สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 280.3 หลังชําาระแค้น (3)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 280.3 หลังชําาระแค้น (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 280 หลังชําาระแค้น (3)

สถานการณ์อันตราย

ท้องถนนเงียบสงัด คนบางคนเมาแล้วไม่ยอมขึ้นมา เฉิงเฟิงจึงจําเป็นต้องแบกคนคนนั้นเดินจากริมทะเลสาบ มาจนถึงตรอกปี้สุ่ย

ฟู่เฉิงเฟิงมีวิชาตัวเบา แต่ก็แบกคนเดินเป็นหลายสิบลี้ไม่ไหว ต่อให้วิชาตัวเบาจะแก่กล้าเพียงใดก็แบกไม่ไหว ยิ่งคนบางคนอยู่ไม่นิ่งเป็นที่สุด!

พริบ!

คนคนนั้นยื่น

นยื่นสองแขนออกมาแล้วดึงหูของเฉิงเฟิง “ข้ามีลาน้อยขนปุยตัวหนึ่ง ข้าไม่เคยขี่เลย” อยู่มาวันหนึ่งข้า นึกครึ้มใจอยากขี่มันไปตลาด- ในมือข้าถือแล้น้อย- ข้ามีความสุขเหลือเกิน ไป ไป ไป!~”

ใบหูของเฉิงเฟิงถูกดึงจนบิดเบี้ยว โอ๊ยยย! นางงูพิษน้อยนี่แถบชะมัด! ใครก็ได้มาพาตัวนางไปที

ครั้นเซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงเปิดประตู สองคนก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เฉิงเพิ่งถูกเจียวป่วนจนสภาพดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนกลายเป็นรังนกแล้ว!

เฉิงเฟิงที่ให้ความสําคัญภาพลักษณ์มาตลอด แม้แต่หน้ากากยังสั่งทําอย่างงดงามปราดเปรียว ไม่เคยอยู่สภาพ

อเนจอนาถเช่นนี้มาก่อน

เฉิงเฟิงที่ใบหน้าดําคล้ําอย่างกับขี้เถ้าจ้องมองเซียวจิ๋วหลังที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตัวเขา ยอดไปเลย ถูกคนเห็นในสภาพนี้

เฉิงเฟิงพักอยู่โรงหมอมานาน เซียวลิ่วหลังจําเขาได้ รู้ว่าเขาคือท่านชายรองแห่งจวนโหว พี่ชายแท้ๆ ของ

เชียวลิ่วหลังมึนงงเลยน้อย

นางดื่มเหล้าหรือ” เขาถาม

เฉิงเฟิงตอบ “ไม่หรอก นางหาน้ํากิน แต่ต้นไปกินเหล้าดอกสาลี่ของข้าแทนน่ะสิ ดื่มไปนิดเดียว อีกเดียวกระมัง ใครจะไปรู้ว่านางคออ่อนถึงเพียงนี้!

เซียวลิ่วหลังมองกู้เจียวที่พาดตัวอยู่บนหลังของเฉิงเฟิง ก่อนจะยื่นสองแขนออกมา “ส่งนางให้ข้าเถิด” กู้เฉิงเฟิงมองเขาอย่างลังเล “เจ้าไหวหรือ”

เซียวลิ่วหล้งมุมปากกระตุก เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แขนขาไม่ได้พิการ”

เฉิงเฟิงมองเขาอีกครั้ง ก็เห็นว่าไม่ได้ถือไม้เท้า คงตั้งใจออกมาอุ้มนางกลับเข้าไป ทั้งยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย สีหน้าตื่นเต็มตา ไม่เหมือนคนที่ตื่นขึ้นมาจากความฝันเพราะเสียงดังเอะอะ แต่เหมือนกําลังรอนางตัวดีผู้นี้อยู่ตลอด

ฟู่เฉิงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่งกู้เจียวให้กับเซียวจิ๋วหลัง

เซียวลิ่วหลังที่ไม่ได้ ไม้เท้า ยามเดินจึงทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่เขานั้นกอดกู้เจียวในอ้อมอกไว้แน่นอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเฉิงเฟิงประหลาดใจที่เขาอุ้มนางได้โดยไม่ล้มหรืออย่างไร จึงเอาแต่จ้องเซียวจิ๋วหลังเดินเข้าไปในเรือน โดยไม่วางตา วินาทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูไป จู่ๆ เจียวก็โอบลําคอของเซียวลิ่วหลัง แล้วประทับจูบลงบนใบหน้าของเขา!

กู้เฉิงเฟิงอยากจะจิ้มสองตาของตัวเองให้บอด!

ทําไมเขาต้องยืนดูอยู่ตรงนี้ด้วย หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ!

อันที่จริงเซียวลิ่วหลังก็ตกใจเพราะจูบนั้นเช่นกัน แต่เขารู้ว่าเฉิงเฟิงยังอยู่ จึงเดินเข้าเรือนไปด้วยท่าทีเรียบเฉย วางร่างของนางลงบนเตียงในห้องฝั่งตะวันตก มองนางด้วยตาเป็นประกาย “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

กู้เจียวนั่งขัดสมาธิบนเตียง เบิกสองตาที่น้ําตาเอ่อคลอ เอ่ยด้วยน้ําเสียงน่าเอ็นดู “รู้”

นางแสร้งทําเป็นตื่น ราวกับลูกกวางน้อยใสชื่อไม่มีผิด

เซียวลิ่วหลังแทบจะตั้งรับไม่ไหว หัวใจเต้นระรัวในอก เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยถามนางเสียงเคร่งขรึม

เช่นนั้นข้าเป็นใคร

เขียว “สามี”

เซียวลิ่วหลัง “สามีคือใคร”

เขียว “ลิ่วหลัง เซียวลิ่วหลัง!”

ครั้นพูดจบนางก็กลายเป็นเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง พูดจายานคาง ก่อนจะล้มลงบนเตียงแล้วหลับไป

เซียวลิ่วหลังมองดวงหน้าน้อยที่แดงระเรื่อ ขนตางอนยาว ริมฝีปากที่อ้าเผยอน้อยๆ ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อน ขึ้นลง ก่อนจะรีบเบนหน้าไปทางอื่น

เขายืนขึ้น วินาทีที่จะตั้งใจว่าจะเดินออกไป จู่ๆ กู้เจียวก็คว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แกว่งไปมาทั้งที่ยังสะลึมสะลือ จน

เขาล้มตัวลงเข้าหานาง

เขาใช้มือข้างหนึ่งค่ายันเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั่นคงล้มทับตัวนางแล้วเป็นแน่

ใบหน้าของนางห่างเพียงแค่คืบ ลมหายใจกลิ่นเหล้าดอกสาลี่รวยรินอยู่ที่ปลายจมูกเขา

ขนตางอนยาวของเซียวลิ่วหลังสั่นไหว ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ยตั้งแต่เมื่อใด กระดูกไหปลาร้าเนียนละเอียด จึงเผยออกมาให้เห็นกว่าครึ่ง เพียงแค่สายตาของเขากวาดผ่าน ก็พลันรู้สึกว่าเลือดลมพลุ่งพล่านไปถึงกลางศีรษะ

ลมหายใจของเขาหอบกระชั้นขึ้นมา

เรียวนิ้วของกู้เจียวคว้าคอเสื้อของเขาไว้ หลับตาลงก่อนจะเอ่ยเสียงพึมพํา “อยากจูบ”

“จูบใคร”

เจียวเจียว”

ใครจูบเจียวเจียว”

“ลิ่วหลัง ลิ่วหลังจูบเจียวเจียว”

เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึกอีกครั้ง ยกฝ่ามือขึ้นปิดดวงตาที่เบิกกว้างของนางแล้วโน้มตัวลง วินาทีที่กําลังจะสัมผัส กับริมฝีปากของนาง เขากลับชะงักไปแล้วหันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะประทับจูบอ่อนโยนลงบนริมฝีปากของนาง

เรื่องที่ถังหมิงถูกฉ้งชิงฟันแขนขาดนั้นแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทว่าเรื่องที่ถังหมิงถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยมใน

ยามกลางดึกนั้นกลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ รู้เพียงแต่ว่ามีมือสังหารลอบเข้ามาในจวน

ประกาศจับของทางการติดเต็มไปหมดตรอกซอกซอยทุกหนแห่ง

แต่น่าเสียดายที่ในประกาศจับนั้นไม่มีแม้แต่ใบหน้า มีเพียงแค่คําบรรยายว่าอีกฝ่ายรูปร่างสูงโปร่ง ทั้งยังเป็น

หาอย่างไรก็หาไม่เจอหรอก!

เพราะมีอสังหารเป็นผู้หญิงน่ะสิ!

ไม่มีผู้ใดสงสัยในตัวเดียว แต่แน่นอนว่าถึงหญิงแม้บาดเจ็บสาหัสถึงปานนั้น แต่ก็กลับไม่เชิญกู้เจียวไปรักษาที่ จวนหยวน ชว

ทว่าก็ไม่แปลก เพราะถ้งหมิงบาดเจ็บไม่ถูกที่ถูกทาง เรื่องบางเรื่องคงให้ใครรู้ไม่ได้ ถ้งเย่ ชานเหมือนถูกคนพรากชีวิตไปครึ่งหนึ่ง ชั่วเวลาเพียงข้ามคืน ผมเขาหงอกไปไม่รู้กี่เส้นแล้ว

ยามที่หมอทหารมารักษาบาดแผลให้กับถังหมิงก็เป็นเช้าวันต่อมาแล้ว

ถังเย่ว์ชานมองถึงหมิงที่พันผ้าพันแผล

ทั้งตัวยกเว้นท่อนแขนที่ถูกเย็บติด เส้นเลือดฝอยในตาแดงก่ําจนแทบระเบิดออกมา

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะจับตัวคนร้ายมาให้ได้ จะล้างแค้นให้เจ้าอย่างสาสม!”

ถังเย่ ซานเอ่ยเสียงเย็นจบ ก็ลูบหน้าผากถังหมิงด้วยความรักใคร่ ก่อนจะไปยังค่ายทหารด้วยความเดือดดาล เมื่อเขามาถึงค่ายทหาร ก็มุ่งตรงไปยังห้องสําเร็จโทษ

เขาคิดว่าเรื่องเมื่อคืนวานต้องเกี่ยวข้องกู้นั่งชิงอย่างแน่นอน!

ตอนนีเขานั่นเดือดพล่าน

มือสังหารแม้แต่นิด

ไฟโกรธแผดเผาสติเขาจนมอดไหม้

จนลืมไปว่ารูปร่างของกู้ฉิงชังนั้นไม่เหมือน

มือสังหารรูปร่างเล็กกว่านั่งชิง ทว่าก็เว้นเสียแต่ว่าเขามองพลาดไปเพราะความตื่นตระหนก

เขาถีบประตูใหญ่ของห้องสําเร็จโทษ คว้าคอเสื้อของฉงชิงด้วยความโกรธแค้น กระชากเขาขึ้นมาจากเก้าอี้หญ้า

ฟาง “เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่ เมื่อคืนเป็นเจ้าใช่หรือไม่”

กู้ฉังชิงไม่ได้เดือดดาลตามแรงอารมณ์ของถังเย่ ชาน เขาใช้สายตามองไปอย่างเยือกเย็น “ท่านหยวนไปว่พูดถึง

อะไรใชข้าหรือไม่”

ถังเย่ ชานกัดฟันเอ่ย “เจ้าอย่ามาเสแสร้งกับช้า! เมื่อคืนเจ้าบุกเข้ามาในจวนหยวนไซว่ ลอบทําร้ายหมิงเอ๋อ ! เจ้า เอาแขนเขาไปแล้วหนึ่งข้างยังไม่พอหรือ… เหตุใดเจ้าต้องทําร้ายเขาถึงปานนั้น…ฉงชิง เจ้ามันอํามหิต!”

กู้ฉิงชิงมองเขาอยากเย็นชา ไม่เอ่ยคําใด

อันที่จริงระหว่างกู้ฉิงชิงและถังเย่ว์ซานไม่ได้มีเรื่องเจ็บแค้นอันใดมากนัก หากทหารของสองตระกูลบังเอิญพบกัน ไม่ได้เกี่ยวว่าถังเย่ว์ชานเป็นเจ้านายแต่อย่างใด หากเป็นผู้อื่น ทหารตระกูลกู้อาจจะ

ในค่ายต่างก็โค้งคํานับกันและกัน

ไม่ได้ปฏิบัติอย่างดีเช่นนี้

ทว่าพอกู้ฉ้งชิงและถังหมิงมีเรื่องขัดแย้งไม่ลงรอยกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่ถึงเย่ว์ซานจะไม่ปกป้องถึงหมิง อย่างนั่นเขากับถังเย่ ชานจึงแตกหักกันโดยปริยาย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จําเป็นต้องเกรงใจกันอีกต่อไป

ฉงชิงยิ่งสงบนิ่งเท่าไหร่ ถึงเย่ว์ซานก็ยิ่งเดือดพล่านยิ่งกว่านั้น “เจ้าไม่ยอมรับอย่างนั้น ได้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่า ข้าไม่เตือน! ใครก็ได้มาที! เอาเครืองลงโทษออกมา!”

“ใต้เท้าถึงจะหาอะไรหรือ”

นํ้าเสียงไม่ช้าไม่เร็วนักของเชวียนผิงโหวด้งออกมาจากด้านนอกของห้องสําเร็จโทษ

เขาคือคนไม่แม้แต่จะเข้าประชุมราชสํานักยามเช้า แต่กลับตื่นแต่ฟ้าสางเพื่อกู้ฉิงชิง ง่วงนอนชะมัด! เซียวผิงไหวหาววอดอย่างเกียจคร้าน เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู ดวงตาง่วงงุนมองเข้าไปข้างใน “ทําเรื่อง โหดเหี้ยมทารุณตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ไม่ดีกระมัง”

ดวงตาลุกเป็นไฟทั้งสองข้างของถังเย่ว์ซานมองไปทางเซวียนผิงโหว “เซียว ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้ามาแต่เรื่องนี้!”

เชวียนผิงโหวง่วงนอนเหลือเกิน ยกแขนเสื้อขึ้นมาป้องปากหาว

คนรูปงามแม้แต่หาวยังชวนมอง

เขาซ้อนตาขึ้นอย่างเชื่องช้า หรี่ตามองถึงเย่ว์ซานก่อนจะเอ่ยขึ้น “บังเอิญนัก ข้าชอบแส่หาเรื่องเสียด้วยสิ ยิ่ง จอมทัพหยวนไซวผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านแยกชิงอําานาจทหารของข้าไป คิดแล้วคิดอีก ข้าก็ยังลังเลใจไม่น้อย ใช่ จัดการ

ข้าต้องจัดการ”

ถึงเย่วชาน

ถังเย่ว์ซานเอ่ยน้ําเสียงเดือดดาล “เจ้าคิดว่าเจ้าจะจัดการได้หรือ ข้าคือจอมพลหยวนไซวผู้ยิ่งใหญ่ที่ไทเฮาแต่ตั้ง มาด้วยพระองค์เอง ในค่ายทหารแห่งนี้ มีแต่ขุนนาง ไม่มีท่านโหวใด! หยวนไซวผู้นี้อยู่เหนือเจ้า เจ้าคิดจะแสเรื่องของ

ช้าหรือ!”

เชวียนผิงไหวนิ่งเงียบ ราวกับกําลังไตร่ตรองคําพูดของถังเย่ ชาน

“อืม”

เขาเอ่ยอม ก่อนจะพยักหน้าแล้วกวักนิ้วเรียวนิ้งจึง

ฉ้งจึงเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยถามเชวียนผิงโหว “ต้องลงไม้ลงมือแล้วหรือ

เชวียนผิวไหวขมวดคิ้วเชิงต่าหนี ก่อนจะเอ่ยค่อนแคะฉิ่งจิ่ง เขาเอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์นัก “เอะอะอะไรก็ลงไม่ ลงมือ เอาเยี่ยงย่างมาจากผู้ใดกัน ปกติแล้วข้าสอนเจ้าเช่นนั้นหรือ”

เขาบ่นไปพลาง มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาดเอวใบน้อยของฉังจิ่งไปพลาง ก่อนจะล้วงลูกแก้วออกมาสองลูก แล้วหันไปมองถึงเย่ ชาน “ใต้เท้าถึง ไม่อย่างนั้นท่านมาเดิมพันกับข้า หรือไม่ หากท่านชนะ ท่านจะจัดการกู้ดูเว่ยอย างไรก็ได้ แต่หากท่านแพ้ ก็ห้ามลงโทษกู้เว่ยอีก”

ถังเย่วิชานเอ่ยเสียดสี “เหอะ พวกปลิ้นปล้อนอย่างเจ้า ใครจะไปเดิมพันด้วย”

เชวียนผิงไหวทอดถอนใจ “เฮ้อ จะว่าอย่างไรดีล่ะ อย่างน้อยท่านกับข้ารู้จักกันมาหลายปี แม้จะไม่ใช่สหายแต่ก็ มีความหวังดีต่อกัน ข้าจะเอาเปรียบท่านได้อย่างไรเล่า ข้ารับรองว่ายุติธรรมแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าท่านไม่กล้าเดิมพัน

ดังเย่วชานเอ่ยเสียงเย็น “อย่ามาท้าทายข้าเชียว!

เชวียนผิงไหวเอ่ย “เอาตําาแหน่งโหวของข้าเป็นประกัน”

ถังเย่ ชานชะงักไป

เชวียนผิงโหวมองลูกแก้วในมือก่อนจะเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “หากแพ้แล้ว ข้าเซียว ผู้ที่จะไม่เป็นท่านโหวอีกต่อไป”

ข้อเสนอ น่าสนใจไม่น้อยเต็มที

แม้ทุกวันนี้เขาจะเป็นจอมพลหยวนไซวผู้ยิ่งใหญ่ แต่คนที่ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงกลับเป็นเซวียนผิงโหว

หากเชวียนผิงโหวมิใช่เชวียนผิงโหวอีกต่อไป จะมีสิทธิ์อะไรมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับถังเย่ ชานเช่นเขา

เชวียนผิงโหวเอ่ยน่าเสียงจริงจัง “เอาเป็นว่าถึงแพ้ท่านก็ไม่มีอะไรต้องเสีย หากขนาดนี้แล้วยังไม่เดิมพันอีก ก็โง่

ดังเย่ ชานคลายหมัดปล่อยกู้ฉิงชิงให้เป็นอิสระ “ได้ เช่นนั้นเจ้าจะเติมพ้นด้วยอะไร”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *