สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 317 ทำลาย

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 317 ทำลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 317 ทำลาย

ช่วงบ่าย มีคนจากค่ายทหารมาส่งข่าว “ดูเหมือนยาห้ามเลือดที่ได้มาจะมีปัญหานะขอรับ ท่านหมอหลู่จึงอยากจะเชิญท่านไปที่ค่ายทหารสักหน่อยขอรับ!”

นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะทางโรงหมอส่งยาไปให้ที่ค่ายทหารไม่ใช่จำนวนแค่ขวดสองขวด แต่เป็นร้อยเป็นพันขวด หากเกิดปัญหาขึ้นต้องรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะเรื่องยานั้นสำคัญกับชีวิตผู้คน

“เช่นนั้นข้าไปด้วย” เถ้าแก่รองเอ่ย

กู้เจียวพยักหน้า จากนั้นมุ่งหน้าไปที่ค่ายทหารพร้อมกับเถ้าแก่รอง

ท่านหมอหลู่รออยู่ที่ค่ายทหารด้วยใจจดใจจ่อ พอเห็นว่ากู้เจียวมาถึงก็รีบปรี่เข้าหา “แม่นางกู้ ท่านรีบมาดูนี่เร็วเข้า พอข้าใช้ยาของพวกท่าน คนไข้ก็ดันมีอาการเช่นนี้เกิดขึ้น”

หมอหลู่เอ่ยพลางนำทางกู้เจียวมาหยุดอยู่ที่หน้าเตียงคนไข้ที่แสนจะเล็กและไร้ซึ่งความแข็งแรงใดๆ

เป็นเตียงไม้คับแคบ นอนได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น

คนไข้ดูเหมือนอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี เขาบาดเจ็บที่ขา แต่ใบหน้าของเขากลับมีอาการบวมแดง รวมถึงหน้ามืด หายใจลำบาก

กู้เจียวคว้าเครื่องช่วยฟังการเต้นของหัวใจออกมาจากกล่องยาคู่ใจของตน จากนั้นปลดเสื้อคนไข้ออกเพื่อตรวจดูสภาพร่างกาย “นี่เป็นอาการหลังจากที่เขาใช้ยาตัวนี้หรือ”

“ใช่แล้ว” หมอหลู่เอ่ย “นายทหารผู้นี้ถูกมีดฟันเข้าที่ขา ข้าเห็นว่าบาดแผลของเขาไม่ได้สาหัสมาก จึงทำการเย็บแผลให้เขา พอทำความสะอาดแผลเสร็จก็ใช้ยาของเจ้าต่อ หลังจากทายาเสร็จ ข้าก็ไปเข้าห้องน้ำพักหนึ่ง แต่พอกลับมาอีกทีก็เป็นสภาพเช่นนี้แล้ว”

“เอ๋ บนลำตัวไม่เห็นมีอาการเลยนะ” กู้เจียวนิ่งไปพักหนึ่ง “ขอดูยาที่ใช้ทีสิท่าน”

หมอหลู่จึงยื่นขวดยาให้กับกู้เจียว

กู้เจียวลองดมยาดู ก่อนจะลองเอามันมาทดสอบที่แผลของตัวเอง

“ไอ้หยา เดี๋ยวก่อนสิ!” ครั้นเถ้าแก่รองจะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว แม่สาวน้อยคนนี้มือไวปานสายฟ้ายิ่งนัก!

แต่ดูเหมือนกู้เจียวจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรแบบที่คนไข้เป็นเลยแม้แต่นิด

ดังนั้นแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวยาแน่นอน

“หรือว่า เขาจะกินอะไรผิดสำแดง”

“ไม่น่าใช่นะ” กู้เจียวตอบ

“กินของเน่าเสียอย่างนั้นรึ”

“ก็ไม่น่าใช่” กู้เจียวเอ่ย พลางมองไปที่ใบหน้าบวมเป่งของนายทหารหนุ่มที่นอนป่วย สักพักเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เลยลองปลดที่คาดหัวของนายทหารคนนั้นออก

กู้เจียวเริ่มตรวจดูเส้นผมและหนังศีรษะของผู้ป่วยอย่างระมัดระวังไม่ให้เหลือแม้แต่ตอซัง

“เจอแล้ว นี่อย่างไรเล่า” กู้เจียวใช้มือกดเข้าไปที่จุดไป่ฮุ่ยของนายทหารคนนั้น

ทั้งเถ้าแก่รองและหมอหลู่ต่างก็เข้ามามุงดู ก็พบตุ่มแดงคล้ายกับถูกแมลงกัด

“นี่มัน…” เถ้าแก่รองทำท่าตกใจ

“เขาถูกแมลงมีพิษร้ายแรงกัดเข้าน่ะ” กู้เจียวเอ่ยพลางคว้ามีดขึ้นมา

ด้วยความที่ช่วงนี้อากาศร้อน อีกทั้งค่ายทหารหู่ซานตั้งอยู่ที่เชิงเขา จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเจอกับแมลงและงูมีพิษ ทหารหลายคนถูกกัดทุกปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หมอหลู่พบพวกมัน

หมอหลู่รู้สึกละอายใจมาก เขาสะเพร่า และเข้าใจกู้เจียวผิดไป

กู้เจียวจึงทำการรักษาบาดแผลของผู้ป่วยและทาขี้ผึ้งแก้อักเสบและแก้แพ้ให้ “แมลงมีพิษที่ภูเขานั้นน่ากลัวยิ่ง ท่านควรระวังให้มากกว่านี้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หมอหลู่ก็ถอนหายใจ “จริงๆ ข้ามักจะเตือนพวกเขาอยู่บ่อยๆ แต่พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาน่ะขี้ร้อนจะตาย ก็เลยเลือกที่จะเปิดม่านและนอนเปลือยกายในตอนกลางคืน ดีกว่านอนใส่เสื้อผ้าร้อนๆ และปิดม่านไว้…เฮ้อ เอาละ อย่างไรเสีย วันนี้ข้าขอขอบคุณแม่นางกู้สำหรับเรื่องวันนี้ หากปล่อยไว้ช้ากว่านี้ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ผู้นี้”

แน่นอนว่าหมอหลู่ไม่ลืมที่จะเอ่ยขออภัย

เถ้าแก่รองบอกว่าไม่เป็นไร

พอเรื่องคลี่คลายแล้ว ก็ถึงเวลาที่กู้เจียวและเถ้าแก่รองต้องกลับโรงหมอ

“ข้าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน เจ้ารอยู่ที่รถม้านะ” เถ้าแก่รองเอ่ย

“ได้สิ” กู้เจียวเดินออกไปทางนอกค่ายทหาร

พอเมื่อเดินผ่านกระโจมที่มีม่านเปิดอยู่ กู้เจียวก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปด้านใน

และแวบเดียวในตอนนั้นที่กู้เจียวถึงกับต้องชะงักฝีเท้าตัวเอง

ปรากฏว่ากระโจมนี้คือคลังแสงขนาดเล็กที่มีอาวุธเย็นทุกชนิดอยู่ในนั้น และในกลุ่มของอาวุธก็มีหอกสีแดงพู่คู่หนึ่งที่ดูแล้วช่างสะดุดตายิ่งนัก

มันดูใหญ่ยาวกว่าและหนักกว่าที่ท่านปู่เหล่าโหวเคยให้นางจากโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้เล็กน้อย แต่ปลายคมนั้นสวยงามจริงๆ

สีของมันแดงสดราวกับเปื้อนคราบเลือดของศัตรู

กู้เจียวเริ่มรู้สึกเนื้อเต้นขึ้นมาในบัดดล

นางเดินเข้าไปข้างในกระโจม ก่อนจะคว้าหอกสีแดงพู่ขึ้นมา แล้วค่อยๆ สัมผัสมันด้วยการมองและลูบไล้

จากนั้นกู้เจียวจึงลองใช้งานมันพร้อมกับลองตั้งท่ากระบวนยุทธ์ต่างๆ อย่างเมามัน

ก่อนจะร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงและประทับใจ “ว้าว!”

“นั่นใครน่ะ!”

เป็นเสียงของท่านเหล่าโหวที่เดินมือไขว้หลังเข้ามาพร้อมกับเสียงที่สง่างามด้วยท่าทีเคร่งขรึม

เมื่อเขาเห็นว่าคนที่บุกเข้าไปในกระโจมคือกู้เจียว ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “นี่เจ้า มาทำอะไรในที่แห่งนี้ในฐานะสตรี เดี๋ยวก่อนนะ วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้! นี่ไม่ใช่ของที่เจ้าจะมาเล่นสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”

กู้เจียวทำท่าเบะปาก ก่อนจะวางมันลงด้วยความรู้สึกเสียดาย

ท่านเหล่าโหวมองไปที่ดวงตาที่ขุ่นเคืองของกู้เจียว พลางขมวดคิ้วและนึกในใจ

เหอะ อย่างเจ้าน่ะหรือจะรู้สึกผิดกับเขาเป็นด้วยน่ะ

แล้วนี่ ไม่มีใครเตือนนางเลยหรืออย่างไรว่าไม่ให้มาที่แบบนี้น่ะ!

“เจ้ามาที่ค่ายทหารอีกทำไม” ท่านเหล่าโหวเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องขึ้นที่โรงหมอน่ะ” กู้เจียวตอบ

“เจ้าเป็นหมอหญิง ก็ควรจะอยู่แค่ที่โรงหมอเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องมาเสนอหน้าถึงที่นี่เลย!”

แค่บุตรสาวติ้งอันโหวอย่างนางมาทำอาชีพหมอก็น่าอับอายพอแล้ว แล้วนี่อะไร มาวิ่งเข้าวิ่งออกในสถานที่ที่เต็มไปด้วยชายชาติทหารเช่นนี้ได้อย่างไร!

กู้เจียวมองค้อนพลางนึก วันนี้ท่านเหล่าโหวทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย

ก่อนจะเดินออกไปจากกระโจมอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

ท่านเหล่าโหว ‘นางเด็กนี่…’

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเจ้าจะเข้าๆ ออกๆ ได้นะ!” ท่านเหล่าโหวดุกู้เจียว

พอหายโกรธแล้ว ท่านเหล่าโหวก็จ้องไปที่หอกสีแดงนั้นที่กู้เจียวหยิบออกมาเล่น

ปกติเขาแทบไม่ได้ใช้หอกเป็นอาวุธเลย แต่พอเมื่อครู่นี้ได้เห็นท่วงท่าที่กู้เจียวใช้กับมัน เขาก็เริ่มเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

ว่าก็ว่าเถอะ

ดูๆ แล้วก็เข้าทีเหมือนกัน

ที่จริงแล้ว หอกแดงเล่มนี้มีที่มาที่ไปอยู่เหมือนกัน

เดิมทีมันเป็นอาวุธของนายพลที่มีชื่อเสียงของแคว้นเยี่ยน มอบมันให้กับฮ่องเต้แคว้นเฉิน และฮ่องเต้แคว้นเฉินมอบให้กับอู่โหว

เมื่อแม่ทัพแคว้นเฉินประกาศยอมจำนน เขาหวังว่าจะได้หอกพู่แดงคืนมา และพระองค์ก็ตกลง แต่ดันเจอเซวียนผิงโหวเล่นตุกติกเข้าให้

ถ้าบอกว่าเขาโปรดมัน ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป มันแค่อาวุธชนิดหนึ่งที่เข้าอยากเก็บเข้ากรุเท่านั้นเอง

คนธรรมดาไม่สามารถใช้หอกพู่สีแดงนี้ได้เพราะมันหนักเกินกว่าจะควบคุม และประการที่สอง พวกเขากังวลว่าเซวียนผิงโหวจะนึกถึงมันและมาขอเอาคืน

และเขาก็ทำมันจริงๆ

ท่านเหล่าโหวหยิบหอกพู่สีแดงในมือของเขา เล่นกับมันสองสามครั้ง และทันใดนั้นก็นึกถึงพี่น้องร่วมสาบานของเขา

จู่ๆ เขาก็เริ่มนึกสงสัยว่าเหตุใดเจ้าเด็กตระกูลกู้ถึงได้ชอบใจเจ้าหอกพู่แดงนี่ขึ้นมา

แต่ก็อาจเป็นเพราะเขายังเด็กเกินไป ไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับอาวุธอันหนักอึ้งจากแค้วนเยี่ยนนี้ได้สักกี่น้ำกัน

พอออกมาจากค่ายทหาร เถ้าแก่รองก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไม่กลับไปที่โรงหมอนะ เพราะต้องกลับไปเรือนพี่เขยก่อน”

เถ้าแก่รองบอกที่อยู่กับเสี่ยวซาน ซึ่งเรือนของพี่เขยของเขาอยู่ไม่ไกลจากหอเซียนเล่อนัก

กู้เจียวตั้งใจว่าจะรอให้เรื่องซาไปก่อนค่อยไปแวะที่นั่นอีกครั้ง แต่ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ลองไปสักหน่อยคงไม่เสียหาย

หลังจากที่เถ้าแก่รองลงจากรถม้า กู้เจียวก็หยิบเสื้อผ้าผู้ชายที่เตรียมไว้ในรถม้าออกมาพร้อมกับสวมหน้ากาก

“เอาละ จอดตรงนี้แล้วกัน” กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวซาน “ข้าเดินไปเองได้”

“ได้เลยขอรับ” เสี่ยวซานขานรับ

กู้เจียวลงจากรถม้า ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆ แล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าหอเซียนเล่อ

แต่กลับพบว่า วันนี้ที่นี่ดันไม่เปิดเสียอย่างนั้น

กู้เจียวพึมพำด้วยความสงสัย ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามพ่อค้าหนุ่มที่ขายส้มข้างถนน “เหตุใดหอเซียนเล่อถึงปิดล่ะเจ้า”

ชายหนุ่มตอบ “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของสาวที่งามที่สุดของหอเซียนเล่อ หอเซียนเล่อจึงตัดสินใจปิดหนึ่งวันและเช่าเรือที่ใหญ่ที่สุดเพื่อฉลองวันเกิดของสาวงาม ถ้าเจ้าอยากเห็นพวกเขา ก็ลองไปที่ทะเลสาบลี่หูดูสิ ข้าไม่รู้ว่าเรือแล่นไปหรือยัง”

“ขอบใจท่านมาก” กู้เจียวเอ่ย

อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่ได้ปิดกิจการแล้วหนีไปเตลิดเปิดเปิงไปไหน

กู้เจียวไม่ไปที่ทะเลสาบนั่นหรอก

เดี๋ยววันหลังค่อยมาใหม่

จากนั้นก็เดินออกไป

กู้เจียวเริ่มจะชินกับการเดินบนทางเท้าฝั่งขวาเสียแล้ว จากที่เมื่อก่อนนางมักจะเดินฝั่งซ้ายตลอด

พอกู้เจียวเดินได้ครึ่งทาง ก็พบกับขอทานแก่ที่กำลังหลับอยู่โดยมีหมวกสานวางอยู่บนหน้าของเขา

ใกล้ๆ กันนั้นมีแผ่นกระดานหมากรุกที่ดูเหมือนทำขึ้นมาเองจากไม้พร้อมกับตัวหมากที่ทำจากก้อนหินวางอยู่ด้วยกัน

ข้างมีเศษผ้าพร้อมกับตัวหนังสือที่เขียนว่า “หนึ่งตาต่อหนึ่งตำลึง”

แปลว่าใครจะเล่นหมากกับเขาต้องจ่ายมาก่อนหนึ่งตำลึง

คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหัวเราะกับข้อความนั้น ใครที่ไหนจะกล้าจ่ายเงินหนึ่งตำลึงเพื่อมาเล่นกับคนอย่างเขากัน

ด้านข้างยังมีข้อความอีกหนึ่งแผ่น เขียนว่า “ใครแพ้ปรับสิบเท่า”

หรือก็คือ หากใครชนะเขา ก็จะได้เงินเพิ่มมาอีกสิบตำลึง

คนที่เดินผ่านไปมาพอเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งหัวเราะยกใหญ่

ขอทานตัวเหม็นอย่างเขาน่ะหรือจะเดินหมากเป็น แถมยังกล้าตั้งเงื่อนไขสูงขนาดนี้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ยอดนักหมากรุกแห่งหกแคว้นหรืออย่างไร

แล้วยิ่งสภาพซอมซ่อแบบนี้ เกรงว่าจะมีเงินไม่ถึงสิบอีแปะกระมัง!

นี่มันคนบ้าชัดๆ

กู้เจียวปราดตามองกระดานหมากอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางหมากสีดำลงไป จากนั้นก็เดินจากไป

ขอทานแก่นอนกลางวันจนตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้ว

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไม่ได้เปิดกระดาน

ขอทานแก่หาววอดหนึ่งครั้ง ก่อนจะเตรียมเก็บของกลับ ทันใดนั้นเขาสังเกตได้ว่ากระดานหมากของเขามีลักษณะเปลี่ยนไป

ตอนแรกเขานึกว่าเด็กที่ไหนมาแกล้งเขาเสียอีก

แต่ที่ไหนได้ พอมองดูดีๆ ก็พบว่า

มีคนตีด่านหมากของเขาแตกแล้ว!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *