Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 129 : Glimmer of Hope

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 129 : Glimmer of Hope at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่นากาใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ ในการอุ้มเด็กสาวผมขาวกลับออกมาจากทุ่งดอกไม้ที่เคยเป็นหมู่บ้านโมริโกะมาก่อนจนเด็กสาวในอ้อมแขนของเขาผล็อยหลับไปนากาก็ได้สังเกตเห็นรถกระบะคันใหญ่อยู่ที่สุดปลายสายตาเยื้องไปทางด้านซ้ายอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาเผลอเดินเบี้ยวออกจากเส้นทางไปเล็กน้อยและนั่นก็ทำให้เขาได้แต่ต้องรีบหันไปทางด้านนั้นและเดินตรงเข้าไปหาเอริกะกับเอริซาเบธที่กำลังนั่งจับกลุ่มกันอยู่ทางด้านท้ายรถ
 

“มาแล้ว…”

 

ในขณะที่นากากำลังค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เด็กสาวในอ้อมแขนของเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอยู่นั้นเดรคที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาสั้นๆ จนทำให้เอริซาเบธที่กำลังนั่งมุงดูแผนที่อยู่กับเอริกะเงยหน้าขึ้นมาพบเข้ากับนากาที่กำลังเดินตรงเข้ามา

 

“อ่ะ— นากาคุงกลับมาแล้วนั่นไงคะคุณเอริกะ”

 

“หืม?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธได้รีบเงยหน้าขึ้นมาจากแผนที่ที่เธอกำลังชี้ให้เอริซาเบธดูอยู่และกระโดดลงจากท้ายรถกระบะเพื่อเดินตรงไปรอต้อนรับนากาที่ริมขอบของทุ่งหญ้าด้วยความเป็นห่วง

 

“เป็นยังไงบ้างนากาคุง รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?”

 

“ไม่เลยนะ… เอาจริงๆ ตั้งแต่ที่ฉันเดินเข้าไปข้างในนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรผิดปกติเลยนะนั่น…”

 

“ฟูว… ถ้างั้นก็เอาเป็นว่ายินดีต้อนรับกลับมาก็แล้วกันนะ… เด็กคนนี้นี่น่ะหรอที่นายพูดถึงน่ะ?”

 

“เธอก็พูดอย่างกับว่าแถวนี้มันมีเด็กคนอื่นอีกอย่างงั้นล่ะ…”

 

“แหม่~ เอาจริงๆ สำหรับฉันแล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นเด็กน้อยกันทั้งนั้นแหล่ะน๊า~”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปและยื่นหน้าเข้าไปมองสำรวจเด็กสาวผมสีขาวที่นากาพาอุ้มออกมาจากทุ่งดอกไม้ใกล้ๆ ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นดอกไม้ทั้งสามดอกที่เด็กสาวผมสีขาวกำเอาไว้แน่นทั้งๆ ที่เธอผล็อยหลับไปแล้วจนทำให้เธอพูดถามนากาขึ้นมา

 

“ดอกไม้ที่ฉันสั่งให้นายเก็บกลับมาคือดอกไม้พวกนี้งั้นสินะ~?”

 

“อื้ม ฉันให้เด็กคนนี้ถือเอาไว้ก่อนจะได้อุ้มกลับมาได้สะดวกๆ น่ะ”

 

“กำเอาไว้ซะแน่นเลยนะเนี่ย… แต่ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้เป็นของฉันแล้วล่ะแม่สาวน้อย~”

 

เอริกะที่สังเกตเห็นว่าเด็กสาวผมสีขาวกำดอกไม้ในมือเอาไว้แน่นทั้งๆ ที่เธอนอนหลับไปแล้วราวกับเธอกลัวว่าจะเผลอทำมันหล่นได้เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะค่อยๆ ดึงดอกไม้หนึ่งดอกออกมาจากอุ้งมือของเด็กสาวอย่างระมัดระวังและเอามันมาส่องดูใกล้ๆ จนทำให้นากาที่เห็นว่าเอริกะเหลือดอกไม้อีกสองดอกเอาไว้ในมือของเด็กสาวต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“อ้าว… เธอไม่เอาดอกที่เหลือไปด้วยล่ะ?”

 

“เอาจริงๆ ฉันก็อยากได้มันทั้งหมดนั่นแหล่ะ แต่ว่าเอาไว้ค่อยขอเอาหลังจากที่เด็กคนนี้ตื่นแล้วน่าจะดีกว่าน่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าดอกไม้หายไปเดี๋ยวก็ได้ร้องไห้งอแงกันพอดี”

 

“เห… เธอนี่ก็ใจดีกับเด็กผิดคาดนะเนี่ย…”

 

“ฉันก็แค่ไม่อยากจะต้องมาคอยง้อพวกเด็กๆ ที่ร้องไห้งอแงต่างหากล่ะ… เอาจริงๆ แล้วฉันน่ะเกลียดเด็กจะตายไป โดยเฉพาะพวกเด็กเล็กๆ ที่ยังดูแลตัวเองกันไม่ได้เนี่ย”

 

“งั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินเอริกะพูดบ่นกระปอดกระแปดออกมาได้ละสายตาออกมาจากเด็กสาวผมสีขาวในอ้อมแขนเพื่อมองหน้าเอริกะด้วยสีหน้ายิ้มๆ จนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นได้แต่ต้องพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องออกมา

 

“อะไรเล่า แล้วไหนล่ะตัวอย่างดินที่ฉันฝากให้นายเก็บกลับมาด้วยน่ะ!”

 

“ก็อยู่ในเข็มทิศตามที่เธอสั่งเอาไว้นั่นแหล่ะ เดี๋ยวขอฉันวางเด็กคนนี้ลงก่อนก็แล้วกัน”

 

“นี่นายคิดจะปล่อยให้เด็กตัวแค่นี้นอนกับพื้นร้อนๆ แบบนี้จริงๆ หรือไง!? พาเธอไปนอนที่เบาะแค็ปด้านหลังรถนั่นก่อนไป๊ ส่วนตัวอย่างดินนั่นเดี๋ยวเอาไว้ค่อยให้ฉันระหว่างเดินทางกลับก็ได้”

 

“เบาะแค็ป…?”

 

คำศัพท์ที่นากาไม่คุ้นเคยที่ดังออกมาจากปากของเอริกะได้ทำให้นากาได้แต่ต้องเอ่ยปากพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านากาเพิ่งจะเคยเห็นรถยนต์ขนาดเล็กของเธอเป็นครั้งแรกเธอจึงได้พูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง

 

“ก็หมายถึงเบาะด้านหลังที่ฉันกองเอกสารเอาไว้นั่นไง ที่ด้านล่างของเบาะที่นายนั่งจะมีคันโยกให้นายดึงเลื่อนมันไปทางด้านหน้าอยู่น่ะ ส่วนเอกสารพวกนั้นนายโกยมันทิ้งลงพื้นรถหรือจับมันยัดๆ ไว้ตรงไหนก่อนก็ได้แล้วก็อุ้มเด็กคนนั้นไปนอนที่เบาะด้านหลังนั่นได้เลย”

 

“แต่รถนั่นมันสร้างมาจากเหล็กทั้งคันเลยไม่ใช่หรอน่ะ แบบนั้นข้างในมันจะไม่ร้อนแย่หรอ?”

 

“อ๋อ ฉันเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้ให้แล้วน่ะ เพราะงั้นข้างในนั้นน่าจะกำลังเย็นสบายเลยล่ะ”

 

“แอร์อะไรอีกล่ะนั่น…? …เอาเถอะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปนั่งรอเธออยู่ข้างในรถก็แล้วกันนะ”

 

นากาที่ได้ยินคำศัพท์ที่เขาไม่รู้จักดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้แต่กะพริบตามองเอริกะด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะตัดสินใจที่จะปล่อยวางและเดินไปทางรถยนต์ขนาดเล็กโดยไม่คิดที่จะพูดถามขึ้นมาอีกด้วยความกลัวว่าเอริกะอาจจะพ่นคำศัพท์โบราณประหลาดๆ พวกนี้ออกมามากไปกว่าเดิม

 

“โอ๊ะ…”

 

ในชั่วขณะที่นากาดึงที่จับประตูที่ตากแดดจนร้อนจี๋เพื่อเปิดประตูรถยนต์ออกมานั้นเขาก็ได้แต่ต้องหลุดปากออกมาด้วยความประหลาดใจเพราะว่าอากาศภายในตัวรถยนต์นั้นเย็นฉ่ำผิดกับอากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

ซึ่งเมื่อนากาได้ลองสังเกตดูดีๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าที่ตรงด้านหน้าของตัวรถยนต์ได้มีช่องว่างเล็กๆ ที่มีบานพับกำลังพ่นสายลมเย็นฉ่ำออกมาอยู่จนทำให้เขาสามารถดึงเก้าอี้ให้เลื่อนไปทางด้านหน้าและวางเด็กสาวผมสีขาวลงไปบนเบาะด้านหลังได้อย่างสบายใจก่อนที่เขาจะเลื่อนเก้าอี้กลับไปและนั่งนิ่งๆ ให้สายลมเย็นๆ พัดใส่หน้าของเขาเพื่อคลายความร้อน

 

“เฮ้อ…”

 

นากาที่นั่งรับสายลมเย็นๆ ที่โดยปกติแล้วจะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้นอกซะจากว่าจะเป็นในช่วงฤดูหนาวนั้นได้แต่ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเขานึกไปถึงก้อนน้ำแข็งเย็นๆ ที่พรีมูล่ามักจะชอบสร้างขึ้นมาเพื่อปาใส่เขาเล่นในวันที่อากาศร้อนจัดเหมือนกับวันนี้ ก่อนที่เขาจะเหลือบหันกลับไปมองเด็กสาวผมสีขาวที่เข้ามาเกาะแกะเขาเหมือนกับที่พรีมูล่าชอบทำเป็นประจำด้วยและเผลอยื่นมือออกไปลูบหัวของเธอเบาๆ

 

“ส่วนเด็กคนนี้นี่ก็หลับซะแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนะ…”

 

นากาพูดพึมพำออกมาก่อนที่เขาจะละสายตากลับไปมองทางด้านเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งพูดสั่งงานอะไรบางอย่างกับเอริซาเบธไปจนทำให้หญิงสาวหูจิ้งจอกต้องรีบปีนกลับขึ้นไปด้านบนหลังรถกระบะเพื่อใช้เครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าวิทยุแบบเดียวกับของเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นเพื่อติดต่อไปหาใครสักคนหนึ่ง

 

ซึ่งในขณะที่เอริซาเบธกำลังใช้เครื่องวิทยุสื่อสารอยู่นั้นทางด้านเอริกะก็ได้เดินตรงเข้ามาเปิดประตูรถยนต์ขนาดเล็กทางฝั่งคนขับและรีบมุดกายเข้ามานั่งด้านในอย่างรวดเร็ว

 

“โอ๊ยร้อนๆๆๆ”

 

“ก็นี่มันเที่ยงแล้วนี่นะ แถมข้างนอกนั่นก็ยังไม่เหลือต้นไม้สักต้นให้หลบแดดอีกต่างหาก… ว่าแต่เธอสั่งงานอะไรเอริซาเบธเขาไปล่ะนั่น ทำไมเอริเขาถึงรีบปีนขึ้นไปติดต่อหาใครขนาดนั้นน่ะ?”

 

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่บอกให้เอริเขาติดต่อไปบอกพวกกลุ่มอื่นๆ ที่เฝ้าระวังรอบๆ นี้ให้แยกย้ายไปพักผ่อนกันได้แล้วน่ะ แล้วก็ให้หาอาสาสมัครเข้าไปสำรวจทุ่งดอกไม้ที่นายเจอต่ออีกหน่อยนึง… แต่เอาเถอะ ยังไงก็คงจะไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่หรอกมั้งเพราะว่าทุกคนเองก็เหนื่อยจากเรื่องเมื่อวานนี้กันมากน่ะ…”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับยื่นหน้าของเธอเข้าไปจ่อรับลมเย็นที่ถูกพัดออกมาจากช่องเล็กๆ ที่อยู่ติดกับประตูฝั่งที่เธอนั่งอยู่ในขณะที่ทางด้านนากาที่นั่งว่างอยู่ก็ได้พยายามหาเรื่องชวนพูดคุยขึ้นมา

 

“จะว่าไปเมื่อวานนี้ฉันก็เหมือนจะได้ยินเอริซาเบธเขาพูดบอกเธอว่ามันมีการโจมตีเกิดขึ้นที่หมู่บ้านต่างๆ แทบจะทุกหมู่บ้านเลยนี่นะ…”

 

“ถ้าไม่ใช่ทุกหมู่บ้านมันก็เกือบๆ แล้วล่ะ… ต้องเรียกได้ว่าพวกนั้นรู้ไส้รู้พุงเมืองต่างๆ ดีมากเลยล่ะถึงได้วางแผนสะกิดประตูเมืองให้พวกคุณๆ ท่านๆ ทั้งหลายในวังสะดุ้งกันจนตัวลอยแล้วก็ดึงกองกำลังทหารกลับไปคุ้มกันกะลาหัวของตัวเองจนไม่ยอมส่งคนออกไปช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ กันแบบนั้นน่ะ…”

 

“แต่ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็หมายความว่าหมู่บ้านอื่นๆ เขาแทบจะถึงขั้นไร้ทางสู้กันเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ!? นี่ทหารพวกนั้นมันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน!?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้แต่กัดฟันแน่นและพูดขึ้นมาด้วยความเคียดแค้นปนไม่เข้าใจ เพราะถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเมื่อวานนี้มันจะดูไม่สมเหตุสมผลและเต็มไปด้วยความสับสน แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือว่ามีชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ได้ถูกฆ่าสังหารเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

 

ซึ่งท่าทีของนากาที่ดูโกรธแค้นแทนเหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านต่างๆ ที่เขาไม่รู้จักนั้นก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะยื่นมือไปตบบ่าของเขาเบาๆ

 

“เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะนากาคุง ต่อให้เป้าหมายจะเป็นประชาชนที่พวกเขาควรจะปกป้องก็เถอะแต่ถ้าเกิดมีคำว่าผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วล่ะก็ทหารพวกนั้นก็แทบจะไม่มีคำว่าลังเลหรอกนะ”

 

“เธอพูดจริงหรอน่ะเอริกะ… แบบนั้นมันบ้าชัดๆ แล้วนะ…”

 

“ก็นะ… ถ้านายอยู่มานานพอแล้วนายก็จะได้เห็นเรื่องแบบนี้จนเบื่อเลยล่ะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับเอื้อมมือไปจับพวงมาลัยก่อนที่เธอจะเหยียบคันเร่งจนทำให้รถยนต์ของพวกเขาแล่นไปตามถนนที่ตรงทอดยาวไปทางทิศตะวันออกเพื่อมุ่งหน้ากลับสู่เมืองรีมินัสแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่เอาจริงๆ แล้วฉันคิดว่าหมู่บ้านที่หายไปทั้งหมู่บ้านแบบนี้นี่ก็มีแค่หมู่บ้านโมริโกะของนายเท่านั้นล่ะ เพราะว่าพวกทหารรับจ้างที่ฉันส่งไปช่วยเหลือหมู่บ้านอื่นๆ ไม่ได้รายงานว่ามีเสาแสงหรือว่าทุ่งหญ้าโผล่ขึ้นมาที่อื่นเลยน่ะ”

 

“ว่าแต่ฉันได้ยินเธอพูดเหมือนกับว่าเธอเป็นคนส่งคนไปช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งทวีปนี่สรุปแล้วว่าเธอมีกำลังคนเท่าไหร่กันแน่เนี่ยเอริกะ?”

 

นากาที่ได้ยินเอริกะพูดเป็นทำนองว่าตัวเธอเองนี่ล่ะที่เป็นคนช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ ด้วยตัวคนเดียวในขณะที่ทางสี่เมืองหลวงที่มีกำลังทหารมากที่สุดดันตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะอยู่เบื้องหลังการโจมตีเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ได้แต่ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะนับว่าเป็นหนึ่งในกำลังคนของเอริกะแต่ว่าเขาก็เคยได้พบเพียงแค่กลุ่มของเอริซาเบธและเดรคที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคู่หูกันในขณะที่ทางด้านพยาบาลสาวมีอาเองก็ดูเหมือนว่าจะถูกแยกออกไปเป็นอีกหนึ่งหน่วยที่ทำหน้าที่สืบข้อมูลจากทางโรงพยาบาล

 

ซึ่งคำถามของนากาที่เอริกะนับเว่าขาเป็นหนึ่งในเด็กๆ ที่เธอรับมาดูแลนั้นก็ได้ทำให้เอริกะพูดตอบนากากลับไปแบบไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรมากนัก

 

“พวกกลุ่มอื่นๆ ที่ฉันพูดถึงนั่นเป็นแค่ทหารรับจ้างกลุ่มเล็กๆ ที่ฉันไปว่าจ้างมาใช้งานเฉยๆ น่ะ ถึงฉันจะไม่ได้สนิทกับพวกเขาเหมือนกับพวกเอริซาเบธก็เถอะแต่ยังไงฉันก็ยังนับว่าพวกเขาเป็นพรรคพวกได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ”

 

“ก็หวังว่าทหารรับจ้างของเธอคงจะไม่เหมือนกับทหารคนที่เธอเคยตะโกนด่าหรือว่าทหารที่พยายามมาจับฉันเข้าคุกนั่นก็แล้วกันนะ เฮ้อ…”

 

“นายอย่าไปพูดถึงทหารของเมืองรีมินัสพวกนั้นเลยเดี๋ยวมันจะพาลเสียอารมณ์เปล่าๆ … จริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าเสนาธิการหัวงูนั่นมันยอมส่งทหารออกไปช่วยเหลือพวกหมู่บ้านใกล้ๆ เมืองสักนิดนึงล่ะก็ทั้งพวกชาวบ้านทั้งทหารรับจ้างของฉันก็คงจะไม่ตายกันเยอะขนาดนี้หรอก…”

 

เอริกะที่ดูเหมือนว่าจะมีความแค้นส่วนตัวกับเสนาธิการของกองทัพได้เคี้ยวฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ก่อนที่เธอจะกดไปที่ปุ่มบนแว่นตาของเธออีกครั้งหนึ่งแล้วจึงปล่อยมือออกจากพวงมาลัยรถยนต์อีกครั้งหนึ่งเหมือนกับที่เธอทำในการเดินทางขามา แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างไปจากในทีแรกนั้นก็คือนากาค่อนข้างจะมั่นใจแล้วว่ารถยนต์ขนาดเล็กของพวกเขาคงจะไม่จำเป็นต้องใช้คนควบคุมอย่างแน่นอนเขาจึงไม่ได้รู้สึกตกใจมากสักเท่าไหร่นัก

 

“แต่ก็นั่นแหล่ะนากาคุง ฉันขอให้นายอดทนเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งใจร้อนผลีผลามทำอะไรลงไปจนกว่าฉันจะหาหลักฐานได้ว่าเรื่องที่หมู่บ้านของนายเป็นฝีมือของคนกลุ่มไหนกันแน่จะได้หรือเปล่า แล้วที่ฉันขอแบบนี้มันก็เพื่อตัวนายเองด้วยนะ เพราะถ้าเกิดนายทำอะไรวู่วามลงไปล่ะก็คนที่เดือดร้อนมันจะไม่ใช่แค่นายคนเดียวเพราะว่าพวกเขาคงจะไม่หยุดอยู่แค่ลงโทษแค่นายคนเดียวแต่ว่าคงจะรวมไปถึงโมโกะจัง คอนแนล หรือแม้แต่พวกไดเอน่าเขาด้วยน่ะ”

 

“ทั้งๆ ที่ต่อให้จะมีแค่ฉันคนเดียวที่เผลอไปก่อเรื่องเข้าน่ะนะ…?”

 

“อื้ม… เรื่องนี้ฉันอาจจะยังไม่เคยเตือนนายมาก่อน แต่ถ้าเกิดว่านายมีโอกาสได้ไปเจอคนใหญ่คนโตเข้าล่ะก็ขอให้นายจำไว้ว่านายห้ามทำให้พวกเขาเสียหน้าเป็นอันขาดเลยนะ เพราะไม่อย่างงั้นเจ้าพวกนั้นมันอาจจะทำบ้าอะไรขึ้นมาก็ได้น่ะ”

 

“งั้นหรอ… เฮ้อ… พวกเมืองหลวงต่างๆ นี่มันไม่เหมือนกับที่ฉันเคยเรียนมาจากในหนังสือที่หมู่บ้านเลยนะ…”

 

“ฉันก็เคยพูดให้นายฟังแล้วนี่ว่าพวกหนังสือประวัติศาสตร์พวกนั้นมันเชื่อถือไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่นะ~ แล้วยิ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองหลวงที่ถูกเขียนโดยเมืองหลวงเองแบบนั้นด้วยแล้วมันก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยน่ะสิ… ว่าแต่ตอนที่นายเข้าไปข้างในนั้นนายได้เจออะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกอารอนกับพยาบาลของเขาหรือว่าปู่ทวดของไดเอน่าจังเขาบ้างหรือเปล่าน่ะ ฉันหมายถึงอย่างอื่นนอกจากเสื้อกาวน์ของอารอนนั่นน่ะนะ”

 

“หือ? อารอนกับคุณพยาบาลน่ะยังพอว่า แต่นี่สรุปว่าปู่แม็กซ์เขาไปที่หมู่บ้านของฉันด้วยจริงๆ หรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้พูดถามกลับไปด้วยความสงสัยเพราะถึงแม้เขาจะคิดว่าเขาเห็นปู่แม็กอยู่ที่หมู่บ้านเมื่อวานนี้แต่ว่าตอนนั้นเขาก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่จนไม่สามารถมั่นใจได้

 

“อ้าว นายยังไม่รู้เรื่องนี้หรอ ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้ปู่ทวดของไดเอน่าจังเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากอารอนให้เข้าไปช่วยเหลือพวกนายที่ข้างในหมู่บ้านน่ะ แต่ว่าตัวเขาเองก็หายตัวไปหลังจากจบเรื่องเหมือนกับอารอนกับพยาบาลของเขาเหมือนกัน”

 

“แม้แต่ปู่แม็กซ์เองก็ด้วยงั้นหรอเนี่ย…”

 

นากาพูดพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความอัดอั้นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและพูดตอบเอริกะกลับไป

 

“แต่ว่าฉันเองก็ไม่เห็นอะไรข้างในนั้นเลยนะนอกจากทุ่งดอกไม้กับเสื้อกาวน์ของอารอนแล้วก็เด็กคนนั้นน่ะ”

 

“ถ้างั้นสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากเรื่องเมื่อวานนี้ก็มีแค่เสื้อของอารอนกับเด็กคนนั้นงั้นสินะ…ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงจะได้แต่หวังว่าแม่หนูน้อยคนนี้จะช่วยคลายปริศนาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านของนายให้กับพวกเราได้ล่ะนะ… เออใช่ ว่าแต่เด็กคนนี้ไม่ใช่คนในหมู่บ้านของนายหรอกหรอนากาคุง?”

 

“ไม่นะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าของเด็กคนนี้มาก่อนเลยน่ะ”

 

“งั้นหรอ… ถ้างั้นแบบนี้ก็คงอาจจะเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านหลังจากที่นายออกไปอยู่ในเมืองแล้วหรือไม่ก็เป็นเด็กในกองคาราวานที่แวะไปที่หมู่บ้านของนายตอนเกิดเรื่องพอดีก็ได้ล่ะมั้งเนี่ย… อ่ะ—เดี๋ยวแปปนึงนะนากาคุง”

 

ในระหว่างที่เอริกะกำลังพูดสันนิษฐานเกี่ยวกับตัวตนของเด็กสาวผมสีขาวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ออกมาอยู่นั้นเธอก็ได้ยื่นมือขึ้นไปกดที่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่เธอสวมใส่เอาไว้แล้วจึงเอ่ยปากพูดคุยกับคนที่ติดต่อมากลับไป

 

“อื้ม…เข้าใจแล้ว… อ๋อ ว่าแต่เธอก็ติดต่อมาได้จังหวะพอดีเลย… เธอลองสอบถามพวกชาวบ้านเขาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่มีผมสีขาวให้ฉันหน่อยสิว่ามีใครรู้จักเด็กที่มีลักษณะแบบนี้บ้างมั้ย……? หือ? ไม่มีใครรู้จักเลยหรอน่ะ? ถ้างั้นเธอลองถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องของพวกกองคาราวานหรือว่ากลุ่มคนที่เข้าไปสำรวจข้างในทะเลมรกตที่แวะไปที่หมู่บ้านก่อนที่จะเกิดเรื่องดูหน่อยสิว่าหนึ่งในนั้นมีเด็กผู้หญิงผมสีขาวบ้างมั้ย? ……..ช่วงนั้นไม่มีใครแวะไปพักที่หมู่บ้านนอกจากพวกเรสเนอร์เลยงั้นหรอ…”

 

“หืม?”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้นากาหูกระดิกด้วยความสนใจเพราะดูเหมือนว่าเอริกะจะกำลังพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กสาวผมสีขาวออกมาอยู่ แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้แอบชะโงกหน้าไปฟังการสนทนาของเอริกะนั้นหญิงสาวผมสีแดงก็ได้หันกลับมาพูดถามนากาขึ้นมาซะก่อน

 

“นากาคุงนายแน่ใจนะว่าไม่เคยเห็นเด็กคนนี้หรือว่าใครที่อาจจะเป็นพ่อแม่ของเด็กคนนี้ที่หมู่บ้านมาก่อนน่ะ?”

 

“อ–อื้อ ถึงที่หมู่บ้านจะมีคนที่มีผมสีขาวอยู่บ้างก็เถอะแต่ว่าเขาก็ยังไม่ได้มีลูกนะ”

 

นากาที่เกือบจะสะดุ้งไปเมื่ออยู่ดีๆ เอริกะก็หันกลับมาก็ได้รีบพูดตอบเธอกลับไป และเมื่อเอริกะได้รับคำตอบกลับไปจากนากาแล้วเธอก็ได้หันกลับไปคุยกับคนที่อยู่ปลายสายการสนทนาของเธอต่อ

 

“ทางด้านฉันเองก็ยืนยันว่าไม่มีเหมือนกัน ท่าทางจะงานหยาบซะแล้วสิแบบนี้…….. เธอไม่ต้องขอโทษหรอกจ้ะ เดี๋ยวเอาไว้พวกฉันจะลองสืบดูเอาเองก็แล้วกัน อื้ม โอเคจ้ะ งั้นเดี๋ยวเอาไว้อีกสักพักนึงฉันจะติดต่อไปหาก็แล้วกันนะ”

 

ปิ๊บ

 

“เรื่องเกี่ยวกับเด็กคนนี้หรอน่ะเอริกะ?”

 

ในทันทีที่นากาสังเกตเห็นว่าเอริกะยกมือขึ้นมากดที่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กในหูของเธออันเป็นสัญญาณของการตัดสายการสนทนาเขาก็ได้เอ่ยปากพูดถามเธอขึ้นมาด้วยความอยากรู้ในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับมา

 

“อื้ม… แต่ว่าเพื่อนของฉันที่คอยดูแลพวกชาวบ้านจากหมู่บ้านของนายอยู่ก็บอกว่าไม่มีใครรู้จักเด็กคนนี้เหมือนกันน่ะ”

 

“คนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อนเลยงั้นหรอ?”

 

“ใช่… ถ้าเป็นแบบนี้มันก็อาจจะหมายความว่าเด็กคนนี้กับครอบครัวอาจจะอยู่ในระหว่างการเดินทางไปที่หมู่บ้านโมริโกะหรือไม่ก็ผ่านไปแถวๆ นั้นพอดีแล้วก็ดันเกิดเรื่องขึ้นมาก่อนก็ได้น่ะ ส่วนที่เด็กคนนี้มีสภาพเป็นแบบนี้มันก็อาจจะเป็นเพราะว่าเธอต้องมาเห็นครอบครัวของตัวเองถูกทหารพวกนั้นฆ่าไปต่อหน้าต่อตาก็ได้ล่ะมั้ง…”

 

“แบบนั้นเองงั้นหรอ…”

 

นากาพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ และเอี้ยวตัวกลับไปมองเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังนอนละเมอกัดชายเสื้อกาวน์ของอารอนอยู่ด้วยแววตาสงสารก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาเอริกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เธอ… พอจะรักษาเด็กคนนี้ได้หรือเปล่าเอริกะ?”

 

“รักษางั้นหรอ… นั่นสินะ…”

 

เอริกะที่ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของนากาได้เอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ และละสายตาออกไปมองวิวทิวทัศน์รอบกายที่กำลังพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูงอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้าเป็นเรื่องข้างในสมองล่ะก็ปกติแล้วมันเป็นหน้าที่ของยัยบ้านั่นคนเดียวซะด้วยสิ… เฮ้อ… ถ้าจะให้พูดตามตรงแล้วฉันคงจะช่วยเหลืออะไรเด็กคนนี้ไม่ได้สักเท่าไหร่หรอกนะนากาคุง… เพราะว่าถ้าเกิดว่าเป็นบาดแผลทางด้านใจจิตล่ะก็ฉันใช้สองมือหรือว่าสิ่งประดิษฐ์ของฉันล้วงเข้าไปพันผ้าพันแผลให้ไม่ได้น่ะ…”

 

“แม้แต่เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้งั้นหรอ…”

 

“อื้ม… เรื่องของจิตใจนี่มันต้องใช้เวลาช่วยเยียวยาน่ะ… เฮ้อ… แต่ว่าสำหรับบางคนแล้วต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่บาดแผลที่เคยได้รับมันก็ไม่ได้บรรเทาลงเลยแม้แต่น้อยล่ะนะ…”

 

“……?”

 

คำพูดพึมพำของเอริกะได้ทำให้นากาเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับนิ่งเงียบจ้องมองดูแนวต้นไม้ที่พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วอยู่อย่างเงียบๆ อีกสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากทิวทัศน์รอบๆ และเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางช่วยเหลือเลยล่ะนะ… สิ่งที่เด็กคนนี้ต้องการในตอนนี้ก็คือครอบครัวน่ะ ครอบครัวที่จะคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าบาดแผลที่เธอได้รับจะเยียวยา… ครอบครัวที่จะไม่จากเธอไปไหนอีกจนกว่าเธอจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งนึง…”

 

“ครอบครัว…งั้นหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้กำมือทั้งสองข้างแน่นและก้มหน้าลงต่ำ เพราะถึงแม้ว่านากาจะไม่ได้บอบช้ำจนมีสภาพแบบเดียวกับเด็กสาวผมสีขาวแต่ว่าเขาเองก็เข้าใจดีว่าการสูญเสียครอบครัวที่เขารักไปต่อหน้าต่อตานั้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหนในขณะที่ทางด้านเอริกะเองก็ได้แต่ต้องพูดบ่นออกมาเพราะเธอเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะฝากเด็กคนนี้เอาไว้กับใครจนกว่าเขาจะหายดีดี

 

“ในช่วงเวลาแบบนี้คนของหมู่บ้านโมริโกะคงจะรับเลี้ยงเด็กเพิ่มอีกคนนึงไม่ไหวหรอกล่ะมั้ง… ทางด้านอารอนเองก็หายตัวไปแล้วด้วย… แล้วจะให้ฝากไว้กับพวกเด็กๆ อย่างคาร์เทียร์จังเขาที่มีทารกต้องดูแลอยู่แล้วก็คงจะไม่ไหวอีก… ส่วนพวกเอริซาเบธนี่ก็คงจะไม่ต้องพูดถึงเลย…”

 

“ฉันขอทำเอง…”

 

“อ—เอ๋ะ— เมื่อกี้นายว่ายังไงนะนากาคุง?”

 

“ถ้าเกิดว่าเด็กคนนี้ต้องการครอบครัวล่ะก็ฉันจะขอรับเด็กคนนี้ไปอยู่ด้วยเอง…!”

 

“……….”

 

คำพูดที่หนักแน่นของนากาได้ทำให้เอริกะหันกลับมาเลิกคิ้วจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ อยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะเหยียบไปที่แป้นเบรกของตัวรถจนทำให้รถยนต์ของพวกเธอค่อยๆ ลดความเร็วลงจนเสียงของล้อรถที่บดไปตามพื้นถนนเงียบลงไปและเหลืออยู่เพียงแค่เสียงของสายลมเย็นๆ ที่ถูกพ่นออกมาจากช่องเล็กๆ ที่ด้านหน้าตัวรถเท่านั้น

 

ซึ่งเอริกะก็ได้ใช้เวลาในการจ้องมองนากาอยู่อีกสักพักหนึ่งท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัดจนนากาเริ่มที่จะเหงื่อตก แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดถามเอริกะขึ้นมาถึงสาเหตุที่ทำให้เธอทำตัวแปลกๆ นั้นเอริกะก็ได้พูดถามเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่ไม่แสดงอารมณ์อันใดเสียก่อน

 

“ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรนี่ฉันขอถามก่อนสักหน่อยจะได้หรือเปล่าว่าทำไมนายถึงตัดสินใจแบบนั้นน่ะนากา?”

 

“มันก็… เพราะว่าตอนที่ฉันกลับไปที่เมืองฉันยังโชคดีที่ได้พวกเธอกับคุณแม่คอยช่วยเหลือเอาไว้จนกลับมาเป็นปกติได้… เพราะงั้นตอนนี้ฉันก็เลยอยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่ต้องมาเจอเรื่องแบบเดียวกันบ้างน่ะ…”

 

คำตอบที่นากาพูดขึ้นมาได้ทำให้เอริกะหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะพูดต่อว่าเด็กหนุ่มขึ้นมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมด้วยสายตาตำหนิ

 

“นากาคุง… ฉันก็เข้าใจนะว่าช่วงนี้นายผ่านอะไรมาเยอะ แต่ว่านายก็คงจะรู้ใช่มั้ยว่าถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะหายดีและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็ตามทีแต่ว่าเธอก็ไม่ใช่ตัวแทนของ ‘ใคร’ ทั้งนั้นน่ะ…. ถ้าเกิดว่านายคิดจะรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูเพื่อถมที่ว่างในใจของนายล่ะก็ฉันจะไม่มีวันยอมส่งตัวเด็กคนนี้ให้นายหรอกนะ… ทั้งเพื่อเด็กคนนี้แล้วก็เพื่อตัวนายเองด้วยน่ะ…”

 

“ห—หา!? เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่มีใครมาแทนที่ยัยบ๊องนั่นได้ทั้งนั้นน่ะ!! นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันเนี่ยหะ!?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าท่าทางของเด็กสาวผมสีขาวผู้ไร้เดียงสาคนนี้จะทำให้เขาคิดถึงพรีมูล่าขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราวก็ตามทีแต่ว่าเขาเองก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เอ่ยปากขอรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูเพราะว่าอยากจะเอาเธอมาแทนที่พรีมูล่าอย่างแน่นอน ซึ่งท่าทางอันหนักแน่นของนากาก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงเหยียบไปที่คันเร่งจนรถยนต์ขนาดเล็กเคลื่อนตัวอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้าเกิดว่านายคิดได้แบบนั้นงั้นฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะว่ายังไงมันก็คงจะดีกว่าการส่งเด็กคนนี้ไปให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้เลี้ยงดูแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ อ่ะ— แต่ถ้าเกิดว่าเราพบตัวญาติพี่น้องของเด็กคนนี้ที่อาจจะยังรอดชีวิตอยู่ล่ะก็พวกเราต้องคืนตัวเด็กคนนี้ให้กับพวกเขาอยู่ดีนะนากาคุง”

 

“อื้ม ฉันเข้าใจ เพราะยังไงถ้าให้เธอได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริงก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดใช่มั้ยล่ะ”

 

“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวพอพวกเรากลับไปถึงเมืองฉันจะพาเด็กคนนี้ไปตรวจร่างกายก่อนก็แล้วกันนะ เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าอาการของเด็กคนนี้เป็นยังไงบ้างหลังจากที่เธอเข้าไปนอนข้างในทะเลมรกตนั่นมาน่ะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาไปส่งที่คฤหาสน์ให้เอง แล้วถ้าเกิดว่านายพร้อมจะไปโรงเรียนเมื่อไหร่ช่วงตอนกลางวันก็ค่อยพาตัวเธอไปฝากไว้กับนิลิมที่คลินิกของอารอนไม่ก็คาร์เทียร์ที่ห้องพยาบาลก็แล้วกัน”

 

“อื้อ…รบกวนด้วยนะเอริกะ”

 

นากาที่ได้รับคำอนุญาตมาจากเอริกะแล้วได้หลุดยิ้มออกมาในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้หันกลับไปมองทางด้านเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างสงบสุขและเอ่ยปากถามนากาขึ้นมา

 

“ว่าแต่พวกเราจะเรียกเด็กคนนี้ว่าอะไรกันดีล่ะ นายได้คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้วหรือยัง?”

 

“เออ ฉันก็ลืมนึกเรื่องนี้ไปเลยแฮะ…”

 

“แหม~ นี่นายตัดสินใจจะดูแลเด็กคนนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คิดชื่อเอาไว้ให้เลยหรอเนี่ย แบบนี้นี่จะไปรอดหรือเปล่านะ~”

 

“ข…ขอโทษที…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดต่อว่าของเอริกะถึงกับต้องหดหัวลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าเอริกะเพียงแค่พูดหยอกเขาเล่นเพียงเท่านั้นโดยไม่ได้คิดที่จะต่อว่าอะไรจริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่นัก และหลังจากที่เอริกะได้ล้อนากาเล่นจนพอใจเธอแล้วเธอก็ได้ยื่นมือไปคุ้ยหากระดาษและปากกาที่ถูกนากาโกยลงพื้นรถเพื่อทำที่นอนให้เด็กสาวผมสีขาวขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป

 

“ในเมื่อเป็นเด็กผู้หญิงในทุ่งดอกไม้ถ้างั้นก็เอาเป็นชื่อนี้ดีมั้ยล่ะ~”

 

สิ่งที่เอริกะเขียนเอาไว้บนกระดาษนั้นก็คือตัวอักษรภาษาโบราณที่ประกอบไปด้วยตัวหนังสือทั้งหมดสี่ตัวเป็นคำว่า ‘YVES’ ซึ่งตัวอักษรตัว ‘Y’ ที่ปกติแล้วจะไม่ค่อยปรากฏอยู่เป็นตัวแรกสุดนั้นก็ถึงกับทำให้นากาที่มีความรู้เรื่องภาษาโบราณแบบงูๆ ปลาๆ ได้แต่ต้องลองอ่านออกเสียงออกมาตามที่เขาได้เรียนมาจากอาจารย์โซจิเพียงไม่กี่คาบเรียนก่อนหน้านี้จนออกมาเป็นเสียงประหลาดๆ ที่เขามั่นใจว่ามันคงจะไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน

 

“ตัว Y กับตัว V ที่อยู่ติดกันงั้นหรอ… มันอ่านออกเสียงว่ายังไงล่ะนั่น ยวีเอส… ยะเวส.. ไม่สิ ยีเวียส หรอ”

 

“จุ๊ๆ ท่าทางจะยังเรียนมาไม่พอนะจ๊ะนากาคุง มันอ่านออกเสียงว่า ‘อีฟ’ ต่างหากล่ะ~ เป็นชื่อที่พ้องเสียงมาจากในนิทานที่เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในสวนของพระเจ้าน่ะ ฉันคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเด็กคนนี้ดี นากาคุงคิดว่ายังไงบ้างล่ะ”

 

“เด็กผู้หญิงในสวนของพระเจ้างั้นหรอ… ถึงฉันจะไม่เคยได้ยินเรื่องนิทานที่เธอว่ามาก่อนก็เถอะแต่ถ้าเป็นชื่อนี้ก็คงจะดีล่ะมั้ง”

 

“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่านับแต่นี้ไปเด็กคนนี้ชื่อว่าอีฟก็แล้วกันเนอะ~ อ๋อ แล้วก็เดี๋ยวขากลับฉันจะไปส่งนายที่เรือนจำที่ไดเอน่าจังถูกกักบริเวณเอาไว้ตามที่ตกลงเอาไว้ตอนขามาก็แล้วกันนะ นายแค่เดินไปหาเจ้าหน้าที่เขาแล้วก็บอกธุระของนายไปตามตรงแค่นั้นล่ะไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”

 

“อ่า เข้าไปบอกเจ้าหน้าที่เขาว่ามาขอพบไดเอน่าเลยงั้นสินะ”

 

นากาพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองดูใบ้หน้าของเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างสงบสุขแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“อีฟ…งั้นสินะ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด