนที่รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยมาพบ “ตอนนั้นทุกคนกำลังวุ่นกับงาน จึงไม่มีใครมาที่โรงเก็บยา เลยไม่มีคนได้รับบาดเจ็บขอรับ”

“ดี” กู้เจียวมองไปทางห้องโรงเก็บยาที่ถูกเผาเป็นตอตะโก แล้วพยักหน้า “เดี๋ยวข้าไปเจรจากับค่ายทหารเองว่าส่งของช้าหน่อย ส่วนเถ้าแก่รองลองไปติดต่อดูว่าเราจะซื้อวัตถุดิบทำยาได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่”

“เฮ้อ ก็ได้” เถ้าแก่รองน้อมรับ ก่อนจะถามถึงต้นเหตุของเพลิงครั้งนี้ “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าบอกให้พวกเจ้าช่วยกันระวังอย่าเอาวัตถุไวไฟเข้ามาในโรงเก็บยามิใช่หรือ”

ผู้ดูแลอีกคนแสดงท่าทีร้อนรนและไม่สบายใจออกมา “ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นนะขอรับ! ข้าน้อยทำหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยทุกวัน ช่วงกลางวันข้าน้อยจะตรวจหนึ่งรอบทุกหนึ่งชั่วยาม ส่วนกลางคืนตรวจสองรอบขอรับ! ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตเลยนะขอรับ… เหตุเพลิงครั้งนี้จู่ๆ มันก็มาของมันเองนะขอรับ!”

กู้เจียวเดินไปที่เศษซากที่ถูกเผาไหม้ แม้ไฟจะมอดแล้ว แต่ยังมีควันหลงเหลืออยู่

นางยื่นนิ้วออกไปแล้วปาดที่เขม่าบนพื้นแล้วยกขึ้นมาดม “มีคนวางเพลิง ที่กำแพงด้านหลังมีคนเทน้ำมันไว้”

“ว่าอย่างไรนะ วางเพลิงอย่างนั้นรึ! ฝีมืใครกันแน่! คนของเราหรือว่า…” เถ้าแก่รองก้มหน้าลง “ไปตามทุกคนมาเดี๋ยวนี้ ต้องสืบให้ได้!”

กู้เจียวค่อยๆ ลุกขึ้ยืน ตบมือเพื่อสะบัดฝุ่นในมือออก พลางเอ่ย “ไม่ต้องสืบหรอก พวกเขาไม่ใช่คนวางเพลิง”

เป็นฝีมือหนิงอ๋องต่างหาก

สงสยคงโกรธที่ตนไปหาหนิงอ๋องเฟยสินะ

ที่จริงกู้เจียวเองก็ไม่ได้เผยอะไรเยอะนัก แค่พูดไปว่ารุ่ยอ๋องเฟยดันไปยุ่งเข้าให้กับคนที่ไม่ควรยุ่งด้วย อีกฝ่ายอาจคิดปองร้ายกับรุ่ยอ๋องเฟยก็เป็นได้ แต่กู้เจียวไม่ได้บอกแม้แต่คำเดียวว่าคนคนนั้นคือใคร ทำเรื่องอะไรไว้

ส่วนเรื่องที่ว่าหนิงอ๋องเฟยจะเดาออกหรือไม่ว่าเป็นหนิงอ๋อง หรือการที่หนิงอ๋องเฟยออกตัวปกป้องรุ่ยอ๋องเฟยจากเงื้อมมือของหนิงอ๋อง กู้เจียวย่อมไม่มีทางรู้อยู่แล้ว

เพลิงครั้งนี้คงเป็นคำเตือนจากหนิงอ๋องสินะ

กู้เจียวกระตุกมุมปากขึ้น

ตอนแรกก็ว่าจะค่อยๆ จัดการ แต่ดูแล้ว คงไม่ได้สินะ

ตกกลางคืนเดือนมืดและมีลมพัดแรง

กู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งใช้หนี้หมดถึงเวลาที่จะได้นอนอย่างเต็มอิ่มเสียที

ขณะที่หลับไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ เขารู้สึกจั๊กจี้ที่บริเวณใบหน้า

ตอนแรกเขานึกว่าเป็นฝีมือกู้เฉิงหลิน ก็เลยไม่ได้ใส่ใจแล้วพลิกตัวนอนต่อ

แต่จู่ๆ อะไรที่ว่านั้นเข้าไปในผ้าห่มของเขาอย่างไม่ทันคาดคิด

กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งตื่นขึ้นทันทีและกระโดดลงจากเตียง “เจ้าเป็นใคร!”

เสี่ยวจิ่วกระพือปีกทั้งที่มีผ้าห่มคลุมอยู่ พลางทำหน้างุนงง “กรู้”

พอเห็นเจ้านกเหยี่ยวตรงหน้า กู้เฉิงเฟิงถึงกับดึงมุมปากขึ้น

ไปตรอกปี้สุ่ยบ่อยขนาดนั้นไม่มีทางที่จะจำเจ้านกนี่ไม่ได้แน่นอน

เสี่ยวจิ่วขยับเข้าไปใกล้ๆ กู้เฉิงเฟิง ก่อนจะยื่นกรงเท้าเพื่อให้เขาดูอะไรบางอย่าง

กู้เฉิงเฟิงมองอย่างใจจดใจจ่อ ก็เจอกับเศษกระดาษที่ผูกติดไว้!

เขาคลี่กระดาษออกมา

บนนั้นคำสามคำที่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือสุดจะไก่เขี่ย ‘จวนหนิงอ๋อง’

แถมด้านหลังคำยังมีรูปมีดเล็กที่เต็มไปด้วยคราบเลือดถูกวาดไว้ด้วย

กู้เฉิงเฟิง “…”

เดี๋ยวนี้จะเรียกใครไม่ได้มาด้วยตัวเองแล้วสินะ ต้องวานนกมาแทนแล้วสินะ

ด้วยความที่เขาไม่พอใจกับการกระทำของกู้เจียว จึงลืมคิดไปว่าจวนหนิงอ๋องเป็นสถานที่แบบใด

จนกระทั่งเขาตามเสี่ยวจิ่วมายังกำแพงรอบนอกของจวนหนิงอ๋อง ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากความฝัน!

นางเด็กนี่ให้เขามาที่ไหนกัน

จวนหนิงอ๋องอย่างนั้นเรอะ

กู้เฉิงเฟิงหันหลังเตรียมจะกลับ!

เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่จะบุกเข้าไปในจวนหนิงอ๋องกับนาง!

น่าเสียดายทีเขาตัดสินใจช้าเกินไป จู่ๆ เขาถูกมือเล็กๆ ยื่นออกมาและคว้าเขาเข้าไปในจวนหนิงอ๋อง

กู้เฉิงเฟิง “….”

พอร่างของทั้งสองเหยียบลงพื้น ดันเป็นช่วงที่กลุ่มทหารองครักษ์เดินผ่านบริเวณนั้นพอดี กู้เฉิงเฟิงจึงรีบใช้วิชาตัวเบาพากู้เจียวเข้ามาหลบที่ใต้ต้นไม้!

เมื่อยามเดินจากไป กู้เฉิงเฟิงมองไปที่กู้เจียวด้วยความโกรธ “เกิดอะไรขึ้นคราวนี้ เหตุใดเจ้าถึงมาที่จวนหนิงอ๋อง”

จวนหนิงอ๋องเรียกได้ว่าเป็นตำหนักขององค์ชายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แม้ที่นี่จะไม่มีองครักษ์หลงอิ่ง แต่ก็ถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่น และไม่ใช่ที่ๆ จะบุกเข้ามาง่ายๆ !

“ที่นี่คุ้มกันหนาแน่นมากเจ้ารู้ไหม!”

กู้เฉิงเฟิงกัดฟัน

กู้เจียว “อืม”

กู้เฉิงเฟิงหลับตา พลางนึกในใจว่าอยากตายเสียเหลือเกิน!

สักพักพอเขาเริ่มใจเย็นลง ก็เอ่ยถามต่อ “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ เหตุใดเจ้าถึงมาที่จวนหนิงอ๋อง”

“มาปล้น” กู้เจียวเอ่ยด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ

กู้เฉิงเฟิงมองชุดของกู้เจียวด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย “ไม่ใช่ว่าจะไปขโมยนะ”

“ประมาณนั้นแหละ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *