ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต 4

Now you are reading ชีวิตชิวๆกับกองทัพของท่านราชาผู้พิชิต Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.4 – เรื่องราวต่อจากนี้ของผู้ถูกอัญเชิญกับเด็กสาวที่สืบสายเลือดของจักรพรรดิมังกร

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

“–คือว่า…คุณคือ…?”

เด็กสาวพูด

เป็นเด็กสาวที่งดงาม

ดวงตาสีม่วงเบิกกว้าง มองตรงมาที่ผม แก้มสีขาวนวลราวกับมุก ผมสีเงินถูกมัดเอาไว้

ลักษณะที่เด่นๆเลยก็คือหู ยาวแหลมเล็กน้อย ข้างหลังนั่นก็มีเขาเล็กๆที่เหมือนกับอัญมณี

ราวกับมังกร ที่บอกว่าสืบสายเลือดของ[จักรพรรดิมังกร]คือแบบนี้สินะ

ส่วนสูงนั้นเตี้ยกว่าผมเล็กน้อย
กำลังตกใจ–หรือว่ากำลังกลัวอยู่หรือไงกันนะ ถึงไม่ได้ขยับตัวสักนิด
ถ้าเป็นโลกเดิมคงจะกรี๊ดไปแล้ว…

“ท่าน…จักรพรรดิมังกร?”

ดวงตาสีม่วงของเธอเปล่งประกาย แล้วพูดแบบนั้นออกมา

“ท่านจักรพรรดิมังกรตอบสนองคำขอของริเซ็ต เลยส่งผู้ถูกเลือกมาที่นี่…?”
“ผิดแล้วครับ”

ยังไงก็ปฏิเสธไว้ก่อน
ผมถอยหลังออกไป แล้วยกมือขึ้นแสดงความไม่มีพิษภัย
ถอยระยะออกเพื่อไม่ให้เด็กสาวกลัว

“ชื่อของผมคือ…คิริว โชมะ เป็นนักเดินทางครับ พอดีว่าหลงทางแล้วเจออาคารนี้เข้า ก็เลยเข้าไปพักรอฟ้าสว่างครับ ไม่ได้จะทำอะไรเธอด้วยครับ”
“แต่ว่า…เมื่อกี้ คุณ…เปิดประตูของ[สุสานจักรพรรดิมังกร]สินะคะ?”

ฉึบ

เด็กสาวเข้ามาใกล้
โกรธอยู่เหรอ เธอยกคิ้วขึ้น แล้วมองจ้องมาที่ทางนี้

“ประตูของ[สุสานจักรพรรดิมังกร]แห่งนี้นอกจากผู้สิบทอดของท่านจักรพรรดิมังกรแล้วก็ไม่มีทางเปิดได้ค่ะ เรื่องนั้นไม่ว่าใครในทวีปแห่งนี้ก็รู้กันทั้งนั้นล่ะค่ะ! ริเซ็ตเอง…ก็พยายามเต็มที่ยังสามารถเปิดออกมาได้แค่นิดเดียว…”

“…ขอโทษด้วยละกัน”

“…ไม่ค่ะ ถ้ามี[ผู้สืบทอดของท่านจักรพรรดิมังกร]ปรากฎตัวออกมา แค่นั้น…ก็เพียงพอสำหรับริเซ็ตแล้วค่ะ”

เด็กสาวยืดอก แล้วถอนหายใจออกมา

จากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกชายกระโปรงขึ้น ทำความเคารพ

“ถ้าอย่างนั้นฉัน–ริเซ็ต รูจก็ขอสาบานค่ะ ในฐานะผู้สืบทอดสายเลือดของมังกรแล้ว จะขอรับใช้เป็นข้าราชบริพารของท่าน ณ ที่แห่งนี้ ณ เวลานี้ ขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์–”
“ไม่ต้องสาบานก็ได้ครับ ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด”

ผมรีบเข้าไปขัดคำพูดของเธอ

ถ้าปล่อยไว้เป็นเรื่องใหญ่แน่

“ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ[จักรพรรดิมังกร]ครับ แน่นอนว่า ไม่ใช่ราชาอะไรด้วย”
“แต่ว่าก็เปิดประตูของ[สุสานจักรพรรดิมังกร]ได้สินะคะ?”

เด็กสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้แบบรู้สึกถึงลมหายใจ
ก็เข้าใจว่าตื่นเต้น ที่แห่งนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยสินะ…
ช่วยไม่ได้

ก็ไม่รู้หรอกว่าจะเชื่อหรือเปล่า แต่ลองพูดความจริงดีกว่า

“ความจริงแล้วผม เป็นมนุษย์ที่มาจากต่างโลกครับ”

ผมพูดออกไป

ก่อนอื่นก็มองตรงไปที่อีกฝ่าย ดูเหมือนว่าจะเป็นมารยาทของโลกนี้ เธอก็เลยมองกลับมาด้วย

“มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ผมติดเข้ามาในการอัญเชิญของเทพธิดาที่ทำการรวบรวม[ดวงวิญญาณหนุ่มสาวที่ตาย]มาเพื่อกอบกู้ยุคมืดนี้ครับ แต่ว่า ด้วยความผิดพลาด ทำให้ถูกปล่อยลงในป่านี้ครับ นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…ตอนที่กำลังเดินหาบ้านคนก็มาถึงที่นี่ครับ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่สำคัญก็เลยใช้เป็นที่สำหรับซ่อนตัวจากอสูรครับ ต้อขอโทษที่ทำอะไรตามใจด้วย”

ไม่มีคำโกหก

ถึงจะเป็นตาลุงวัยสามสิบที่ถูกอัญเชิญมาผิดแล้วถูกปล่อยทิ้ง แต่ไอ้เรื่องที่จะให้หลอกเด็กสาววัยมอต้นเนี่ย มันยังไงดี…มันไม่ใช่

แถมเธอยังเป็นคนแรกที่คุยรู้เรื่องที่ผมพบในโลกนี้ ไอ้การจะเป็นเพื่อนอาจจะดูเอาแต่ใจไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็อยากจะให้เป็นมิตรคอยบอกทางให้

“ไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือเปล่า แต่ว่า ไม่ได้พูดโกหกครับ”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”

เด็กสาวริเซ็ตพยักหน้า

“ถ้าคิดว่าที่สามารถเปิด[สุสานจักรพรรดิมังกร]ได้เพราะว่ามาจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือหลักการของโลกใบนี้ก็เข้าใจได้ค่ะ ริเซ็ตเชื่อคำพูดของคุณคิริว โชมะ…ไม่สิ ท่านโชมะค่ะ”
“ขอบคุณ”

ดีจริง…

ผมถอนหายใจออกมาแล้วนั่งลงกับพื้น

ดูเหมือนผมจะเครียดยิ่งกว่าที่คิดอีก

“ดีจริงๆที่ยอมเชื่อ…ขอบคุณจริงๆ”

“ถ้าคิดจะหลอกริเซ็ต คงจะไม่ใช้เรื่องอย่างเป็นคนจากต่างโลกหรอกใช่ไหมล่ะคะ?”

เธอเอามือบังปากแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“แถมยังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยมาจากตัวของท่านโชมะด้วยค่ะ ยังไงก็เถอะค่ะ ราวกับได้เจอกับครอบครัวที่เป็นญาติห่างๆเลยค่ะ”
“นั่นมัน…ไม่ใช่เพราะว่าผมออกมาจาก[ที่นี่]เหรอไง”

เพราะว่าออกมาจาก[สุสานจักรพรรดิมังกร] ก็เลยรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิมังกร

“ไม่ใช่แบบนั้น…อืมม ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันค่ะ”

ริเซ็ตเอียงคอสงสัย

ตามจริงแล้วผมก็ไม่เข้าใจ

ในกรณีของผม ก็อาจจะเพราะไม่เข้าใจถึงที่มาของสกิลของตัวเองก็ได้

“เรื่องโดยละเอียดเอาไว้คุยกันทีหลังค่ะ ท่านโชมะมาที่โลกนี้ด้วยอุบัติเหตุสินะคะ?”

“อืม ถ้ายุคมืดจบลงแล้วก็จะได้กลับไปโลกเดิมน่ะ”

ถึงจะไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยก็เถอะ

ท่านเทพธิดาองค์นั้น ก็จริงจังอยู่หรอก แต่ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ซุ่มซ่ามสุดๆ

“ดังนั้น ก็ต้องเอาชีวิตให้รอดในโลกนี้จนกว่าจะถึงตอนนั้นน่ะครับ ดังนัน้แล้ว ช่วยบอกทางไปจนถึงที่ที่มีคนอยู่อาศัยได้ไหมครับ?”
“ก็ได้อยู่ค่ะ…แต่ว่าหลังจากนั้น จะเอายังไงเหรอคะ?”
“ก่อนอื่นก็หาที่ปักหลัก แล้วค่อยคิดต่อครับ”

ความสามารถในการลำดับความเป็นจริง ก็มีอยู่พอตัว

ในโลกก่อนนั้นเป็นโปรแกรมเมอร์กับคนดูแลระบบ ก็เลยเชี่ยวชาญเรื่องการลำดับความสำคัญของงานอยู่

อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือหาที่ที่ปลอดภัยอยู่
ต่อจากนั้น ก็อาหารและน้ำดื่ม–ก็คิดหาวิธีที่จะเอามา
วิธีที่ผมจะหามันมาได้ในโลกนี้ ก็มีแค่นั้น

( 1 ) หาคนที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลกเหมือนกัน แล้วขอร้อง
( 2 ) หางานทำด้วยตัวเอง แล้วเอาชีวิตรอด

( 3 ) เอาตัวรอดคนเดียวในที่ห่างไกลผู้คน

ก่อนอื่นก็ตัด ( 3 ) ทิ้งไปเลย การใช้ชีวิตกลางป่าในโลกที่มีอสูรมันอันตรายเกินไป

( 1 ) ก็พอมีความเป็นไปได้อยู่…แต่ถ้าคิดดูดีๆก็อาจจะยาก ผมคือคนที่ถูกอัญเชิญมาด้วยความผิดพลาด ถ้ามองจากมุมของผู้ถูกอัญเชิญแบบถูกต้องแล้วอาจจะเห็นว่าอ่อนแอไร้ประโยชน์ก็ได้ ดังนั้น ตอนที่ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ก็ค่อยเลือกตัวเลือกนี้ล่ะ

ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง ( 2 ) ที่เป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด

เพื่อการนั้น ก่อนอื่นก็จำเป็นต้องหาที่ไว้พักสมอง
ถึงผมจะมีอยู่หลายสกิล แต่ก็ไม่ว่ารู้ในโลกใบนี้แล้วมันแข็งแกร่งขนาดไหน จะใช้ได้ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ดังนั้นก่อนอื่น ก็ต้องวิเคราะห์สกิลกันก่อน

เพื่อการนั้นจำเป็นต้องมีที่ให้พักพิง–สุดท้าย ก็ต้องหาบ้านคน นั่นคือข้อสรุป

…ถึงจะไม่รู้ว่าจะไปได้สวยหรือเปล่าก็เถอะ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในโลกเดิมโดนสั่งงานแบบไม่หยุดหย่อนหรือเปล่า ก็เลยติดการคิดให้เป็นระบบ เพราะว่าในที่ทำงานนั้นถ้าเกิดคิดว่าเป็นเพื่อนแล้วก็จะโดนโยนงานมาให้ ถ้าไม่เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดก็จะไม่มีเวลานอนเอา

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ…ที่กลายเป็นแบบนี้

สมัยเป็นนักเรียน ก็ไม่ใช่แบบนี้แท้ๆ

“เข้าใจแล้วค่ะ”

หลัะงจากฟังเรื่องของผม ริเซ็ตก็พยักหน้า

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็มาที่หมู่บ้านของเราเถอะค่ะ ริเซ็ตจะขอร้องทุกคนในหมู่บ้านให้รับท่านโชมะไว้เองค่ะ”

“เอ๊ะ?”

จะดีเหรอ? คนต่างโลกเลยนะ?

ทั้งวัฒนธรรมทั้งวิธีคิดก็ต่างกัน เดิมทีโลกใบนี้เป็นแบบไหนก็ไม่รู้สักนิด
รับไว้แล้วจะไม่เป็นไรเหรอ? พูดเองก็ยังไงยังไงอยู่หรอก

“ก็ไม่อยากจะไปรบกวนอะไรหรอก”

“ริเซ็ตเป็นผู้สืบสายเลือดจักรพรรดิมังกร ผู้รักในความยุติธรรมค่ะ”

เด็กสาวมองมาที่ผมด้วยสายตามุ่งมั่น

“ถึงจะไม่มีพลังในฐานะราชา พลังของมังกรก็ใช้ไม่ได้ค่ะ แต่ว่า ก็ยังภูมิใจในฐานะลูกหลานของจักรพรรดิมังกรค่ะ ริเซ็ตผู้นี้ถ้ามีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางนิ่งเฉยได้หรอกค่ะ”「

เหมือนจะไม่มีความลังเลเลย

ทำเอาคิดเลยว่า จะดีจริงๆเหรอที่เชื่อใจคนง่ายแบบนี้

“…ยังไงก็ เอาไว้ก่อน”

ผมพูดออกมา

“ก่อนอื่นถ้านำทางไปถึงหมู่บ้านจะช่วยได้มากเลย เรื่องหลังจากนั้นก็ไว้ค่อยคิดละกัน”

“คือว่า…ท่านโชมะ หรือว่าจะไม่เข้าใจถึงความสามารถของตัวเองเหรอคะ?”

ริเซ็ตเอียงคออย่างประหลาดใจ

“ที่นี่คือสถานที่ถูกเรียกว่าชายแดนค่ะ ป่านี้มีอสูรเยอะแยะมากเลยค่ะ”

“อืม เมื่อวานก็เจอกับอสูรตัวสีดำอยู่ ที่รูปร่างเหมือนคนตัวเล็กๆน่ะ”

“ก็อบลินดำสินะคะ การที่เจอกับพวกมันแล้วยังมาอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าท่านโชมะมีพลังพอที่จะสู้กับอสูร หรือหนีมันมาได้ค่ะ”

“ก็ คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง”

“แล้วตอนนี้ก็เป็นยุคมืดค่ะ ผู้คนต่อสู้ และทำรร้ายกันอยู่ตลอดเวลาค่ะ”

ริเซ็ตพูดแบบนั้นแล้วก็จ้องมาที่ใบหน้าของผม

“แต่ว่าท่านโชมะก็ยอมคุยด้วยอย่างอ่อนโยนค่ะ โดยไม่สนใจเรื่องที่ริเซ็ตมีเขางอกออกมา–ไม่ใช่มนุษย์บริสุทธิ์ค่ะ คนที่มีพลังต่อสู้และคุยกันรู้เรื่อง แล้วก็น่าจะเป็นพวกเดียวกันได้ คนแบบนั้นในยุคมืดนี้ คิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญขนาดไหนกันล่ะคะ?”

“…อา”

งงจริงๆ

ในโลกของผมโดยพื้นฐานปกติแล้วก็เริ่มจากพูดคุยกันไม่ใช้โจมตีใส่กัน แต่โลกใบนี้จะแยกมิตรกับศัตรูในการเจอครั้งแรกก่อนเหรอ

ถ้าเป็นแบบนั้น การที่ผมได้เจอกับริเซ็ตเป็นคนแรกอาจจะโชคดีก็ได้

“จะว่าไปแล้ว…จะลองเข้ามาข้างใน[สุสานจักรพรรดิมังกร]ดูไหมล่ะครับ?”

ลืมไปเลย ประตู[สุสานจักรพรรดิมังกร]ยังเปิดอ้าอยู่เลย

ริเซ็ตนั้นฝันที่จะได้เข้าไปข้างใน คิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดี

ถึงในฐานะของขอบคุณที่ช่วยแล้ว จะดูน้อยไปก็เถอะ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ”

แต่ว่า ริเซ็ตก็ส่ายหน้า

“ตอนนี้ท่านโชมะสำคัญกว่าค่ะ การช่วยคนก็เป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”

“ต้องจำเป็น จะให้บอกสกิลของผมด้วยก็ได้นะ”

“ตอนนี้เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ แล้ว…คือว่า มีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อยค่ะ”

อยู่ๆริเซ็ตก็หน้าแดงแล้วถามออกมา

“ตอนที่ริเว็ตร้องไห้เมื่อกี้ ได้ยินไหมคะ?”

“…ไม่ได้ยินอะไรเลย”

ผมส่ายหน้า

บอกว่าเป็นความลับนี่นะ ทำเป็นไม่ได้ยินไปละกัน

“ตอนนั้นยังหลับอยู่น่ะ เหนื่อยสุดๆเลย”

“งะ งั้นเหรอคะ…ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ”

หลังจากนั้นรีเซ็ตก็เงยหน้าขึ้น–

“ถึงจะได้ยิน ก็ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินด้วยเถอะค่ะ ริเซ็ต ในฐานะผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิมังกรแล้ว จำเป็นต้องปกป้องทุกคนค่ะ ดังนั้น–”

ปี๊—-!!

อยู่ๆก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้นมาจากกลางป่า

“–ขลุ่ย!? มีคนขอความช่วยเหลือ–?”

ริเซ็ตเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปข้างหลัง

พร้อมกันนั้นก็เป็นอะไรแดงๆลอยขึ้นเหนือป่า

“ธนูผ้าสีแดง–2ดอก มี[อสูรดำ]ปรากฎตัวขึ้นค่ะ! มีใครบางคน กำลังถูกโจมตีค่ะ!!”

“[อสูรดำ]?”

อสูรสีดำ…จะว่าไป ที่ผมสู้ด้วยก็เป็น[ก็อบลินดำ]สินะ

ถึงจะตัดแขนไป แต่ก็ไม่ได้จัดการ

ถ้าเกิดมันมาโจมตีคนแถวๆนี้ล่ะก็…ไม่ดีแน่ๆ

“ท่านโชมะกรุณาเข้าไปซ่อนใน[สุสานจักรพรรดิมังกร]เถอะค่ะ”

ริเซ็ตหยิบดาบยาวที่วางบนพื้นขึ้นมา

“รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีค่ะ บางทีเด็กๆในหมู่บ้านอาจจะกำลังถูกโจมตีค่ะ ต้องรีบไปช่วย!”

พูดเสร็จริเซ็ตก็ออกวิ่ง

ผมสีเงินลอยสลวย ตรงเข้าไปในป่า

“…เอายังไงดีนะ…ตัวผม”

ผมตรวจสอบสกิลในตัว

พลังเวทที่ว่างเปล่าเมื่อวาน กลับมาเต็มแล้ว

แต่ที่ดูจะใช้ได้ก็มีแค่[ปลุกเผ่ามังกร]เท่านั้น วิธีการใช้[Naming Bless(เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ)]กับ[ชีพจรมังกร]ที่ได้มาจากใน[สุสานจักรพรรดิมังกร]เองก็ไม่รู้สักนิด

ไม่รู้เลย

ทำไมถึงมีแค่[ปลุกเผ่ามังกร]เท่านั้นที่ผมรู้สึกคุ้นเคย

“ไว้คิดทีหลังละกัน”

ในที่นี้ผมสามารถทำอะไรได้บ้าง?

ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรของโลกนี้เลย ที่ได้รู้ก็มีเพียงแค่น้อยนิด

แม้แต่ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู ก็ยังไม่เข้าใจ

“แต่ว่า…บอกเอาไว้ว่ากลัวการต่อสู้สินะ เด็กคนนั้น”

แถมถ้าเกิดอสูรที่โจมตีเด็กๆเป็นตัวเดียวกับที่ผมจัดการไปเมื่อวานล่ะก็–

“–ใช้งาน[ปลุกเผ่ามังกร]”

ผมใช้งานสกิล

ความสามารถของ[ปลุกเผ่ามังกร]คือ การใช้งานพลังของมังกร เพิ่มความเร็วในการตอบสนองกับพลังกาย และพลังป้องกันด้วยเกล็ดของมังกร

ยังไม่เคยชินกับการต่อสู้

แต่ก็คิดว่าถ้าแค่ทำให้เด็กหนีได้ก็ทำได้อยู่

“…ต่อจากนี้ก็อาจจะต้องคอยพึ่งพาด้วยสิ ถ้าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ล่ะก็นะ”

ผมออกวิ่งตามเธอไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด