Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 56 : Bitter Fortune

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 56 : Bitter Fortune at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เรื่องทั้งหมดมันก็ประมาณนั้นแหล่ะครับ”

 

“หรือสรุปง่ายๆ ก็คือพวกเธอโชคดีที่ได้เพื่อนๆ เข้ามาช่วยเอาไว้งั้นสินะ”

 

“ครับ ไม่งั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายไหวหรือเปล่าเหมือนกัน”

 

นากาที่ใช้เวลาพักใหญ่ในการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในทุ่งราบทางตะวันออกเฉียงเหนือของรีมินัสให้ขุนนางทั้งห้าคนของกราวิทัสฟังนั้นพยักหน้าตอบคำถามที่โดตั้นถามขึ้นมาไปตามตรง

 

แต่ว่าเรื่องที่เขาเล่าไปนั้นค่อนข้างจะขาดเกินไปจากความเป็นจริงอยู่มากพอตัว เพราะว่านากาได้จงใจปิดบังเรื่องที่อิซานางิหรือก็คือหัวหน้าของทหารพวกนั้นเหมือนจะรู้จักกับเซซิลรวมถึงเรื่องพาร์ทของเอริกะที่อลิซใส่มาช่วยพวกเขาเอาไว้

 

ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าเขากับเซซิลที่ออกไปฝึกซ้อมกันในป่านอกเมืองได้บังเอิญพบกับทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนที่ท่าทางอันตรายอยู่จึงได้รีบเข้าไปช่วยกันแต่ก็รับมือแทบจะไม่ไหว จนกระทั่งได้อลิซที่ตามมาเพราะเห็นว่าพวกเขายังไม่กลับไปกันสักทีเข้ามาช่วยเอาไว้จึงสามารถไล่อีกฝ่ายกลับไปได้

 

“ฮื่ม… หมายความว่าผู้หญิงที่ชื่ออลิซนี่เก่งขนาดไล่หัวหน้าของพวกนั้นไปได้เลยสินะ”

 

“ก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ แต่ที่เหลือนี่ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรถึงบุกมาแบบนั้นเหมือนกัน”

 

“พอจะเข้าใจเรื่องคร่าวๆ แล้วล่ะ… แล้วพวกท่านคิดว่ายังไงกันบ้างล่ะครับ?”

 

หลังจากที่โดตั้นได้ฟังสิ่งที่นากาเล่ามานั้น เขาก็หันไปถามเหล่าขุนนางทั้งสี่คนที่นั่งเรียงกันอยู่ราวกับว่าจะขอความเห็น ซึ่งขุนนางสูงวัยทั้งสี่คนนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่พวกเขาจะเดินเว้นระยะออกไปเล็กน้อยเพื่อปรึกษากัน

 

‘เอายังไงดีล่ะ… ถ้าขนาดแค่ผู้หญิงจากที่ไหนก็ไม่รู้ยังไล่อีกฝ่ายไปได้แบบนี้ข้ออ้างที่เตรียมไว้มันจะใช้งานได้หรือเปล่า?’

 

‘แต่ว่าดำเนินการมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ปล่อยไปเฉยๆ มันก็น่าเสียดายนะ’

 

‘ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก… ยังไงซะเบื้องบนก็คงจะไม่อยากให้ที่นี่เกิดเรื่องใหญ่เหมือนการโจมตีที่แพนเทร่าอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ’

 

“อ่า… คือหนูมีเรื่องสงสัยอ่ะ ที่พวกลุงๆ บอกว่าเมืองแพนเทร่าถูกโจมตีนี่คือยังไงอ่ะ?”

 

“น…นั่นสิคะ…ฉ…ฉันเห็นจากจดหมายว่ามีการโจมตีที่นั่นด้วย… แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลยเหมือนกัน…”

 

ทันใดนั้นเองพรีมูล่าที่เหมือนจะบังเอิญหูดีไปได้ยินสิ่งที่พวกขุนนางสูงวัยกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ก็ได้โพล่งถามขึ้นมาด้วยสรรพนามที่แทบจะทำให้พวกเขาสะดุ้งไป

 

ซึ่งมายะเองก็รีบพูดถามขึ้นมาบ้างด้วยเช่นกันเพราะว่าจากข้อมูลจริงๆ ที่นากาเล่าให้พวกเธอฟังนั้นทำให้เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าพวกอิซานางิที่นากาไปเจอมานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ที่แพนเทร่าอย่างแน่นอน เธอจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมดูเพื่อที่จะได้เอาไปรายงานให้ไดเอน่าทราบ

 

“นั่นสินะ… ไหนๆ พวกเราก็เป็นคนเชิญพวกเธอมาเองแบบนี้จะเรียกร้องขอข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียวก็คงจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย… ถ้างั้นฝากคุณโดตั้นอธิบายให้เด็กๆ พวกนี้ฟังหน่อยสิครับ”

 

หนึ่งในขุนนางสูงวัยที่ถูกพรีมูล่าเรียกว่าลุงนั้นได้พูดขึ้นมา ก่อนที่เขาจะผายมือไปทางโดตั้นเพื่อให้เขาเป็นผู้อธิบายแทน

 

“ได้ครับ ถ้าจะให้อธิบายคร่าวๆ ก็คือก่อนหน้านี้ทางเราได้ข้อมูลมาว่าปราสาทของเมืองแพนเทร่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกโจมตี แต่ว่าก็นับว่าโชคดีที่ทางเมืองแพนเทร่ามีการป้องกันที่แน่นหนาและรัดกุมจึงไม่เกิดความเสียหายอะไรมากสักเท่าไหร่ แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือว่าไม่นานหลังจากนั้นทางเราก็ได้ข่าวว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นที่ใกล้ๆ กับรีมินัสอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเราก็เลยต้องเชิญพวกเธอมาสอบถามข้อมูลดูน่ะครับ”

 

“หือ….”

 

“…..”

 

นากากับเซซิลนั้นแสดงท่าทีประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เพราะว่าจากที่รัซเซล หรือว่ารองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงเล่าให้เขาฟังนั้น ปราสาทของเมืองแพนเทร่าถูกโจมตีจนพังยับแถมยังมีคนตายเป็นหลักร้อยอีกต่างหาก

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาคิดว่าข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้นอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังปิดปังอะไรบางอย่างอยู่ แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดถามกลับไปนั้นพรีมูล่าก็ได้ยื่นหน้าของเธอเข้ามาใกล้ๆ เขาเข้าซะก่อน

 

“พี่นากา พี่เซซิล เป็นอะไรไปหรอ?”

 

“ป—เปล่าหรอกพรีมูล่า ไม่มีอะไรหรอก”

 

“แล้วเมืองนี้ล่ะ…?”

 

“เมืองนี้…? กราวิทัสของเราน่ะหรอครับ? ทำไมหรอครับ?”

 

“….”

 

คำถามสั้นๆ ของเซซิลนั้นทำให้โดตั้นได้แต่หันมามองเธออย่างสงสัย เพราะว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่เพิ่งจะเคยพบหน้าเซซิลอย่างเขาจะทำความเข้าใจคำพูดสั้นๆ ของเธอได้

 

แต่ว่าเซซิลก็กลับเลิกคิ้วมองเขากลับไปราวกับกำลังสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มตรงหน้าถึงไม่เข้าใจคำถามที่เข้าใจง่ายของเธอ และเมื่อเป็นแบบนั้นมายะจึงได้ตัดสินใจที่จะช่วยอธิบายคำถามสั้นๆ ของเซซิลให้เขาฟังแทน

 

“ก…การป้องกัน…น่ะค่ะ…”

 

“อ๋อ หมายถึงเรื่องนั้นเองสินะ ก็ถ้าจะให้พูดกันตามตรงล่ะก็การป้องกันของที่นี่น่าจะยังด้อยกว่าของแพนเทร่าอยู่มาก… โดยเฉพาะในส่วนของวังหลวงเนี่ยล่ะครับ”

 

ถึงแม้ว่าโดตั้นจะพูดยอมรับเรื่องความสามารถในการป้องกันเมืองออกมาตรงๆ แบบนั้นแต่ว่าเขาก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากโดยไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะหันไปทางขุนนางทั้งสี่คนที่ยังคงจับกลุ่มอยู่ใกล้ๆ กันและพูดขึ้นมา

 

“เพราะแบบนั้นผมก็เลยคิดว่าตอนนี้คงจะเป็นเหตุเร่งด่วนที่พวกเราจำเป็นจะต้องขอทำเรื่องเบิกงบจากการคลังเพื่อนำมาเสริมการป้องกันที่ขาดไปกัน พวกท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้างครับ? ”

 

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็หันกลับไปกระซิบกระซาบกันอีกครั้งหนึ่งโดยระวังไม่ให้เด็กสาวผมชมพูได้ยิน ก่อนที่พวกเขาจะเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน

 

ซึ่งมายะและเซซิลที่ได้ยินคำพูดของโดตั้นและเห็นรอยยิ้มของเหล่าขุนนางพวกนั้นก็พอจะคาดเดาถึงสาเหตุที่พวกเขาเชิญพวกเธอมาที่นี่ได้แล้ว พวกเธอจึงขมวดคิ้วมองเหล่าขุนนางสูงวัยเบื้องหน้าด้วยความหวาดระแวงปนรังเกียจ

 

แต่ว่าก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมาโดตั้นก็ได้หยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ออกมาและยื่นตรงไปให้มายะที่ดูเป็นคนขี้กลัวที่สุดโดยจงใจข้ามนากากับเซซิลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเขาไป

 

“พวกเธอมาจากโรงเรียนรีมินัสงั้นน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธหรืออุปกรณ์ทางการทหารอยู่บ้างสินะ ถ้างั้นช่วยดูให้หน่อยสิว่างบประมาณเท่านี้จะพอหรือเปล่าน่ะ?”

 

“ค…ค่ะ…”

 

มายะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประฐานนักเรียนนั้นก็พอจะมีความรู้ทางด้านนี้อยู่บ้างเธอจึงยอมรับเอกสารแผ่นนั้นมาแต่โดยดี แต่ว่าเมื่อเธอลองไล่รายชื่องบประมาณในส่วนต่างๆ ที่ถูกระบุเอาไว้แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที

 

“ง…งบประมาณขนาดนี้…!?”

 

“หื้ม? ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยสิ”

 

นากาที่ได้ยินมายะอุทานออกมาเบาๆ นั้นได้ยื่นมือไปขอเอกสารแผ่นนั้นมาดูบ้าง ซึ่งเขาเองก็ได้แต่ตกตะลึงไปกับตัวเลขที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นไปอีกคนและร้องขึ้นมาเสียงดัง

 

“ห—หะ ห้าแสนคริสต้าเลยหรอ!?”

 

คริสต้า หรือก็คือชื่อของหน่วยเงินที่ใช้กันในโลกนี้นั้นมีที่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่เหล่ามนุษย์ยังไม่ทราบถึงวิธีการใช้วิซในร่างของพวกเขาผ่านคริสตัลวิซที่เป็นตัวแปรเพื่อแสดงพลังของมันออกมา ซึ่งในช่วงเวลานั้นเหล่ามนุษย์ก็ได้นำคริสตัลสีรุ้งที่หายากกว่าคริสตัลวิซทั่วๆ ไปอย่างหาสาเหตุไม่ได้มาใช้เป็นหน่วยเงินในการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันและเรียกมันกันว่า คริสต้า

 

ถึงแม้ว่าตัวคริสตัลสีรุ้งนั้นจะหายากกว่าคริสตัลสีอื่นๆ ค่อนข้างมากแต่ว่ามันก็ยังถูกขุดพบอยู่เรื่อยๆ และใช้กันอย่างแพร่หลายโดยไม่มีวี่แววว่าจะขาดแคลนมาก่อน จนกระทั่งหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วเหล่ามนุษย์ก็เริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการใช้พลังวิซผ่านก้อนคริสตัลชนิดต่างๆ กันอย่างก้าวกระโดด ก่อนที่จะมีผู้ค้นพบว่าคริสตัลสีรุ้งที่พวกเขาเคยคิดว่ามันมีดีเพียงแค่ความสวยงามแต่นำไปใช้งานอะไรอย่างอื่นไม่ได้นั้นแท้จริงแล้วกลับซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้ภายใน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะนำมันไปทดลองใช้งานในด้านต่างๆ จนทำให้คริสตัลสีรุ้งเริ่มที่จะขาดแคลนขึ้นมา และเมื่อเป็นแบบนั้นเหล่าเมืองต่างๆ จึงจำเป็นต้องตกลงกันที่จะกำหนดค่าเงินใหม่ขึ้นมาใช้ทดแทนคริสตัลสีรุ้งที่หายากเหล่านั้น

 

โดยพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะกำหนดหน่วยเงินขึ้นมาใหม่ในชื่อคริสต้าที่เหล่าประชาชนคุ้นชินกันอยู่แล้วเพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายๆ และเริ่มออกพิมพ์ธนบัตรกับเหรียญตราขึ้นมาให้เหล่าประชาชนนำก้อนคริสตัลสีรุ้งของพวกเขามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราชนิดใหม่กัน

 

แต่ว่าในช่วงแรกของการประกาศใช้ค่าเงินแบบใหม่นั้นก็กลับมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่าก้อนคริสตัลสีรุ้งที่ขุดหาได้ตามธรรมชาตินั้นมีขนาดไม่เท่ากัน และเมื่อเหล่าประชาชนพบว่าอัตราการแลกเปลี่ยนนั้นคือหนึ่งคริสต้าต่อหนึ่งก้อนคริสตัลสีรุ้งโดยไม่มีระบุขนาดไว้นั้นก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้ทางเมืองจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานขึ้นมาใหม่ โดยใช้ก้อนคริสตัลสีรุ้งขนาดที่หาได้มากที่สุดเป็นหลัก ถ้าเกิดใครที่นำก้อนขนาดมาตรฐานมาแลกก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งคริสต้ากลับไป ถ้าใครนำก้อนที่ใหญ่กว่ามาแลกก็จะได้เงินคริสต้ากลับไปมากขึ้นตามขนาดของมัน

 

ส่วนก้อนคริสตัลสีรุ้งที่มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานนั้นจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นหน่วยเงินที่เรียกว่าแฟรกเมนท์ หรือเรียกย่อๆ กันว่า แฟรก แทน ซึ่งถ้าพวกเขาสะสมมันได้จำนวนมากพอก็จะสามารถนำไปแลกเป็นหน่วยคริสต้าได้เช่นกัน

 

และในปัจจุบันนี้เงินหนึ่งหน่วยคริสต้านั้นสามารถนำไปซื้ออาหารถูกๆ หนึ่งมื้อกินให้อึ่มท้องได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในขณะที่ขนมกินเล่นอย่างเค้กก้อนใหญ่ที่นากาซื้อไปง้อพรีมูล่าก่อนหน้านี้นั้นมีราคาอยู่ที่สิบคริสต้า ซึ่งก็นับว่าแพงอยู่มากสำหรับสินค้าหมวดของกินเล่น

 

แต่ว่าต่อให้จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารอย่างโล่เหล็กคุณภาพดีที่คอนแนลใช้งานนั้นมันก็ยังมีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ หนึ่งร้อยห้าสิบถึงสองร้อยคริสต้าอยู่ดี

 

เพราะฉะนั้นงบประมาณจำนวนห้าแสนคริสต้าที่โดตั้นบอกว่าจะเบิกไปเพื่อเสริมการป้องกันวังหลวงของกราวิทัสนั้นมันแทบจะไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย เนี่องจากว่าเงินจำนวนเท่านั้นมันน่าจะสามารถเอาไปสร้างกำแพงชั้นใหม่ล้อมรอบเมืองรีมินัสที่ใหญ่กว่าเมืองนี้ได้สักสามชั้นเลยซะด้วยซ้ำ

 

“เงินจำนวนเท่านี้สำหรับนักเรียนอย่างพวกเธอจะตกใจกันก็คงจะไม่แปลกหรอกครับ… แต่ว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเงินจำนวนแค่นี้มันยังน้อยไปเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของวังหลวงซะด้วยซ้ำนะครับเนี่ย”

 

“ค—คุณโดตั้นพอจะบอกได้มั้ยครับ ว่างบพวกนี้มันสำหรับอะไรบ้างน่ะ?”

 

“ก็ตามที่ระบุไว้ในเอกสารนั่นเลยครับ แต่ว่าโดยรวมแล้วก็เพื่อความปลอดภัยของวังหลวงนั่นล่ะครับ”

 

“ย—อย่างนั้นเองหรอครับ…”

 

โดตั้นตอบนากากลับไปเพียงสั้นๆ ก่อนที่เหล่าขุนนางสูงวัยทั้งสี่คนจะเดินกลับมานั่งประจำที่และจ้องมองนากาเป็นสายตาเดียวกันเป็นสัญญาณให้โดตั้นเริ่มขั้นตอนต่อไปได้ ซึ่งโดตั้นนั้นก็ได้ล้วงเอาปากกาด้ามหนึ่งที่ดูหรูหราเกินความจำเป็นออกมาและยื่นมันไปให้นากา

 

“ในเมื่อทราบรายละเอียดกันแล้ว ถ้างั้นรบกวนพวกเธอช่วยเซ็นชื่อในเอกสารยืนยันการประชุมนี่ให้หน่อยสิ”

 

“อ่า…เข้าใจแล้วครับ”

 

“ด…เดี๋ยวก่อนค่ะคุณนากา!”

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้ยื่นมือไปรับปากกาด้ามนั้นมานั่นเองมายะก็ได้รีบร้องห้ามเขาเอาไว้ก่อนพร้อมกับส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกว่าอย่าให้เขารับปากกาด้ามนั้นมา ก่อนที่เธอจะดันเอกสารแผ่นนั้นกลับไปให้โดตั้นพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“พ…พอดีว่าพวกหนูมาในฐานะนักเรียนและแขกจากต่างเมือง… เพราะอย่างนั้นคงจะไม่มีอำนาจที่จะรับทราบหรือว่าเซ็นเอกสารอะไรพวกนี้หรอกค่ะ…”

 

“…..”

 

โดตั้นที่ได้ยินคำพูดของมายะนั้นได้เหลือบไปมองดูเพื่อนขุนนางที่นั่งอยู่ข้างๆ เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหยิบเอกสารแผ่นนั้นกลับไปและหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“ฮะฮะ นั่นสินะครับ พอดีผมเห็นท่าทีเป็นงานเป็นการของพวกเธอแล้วก็ทำให้ผมลืมตัวไปเลยนะเนี่ยว่าพวกเธอยังเป็นเด็กนักเรียนกันน่ะ ถ้างั้นที่เหลือเดี๋ยวพวกผมจะจัดการกันเองก็ละกันเนอะ ส่วนพวกเธอถ้าสนใจจะไปเที่ยวเล่นกันในตัวเมืองก็ตามสบายเลย หรือถ้าอยากจะพักผ่อนกันก่อนก็บอกมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะให้คนขับรถพาไปส่งที่พักให้เอง”

 

“เย้~! ได้ไปเที่ยวแล้—”

 

“พ—พวกหนูขอกลับรีมินัสเลยได้หรือเปล่าคะ!?”

 

“เอ๋—!?”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังร้องออกมาอย่างดีใจนั้นอยู่ดีๆ มายะก็ได้พูดแทรกขึ้นมาจนทำให้พรีมูล่าหันไปจ้องเธอในทันที ซึ่งถึงแม้ว่ามายะจะแทบสะดุ้งสุดตัวกับสายตาของเด็กสาวผมชมพูก็ตาม แต่ว่าในครั้งนี้เธอกลับไปไม่ได้ไปหลบที่ด้านหลังของใครเหมือนกับทุกทีและจ้องมองไปทางโดตั้นอย่างจริงจังเพื่อขอทราบคำตอบจากเขา

 

“ได้สิครับ… เอาเป็นว่าผมจะบอกให้คนขับรถเขาไปรอพวกเธออยู่ที่หน้าหอนาฬิกาละกันนะครับ แต่ว่าก็น่าจะต้องใช้เวลาเตรียมการสักพักอยู่ดี ระหว่างนั้นพวกเธอก็พาคุณหนูผมชมพูคนนี้ไปเดินเล่นกันก่อนละกันนะครับ”

 

“เย้~~”

 

“ค…ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ… ถ…ถ้างั้นพวกฉันขอตัวก่อนก็ละกันนะคะ…”

 

พรีมูล่าที่ได้ยินว่าเธอยังจะพอมีเวลาเดินชมเมืองอีกสักพักนั้นได้ร้องออกมาอย่างดีใจ ในขณะที่มายะนั้นก็รีบดึงตัวนากาให้ลุกขึ้นและลากเขาออกไปจากห้องในทันทีจนทำให้นากาต้องรีบดึงแขนของพรีมูล่าที่กำลังดีใจอยู่ให้รีบตามเขาไป และเมื่อพรีมูล่าโดนนากาคว้าแขนเอาไว้นั้นเธอก็ได้ยื่นมือไปจับแขนของเซซิลให้เดินตามทุกคนไปด้วยเป็นขบวนรถไฟในทันที

 

“ยัยเด็กหัวม่วงนั่นรู้ดีกว่าที่คิดแฮะ…”

 

หลังจากที่แขกจากต่างเมืองทั้งสี่คนเดินออกจากห้องประชุมไปแล้วขุนนางคนที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่มก็ได้พูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่โดตั้นจะหันไปยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เขาทีหนึ่ง

 

“นั่นสินะครับ พวกเราอาจจะดูถูกนักเรียนของรีมินัสมากไปหน่อย… แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยอมมาตามคำเชิญจนทำให้เราสามารถนำเรื่องนี้ไปอ้างกับการคลังได้แล้วล่ะครับ”

 

“ฮะฮะฮะ นั่นสินะ ว่าแต่ไหนๆ ก็จบเรื่องกันแล้ว งั้นพวกเราไปดื่มกันหน่อยมั้ยล่ะเจ้าหนูโดตั้น ส่วนเรื่องจัดสรรงบประมาณเดี๋ยวค่อยไปตกลงกันตอนนั้นก็ได้”

 

ขุนนางสูงวัยคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและเอ่ยปากชวนออกมาจนทำให้โดตั้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายกลับไปเป็นคำตอบแบบเงียบๆ

 

 

“อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลแล้วขอหนูเที่ยวหน่อยไม่ได้หรือไงอ่ะ!! พี่คนหัวน้ำเงินๆ นั่นบอกว่ามีเวลาอีกสักพักไม่ใช่หรอ!!”

 

“ม—ไม่ได้ก็คือไม่ได้ค่ะ!”

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางสูงวัยของเมืองกราวิทัสกำลังหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีนั้น ทางด้านกลุ่มของนากาที่เพิ่งจะเดินออกมาจนถึงสวนด้านหน้าตัวปราสาทกลับกำลังปวดหัวอยู่กับพรีมูล่าที่เริ่มโวยวายอีกครั้งหนึ่งเพราะว่าอยู่ๆ คุณผู้ช่วยประธานนักเรียนก็ได้ยื่นคำขาดว่าพวกเขาจะต้องกลับเมืองรีมินัสกันในทันทีโดยห้ามแวะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก่อน

 

“นี่ หยุดเลยนะยัยตัวแสบ!!”

 

ซึ่งมายะที่ปกติดูแล้วเป็นคนขี้กลัวและชอบหลบไปอยู่หลังเซซิลนั้นกลับกำลังยืนเผชิญหน้ากับพรีมูล่าที่สูงกว่าเธอเกือบหนึ่งช่วงหัวโดยไม่ยอมถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนทำให้นากาต้องรีบดึงตัวน้องสาวของเขาที่กำลังใช้ส่วนสูงของเธอข่มอีกฝ่ายอยู่นั้นออกมา ก่อนที่เซซิลจะพูดถามมายะไปแทนนากาที่กำลังวุ่นวายกับน้องสาวของเขาอยู่

 

“เธอคงมีเหตุผลอะไรงั้นสินะมายะ…”

 

“นั่นสิ เกี่ยวกับเอกสารที่พวกนั้นกะจะให้ฉันเซ็นหรือเปล่าน่ะมายะ?”

 

“ค…ค่ะ… พ…เพราะถ้าเกิดคุณนากาเซ็นเอกสารแผ่นนั้นไป มันจะกลายเป็นว่าพวกเรารับรู้และเห็นด้วยกับเงินจำนวนห้าแสนคริสต้าที่พวกเขาคิดจะเบิกน่ะค่ะ… น….ในฐานะผู้ช่วยประธานนักเรียนแล้วฉันคงจะยอมให้พวกคุณนากาที่เป็นนักเรียนเซ็นอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ…”

 

“เห แต่แบบนั้นก็แค่ไม่เซ็นก็พอแล้วไม่ใช่หรอพี่มายะ!? ไม่เห็นต้องรีบกลับแบบนี้เลยไม่ใช่หรอ!?”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำอธิบายของมายะไปแล้วแต่ว่าพรีมูล่านั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะออกไปเดินเที่ยวอยู่ดีและทำท่าเหมือนกับว่าจะโวยวายออกมาอีกครั้งจนทำให้นากาต้องเอามือสับกลางกบาลของน้องสาวตัวแสบไป

 

โป๊ก!!

 

“แอ๊ก—!?”

 

“อย่าดื้อมากนักสิพรีมูล่า ถ้าเกิดมันไม่จำเป็นจริงๆ มายะเขาก็คงไม่บอกให้พวกเรารีบกลับเลยแบบนี้หรอก”

 

“ค…ค่ะ… เพราะว่าที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นลายเซ็นของคุณนากาก็ได้… ขอแค่เป็นลายเซ็นของหนึ่งในหมู่พวกเราก็พอแล้ว… ฉ…ฉันก็เลยกลัวว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปพวกเขาอาจจะแอบหลอกให้ใครในหมู่พวกเราเซ็นอะไรพวกนี้ไปก็ได้น่ะค่ะ…ข…ขอโทษที่ทำให้เสียโอกาสเที่ยวนะคะ…คุณพรีมูล่า…”

 

มายะรีบพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติมในทันทีเมื่อพรีมูล่าถูกนากาดึงจนถอยห่างออกไปอีกครั้ง ซึ่งนากาก็พยักหน้าเข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย เพราะว่าตัวเขาเองก็เกือบจะเผลอเซ็นชื่อลงไปในเอกสารที่ว่าไปแล้วเหมือนกัน

 

“หน่าๆ ไม่ต้องขอโทษหรอกมายะ พรีมูล่าเขาก็งอแงเป็นเด็กแบบนี้ไปเรื่อยนั่นแหล่ะแต่ว่าที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก ใช่มั้ยยัยตัวแสบ?”

 

“บู่ววว~ หนูจะโกรธก็ที่พี่นากาบอกว่างอแงเป็นเด็กนี่แหล่ะ! แล้วมายะจังก็เรียกหนูแค่พรีมูล่าเฉยๆ ก็พอแล้ว! ไม่เห็นต้องนำหน้าด้วยคุณแบบนั้นเลยอ่ะ!”

 

“อ…เอ๋–”

 

พรีมูล่าที่ถูกนากาว่าแบบนั้นก็หันมาพองแก้มใส่เขาและยื่นมือไปตีไหล่เขากลับเบาๆ ไปสองสามที ก่อนที่จะรีบเดินตามไปเกาะไหล่มายะจนทำให้เธอถึงกับสะดุ้งโหย่งในทันที

 

“นั่นสิ ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? แบบว่าอย่างน้อยก็อยู่โรงเรียนเดียวกันน่ะนะ เพราะงั้นถ้าจะเรียกฉันก็เรียกว่านากาเฉยๆ ไม่ต้องมีคุณแบบก่อนหน้านี้ก็ได้”

 

“ช่าย~ แล้วหนูจะได้เรียกพี่มายะว่าพี่มายะเฉยๆ เหมือนกันไง~”

 

“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เธอก็เรียกแบบนั้นอยู่แล้วหรอ…”

 

ซึ่งพอเซซิลได้ยินที่พรีมูล่ายิ้มแป้นพูดออกมาแบบนั้น ก็ทำให้เธอเลิกคิ้วพร้อมส่ายหน้าบ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจกับท่าทีของอีกฝ่ายเป็นไม่ได้ ในขณะที่ใบหน้าของมายะนั้นก็แดงก่ำขึ้นก่อนที่เธอจะพยักหน้าพร้อมพูดตอบทั้งสองคนกลับไปใบๆ

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ…น…นากา…พ…พรีมูล่าจัง…”

 

“หลบหน่อยค่ะ ขอทางหน่อยค่าาาา!!”

 

“เหวอ—!?”

 

ในขณะที่ทุกอย่างเหมือนว่าจะจบลงด้วยดีนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมา ก่อนที่จะมีเด็กสาวหูแมวผมสีดำยาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีชมพูอ่อนพร้อมผ้าโปร่งคลุมศีรษะคล้ายแม่ชีพุ่งตรงผ่ากลางกลุ่มของพวกเขาไปจนทำให้นากาต้องรีบดึงตัวมายะให้หลบไปอีกทางหนึ่งในทันที

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้หันไปมองดูอีกฝ่ายให้ชัดๆ เด็กสาวคนนั้นก็ได้วิ่งหายเข้าไปภายในตัวปราสาทอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาได้แต่บ่นออกมาเบาๆ

 

“จะรีบไปไหนของเขากันเนี่ย”

 

“นั่นสิ…”

 

“หลบไป!!”

 

ในขณะที่นากากับเซซิลกำลังบ่นออกมานั้นก็ได้มีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่มีทหารยามสองคนที่ถือหอกไว้ในมือได้วิ่งผ่านพวกเขาตรงเข้าไปในตัวปราสาทจนทำให้นากาต้องบ่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อะไรกันอีกล่ะเนี่——”

 

“อ๊ากกกกกก!!”

 

ผลั๊ก!!

 

“เหวอ–”

 

นากาที่กำลังบ่นถึงความรีบร้อนของคนในเมืองกราวิทัสนั้นได้แต่เบิกตากว้างเมื่ออยู่ดีๆ ก็ได้มีร่างของทหารคนหนึ่งพุ่งตรงมาจากด้านนอกกำแพงของวังหลวงกราวิทัสด้วยความรวดเร็วและตกลงมากระแทกพื้นที่ใจกลางกลุ่มของพวกเขาเข้าพอดี

 

ซึ่งนากานั้นก็รีบตั้งสติก่อนจะรีบเข้าไปพยุงร่างของนายทหารคนนั้นขึ้นมาดูอาการในทันที

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า!? ทำใจดีๆ ไว้นะ!”

 

“ย…หยุดผู้หญิงคนนั้นไว้…”

 

“ผู้หญิงงั้นหรอ—”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของทหารยามนั้นได้หันไปในทิศที่อีกฝ่ายกระเด็นมาในทันที ก่อนที่เขาจะพบเข้ากับหญิงสาวผมสีเขียวนัยน์ตาสีม่วงที่ถือหอกคริสตัลสีเขียวเล่มหนึ่งไว้ในมือและกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขา

 

“มายะ! ฉันฝากพรีมูล่าด้วย!! เซซิล มาช่วยกันหยุดผู้หญิงคนนั้นไว้หน่อย!!”

 

“อ—เอ๋ะ– เกิดอะไรขึ้นอ่ะ–!?”

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ!!”

 

“…หยุดเอาไว้งั้นสินะ…!”

 

นากาตะโกนสั่งเพื่อนๆ ในกลุ่มและคว้าเอาโล่เหล็กที่บุบเป็นทางยาวขึ้นมาพร้อมกับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบเปื้อนเลือดคู่ใจและรีบลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมตัวต่อสู้อยู่ข้างเซซิลในทันที

 

“หลบไป!!”

 

หญิงสาวผมสีเขียวที่กำลังพุ่งเข้ามานั้นได้ตะโกนใส่นากากับเซซิลที่ยืนขวางถนนอยู่ไม่ไกลให้หลีกทางไป แต่ว่าเมื่อเธอเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมหลบไปตามที่สั่งดีๆ แล้ว เธอจึงได้ควงหอกในมือและฟาดเข้าใส่นากาที่ยืนขวางอยู่ในทันทีที่เธอเข้ามาใกล้

 

“เซซิล!!”

 

“รู้แล้วน่า…!”

 

เพล้ง—ฟู่ววววว! เคล๊ง!!

 

โล่ลมที่เซซิลสร้างขึ้นมาขวางระหว่างนากากับหญิงสาวผมสีเขียวนั้นได้ระเบิดมวลอากาศออกมาในทันทีที่หอกคริสตัลของอีกฝ่ายกระทบโดนมัน แต่ว่าหอกคริสตัลสีเขียวนั้นก็ยังคงพุ่งตรงเข้ามากระแทกกับดาบของนากาอย่างรุนแรงจนทำให้เขาเซถอยกลับไปสองสามก้าว

 

ซึ่งเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเซซิลไม่ได้สร้างโล่ลมขึ้นมาขวางเอาไว้ก่อนนั้นตัวเขาก็คงจะไม่พ้นกระเด็นไปไกลแบบเดียวกับทหารคนที่พรีมูล่ากับมายะกำลังช่วยกันลากให้หลบไปอีกทางหนึ่งอยู่อย่างแน่นอน

 

“ชิ—ทหารรับจ้างหรอ…ไม่สิหรือว่านักเดินทางงั้นหรอ…”

 

หญิงสาวผมสีเขียวได้พูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าสามารถรับหอกของเธอเอาไว้ได้โดยไม่กระเด็นไปไหนผิดกับทหารคุณภาพต่ำของเมืองกราวิทัสที่เธอหวดกระเด็นมาเมื่อสักครู่ และรีบถอยกลับไปเตรียมรับมือโดยไม่มีทีท่าว่าจะประมาทเลยแม้แต่น้อย

 

“ผ…ผู้หญิงคนนั้น…ในรายงาน… ของแพนเทร่า…”

 

“….! ข—เข้าใจแล้วค่ะ!”

 

“พี่นากา! พี่ทหารเขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนที่โจมตีแพนเทร่าก็ได้อ้ะ!!”

 

ในขณะที่มายะได้พยักหน้าตอบทหารของกราวิทัสที่เหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อนั้น ทางด้านพรีมูล่าก็ได้โผล่หัวไปพ้นแนวต้นไม้ประดับสวนและตะโกนบอกพี่ชายของเธอเกี่ยวกับข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เธอจะคว้าเอาปืนยาวที่สะพายไว้บนหลังออกมาเล็งไปทางหญิงสาวผมสีเขียวและลั่นไกออกไปในทันที

 

เปรี๊ยง!

 

หมับ

 

เพล้ง!

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวก็กลับขยับมือมาคว้ากระสุนน้ำแข็งของพรีมูล่าเอาไว้ได้กลางอากาศก่อนที่มันจะพุ่งเข้าถึงตัวเธอและบีบมันแตกกระจายไปในพริบตา

 

“กระสุนฝึก…? เด็กนักเรียนงั้นหรอ…”

 

เธอพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจหลังจากที่พบว่ากระสุนน้ำแข็งของเด็กสาวผมชมพูนั้นไม่ได้ทนทานอย่างที่มันควรจะเป็นและกำลังละลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็ไม่น่าจะมีสาเหตุอย่างอื่นไปได้นอกซะจากว่ากระสุนที่อีกฝ่ายยิงใส่เธอนั้นมีไว้เพื่อฝึกฝนการใช้พลังแบบที่เหล่าเด็กนักเรียนใช้กัน และนั่นก็ทำให้เธอต้องพูดเตือนเหล่าเด็กนักเรียนตรงหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็หลบไปซะ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กๆ หรอกนะ!”

 

“พรีมูล่า! มายะ! เดี๋ยวพอฉันกับเซซิลเข้าไปสู้แล้วพวกเธอรีบวิ่งไปขึ้นรถที่หอนาฬิกาเลยนะ!”

 

แต่ว่านากานั้นกลับไม่คิดที่จะถอยหนีไปไหนและหันไปตะโกนสั่งน้องสาวของเขากับผู้ช่วยประธานนักเรียนด้วยน้ำเสียงอันดังจนทำให้พรีมูล่าที่กำลังขึ้นลำกล้องกระสุนนัดต่อไปอยู่ชะงักไปในทันที

 

“จ—จะดีหรอคะ!?”

 

“นั่นสิพี่นากา!?”

 

“รีบๆ ไปได้แล้ว! เดี๋ยวพวกฉันจะถ่วงเวลารอให้ทหารคนอื่นวิ่งมาเสริมแล้วจะรีบตามไป”

 

“ก็ตามที่นากาบอกนั่นแหล่ะ… พวกเธออยู่ตรงนี้ก็เป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ …”

 

“ฉันเตือนแล้วนะ!!”

 

ยังไม่ทันที่พรีมูล่าจะได้เถียงพี่ชายของเธอกลับไปหญิงสาวผมเขียวที่ยืนฟังพวกเขาอยู่นั้นก็ได้ตะโกนออกมาเมื่อเธอเห็นว่าเด็กนักเรียนตรงหน้าไม่คิดจะหลบไปดีๆ พร้อมกับพุ่งเข้าไปฟาดหอกใส่นากาอีกครั้งในทันที

 

เคล๊ง!!

 

ถึงแม้ว่านากาจะยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตามแต่ว่าเซซิลที่จับจ้องทุกการกระทำของหญิงสาวผมสีเขียวอยู่นั้นได้พุ่งเข้ามาใช้ดาบคาตานะของเธอรับหอกของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน ซึ่งนากานั้นก็รีบใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายกลับไปบ้างเช่นกัน

 

ปึ๊ก!

 

“อุ๊ก…!?”

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวนั้นก็กลับควงหอกของเธอปัดดาบคาตานะของเซซิลที่ออกแรงยันกันเอาไว้อยู่ให้กระเด็นออกไปอีกทางและใช้ด้ามหอกฟาดเข้าใส่ลำตัวของเซซิลอย่างแรงจนเธอกระเด็นถอยออกมา และจากนั้นหญิงสาวผมเขียวก็ควงหอกของเธอในมืออีกครั้งเพื่อเอาส่วนที่เป็นปลายหอกเข้ารับดาบของนากาเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

 

เคล๊ง!!

 

“รีบไปสิ!! แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ไปกระจายข่าวให้ทหารคนอื่นระหว่างทางด้วย!!”

 

“เข้าใจแล้ว!! พวกเรารีบไปกันเถอะพี่มายะ!!”

 

“ค…ค่ะ!”

 

พรีมูล่ารีบตอบพี่ชายของเธอกลับไปและคว้ามือของมายะให้ตามเธอไปทางประตูของเขตวังในทันที ซึ่งหญิงสาวผมสีเขียวก็ไม่สนใจเด็กสาวทั้งสองคนที่วิ่งหนีไปเลยแม้แต่น้อยและพูดใส่เด็กๆ อีกสองคนที่ยังเหลืออยู่

 

“เป็นแค่เด็กนักเรียนอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องหน่า!!”

 

“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก!! เซซิล!!”

 

“รู้แล้ว…!”

 

ซู๊มม!! ปึ๊ก!

 

ทันใดนั้นเองเซซิลก็ได้สะบัดมือข้างที่กำลังกุมสีข้างที่ถูกอีกฝ่ายใช้ด้ามหอกฟาดไปทางหญิงสาวผมเขียวพร้อมกับใช้วิซธาตุลมสร้างสายลมกรรโชกไปทางเบื้องหน้าอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะรีบพุ่งตัวตามสายลมนั้นเข้าไปตวับดาบคาตานะของเธอใส่อีกฝ่ายในทันที

 

และในจังหวะเดียวกันนั้นนากาก็ได้เตะไปที่ด้ามหอกของหญิงสาวผมเขียวจนมันสะบัดขึ้นไปด้านบนเพื่อเปิดช่องว่างให้เซซิลได้โจมตีใส่อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

 

ฟุ๊บ!!

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวก็ไม่คิดที่จะรั้งหอกของเธอเอาไว้แม้แต่น้อย โดยเธอได้ตัดสินใจที่จะออกแรงดีดตัวเองขึ้นจากพื้นตามแรงที่นากาเตะใส่หอกของเธอไปจนสามารถหลบดาบคาตานะของเซซิลไปได้อย่างง่ายดาย

 

“—!?”

 

“น…นั่นมันอะไรน่ะ…”

 

ทันใดนั้นเองนากากับเซซิลก็ได้จ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างสับสน เพราะว่าในตอนที่พวกเขาเงยหน้ามองตามหญิงสาวผมสีเขียวที่กระโดดหนีไปเมื่อสักครู่นั้นทั้งเขาและเซซิลก็ได้สังเกตเห็นคริสตัลสีเขียวก้อนเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ และในตอนนี้พวกมันก็กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหอกปลายแหลมจำนวนมากที่หันปลายแหลมของพวกมันมาทางพวกเขาอยู่

 

“ขอโทษนะ แต่ฉันเองก็ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเธอเหมือนกัน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 56 : Bitter Fortune

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 56 : Bitter Fortune at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เรื่องทั้งหมดมันก็ประมาณนั้นแหล่ะครับ”

 

“หรือสรุปง่ายๆ ก็คือพวกเธอโชคดีที่ได้เพื่อนๆ เข้ามาช่วยเอาไว้งั้นสินะ”

 

“ครับ ไม่งั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายไหวหรือเปล่าเหมือนกัน”

 

นากาที่ใช้เวลาพักใหญ่ในการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในทุ่งราบทางตะวันออกเฉียงเหนือของรีมินัสให้ขุนนางทั้งห้าคนของกราวิทัสฟังนั้นพยักหน้าตอบคำถามที่โดตั้นถามขึ้นมาไปตามตรง

 

แต่ว่าเรื่องที่เขาเล่าไปนั้นค่อนข้างจะขาดเกินไปจากความเป็นจริงอยู่มากพอตัว เพราะว่านากาได้จงใจปิดบังเรื่องที่อิซานางิหรือก็คือหัวหน้าของทหารพวกนั้นเหมือนจะรู้จักกับเซซิลรวมถึงเรื่องพาร์ทของเอริกะที่อลิซใส่มาช่วยพวกเขาเอาไว้

 

ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าเขากับเซซิลที่ออกไปฝึกซ้อมกันในป่านอกเมืองได้บังเอิญพบกับทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนที่ท่าทางอันตรายอยู่จึงได้รีบเข้าไปช่วยกันแต่ก็รับมือแทบจะไม่ไหว จนกระทั่งได้อลิซที่ตามมาเพราะเห็นว่าพวกเขายังไม่กลับไปกันสักทีเข้ามาช่วยเอาไว้จึงสามารถไล่อีกฝ่ายกลับไปได้

 

“ฮื่ม… หมายความว่าผู้หญิงที่ชื่ออลิซนี่เก่งขนาดไล่หัวหน้าของพวกนั้นไปได้เลยสินะ”

 

“ก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ แต่ที่เหลือนี่ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรถึงบุกมาแบบนั้นเหมือนกัน”

 

“พอจะเข้าใจเรื่องคร่าวๆ แล้วล่ะ… แล้วพวกท่านคิดว่ายังไงกันบ้างล่ะครับ?”

 

หลังจากที่โดตั้นได้ฟังสิ่งที่นากาเล่ามานั้น เขาก็หันไปถามเหล่าขุนนางทั้งสี่คนที่นั่งเรียงกันอยู่ราวกับว่าจะขอความเห็น ซึ่งขุนนางสูงวัยทั้งสี่คนนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่พวกเขาจะเดินเว้นระยะออกไปเล็กน้อยเพื่อปรึกษากัน

 

‘เอายังไงดีล่ะ… ถ้าขนาดแค่ผู้หญิงจากที่ไหนก็ไม่รู้ยังไล่อีกฝ่ายไปได้แบบนี้ข้ออ้างที่เตรียมไว้มันจะใช้งานได้หรือเปล่า?’

 

‘แต่ว่าดำเนินการมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ปล่อยไปเฉยๆ มันก็น่าเสียดายนะ’

 

‘ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก… ยังไงซะเบื้องบนก็คงจะไม่อยากให้ที่นี่เกิดเรื่องใหญ่เหมือนการโจมตีที่แพนเทร่าอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ’

 

“อ่า… คือหนูมีเรื่องสงสัยอ่ะ ที่พวกลุงๆ บอกว่าเมืองแพนเทร่าถูกโจมตีนี่คือยังไงอ่ะ?”

 

“น…นั่นสิคะ…ฉ…ฉันเห็นจากจดหมายว่ามีการโจมตีที่นั่นด้วย… แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลยเหมือนกัน…”

 

ทันใดนั้นเองพรีมูล่าที่เหมือนจะบังเอิญหูดีไปได้ยินสิ่งที่พวกขุนนางสูงวัยกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ก็ได้โพล่งถามขึ้นมาด้วยสรรพนามที่แทบจะทำให้พวกเขาสะดุ้งไป

 

ซึ่งมายะเองก็รีบพูดถามขึ้นมาบ้างด้วยเช่นกันเพราะว่าจากข้อมูลจริงๆ ที่นากาเล่าให้พวกเธอฟังนั้นทำให้เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าพวกอิซานางิที่นากาไปเจอมานั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ที่แพนเทร่าอย่างแน่นอน เธอจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมดูเพื่อที่จะได้เอาไปรายงานให้ไดเอน่าทราบ

 

“นั่นสินะ… ไหนๆ พวกเราก็เป็นคนเชิญพวกเธอมาเองแบบนี้จะเรียกร้องขอข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียวก็คงจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย… ถ้างั้นฝากคุณโดตั้นอธิบายให้เด็กๆ พวกนี้ฟังหน่อยสิครับ”

 

หนึ่งในขุนนางสูงวัยที่ถูกพรีมูล่าเรียกว่าลุงนั้นได้พูดขึ้นมา ก่อนที่เขาจะผายมือไปทางโดตั้นเพื่อให้เขาเป็นผู้อธิบายแทน

 

“ได้ครับ ถ้าจะให้อธิบายคร่าวๆ ก็คือก่อนหน้านี้ทางเราได้ข้อมูลมาว่าปราสาทของเมืองแพนเทร่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกโจมตี แต่ว่าก็นับว่าโชคดีที่ทางเมืองแพนเทร่ามีการป้องกันที่แน่นหนาและรัดกุมจึงไม่เกิดความเสียหายอะไรมากสักเท่าไหร่ แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือว่าไม่นานหลังจากนั้นทางเราก็ได้ข่าวว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นที่ใกล้ๆ กับรีมินัสอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเราก็เลยต้องเชิญพวกเธอมาสอบถามข้อมูลดูน่ะครับ”

 

“หือ….”

 

“…..”

 

นากากับเซซิลนั้นแสดงท่าทีประหลาดใจออกมาเล็กน้อย เพราะว่าจากที่รัซเซล หรือว่ารองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงเล่าให้เขาฟังนั้น ปราสาทของเมืองแพนเทร่าถูกโจมตีจนพังยับแถมยังมีคนตายเป็นหลักร้อยอีกต่างหาก

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาคิดว่าข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้นอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังปิดปังอะไรบางอย่างอยู่ แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดถามกลับไปนั้นพรีมูล่าก็ได้ยื่นหน้าของเธอเข้ามาใกล้ๆ เขาเข้าซะก่อน

 

“พี่นากา พี่เซซิล เป็นอะไรไปหรอ?”

 

“ป—เปล่าหรอกพรีมูล่า ไม่มีอะไรหรอก”

 

“แล้วเมืองนี้ล่ะ…?”

 

“เมืองนี้…? กราวิทัสของเราน่ะหรอครับ? ทำไมหรอครับ?”

 

“….”

 

คำถามสั้นๆ ของเซซิลนั้นทำให้โดตั้นได้แต่หันมามองเธออย่างสงสัย เพราะว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่เพิ่งจะเคยพบหน้าเซซิลอย่างเขาจะทำความเข้าใจคำพูดสั้นๆ ของเธอได้

 

แต่ว่าเซซิลก็กลับเลิกคิ้วมองเขากลับไปราวกับกำลังสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มตรงหน้าถึงไม่เข้าใจคำถามที่เข้าใจง่ายของเธอ และเมื่อเป็นแบบนั้นมายะจึงได้ตัดสินใจที่จะช่วยอธิบายคำถามสั้นๆ ของเซซิลให้เขาฟังแทน

 

“ก…การป้องกัน…น่ะค่ะ…”

 

“อ๋อ หมายถึงเรื่องนั้นเองสินะ ก็ถ้าจะให้พูดกันตามตรงล่ะก็การป้องกันของที่นี่น่าจะยังด้อยกว่าของแพนเทร่าอยู่มาก… โดยเฉพาะในส่วนของวังหลวงเนี่ยล่ะครับ”

 

ถึงแม้ว่าโดตั้นจะพูดยอมรับเรื่องความสามารถในการป้องกันเมืองออกมาตรงๆ แบบนั้นแต่ว่าเขาก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากโดยไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะหันไปทางขุนนางทั้งสี่คนที่ยังคงจับกลุ่มอยู่ใกล้ๆ กันและพูดขึ้นมา

 

“เพราะแบบนั้นผมก็เลยคิดว่าตอนนี้คงจะเป็นเหตุเร่งด่วนที่พวกเราจำเป็นจะต้องขอทำเรื่องเบิกงบจากการคลังเพื่อนำมาเสริมการป้องกันที่ขาดไปกัน พวกท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้างครับ? ”

 

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็หันกลับไปกระซิบกระซาบกันอีกครั้งหนึ่งโดยระวังไม่ให้เด็กสาวผมชมพูได้ยิน ก่อนที่พวกเขาจะเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน

 

ซึ่งมายะและเซซิลที่ได้ยินคำพูดของโดตั้นและเห็นรอยยิ้มของเหล่าขุนนางพวกนั้นก็พอจะคาดเดาถึงสาเหตุที่พวกเขาเชิญพวกเธอมาที่นี่ได้แล้ว พวกเธอจึงขมวดคิ้วมองเหล่าขุนนางสูงวัยเบื้องหน้าด้วยความหวาดระแวงปนรังเกียจ

 

แต่ว่าก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมาโดตั้นก็ได้หยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ออกมาและยื่นตรงไปให้มายะที่ดูเป็นคนขี้กลัวที่สุดโดยจงใจข้ามนากากับเซซิลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเขาไป

 

“พวกเธอมาจากโรงเรียนรีมินัสงั้นน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธหรืออุปกรณ์ทางการทหารอยู่บ้างสินะ ถ้างั้นช่วยดูให้หน่อยสิว่างบประมาณเท่านี้จะพอหรือเปล่าน่ะ?”

 

“ค…ค่ะ…”

 

มายะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประฐานนักเรียนนั้นก็พอจะมีความรู้ทางด้านนี้อยู่บ้างเธอจึงยอมรับเอกสารแผ่นนั้นมาแต่โดยดี แต่ว่าเมื่อเธอลองไล่รายชื่องบประมาณในส่วนต่างๆ ที่ถูกระบุเอาไว้แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที

 

“ง…งบประมาณขนาดนี้…!?”

 

“หื้ม? ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยสิ”

 

นากาที่ได้ยินมายะอุทานออกมาเบาๆ นั้นได้ยื่นมือไปขอเอกสารแผ่นนั้นมาดูบ้าง ซึ่งเขาเองก็ได้แต่ตกตะลึงไปกับตัวเลขที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นไปอีกคนและร้องขึ้นมาเสียงดัง

 

“ห—หะ ห้าแสนคริสต้าเลยหรอ!?”

 

คริสต้า หรือก็คือชื่อของหน่วยเงินที่ใช้กันในโลกนี้นั้นมีที่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่เหล่ามนุษย์ยังไม่ทราบถึงวิธีการใช้วิซในร่างของพวกเขาผ่านคริสตัลวิซที่เป็นตัวแปรเพื่อแสดงพลังของมันออกมา ซึ่งในช่วงเวลานั้นเหล่ามนุษย์ก็ได้นำคริสตัลสีรุ้งที่หายากกว่าคริสตัลวิซทั่วๆ ไปอย่างหาสาเหตุไม่ได้มาใช้เป็นหน่วยเงินในการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันและเรียกมันกันว่า คริสต้า

 

ถึงแม้ว่าตัวคริสตัลสีรุ้งนั้นจะหายากกว่าคริสตัลสีอื่นๆ ค่อนข้างมากแต่ว่ามันก็ยังถูกขุดพบอยู่เรื่อยๆ และใช้กันอย่างแพร่หลายโดยไม่มีวี่แววว่าจะขาดแคลนมาก่อน จนกระทั่งหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วเหล่ามนุษย์ก็เริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการใช้พลังวิซผ่านก้อนคริสตัลชนิดต่างๆ กันอย่างก้าวกระโดด ก่อนที่จะมีผู้ค้นพบว่าคริสตัลสีรุ้งที่พวกเขาเคยคิดว่ามันมีดีเพียงแค่ความสวยงามแต่นำไปใช้งานอะไรอย่างอื่นไม่ได้นั้นแท้จริงแล้วกลับซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้ภายใน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะนำมันไปทดลองใช้งานในด้านต่างๆ จนทำให้คริสตัลสีรุ้งเริ่มที่จะขาดแคลนขึ้นมา และเมื่อเป็นแบบนั้นเหล่าเมืองต่างๆ จึงจำเป็นต้องตกลงกันที่จะกำหนดค่าเงินใหม่ขึ้นมาใช้ทดแทนคริสตัลสีรุ้งที่หายากเหล่านั้น

 

โดยพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะกำหนดหน่วยเงินขึ้นมาใหม่ในชื่อคริสต้าที่เหล่าประชาชนคุ้นชินกันอยู่แล้วเพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายๆ และเริ่มออกพิมพ์ธนบัตรกับเหรียญตราขึ้นมาให้เหล่าประชาชนนำก้อนคริสตัลสีรุ้งของพวกเขามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราชนิดใหม่กัน

 

แต่ว่าในช่วงแรกของการประกาศใช้ค่าเงินแบบใหม่นั้นก็กลับมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่าก้อนคริสตัลสีรุ้งที่ขุดหาได้ตามธรรมชาตินั้นมีขนาดไม่เท่ากัน และเมื่อเหล่าประชาชนพบว่าอัตราการแลกเปลี่ยนนั้นคือหนึ่งคริสต้าต่อหนึ่งก้อนคริสตัลสีรุ้งโดยไม่มีระบุขนาดไว้นั้นก็ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้ทางเมืองจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานขึ้นมาใหม่ โดยใช้ก้อนคริสตัลสีรุ้งขนาดที่หาได้มากที่สุดเป็นหลัก ถ้าเกิดใครที่นำก้อนขนาดมาตรฐานมาแลกก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งคริสต้ากลับไป ถ้าใครนำก้อนที่ใหญ่กว่ามาแลกก็จะได้เงินคริสต้ากลับไปมากขึ้นตามขนาดของมัน

 

ส่วนก้อนคริสตัลสีรุ้งที่มีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานนั้นจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นหน่วยเงินที่เรียกว่าแฟรกเมนท์ หรือเรียกย่อๆ กันว่า แฟรก แทน ซึ่งถ้าพวกเขาสะสมมันได้จำนวนมากพอก็จะสามารถนำไปแลกเป็นหน่วยคริสต้าได้เช่นกัน

 

และในปัจจุบันนี้เงินหนึ่งหน่วยคริสต้านั้นสามารถนำไปซื้ออาหารถูกๆ หนึ่งมื้อกินให้อึ่มท้องได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ในขณะที่ขนมกินเล่นอย่างเค้กก้อนใหญ่ที่นากาซื้อไปง้อพรีมูล่าก่อนหน้านี้นั้นมีราคาอยู่ที่สิบคริสต้า ซึ่งก็นับว่าแพงอยู่มากสำหรับสินค้าหมวดของกินเล่น

 

แต่ว่าต่อให้จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารอย่างโล่เหล็กคุณภาพดีที่คอนแนลใช้งานนั้นมันก็ยังมีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ หนึ่งร้อยห้าสิบถึงสองร้อยคริสต้าอยู่ดี

 

เพราะฉะนั้นงบประมาณจำนวนห้าแสนคริสต้าที่โดตั้นบอกว่าจะเบิกไปเพื่อเสริมการป้องกันวังหลวงของกราวิทัสนั้นมันแทบจะไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย เนี่องจากว่าเงินจำนวนเท่านั้นมันน่าจะสามารถเอาไปสร้างกำแพงชั้นใหม่ล้อมรอบเมืองรีมินัสที่ใหญ่กว่าเมืองนี้ได้สักสามชั้นเลยซะด้วยซ้ำ

 

“เงินจำนวนเท่านี้สำหรับนักเรียนอย่างพวกเธอจะตกใจกันก็คงจะไม่แปลกหรอกครับ… แต่ว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเงินจำนวนแค่นี้มันยังน้อยไปเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของวังหลวงซะด้วยซ้ำนะครับเนี่ย”

 

“ค—คุณโดตั้นพอจะบอกได้มั้ยครับ ว่างบพวกนี้มันสำหรับอะไรบ้างน่ะ?”

 

“ก็ตามที่ระบุไว้ในเอกสารนั่นเลยครับ แต่ว่าโดยรวมแล้วก็เพื่อความปลอดภัยของวังหลวงนั่นล่ะครับ”

 

“ย—อย่างนั้นเองหรอครับ…”

 

โดตั้นตอบนากากลับไปเพียงสั้นๆ ก่อนที่เหล่าขุนนางสูงวัยทั้งสี่คนจะเดินกลับมานั่งประจำที่และจ้องมองนากาเป็นสายตาเดียวกันเป็นสัญญาณให้โดตั้นเริ่มขั้นตอนต่อไปได้ ซึ่งโดตั้นนั้นก็ได้ล้วงเอาปากกาด้ามหนึ่งที่ดูหรูหราเกินความจำเป็นออกมาและยื่นมันไปให้นากา

 

“ในเมื่อทราบรายละเอียดกันแล้ว ถ้างั้นรบกวนพวกเธอช่วยเซ็นชื่อในเอกสารยืนยันการประชุมนี่ให้หน่อยสิ”

 

“อ่า…เข้าใจแล้วครับ”

 

“ด…เดี๋ยวก่อนค่ะคุณนากา!”

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้ยื่นมือไปรับปากกาด้ามนั้นมานั่นเองมายะก็ได้รีบร้องห้ามเขาเอาไว้ก่อนพร้อมกับส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกว่าอย่าให้เขารับปากกาด้ามนั้นมา ก่อนที่เธอจะดันเอกสารแผ่นนั้นกลับไปให้โดตั้นพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“พ…พอดีว่าพวกหนูมาในฐานะนักเรียนและแขกจากต่างเมือง… เพราะอย่างนั้นคงจะไม่มีอำนาจที่จะรับทราบหรือว่าเซ็นเอกสารอะไรพวกนี้หรอกค่ะ…”

 

“…..”

 

โดตั้นที่ได้ยินคำพูดของมายะนั้นได้เหลือบไปมองดูเพื่อนขุนนางที่นั่งอยู่ข้างๆ เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหยิบเอกสารแผ่นนั้นกลับไปและหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“ฮะฮะ นั่นสินะครับ พอดีผมเห็นท่าทีเป็นงานเป็นการของพวกเธอแล้วก็ทำให้ผมลืมตัวไปเลยนะเนี่ยว่าพวกเธอยังเป็นเด็กนักเรียนกันน่ะ ถ้างั้นที่เหลือเดี๋ยวพวกผมจะจัดการกันเองก็ละกันเนอะ ส่วนพวกเธอถ้าสนใจจะไปเที่ยวเล่นกันในตัวเมืองก็ตามสบายเลย หรือถ้าอยากจะพักผ่อนกันก่อนก็บอกมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะให้คนขับรถพาไปส่งที่พักให้เอง”

 

“เย้~! ได้ไปเที่ยวแล้—”

 

“พ—พวกหนูขอกลับรีมินัสเลยได้หรือเปล่าคะ!?”

 

“เอ๋—!?”

 

ในขณะที่พรีมูล่ากำลังร้องออกมาอย่างดีใจนั้นอยู่ดีๆ มายะก็ได้พูดแทรกขึ้นมาจนทำให้พรีมูล่าหันไปจ้องเธอในทันที ซึ่งถึงแม้ว่ามายะจะแทบสะดุ้งสุดตัวกับสายตาของเด็กสาวผมชมพูก็ตาม แต่ว่าในครั้งนี้เธอกลับไปไม่ได้ไปหลบที่ด้านหลังของใครเหมือนกับทุกทีและจ้องมองไปทางโดตั้นอย่างจริงจังเพื่อขอทราบคำตอบจากเขา

 

“ได้สิครับ… เอาเป็นว่าผมจะบอกให้คนขับรถเขาไปรอพวกเธออยู่ที่หน้าหอนาฬิกาละกันนะครับ แต่ว่าก็น่าจะต้องใช้เวลาเตรียมการสักพักอยู่ดี ระหว่างนั้นพวกเธอก็พาคุณหนูผมชมพูคนนี้ไปเดินเล่นกันก่อนละกันนะครับ”

 

“เย้~~”

 

“ค…ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ… ถ…ถ้างั้นพวกฉันขอตัวก่อนก็ละกันนะคะ…”

 

พรีมูล่าที่ได้ยินว่าเธอยังจะพอมีเวลาเดินชมเมืองอีกสักพักนั้นได้ร้องออกมาอย่างดีใจ ในขณะที่มายะนั้นก็รีบดึงตัวนากาให้ลุกขึ้นและลากเขาออกไปจากห้องในทันทีจนทำให้นากาต้องรีบดึงแขนของพรีมูล่าที่กำลังดีใจอยู่ให้รีบตามเขาไป และเมื่อพรีมูล่าโดนนากาคว้าแขนเอาไว้นั้นเธอก็ได้ยื่นมือไปจับแขนของเซซิลให้เดินตามทุกคนไปด้วยเป็นขบวนรถไฟในทันที

 

“ยัยเด็กหัวม่วงนั่นรู้ดีกว่าที่คิดแฮะ…”

 

หลังจากที่แขกจากต่างเมืองทั้งสี่คนเดินออกจากห้องประชุมไปแล้วขุนนางคนที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่มก็ได้พูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่โดตั้นจะหันไปยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เขาทีหนึ่ง

 

“นั่นสินะครับ พวกเราอาจจะดูถูกนักเรียนของรีมินัสมากไปหน่อย… แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยอมมาตามคำเชิญจนทำให้เราสามารถนำเรื่องนี้ไปอ้างกับการคลังได้แล้วล่ะครับ”

 

“ฮะฮะฮะ นั่นสินะ ว่าแต่ไหนๆ ก็จบเรื่องกันแล้ว งั้นพวกเราไปดื่มกันหน่อยมั้ยล่ะเจ้าหนูโดตั้น ส่วนเรื่องจัดสรรงบประมาณเดี๋ยวค่อยไปตกลงกันตอนนั้นก็ได้”

 

ขุนนางสูงวัยคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและเอ่ยปากชวนออกมาจนทำให้โดตั้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายกลับไปเป็นคำตอบแบบเงียบๆ

 

 

“อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลแล้วขอหนูเที่ยวหน่อยไม่ได้หรือไงอ่ะ!! พี่คนหัวน้ำเงินๆ นั่นบอกว่ามีเวลาอีกสักพักไม่ใช่หรอ!!”

 

“ม—ไม่ได้ก็คือไม่ได้ค่ะ!”

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางสูงวัยของเมืองกราวิทัสกำลังหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีนั้น ทางด้านกลุ่มของนากาที่เพิ่งจะเดินออกมาจนถึงสวนด้านหน้าตัวปราสาทกลับกำลังปวดหัวอยู่กับพรีมูล่าที่เริ่มโวยวายอีกครั้งหนึ่งเพราะว่าอยู่ๆ คุณผู้ช่วยประธานนักเรียนก็ได้ยื่นคำขาดว่าพวกเขาจะต้องกลับเมืองรีมินัสกันในทันทีโดยห้ามแวะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก่อน

 

“นี่ หยุดเลยนะยัยตัวแสบ!!”

 

ซึ่งมายะที่ปกติดูแล้วเป็นคนขี้กลัวและชอบหลบไปอยู่หลังเซซิลนั้นกลับกำลังยืนเผชิญหน้ากับพรีมูล่าที่สูงกว่าเธอเกือบหนึ่งช่วงหัวโดยไม่ยอมถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนทำให้นากาต้องรีบดึงตัวน้องสาวของเขาที่กำลังใช้ส่วนสูงของเธอข่มอีกฝ่ายอยู่นั้นออกมา ก่อนที่เซซิลจะพูดถามมายะไปแทนนากาที่กำลังวุ่นวายกับน้องสาวของเขาอยู่

 

“เธอคงมีเหตุผลอะไรงั้นสินะมายะ…”

 

“นั่นสิ เกี่ยวกับเอกสารที่พวกนั้นกะจะให้ฉันเซ็นหรือเปล่าน่ะมายะ?”

 

“ค…ค่ะ… พ…เพราะถ้าเกิดคุณนากาเซ็นเอกสารแผ่นนั้นไป มันจะกลายเป็นว่าพวกเรารับรู้และเห็นด้วยกับเงินจำนวนห้าแสนคริสต้าที่พวกเขาคิดจะเบิกน่ะค่ะ… น….ในฐานะผู้ช่วยประธานนักเรียนแล้วฉันคงจะยอมให้พวกคุณนากาที่เป็นนักเรียนเซ็นอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ…”

 

“เห แต่แบบนั้นก็แค่ไม่เซ็นก็พอแล้วไม่ใช่หรอพี่มายะ!? ไม่เห็นต้องรีบกลับแบบนี้เลยไม่ใช่หรอ!?”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำอธิบายของมายะไปแล้วแต่ว่าพรีมูล่านั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะออกไปเดินเที่ยวอยู่ดีและทำท่าเหมือนกับว่าจะโวยวายออกมาอีกครั้งจนทำให้นากาต้องเอามือสับกลางกบาลของน้องสาวตัวแสบไป

 

โป๊ก!!

 

“แอ๊ก—!?”

 

“อย่าดื้อมากนักสิพรีมูล่า ถ้าเกิดมันไม่จำเป็นจริงๆ มายะเขาก็คงไม่บอกให้พวกเรารีบกลับเลยแบบนี้หรอก”

 

“ค…ค่ะ… เพราะว่าที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นลายเซ็นของคุณนากาก็ได้… ขอแค่เป็นลายเซ็นของหนึ่งในหมู่พวกเราก็พอแล้ว… ฉ…ฉันก็เลยกลัวว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปพวกเขาอาจจะแอบหลอกให้ใครในหมู่พวกเราเซ็นอะไรพวกนี้ไปก็ได้น่ะค่ะ…ข…ขอโทษที่ทำให้เสียโอกาสเที่ยวนะคะ…คุณพรีมูล่า…”

 

มายะรีบพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติมในทันทีเมื่อพรีมูล่าถูกนากาดึงจนถอยห่างออกไปอีกครั้ง ซึ่งนากาก็พยักหน้าเข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย เพราะว่าตัวเขาเองก็เกือบจะเผลอเซ็นชื่อลงไปในเอกสารที่ว่าไปแล้วเหมือนกัน

 

“หน่าๆ ไม่ต้องขอโทษหรอกมายะ พรีมูล่าเขาก็งอแงเป็นเด็กแบบนี้ไปเรื่อยนั่นแหล่ะแต่ว่าที่จริงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก ใช่มั้ยยัยตัวแสบ?”

 

“บู่ววว~ หนูจะโกรธก็ที่พี่นากาบอกว่างอแงเป็นเด็กนี่แหล่ะ! แล้วมายะจังก็เรียกหนูแค่พรีมูล่าเฉยๆ ก็พอแล้ว! ไม่เห็นต้องนำหน้าด้วยคุณแบบนั้นเลยอ่ะ!”

 

“อ…เอ๋–”

 

พรีมูล่าที่ถูกนากาว่าแบบนั้นก็หันมาพองแก้มใส่เขาและยื่นมือไปตีไหล่เขากลับเบาๆ ไปสองสามที ก่อนที่จะรีบเดินตามไปเกาะไหล่มายะจนทำให้เธอถึงกับสะดุ้งโหย่งในทันที

 

“นั่นสิ ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? แบบว่าอย่างน้อยก็อยู่โรงเรียนเดียวกันน่ะนะ เพราะงั้นถ้าจะเรียกฉันก็เรียกว่านากาเฉยๆ ไม่ต้องมีคุณแบบก่อนหน้านี้ก็ได้”

 

“ช่าย~ แล้วหนูจะได้เรียกพี่มายะว่าพี่มายะเฉยๆ เหมือนกันไง~”

 

“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เธอก็เรียกแบบนั้นอยู่แล้วหรอ…”

 

ซึ่งพอเซซิลได้ยินที่พรีมูล่ายิ้มแป้นพูดออกมาแบบนั้น ก็ทำให้เธอเลิกคิ้วพร้อมส่ายหน้าบ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจกับท่าทีของอีกฝ่ายเป็นไม่ได้ ในขณะที่ใบหน้าของมายะนั้นก็แดงก่ำขึ้นก่อนที่เธอจะพยักหน้าพร้อมพูดตอบทั้งสองคนกลับไปใบๆ

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ…น…นากา…พ…พรีมูล่าจัง…”

 

“หลบหน่อยค่ะ ขอทางหน่อยค่าาาา!!”

 

“เหวอ—!?”

 

ในขณะที่ทุกอย่างเหมือนว่าจะจบลงด้วยดีนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมา ก่อนที่จะมีเด็กสาวหูแมวผมสีดำยาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีชมพูอ่อนพร้อมผ้าโปร่งคลุมศีรษะคล้ายแม่ชีพุ่งตรงผ่ากลางกลุ่มของพวกเขาไปจนทำให้นากาต้องรีบดึงตัวมายะให้หลบไปอีกทางหนึ่งในทันที

 

แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้หันไปมองดูอีกฝ่ายให้ชัดๆ เด็กสาวคนนั้นก็ได้วิ่งหายเข้าไปภายในตัวปราสาทอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาได้แต่บ่นออกมาเบาๆ

 

“จะรีบไปไหนของเขากันเนี่ย”

 

“นั่นสิ…”

 

“หลบไป!!”

 

ในขณะที่นากากับเซซิลกำลังบ่นออกมานั้นก็ได้มีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่มีทหารยามสองคนที่ถือหอกไว้ในมือได้วิ่งผ่านพวกเขาตรงเข้าไปในตัวปราสาทจนทำให้นากาต้องบ่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อะไรกันอีกล่ะเนี่——”

 

“อ๊ากกกกกก!!”

 

ผลั๊ก!!

 

“เหวอ–”

 

นากาที่กำลังบ่นถึงความรีบร้อนของคนในเมืองกราวิทัสนั้นได้แต่เบิกตากว้างเมื่ออยู่ดีๆ ก็ได้มีร่างของทหารคนหนึ่งพุ่งตรงมาจากด้านนอกกำแพงของวังหลวงกราวิทัสด้วยความรวดเร็วและตกลงมากระแทกพื้นที่ใจกลางกลุ่มของพวกเขาเข้าพอดี

 

ซึ่งนากานั้นก็รีบตั้งสติก่อนจะรีบเข้าไปพยุงร่างของนายทหารคนนั้นขึ้นมาดูอาการในทันที

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า!? ทำใจดีๆ ไว้นะ!”

 

“ย…หยุดผู้หญิงคนนั้นไว้…”

 

“ผู้หญิงงั้นหรอ—”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของทหารยามนั้นได้หันไปในทิศที่อีกฝ่ายกระเด็นมาในทันที ก่อนที่เขาจะพบเข้ากับหญิงสาวผมสีเขียวนัยน์ตาสีม่วงที่ถือหอกคริสตัลสีเขียวเล่มหนึ่งไว้ในมือและกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขา

 

“มายะ! ฉันฝากพรีมูล่าด้วย!! เซซิล มาช่วยกันหยุดผู้หญิงคนนั้นไว้หน่อย!!”

 

“อ—เอ๋ะ– เกิดอะไรขึ้นอ่ะ–!?”

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ!!”

 

“…หยุดเอาไว้งั้นสินะ…!”

 

นากาตะโกนสั่งเพื่อนๆ ในกลุ่มและคว้าเอาโล่เหล็กที่บุบเป็นทางยาวขึ้นมาพร้อมกับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบเปื้อนเลือดคู่ใจและรีบลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมตัวต่อสู้อยู่ข้างเซซิลในทันที

 

“หลบไป!!”

 

หญิงสาวผมสีเขียวที่กำลังพุ่งเข้ามานั้นได้ตะโกนใส่นากากับเซซิลที่ยืนขวางถนนอยู่ไม่ไกลให้หลีกทางไป แต่ว่าเมื่อเธอเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมหลบไปตามที่สั่งดีๆ แล้ว เธอจึงได้ควงหอกในมือและฟาดเข้าใส่นากาที่ยืนขวางอยู่ในทันทีที่เธอเข้ามาใกล้

 

“เซซิล!!”

 

“รู้แล้วน่า…!”

 

เพล้ง—ฟู่ววววว! เคล๊ง!!

 

โล่ลมที่เซซิลสร้างขึ้นมาขวางระหว่างนากากับหญิงสาวผมสีเขียวนั้นได้ระเบิดมวลอากาศออกมาในทันทีที่หอกคริสตัลของอีกฝ่ายกระทบโดนมัน แต่ว่าหอกคริสตัลสีเขียวนั้นก็ยังคงพุ่งตรงเข้ามากระแทกกับดาบของนากาอย่างรุนแรงจนทำให้เขาเซถอยกลับไปสองสามก้าว

 

ซึ่งเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าเซซิลไม่ได้สร้างโล่ลมขึ้นมาขวางเอาไว้ก่อนนั้นตัวเขาก็คงจะไม่พ้นกระเด็นไปไกลแบบเดียวกับทหารคนที่พรีมูล่ากับมายะกำลังช่วยกันลากให้หลบไปอีกทางหนึ่งอยู่อย่างแน่นอน

 

“ชิ—ทหารรับจ้างหรอ…ไม่สิหรือว่านักเดินทางงั้นหรอ…”

 

หญิงสาวผมสีเขียวได้พูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าสามารถรับหอกของเธอเอาไว้ได้โดยไม่กระเด็นไปไหนผิดกับทหารคุณภาพต่ำของเมืองกราวิทัสที่เธอหวดกระเด็นมาเมื่อสักครู่ และรีบถอยกลับไปเตรียมรับมือโดยไม่มีทีท่าว่าจะประมาทเลยแม้แต่น้อย

 

“ผ…ผู้หญิงคนนั้น…ในรายงาน… ของแพนเทร่า…”

 

“….! ข—เข้าใจแล้วค่ะ!”

 

“พี่นากา! พี่ทหารเขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนที่โจมตีแพนเทร่าก็ได้อ้ะ!!”

 

ในขณะที่มายะได้พยักหน้าตอบทหารของกราวิทัสที่เหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อนั้น ทางด้านพรีมูล่าก็ได้โผล่หัวไปพ้นแนวต้นไม้ประดับสวนและตะโกนบอกพี่ชายของเธอเกี่ยวกับข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เธอจะคว้าเอาปืนยาวที่สะพายไว้บนหลังออกมาเล็งไปทางหญิงสาวผมสีเขียวและลั่นไกออกไปในทันที

 

เปรี๊ยง!

 

หมับ

 

เพล้ง!

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวก็กลับขยับมือมาคว้ากระสุนน้ำแข็งของพรีมูล่าเอาไว้ได้กลางอากาศก่อนที่มันจะพุ่งเข้าถึงตัวเธอและบีบมันแตกกระจายไปในพริบตา

 

“กระสุนฝึก…? เด็กนักเรียนงั้นหรอ…”

 

เธอพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจหลังจากที่พบว่ากระสุนน้ำแข็งของเด็กสาวผมชมพูนั้นไม่ได้ทนทานอย่างที่มันควรจะเป็นและกำลังละลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็ไม่น่าจะมีสาเหตุอย่างอื่นไปได้นอกซะจากว่ากระสุนที่อีกฝ่ายยิงใส่เธอนั้นมีไว้เพื่อฝึกฝนการใช้พลังแบบที่เหล่าเด็กนักเรียนใช้กัน และนั่นก็ทำให้เธอต้องพูดเตือนเหล่าเด็กนักเรียนตรงหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็หลบไปซะ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเด็กๆ หรอกนะ!”

 

“พรีมูล่า! มายะ! เดี๋ยวพอฉันกับเซซิลเข้าไปสู้แล้วพวกเธอรีบวิ่งไปขึ้นรถที่หอนาฬิกาเลยนะ!”

 

แต่ว่านากานั้นกลับไม่คิดที่จะถอยหนีไปไหนและหันไปตะโกนสั่งน้องสาวของเขากับผู้ช่วยประธานนักเรียนด้วยน้ำเสียงอันดังจนทำให้พรีมูล่าที่กำลังขึ้นลำกล้องกระสุนนัดต่อไปอยู่ชะงักไปในทันที

 

“จ—จะดีหรอคะ!?”

 

“นั่นสิพี่นากา!?”

 

“รีบๆ ไปได้แล้ว! เดี๋ยวพวกฉันจะถ่วงเวลารอให้ทหารคนอื่นวิ่งมาเสริมแล้วจะรีบตามไป”

 

“ก็ตามที่นากาบอกนั่นแหล่ะ… พวกเธออยู่ตรงนี้ก็เป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ …”

 

“ฉันเตือนแล้วนะ!!”

 

ยังไม่ทันที่พรีมูล่าจะได้เถียงพี่ชายของเธอกลับไปหญิงสาวผมเขียวที่ยืนฟังพวกเขาอยู่นั้นก็ได้ตะโกนออกมาเมื่อเธอเห็นว่าเด็กนักเรียนตรงหน้าไม่คิดจะหลบไปดีๆ พร้อมกับพุ่งเข้าไปฟาดหอกใส่นากาอีกครั้งในทันที

 

เคล๊ง!!

 

ถึงแม้ว่านากาจะยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตามแต่ว่าเซซิลที่จับจ้องทุกการกระทำของหญิงสาวผมสีเขียวอยู่นั้นได้พุ่งเข้ามาใช้ดาบคาตานะของเธอรับหอกของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน ซึ่งนากานั้นก็รีบใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไปโจมตีอีกฝ่ายกลับไปบ้างเช่นกัน

 

ปึ๊ก!

 

“อุ๊ก…!?”

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวนั้นก็กลับควงหอกของเธอปัดดาบคาตานะของเซซิลที่ออกแรงยันกันเอาไว้อยู่ให้กระเด็นออกไปอีกทางและใช้ด้ามหอกฟาดเข้าใส่ลำตัวของเซซิลอย่างแรงจนเธอกระเด็นถอยออกมา และจากนั้นหญิงสาวผมเขียวก็ควงหอกของเธอในมืออีกครั้งเพื่อเอาส่วนที่เป็นปลายหอกเข้ารับดาบของนากาเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

 

เคล๊ง!!

 

“รีบไปสิ!! แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ไปกระจายข่าวให้ทหารคนอื่นระหว่างทางด้วย!!”

 

“เข้าใจแล้ว!! พวกเรารีบไปกันเถอะพี่มายะ!!”

 

“ค…ค่ะ!”

 

พรีมูล่ารีบตอบพี่ชายของเธอกลับไปและคว้ามือของมายะให้ตามเธอไปทางประตูของเขตวังในทันที ซึ่งหญิงสาวผมสีเขียวก็ไม่สนใจเด็กสาวทั้งสองคนที่วิ่งหนีไปเลยแม้แต่น้อยและพูดใส่เด็กๆ อีกสองคนที่ยังเหลืออยู่

 

“เป็นแค่เด็กนักเรียนอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องหน่า!!”

 

“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก!! เซซิล!!”

 

“รู้แล้ว…!”

 

ซู๊มม!! ปึ๊ก!

 

ทันใดนั้นเองเซซิลก็ได้สะบัดมือข้างที่กำลังกุมสีข้างที่ถูกอีกฝ่ายใช้ด้ามหอกฟาดไปทางหญิงสาวผมเขียวพร้อมกับใช้วิซธาตุลมสร้างสายลมกรรโชกไปทางเบื้องหน้าอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะรีบพุ่งตัวตามสายลมนั้นเข้าไปตวับดาบคาตานะของเธอใส่อีกฝ่ายในทันที

 

และในจังหวะเดียวกันนั้นนากาก็ได้เตะไปที่ด้ามหอกของหญิงสาวผมเขียวจนมันสะบัดขึ้นไปด้านบนเพื่อเปิดช่องว่างให้เซซิลได้โจมตีใส่อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

 

ฟุ๊บ!!

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีเขียวก็ไม่คิดที่จะรั้งหอกของเธอเอาไว้แม้แต่น้อย โดยเธอได้ตัดสินใจที่จะออกแรงดีดตัวเองขึ้นจากพื้นตามแรงที่นากาเตะใส่หอกของเธอไปจนสามารถหลบดาบคาตานะของเซซิลไปได้อย่างง่ายดาย

 

“—!?”

 

“น…นั่นมันอะไรน่ะ…”

 

ทันใดนั้นเองนากากับเซซิลก็ได้จ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างสับสน เพราะว่าในตอนที่พวกเขาเงยหน้ามองตามหญิงสาวผมสีเขียวที่กระโดดหนีไปเมื่อสักครู่นั้นทั้งเขาและเซซิลก็ได้สังเกตเห็นคริสตัลสีเขียวก้อนเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ และในตอนนี้พวกมันก็กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหอกปลายแหลมจำนวนมากที่หันปลายแหลมของพวกมันมาทางพวกเขาอยู่

 

“ขอโทษนะ แต่ฉันเองก็ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเธอเหมือนกัน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+