Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 61 : Hesitation

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 61 : Hesitation at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในช่วงกลางดึกของวันเดียวกันนั้นรถยนต์ที่พวกนากานั่งกลับเมืองรีมีนัสมากันก็ได้จอดลงที่หน้าอาคารเรียนของโรงเรียนรีมินัสโดยสวัสดิภาพ ซึ่งมายะนั้นแทบจะไม่รอให้รถหยุดลงจนนิ่งสนิทซะด้วยซ้ำในตอนที่เธอกระโดดลงไปจากหลังรถกระบะด้วยท่าทางอารมณ์ดีและบอกกับพวกเขาว่าเธอจะต้องไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไดเอน่าทราบและออกวิ่งไปในทันที

 

ซึ่งท่าทางของมายะนั้นก็ทำให้พวกเขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองตามเธอไป ก่อนที่เซซิลจะเป็นคนอาสาพาเดริคและทีออสที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะไปพักผ่อนกันที่ไหนดีไปยังห้องรับรองแขกของทางโรงเรียนที่อยู่ทางเดียวกับหอพัก

 

ส่วนทางด้านนากานั้นก็ล็อกแขนของพรีมูล่าที่กำลังตื่นเต้นกับเมืองรีมินัสยามค่ำคืนเอาไว้และพาเธอเดินกลับไปยังบ้านของเอริกะกันหลังจากที่พวกเขาบอกลาทุกคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“โอ๋ะ– กลับมากันแล้วหรอ? ไหนไดเอน่าจังบอกว่าพวกเธออาจจะอยู่เที่ยวที่นั่นกันสักวันสองวันไม่ใช่หรอ?”

 

เอริกะที่โผล่ออกมาต้อนรับพวกเขานั้นมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเธอพบว่าผู้ที่มากดกริ่งในยามค่ำคืนคือสองพี่น้องที่ควรจะอยู่เที่ยวกันอย่างสนุกสนานที่เมืองกราวิทัสจนทำให้นากาได้แต่เกาแก้มของตัวเองและตอบกลับไป

 

“อ—อ่า… พอดีมีเรื่องนิดหน่อยก็เลยต้องรีบกลับมาน่ะ”

 

“บู่วววววว! หนูเลยอดได้เที่ยวที่เมืองนั้นเลยอ่ะ!!”

 

“เอาหน่าๆ เดี๋ยวเอาไว้พี่ซื้อเค้กมาให้แทนละกันดีมั้ย?”

 

นากาที่เห็นว่าพรีมูล่าเริ่มทำหน้าบูดขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้กลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจและตัดสินใจที่จะงัดท่าไม้ตายออกมารับมือยัยตัวแสบของเขาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าหันมามองเขาด้วยแววตาเป็นประกายและตอบตกลงกลับมาในทันที

 

“เอาาาา~~~!”

 

“พรีมจังนี่โดนของกินซื้อได้ตลอดจริงๆ สิน๊า~”

 

“แต่นี่มันเค้กเลยนะพี่เอริกะ!”

 

ท่าทางอันไร้เดียงสาของพรีมูล่านั้นถึงกับทำให้เอริกะที่ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนที่เธอจะหลบทางให้พวกนากาเข้ามาภายในตัวบ้านกัน

 

“อ่าว? คอนแนลไม่อยู่หรอ?”

 

นากาที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นนั้นได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจเพราะว่าเขาไม่พบกับเพื่อนอัศวินของเขาที่ควรจะมุดฟูกนอนอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของพรีมูล่าที่รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนชั้นสองเพื่ออวดประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างเมืองให้โมโกะกับอลิซฟังดังลงมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“พี่นากา~ โมโกะจังกับพี่อลิซเขาหายไปไหนกันแล้วก็ไม่รู้อ่ะ~~”

 

“อ่ะจริงด้วยสิ ก็เมื่อวานนี้ฉันบอกพวกเธอไปแล้วนี่ว่าจะให้พวกเธอย้ายไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของเวก้าเขาน่ะ พวกโมโกะจังกับอลิซแล้วก็คอนแนลเขาก็เลยเก็บของย้ายไปอยู่ที่นู่นกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”

 

เอริกะที่เพิ่งจะล็อกประตูบ้านเสร็จนั้นก็ได้ชิงพูดขึ้นมาดักหน้านากาที่กำลังจะหันมาทางเธอเพื่อสอบถามดูพร้อมกับเดินผ่านเขาไปปิดผ้าม่านประตูกระจกของห้องนั่งเล่น แต่ว่านากานั้นก็ยังเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจและถามคำถามใหม่ขึ้นมาอีกอยู่ดี

 

“หมายความว่าตอนนี้คนอื่นๆ เขาอยู่ที่คฤหาสน์กันหมดแล้วหรอน่ะ?”

 

“ช่าย~ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะยังไงห้องที่คฤหาสน์นั่นก็น่าจะมีที่พอสำหรับทุกคนอยู่แล้วล่ะ ต่อให้พวกเขาย้ายกันไปก่อนจริงๆ อย่างมากก็แค่ได้เลือกห้องที่ถูกใจก่อนเท่านั้นแหล่ะ~”

 

“เอ๋… แล้วนี่หมายความว่าวันนี้หนูต้องย้ายไปนอนที่คฤหาสน์นั่นเลยหรือเปล่าอ่ะ? วันนี้หนูเหนื่อยแล้วอ้ะ…”

 

“ไม่ใช่ว่าที่เธอเหนื่อยนี่มันเป็นเพราะเธอเอาแต่จะซนปีนขึ้นไปบนหลังคารถหรอหะ!?”

 

นากาที่ได้ยินน้องสาวของตนพูดคำว่าเหนื่อยออกมานั้นได้หันไปดุเธอในทันที เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วตัวเขาที่ทั้งออกแรงสู้กับหญิงสาวผมเขียวที่หน้าปราสาททั้งต้องมาคอยคุมตัวพรีมูล่าที่แทบจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ตลอดการเดินทางนั้นควรจะเป็นคนพูดคำว่าเหนื่อยออกมาซะมากกว่า

 

ซึ่งเอริกะที่พอจะจินตนาการได้ว่าเด็กสาวผมชมพูได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาบ้างในระหว่างการเดินทางนั้นก็เหลือบมองไปยังประตูห้องออฟฟิศของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาบอกสองพี่น้องด้วยท่าทางอารมณ์ดี

 

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้พวกเธอจะพักกันที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะถึงพวกเธอจะมีบ้านใหม่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่แล้วก็เถอะแต่ว่ายังไงที่นี่ก็ยินดีต้อนรับพวกเธออยู่เสมอนั่นแหล่ะ~”

 

“เย้~ ขอบคุณค่ะพี่เอริกะ~ ถ้างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนเลยละกันเนอะ~!”

 

“ยังไงก็ขอบใจมากนะเอริกะ ทั้งเรื่องนี้แล้วก็เรื่องที่ผ่านๆ มาด้วย…”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า~ ยังไงฉันก็เป็นคนรับพวกเธอเข้ามาเองเพราะงั้นก็ต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ~ งั้นเอาเป็นว่าพวกเธอไปจัดการอะไรกันให้เสร็จแล้วพอว่างๆ ก็ค่อยมาเล่าให้ฉันฟังหน่อยละกันว่าที่กราวิทัสเกิดเรื่องอะไรขึ้นจนอดได้เที่ยวกันน่ะ… อ้ะพรีมจัง! เสื้อผ้าของเธอน่าจะยังอยู่ที่เดิมนะเพราะเห็นโมโกะจังเขาฝากมาบอกว่าให้เธอจัดการเก็บเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยด้วยน่ะ~!!”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าไปตะโกนบอกพรีมูล่าที่อยู่บนชั้นสอง ในจังหวะเดียวกับที่พรีมูล่าได้เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเสื้อผ้าที่เธอวางไว้บนหัวของตัวเองและเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความอารมณ์ดีที่เธอจะได้จองห้องนอนใหญ่บนชั้นสองเป็นของตัวเองคนเดียว

 

“ก็ถ้าเธอจะว่าอย่างนั้นล่ะนะ… เอาเป็นว่าถ้าเธอมีอะไรจะให้พวกฉันช่วยก็บอกมาได้ทันทีเลยนะ”

 

“อื้อ~ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเธอไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวฉันขอจัดการซ่อมของพวกนั้นต่ออีกหน่อยก็ว่าจะพักแล้วเหมือนกัน”

 

“ถ้าเกิดจำเป็นต้องปลุกพวกฉันก็ปลุกได้เลยนะ!”

 

เอริกะที่เห็นท่าทีแข็งขันของนากานั้นได้ยิ้มแฉ่งพร้อมพยักหน้าตอบนากากลับไป ก่อนที่เธอจะเดินไปเปิดประตูห้องออฟฟิศของตัวเองที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาและพูดขึ้นมาต่อ

 

“อ้อ แล้วถ้าเกิดว่าพวกเธอหิวก็ใช้ของในห้องครัวกันได้ตามสบายเลยนะ น่าจะมีอาหารที่คอนแนลเขาทำเอาไว้เหลืออยู่ในตู้แช่เย็นน่ะ”

 

“อ่า… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอเข้าไปดูในครัวหน่อยละกัน”

 

นากาที่ได้ยินคำว่าอาหารนั้นก็เริ่มที่จะรู้สึกหิวขึ้นมาเพราะว่านอกว่าของกินเล่นแก้หิวในระหว่างเดินทางแล้วเขากับพรีมูล่าก็ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยซะด้วยซ้ำ และเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่พรีมูล่าอาบน้ำเสร็จแล้วล่ะก็ยัยน้องสาวตัวแสบของเขาจะต้องร้องโวยวายหาของกินแน่ๆ

 

“อ้อ เอริกะ แล้วเธอจะกิน—- ไปซะแล้วแฮะ…”

 

 

“ฟู่ว….”

 

เอริกะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังจากที่เธอฉวยโอกาสแอบลอบเข้ามาในห้องออฟฟิศของตัวเองในตอนที่นากากำลังเดินไปทางห้องครัวได้สำเร็จ แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน

 

“ฉันก็นึกว่าเธอจะชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าซะอีกนะเนี่ย…”

 

คำพูดของหญิงสาวผมสีเขียวที่ยืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานของเธออยู่นั้นถึงกับเอริกะต้องหันไปมองทางเจ้าของเสียงตาขวางและพูดตอบกลับไปในทันที

 

“เธอน่ะระวังตัวเองไว้เอาเถอะเซซิเรีย ถ้าเกิดพวกนากาคุงเขามาเคาะประตูก็รีบๆ หลบออกไปทางหน้าต่างนั่นเลยล่ะ ฉันยังไม่อยากให้พวกเธอมาสู้กันที่นี่จนสวนหน้าบ้านฉันพังอีกรอบหรอกนะ เพราะนากาคุงเขายิ่งใจร้อนอยู่ซะด้วยสิ”

 

“…เด็กๆ พวกนั้นน่ะหรอที่นิลิมเขาบอกฉันว่าเธอไปรับมาดูแลน่ะ?”

 

“แหม่~ ก็นานๆ ทีอารอนเขาจะมาขอความช่วยเหลือสักครั้งนี่นา… ว่าแต่ฉันก็ได้ข่าวมาว่าเธอไปรับเด็กที่ไหนไม่รู้มาดูแลด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอเซซิเรีย~?”

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

เซซิเรีย หรือก็คือหญิงสาวผมสีเขียวที่ใช้หอกคริสตัลที่สู้กับนากาตรงหน้าปราสาทกราวิทัสถึงกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจเมื่อโดนเพื่อนนักประดิษฐ์ของเธอพูดจายอกย้อนกลับมาแบบนั้น ในขณะที่เอริกะนั้นก็ทำหน้ายิ้มๆ พร้อมกับพูดถามกลับไป

 

“ว่าแต่เธอก็ยังเดินทางได้เร็วเหมือนเคยเลยนี่ ถึงกับแซงหน้าพวกนากาคุงที่หนีกลับมาก่อนได้แบบนั้นน่ะ ทีตอนที่พานิลิมกลับมาจากแพนเทร่าดันใช้เวลาตั้งนานจนฉันโดนอารอนเขาว่าเลยนะรู้มั้ย”

 

“นี่เธอคิดจะให้ฉันแบกคนเจ็บแบบนิลิมเขาเดินทางด้วยความเร็วขนาดนั้นจริงๆ หรือไงน่ะหะ…?”

 

“ฮะฮะ ว่าแต่ที่เธอรีบมาหาฉันนี่แปลว่ามีธุระอะไรสักอย่างสินะ? ไหนลองว่ามาสิ~”

 

“นี่เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเนี่ยหะ?”

 

“นั่นสินะ~ งั้นเอาเป็นฉันขอถามหน่อยละกันว่าข้อมูลที่ฉันได้มากับที่เธอไปเห็นมานั่นตรงกันหรือเปล่าน่ะ”

 

เอริกะที่เห็นเซซิเรียทำสีหน้าเคร่งเครียดนั้นยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมกับเดินผ่านหญิงสาวผมสีเขียวไปนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทางอารมณ์ดีแบบที่เธอทำเป็นประจำและพูดขึ้นมาต่อ

 

“เท่าที่ฉันรู้มาก็คือ มีขุนนางเสียชีวิตสองคน กับทหารอีกหนึ่งคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยทั้งๆ ที่โดนเธอหวดจนปลิวกระเด็นไปไกล… แต่ถ้าเทียบกับที่แพนเทร่าแล้วครั้งนี้แทบจะนับว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยล่ะที่มีผู้เสียชีวิตน้อยขนาดนี้น่ะ”

 

“นี่เธอรู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วยสินะ—!!”

 

คำพูดของเอริกะนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียกำหมัดแน่นและหันกลับมาจ้องหน้าเธอในทันที แต่ว่าก่อนที่หญิงสาวผมสีเขียวจะได้พูดต่อว่าอะไรออกมานั้น เอริกะก็ได้ยื่นนิ้วออกมาเป็นสัญญาณว่าให้อีกฝ่ายเงียบลงซะก่อน

 

“ข้อแรก… เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะเข้าไปห้าม ข้อที่สอง… เจ้าพวกที่กราวิทัสนั่นมันสมควรที่จะโดนแบบนั้นเข้าไปสักทีอยู่แล้ว ต่อให้เธอคนนั้นจะไม่ได้เป็นคนลงมือเองสักวันนึงพวกมันก็คงจะแกว่งเท้าไปโดนกับระเบิดกันเองอยู่ดี… เรื่องนี้ต่อให้เธอจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องจริงใช่มั้ยล่ะ?”

 

“…..”

 

เซซิเรียที่ได้ยินคำอธิบายของเอริกะนั้นได้สงบท่าทีก้าวร้าวของเธอลงพร้อมกับขยับไปยืนกอดอกพิงตู้หนังสือที่อยู่ใกล้ๆ กันพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้ดีเช่นกันว่าเหล่าขุนนางของกราวิทัสที่โดนฆ่าไปนั้นเคยก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง ในขณะที่เอริกะนั้นก็ยังคงพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม

 

“แล้วก็อย่างที่สาม ฉันยังต้องยุ่งหัวปั่นกับการซ่อมของพวกนี้อยู่แถมคนของฉันเองก็ไม่มีใครว่างเลยด้วยเพราะงั้นคงจะส่งใครไปช่วยไม่ได้หรอกนะ…แล้วถึงต่อให้จะส่งใครไปได้จริงๆ ต่อหน้าเธอคนนั้นมันก็ไม่ต่างจากการส่งพวกเขาไปตายเปล่าหรอกเธอเองก็รู้ดี…”

 

“แต่เธอก็เพิ่งจะส่งเด็กๆ ของเธอไปขวางการทำงานของฉันไม่ใช่หรือไง…?”

 

“เห~ เรื่องนั้นฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย~ พวกที่กราวิทัสเป็นคนเรียกนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องก่อนหน้านี้ไปเองแล้วบังเอิญว่าพวกนากาคุงเขาเป็นคนของฉันต่างหากล่ะ~”

 

ท่าทีของเอริกะที่พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ แถมยังยักไหล่กลับมาให้เธอนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียต้องหรี่ตามองเพื่อนของตนพร้อมกับพูดถามกลับไปในทันที

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญงั้นสินะ…?”

 

“ชีวิตคนเรามันก็แค่เรื่องบังเอิญและปาฏิหาริย์ที่ถูกร้อยเรียงต่อกันโดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? ฉันก็นึกว่าเธอจะเป็นคนที่เชื่อในเรื่องนี้มากกว่าใครซะอีกนะเนี่ยเซซิเรียจัง~”

 

“…..”

 

เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้หลับตาลงและก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่เอริกะจะเผยรอยยิ้มกวนๆ ออกมาอีกครั้งและพูดถามซ้ำขึ้นมา

 

“ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าล่ะ~”

 

“อืม… นั่นสินะ…”

 

เซซิเรียที่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เอริกะอยากจะสื่อนั้นได้เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาและตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นกว่าเมื่อครู่มาก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจปล่อยผ่านเรื่องที่กราวิทัสไปก่อนและเงยหน้าขึ้นมาถามเรื่องอื่นกับเพื่อนนักประดิษฐ์ตัวแสบของเธอแทน

 

“แล้วเธอได้เบาะแสอะไรมาบ้างหรือเปล่าล่ะ? เกี่ยวกับเป้าหมายถัดไปของพวกนั้นน่ะ?”

 

“เฮ้อ~ ถ้ามันได้เรื่องเร็วขนาดนั้นก็ดีสิ ตอนแรกฉันก็คิดว่าพวกนั้นแค่อยากจะขัดขวางการพัฒนาด้วยการไล่ทำลายสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของฉันที่แพนเทร่ากับรีมินัสนี่เฉยๆ ซะอีก แต่ว่าพอมีเรื่องเกิดขึ้นที่กราวิทัสด้วยนี่มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องนั้นแล้วซะมากกว่านี่สิ… แถมตัวฉันเองก็ต้องมานั่งซ่อมของพวกนี้ให้ทางวังหลวงอยู่จนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปหาข้อมูลอะไรเลยเนี่ย!”

 

“งั้นหรอ…เหนื่อยหน่อยนะเธอน่ะ…”

 

“เฮ้ออออ~ ไม่เหนื่อยหน่อยล่ะ เหนื่อยสุดๆ ไปเลยต่างหาก”

 

เมื่อเอริกะได้ยินคำถามของเซซิเรียเข้าไปเธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับบ่นกลับไปให้อีกฝ่ายฟังจนทำให้เซซิเรียอดที่จะส่ายหน้ากลับมาให้เอริกะเป็นไม่ได้

 

“…จะว่าไปแล้วเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ ที่เธอบอกว่าจะเอายูนิตจากสมัยก่อนมาปรับปรุงให้ประชาชนได้ใช้กันน่ะ? ตอนนี้พร้อมที่จะเอาออกไปให้พวกชาวบ้านทั่วไปได้ทดลองใช้กันแล้วหรือยัง?”

 

“อ๋อ~ ถ้าเรื่องนี้ฉันเพิ่งจะเอาไปให้ทางโรงเรียนพิจารณาดูน่ะ พวกเขาเพิ่งจะตอบตกลงไปเมื่อตอนเย็นนี้เอง”

 

“ห—หา? โรงเรียน!? นี่เธอคงไม่ได้คิดจะให้พวกเด็กนักเรียนของที่นี่เป็นหนูทดลองก่อนใช่มั้ยเนี่ยหะ!?”

 

เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ นั้นถึงกับขมวดคิ้วและเดินเข้าไปประชิดตัวเอริกะพร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังในทันที

 

“พวกเราไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้นแล้วนะเอริกะ! ถ้าขืนเธอยังมัวแต่เล่นเป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์กันแบบนี้กว่ายูนิตพวกนั้นจะได้ใช้กันอย่างแพร่หลายมันจะสายเกินไปแล้วนะ!!”

 

“จ้าๆ นี่คือคำพูดของคนที่เพิ่งจะไปเก็บเด็กจากที่ไหนไม่รู้มาเข้าทีมเพิ่มแล้วก็พาไปสอนงานพลาดจนภารกิจล่มเพราะพวกเด็กๆ ของฉันงั้นหรอจ๊ะ~?”

 

“หึ้ย—!”

 

คำพูดยอกย้อนของเอริกะนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียกำหมัดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะทุบมันใส่กลางกบาลของนักประดิษฐ์ตัวแสบเข้าไปสักที ในขณะที่เอริกะก็กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกวนๆ กลับมาใส่เธออยู่

 

“แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เห็นความสามารถกับความเป็นไปได้ของเด็กพวกนั้นแล้วใช่มั้ยล่ะเซซิเรีย?”

 

“หึ… ก็แค่พอจะดูแลตัวเองกันได้เท่านั้นล่ะ ถ้าจะให้พร้อมใช้งานจริงๆ ก็คงจะยังต้องฝึกกันอีกเยอะเลยล่ะ…”

 

“ใช่มั้ยล่า~ ถึงกับทำให้เธอเอ่ยปากชมขึ้นมาได้แบบนี้พวกเขาก็มีความสามารถกันจริงๆ นั่นล่ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกนากาคุงด้วยนะ พวกเด็กๆ ยุคนี้น่ะเริ่มที่จะควบคุมวิซกันเก่งขึ้นกว่าสมัยก่อนมากแล้วล่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่าพวกเขาน่าจะพอใช้พวกยูนิตเก่าๆ ที่พวกนั้นเคยใช้กันได้อย่างไม่น่ามีปัญหาเลยล่ะ”

 

“…ก็ถ้าพวกเขามีความสามารถถึงขั้นนั้นกันจริงๆ การที่จะให้พวกเขาได้ฝึกฝนใช้ยูนิตพื้นฐานพวกนี้ให้ชำนาญกันก่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่มีพวกเราแล้วก็คงจะดีกว่าจริงๆ ล่ะมั้ง”

 

เซซิเรียพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะคลายมือที่กำแน่นของเธอและเดินไปกอดอกพิงกล่องอุปกรณ์ของเอริกะที่วางอยู่ใกล้ๆ กันพร้อมกับพูดขึ้นมาต่อถึงปัญหาที่เธอสังเกตเห็น

 

“แล้วเรื่องฝึกสอนเธอจะทำยังไงล่ะ? โรงเรียนนั่นน่าจะมีพวกเด็กๆ จากตระกูลขุนนางกันอยู่เยอะแยะเลยไม่ใช่หรือไง เจ้าหนูพวกนั้นคงจะไม่ยอมรับการสั่งสอนจากคนที่ไม่มีความสามารถจริงๆ หรอกมั้ง? แบบนี้เธอจะส่งใครเข้าไปเป็นคนสอนล่ะ หรือว่าเธอจะเป็นคนไปลงสนามเอง?”

 

“จะบ้าหรอ!? จะให้ฉันเป็นคนไปสอนพวกเด็กๆ แบบนั้นเองเนี่ยนะ? ต่อให้ตายฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก! เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบดูแลพวกเด็กๆ น่ะ!”

 

“เฮ้อ… กล้าพูดมาได้นะ แต่ก็เรียกว่าเป็นโชคดีของพวกเด็กๆ ในโรงเรียนแล้วละกันถ้าดูจากยัยจิ้งจอกแดงกับเจ้ามังกรกล้ามแล้วก็ยัยพยาบาลผมขาวที่โตมากับการสั่งสอนของเธอน่ะ… จะว่าไปก็น่าสงสารเจ้าหนุ่มกับน้องสาวข้างนอกนั่นเหมือนกันนะที่ถูกเธอรับมาดูแลน่ะ”

 

เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะพูดว่าเธอไม่ชอบการดูแลเด็กๆ นั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับไล่รายชื่อของเด็กๆ ที่เอริกะเคยรับมาดูแลอย่างเอริซาเบธ เดรคและมีอาออกมาพลางนึกสงสารกลุ่มเด็กๆ รายล่าสุดอย่างนากาและน้องสาวของเขาที่นั่งกินอาหารกันอยู่ในห้องนั่งเล่นขึ้นมา ในขณะที่เอริกะนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยท่าทางเขินอาย

 

“แหะๆ”

 

“ฉันไม่ได้ชมนะเฮ้ย…”

 

“ฮะฮะ รู้แล้วหน่าๆ ส่วนเรื่องคนที่จะไปสอนพวกนักเรียนใช้เจ้ายูนิตนั่นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉันเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แถมคนที่อนุมัติเรื่องยูนิตนี่ยังเป็นคนขอให้ส่งไปสอนด้วยตัวเองเลยด้วยนะ”

 

“คนที่อนุมัติงั้นหรอ…? ถ้าเป็นตานั่นงั้นก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรล่ะมั้ง…”

 

“ใช่มั้ยล่ะ~”

 

“ให้ตายสิ…”

 

ท่าทางของเอริกะที่ยังคงร่าเริงอยู่เสมอนั้นทำให้เซซิเรียได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะเดินผ่านเอริกะไปทางหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้ของเธอพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเรื่องนี้ฉันจะปล่อยให้เธอจัดการต่อไปเองก็ละกัน ส่วนเรื่องนั้น… ไว้ถ้าเธอได้ตำแหน่งของเป้าหมายถัดไปของพวกนั้นแล้วก็ติดต่อมาหาฉันด้วยล่ะ”

 

“ได้เลยๆ ถึงเอาจริงๆ ก็น่าจะเหลืออยู่อีกไม่กี่ที่ก็เถอะนะ…”

 

“นั่นสินะ…”

 

เซซิเรียพูดตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะกระโดดออกไปยังสนามหญ้าหลังบ้านพร้อมกับเหลือบมองไปยังบริเวณประตูกระจกของห้องนั่งเล่นที่ในตอนนี้ได้มีเงาของนากากับพรีมูล่าที่กำลังนั่งทานอาหารกันถูกส่องมากระทบกับผ้าม่านของประตูกระจกที่เอริกะจงใจดึงมันมาปิดเอาไว้ก่อนจะเข้ามาในห้องออฟฟิศ

 

ซึ่งเซซิเรียก็เหม่อมองดูเงาของสองพี่น้องที่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ด้วยท่าทีสนิทสนมกับเสียงหัวเราะที่ดังลอดผ่านออกมาจากห้องนั่งเล่นอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเรียกชื่อเพื่อนของเธอขึ้นมาเบาๆ

 

“นี่เอริกะ…”

 

“จ๊าจ้ะ?”

 

“เธอคิดว่าพวกเราจะยังกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนกันได้อยู่หรือเปล่า…?”

 

ทันทีที่เอริกะได้ยินคำถามของเซซิเรียนั้นมือของเธอที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบซากสิ่งประดิษฐ์ออกมาจากกล่องก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาและพูดตอบเซซิเรียกลับไป

 

“ฉันว่ามันคงจะยากล่ะนะเซซิเรีย… รอยร้าวระหว่างพวกเรากับพวกเขามันมากเกินกว่าที่จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”

 

“หึ…นั่นสินะ…”

 

คำตอบจากปากเพื่อนนักประดิษฐ์นั้นทำให้เซซิเรียได้แต่ต้องก้มหน้าลงพร้อมกับเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่เอริกะนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบเอาอุปกรณ์ของเธอออกมาและเริ่มจัดการซ่อมแซมมันพร้อมกับพูดขึ้นมาต่อ

 

“ถึงฉันจะคิดแบบนั้นก็เถอะ… แต่ว่าเธอน่ะเป็นคนที่เชื่อมั่นในเรื่องนั้นมากที่สุดไม่ใช่หรือไง? ถ้าเกิดว่าแม้แต่เธอก็ยังยอมแพ้… พวกเราก็คงจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้จริงๆ แล้วล่ะ…”

 

“นั่นสินะ… แต่บางทีฉันก็อดสงสัยขึ้นมาบ้างไม่ได้เหมือนกัน… ว่าสิ่งที่ฉันกำลังพยายามทำอยู่นี่มันเป็นเรื่องที่โง่งมหรือเปล่าน่ะ…”

 

“…..”

 

เอริกะได้แต่นิ่งเงียบกับคำถามของหญิงสาวผมสีเขียวที่ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้แตกต่างจากน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเองตลอดเวลาของอีกฝ่ายและนั่งจ้องมองซากอุปกรณ์ที่ถูกระเบิดในมือของเธออย่างเงียบๆ โดยไม่อาจหาคำพูดอะไรตอบอีกฝ่ายกลับไปได้

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“—-!”

 

ในขณะที่ภายในห้องออฟฟิศของเอริกะถูกปกคลุมด้วยความเงียบนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจนทำให้เอริกะต้องรีบหมุนเก้าอี้ของเธอไปทางเซซิเรียที่อยู่นอกหน้าต่างในทันที

 

แต่ว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นก็มีเพียงแค่ผ้าม่านที่กำลังปลิวไสวจากสายลมยามดึกที่พัดผ่านเข้ามาในห้องโดยไร้ซึ่งวี่แววของเพื่อนสาวของเธอแล้ว ก่อนที่จะมีเสียงของนากาจะดังขึ้นมาจากทางประตูห้องออฟฟิศของเธอ

 

“นี่เอริกะ ยังตื่นอยู่หรือเปล่า?”

 

“อะแฮ่ม อ–อ่า แป๊บนึงนะ~”

 

เอริกะที่ได้ยิงเสียงของนากานั้นรีบปรับสีหน้าและน้ำเสียงของเธอให้เป็นปกติและพูดตอบนากาไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้กับเขาในทันที

 

“ว่าไงๆ?”

 

“พอดีว่าฉันกับพรีมูล่าเอาข้าวที่เหลืออยู่มาทำเป็นข้าวปั้นน่ะ เธอสนใจจะกินด้วยกันมั้ย?”

 

“โอ้~ ข้าวปั้นหรอ? ขอบใจมากนะนากาคุง~”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 61 : Hesitation

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 61 : Hesitation at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในช่วงกลางดึกของวันเดียวกันนั้นรถยนต์ที่พวกนากานั่งกลับเมืองรีมีนัสมากันก็ได้จอดลงที่หน้าอาคารเรียนของโรงเรียนรีมินัสโดยสวัสดิภาพ ซึ่งมายะนั้นแทบจะไม่รอให้รถหยุดลงจนนิ่งสนิทซะด้วยซ้ำในตอนที่เธอกระโดดลงไปจากหลังรถกระบะด้วยท่าทางอารมณ์ดีและบอกกับพวกเขาว่าเธอจะต้องไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไดเอน่าทราบและออกวิ่งไปในทันที

 

ซึ่งท่าทางของมายะนั้นก็ทำให้พวกเขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองตามเธอไป ก่อนที่เซซิลจะเป็นคนอาสาพาเดริคและทีออสที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะไปพักผ่อนกันที่ไหนดีไปยังห้องรับรองแขกของทางโรงเรียนที่อยู่ทางเดียวกับหอพัก

 

ส่วนทางด้านนากานั้นก็ล็อกแขนของพรีมูล่าที่กำลังตื่นเต้นกับเมืองรีมินัสยามค่ำคืนเอาไว้และพาเธอเดินกลับไปยังบ้านของเอริกะกันหลังจากที่พวกเขาบอกลาทุกคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“โอ๋ะ– กลับมากันแล้วหรอ? ไหนไดเอน่าจังบอกว่าพวกเธออาจจะอยู่เที่ยวที่นั่นกันสักวันสองวันไม่ใช่หรอ?”

 

เอริกะที่โผล่ออกมาต้อนรับพวกเขานั้นมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเธอพบว่าผู้ที่มากดกริ่งในยามค่ำคืนคือสองพี่น้องที่ควรจะอยู่เที่ยวกันอย่างสนุกสนานที่เมืองกราวิทัสจนทำให้นากาได้แต่เกาแก้มของตัวเองและตอบกลับไป

 

“อ—อ่า… พอดีมีเรื่องนิดหน่อยก็เลยต้องรีบกลับมาน่ะ”

 

“บู่วววววว! หนูเลยอดได้เที่ยวที่เมืองนั้นเลยอ่ะ!!”

 

“เอาหน่าๆ เดี๋ยวเอาไว้พี่ซื้อเค้กมาให้แทนละกันดีมั้ย?”

 

นากาที่เห็นว่าพรีมูล่าเริ่มทำหน้าบูดขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้กลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจและตัดสินใจที่จะงัดท่าไม้ตายออกมารับมือยัยตัวแสบของเขาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้พรีมูล่าหันมามองเขาด้วยแววตาเป็นประกายและตอบตกลงกลับมาในทันที

 

“เอาาาา~~~!”

 

“พรีมจังนี่โดนของกินซื้อได้ตลอดจริงๆ สิน๊า~”

 

“แต่นี่มันเค้กเลยนะพี่เอริกะ!”

 

ท่าทางอันไร้เดียงสาของพรีมูล่านั้นถึงกับทำให้เอริกะที่ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนที่เธอจะหลบทางให้พวกนากาเข้ามาภายในตัวบ้านกัน

 

“อ่าว? คอนแนลไม่อยู่หรอ?”

 

นากาที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นนั้นได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจเพราะว่าเขาไม่พบกับเพื่อนอัศวินของเขาที่ควรจะมุดฟูกนอนอยู่ในห้องนั่งเล่น ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของพรีมูล่าที่รีบวิ่งขึ้นไปข้างบนชั้นสองเพื่ออวดประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างเมืองให้โมโกะกับอลิซฟังดังลงมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“พี่นากา~ โมโกะจังกับพี่อลิซเขาหายไปไหนกันแล้วก็ไม่รู้อ่ะ~~”

 

“อ่ะจริงด้วยสิ ก็เมื่อวานนี้ฉันบอกพวกเธอไปแล้วนี่ว่าจะให้พวกเธอย้ายไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของเวก้าเขาน่ะ พวกโมโกะจังกับอลิซแล้วก็คอนแนลเขาก็เลยเก็บของย้ายไปอยู่ที่นู่นกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”

 

เอริกะที่เพิ่งจะล็อกประตูบ้านเสร็จนั้นก็ได้ชิงพูดขึ้นมาดักหน้านากาที่กำลังจะหันมาทางเธอเพื่อสอบถามดูพร้อมกับเดินผ่านเขาไปปิดผ้าม่านประตูกระจกของห้องนั่งเล่น แต่ว่านากานั้นก็ยังเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจและถามคำถามใหม่ขึ้นมาอีกอยู่ดี

 

“หมายความว่าตอนนี้คนอื่นๆ เขาอยู่ที่คฤหาสน์กันหมดแล้วหรอน่ะ?”

 

“ช่าย~ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะยังไงห้องที่คฤหาสน์นั่นก็น่าจะมีที่พอสำหรับทุกคนอยู่แล้วล่ะ ต่อให้พวกเขาย้ายกันไปก่อนจริงๆ อย่างมากก็แค่ได้เลือกห้องที่ถูกใจก่อนเท่านั้นแหล่ะ~”

 

“เอ๋… แล้วนี่หมายความว่าวันนี้หนูต้องย้ายไปนอนที่คฤหาสน์นั่นเลยหรือเปล่าอ่ะ? วันนี้หนูเหนื่อยแล้วอ้ะ…”

 

“ไม่ใช่ว่าที่เธอเหนื่อยนี่มันเป็นเพราะเธอเอาแต่จะซนปีนขึ้นไปบนหลังคารถหรอหะ!?”

 

นากาที่ได้ยินน้องสาวของตนพูดคำว่าเหนื่อยออกมานั้นได้หันไปดุเธอในทันที เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วตัวเขาที่ทั้งออกแรงสู้กับหญิงสาวผมเขียวที่หน้าปราสาททั้งต้องมาคอยคุมตัวพรีมูล่าที่แทบจะไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ตลอดการเดินทางนั้นควรจะเป็นคนพูดคำว่าเหนื่อยออกมาซะมากกว่า

 

ซึ่งเอริกะที่พอจะจินตนาการได้ว่าเด็กสาวผมชมพูได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาบ้างในระหว่างการเดินทางนั้นก็เหลือบมองไปยังประตูห้องออฟฟิศของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาบอกสองพี่น้องด้วยท่าทางอารมณ์ดี

 

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้พวกเธอจะพักกันที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะถึงพวกเธอจะมีบ้านใหม่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่แล้วก็เถอะแต่ว่ายังไงที่นี่ก็ยินดีต้อนรับพวกเธออยู่เสมอนั่นแหล่ะ~”

 

“เย้~ ขอบคุณค่ะพี่เอริกะ~ ถ้างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนเลยละกันเนอะ~!”

 

“ยังไงก็ขอบใจมากนะเอริกะ ทั้งเรื่องนี้แล้วก็เรื่องที่ผ่านๆ มาด้วย…”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า~ ยังไงฉันก็เป็นคนรับพวกเธอเข้ามาเองเพราะงั้นก็ต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ~ งั้นเอาเป็นว่าพวกเธอไปจัดการอะไรกันให้เสร็จแล้วพอว่างๆ ก็ค่อยมาเล่าให้ฉันฟังหน่อยละกันว่าที่กราวิทัสเกิดเรื่องอะไรขึ้นจนอดได้เที่ยวกันน่ะ… อ้ะพรีมจัง! เสื้อผ้าของเธอน่าจะยังอยู่ที่เดิมนะเพราะเห็นโมโกะจังเขาฝากมาบอกว่าให้เธอจัดการเก็บเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยด้วยน่ะ~!!”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าไปตะโกนบอกพรีมูล่าที่อยู่บนชั้นสอง ในจังหวะเดียวกับที่พรีมูล่าได้เดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเสื้อผ้าที่เธอวางไว้บนหัวของตัวเองและเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความอารมณ์ดีที่เธอจะได้จองห้องนอนใหญ่บนชั้นสองเป็นของตัวเองคนเดียว

 

“ก็ถ้าเธอจะว่าอย่างนั้นล่ะนะ… เอาเป็นว่าถ้าเธอมีอะไรจะให้พวกฉันช่วยก็บอกมาได้ทันทีเลยนะ”

 

“อื้อ~ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเธอไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวฉันขอจัดการซ่อมของพวกนั้นต่ออีกหน่อยก็ว่าจะพักแล้วเหมือนกัน”

 

“ถ้าเกิดจำเป็นต้องปลุกพวกฉันก็ปลุกได้เลยนะ!”

 

เอริกะที่เห็นท่าทีแข็งขันของนากานั้นได้ยิ้มแฉ่งพร้อมพยักหน้าตอบนากากลับไป ก่อนที่เธอจะเดินไปเปิดประตูห้องออฟฟิศของตัวเองที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาและพูดขึ้นมาต่อ

 

“อ้อ แล้วถ้าเกิดว่าพวกเธอหิวก็ใช้ของในห้องครัวกันได้ตามสบายเลยนะ น่าจะมีอาหารที่คอนแนลเขาทำเอาไว้เหลืออยู่ในตู้แช่เย็นน่ะ”

 

“อ่า… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอเข้าไปดูในครัวหน่อยละกัน”

 

นากาที่ได้ยินคำว่าอาหารนั้นก็เริ่มที่จะรู้สึกหิวขึ้นมาเพราะว่านอกว่าของกินเล่นแก้หิวในระหว่างเดินทางแล้วเขากับพรีมูล่าก็ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยซะด้วยซ้ำ และเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่พรีมูล่าอาบน้ำเสร็จแล้วล่ะก็ยัยน้องสาวตัวแสบของเขาจะต้องร้องโวยวายหาของกินแน่ๆ

 

“อ้อ เอริกะ แล้วเธอจะกิน—- ไปซะแล้วแฮะ…”

 

 

“ฟู่ว….”

 

เอริกะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังจากที่เธอฉวยโอกาสแอบลอบเข้ามาในห้องออฟฟิศของตัวเองในตอนที่นากากำลังเดินไปทางห้องครัวได้สำเร็จ แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน

 

“ฉันก็นึกว่าเธอจะชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าซะอีกนะเนี่ย…”

 

คำพูดของหญิงสาวผมสีเขียวที่ยืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานของเธออยู่นั้นถึงกับเอริกะต้องหันไปมองทางเจ้าของเสียงตาขวางและพูดตอบกลับไปในทันที

 

“เธอน่ะระวังตัวเองไว้เอาเถอะเซซิเรีย ถ้าเกิดพวกนากาคุงเขามาเคาะประตูก็รีบๆ หลบออกไปทางหน้าต่างนั่นเลยล่ะ ฉันยังไม่อยากให้พวกเธอมาสู้กันที่นี่จนสวนหน้าบ้านฉันพังอีกรอบหรอกนะ เพราะนากาคุงเขายิ่งใจร้อนอยู่ซะด้วยสิ”

 

“…เด็กๆ พวกนั้นน่ะหรอที่นิลิมเขาบอกฉันว่าเธอไปรับมาดูแลน่ะ?”

 

“แหม่~ ก็นานๆ ทีอารอนเขาจะมาขอความช่วยเหลือสักครั้งนี่นา… ว่าแต่ฉันก็ได้ข่าวมาว่าเธอไปรับเด็กที่ไหนไม่รู้มาดูแลด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอเซซิเรีย~?”

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

เซซิเรีย หรือก็คือหญิงสาวผมสีเขียวที่ใช้หอกคริสตัลที่สู้กับนากาตรงหน้าปราสาทกราวิทัสถึงกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจเมื่อโดนเพื่อนนักประดิษฐ์ของเธอพูดจายอกย้อนกลับมาแบบนั้น ในขณะที่เอริกะนั้นก็ทำหน้ายิ้มๆ พร้อมกับพูดถามกลับไป

 

“ว่าแต่เธอก็ยังเดินทางได้เร็วเหมือนเคยเลยนี่ ถึงกับแซงหน้าพวกนากาคุงที่หนีกลับมาก่อนได้แบบนั้นน่ะ ทีตอนที่พานิลิมกลับมาจากแพนเทร่าดันใช้เวลาตั้งนานจนฉันโดนอารอนเขาว่าเลยนะรู้มั้ย”

 

“นี่เธอคิดจะให้ฉันแบกคนเจ็บแบบนิลิมเขาเดินทางด้วยความเร็วขนาดนั้นจริงๆ หรือไงน่ะหะ…?”

 

“ฮะฮะ ว่าแต่ที่เธอรีบมาหาฉันนี่แปลว่ามีธุระอะไรสักอย่างสินะ? ไหนลองว่ามาสิ~”

 

“นี่เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเนี่ยหะ?”

 

“นั่นสินะ~ งั้นเอาเป็นฉันขอถามหน่อยละกันว่าข้อมูลที่ฉันได้มากับที่เธอไปเห็นมานั่นตรงกันหรือเปล่าน่ะ”

 

เอริกะที่เห็นเซซิเรียทำสีหน้าเคร่งเครียดนั้นยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมกับเดินผ่านหญิงสาวผมสีเขียวไปนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทางอารมณ์ดีแบบที่เธอทำเป็นประจำและพูดขึ้นมาต่อ

 

“เท่าที่ฉันรู้มาก็คือ มีขุนนางเสียชีวิตสองคน กับทหารอีกหนึ่งคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยทั้งๆ ที่โดนเธอหวดจนปลิวกระเด็นไปไกล… แต่ถ้าเทียบกับที่แพนเทร่าแล้วครั้งนี้แทบจะนับว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยล่ะที่มีผู้เสียชีวิตน้อยขนาดนี้น่ะ”

 

“นี่เธอรู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วยสินะ—!!”

 

คำพูดของเอริกะนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียกำหมัดแน่นและหันกลับมาจ้องหน้าเธอในทันที แต่ว่าก่อนที่หญิงสาวผมสีเขียวจะได้พูดต่อว่าอะไรออกมานั้น เอริกะก็ได้ยื่นนิ้วออกมาเป็นสัญญาณว่าให้อีกฝ่ายเงียบลงซะก่อน

 

“ข้อแรก… เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะเข้าไปห้าม ข้อที่สอง… เจ้าพวกที่กราวิทัสนั่นมันสมควรที่จะโดนแบบนั้นเข้าไปสักทีอยู่แล้ว ต่อให้เธอคนนั้นจะไม่ได้เป็นคนลงมือเองสักวันนึงพวกมันก็คงจะแกว่งเท้าไปโดนกับระเบิดกันเองอยู่ดี… เรื่องนี้ต่อให้เธอจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องจริงใช่มั้ยล่ะ?”

 

“…..”

 

เซซิเรียที่ได้ยินคำอธิบายของเอริกะนั้นได้สงบท่าทีก้าวร้าวของเธอลงพร้อมกับขยับไปยืนกอดอกพิงตู้หนังสือที่อยู่ใกล้ๆ กันพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้ดีเช่นกันว่าเหล่าขุนนางของกราวิทัสที่โดนฆ่าไปนั้นเคยก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง ในขณะที่เอริกะนั้นก็ยังคงพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม

 

“แล้วก็อย่างที่สาม ฉันยังต้องยุ่งหัวปั่นกับการซ่อมของพวกนี้อยู่แถมคนของฉันเองก็ไม่มีใครว่างเลยด้วยเพราะงั้นคงจะส่งใครไปช่วยไม่ได้หรอกนะ…แล้วถึงต่อให้จะส่งใครไปได้จริงๆ ต่อหน้าเธอคนนั้นมันก็ไม่ต่างจากการส่งพวกเขาไปตายเปล่าหรอกเธอเองก็รู้ดี…”

 

“แต่เธอก็เพิ่งจะส่งเด็กๆ ของเธอไปขวางการทำงานของฉันไม่ใช่หรือไง…?”

 

“เห~ เรื่องนั้นฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย~ พวกที่กราวิทัสเป็นคนเรียกนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องก่อนหน้านี้ไปเองแล้วบังเอิญว่าพวกนากาคุงเขาเป็นคนของฉันต่างหากล่ะ~”

 

ท่าทีของเอริกะที่พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ แถมยังยักไหล่กลับมาให้เธอนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียต้องหรี่ตามองเพื่อนของตนพร้อมกับพูดถามกลับไปในทันที

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญงั้นสินะ…?”

 

“ชีวิตคนเรามันก็แค่เรื่องบังเอิญและปาฏิหาริย์ที่ถูกร้อยเรียงต่อกันโดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? ฉันก็นึกว่าเธอจะเป็นคนที่เชื่อในเรื่องนี้มากกว่าใครซะอีกนะเนี่ยเซซิเรียจัง~”

 

“…..”

 

เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้หลับตาลงและก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่เอริกะจะเผยรอยยิ้มกวนๆ ออกมาอีกครั้งและพูดถามซ้ำขึ้นมา

 

“ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าล่ะ~”

 

“อืม… นั่นสินะ…”

 

เซซิเรียที่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เอริกะอยากจะสื่อนั้นได้เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาและตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นกว่าเมื่อครู่มาก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจปล่อยผ่านเรื่องที่กราวิทัสไปก่อนและเงยหน้าขึ้นมาถามเรื่องอื่นกับเพื่อนนักประดิษฐ์ตัวแสบของเธอแทน

 

“แล้วเธอได้เบาะแสอะไรมาบ้างหรือเปล่าล่ะ? เกี่ยวกับเป้าหมายถัดไปของพวกนั้นน่ะ?”

 

“เฮ้อ~ ถ้ามันได้เรื่องเร็วขนาดนั้นก็ดีสิ ตอนแรกฉันก็คิดว่าพวกนั้นแค่อยากจะขัดขวางการพัฒนาด้วยการไล่ทำลายสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของฉันที่แพนเทร่ากับรีมินัสนี่เฉยๆ ซะอีก แต่ว่าพอมีเรื่องเกิดขึ้นที่กราวิทัสด้วยนี่มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องนั้นแล้วซะมากกว่านี่สิ… แถมตัวฉันเองก็ต้องมานั่งซ่อมของพวกนี้ให้ทางวังหลวงอยู่จนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปหาข้อมูลอะไรเลยเนี่ย!”

 

“งั้นหรอ…เหนื่อยหน่อยนะเธอน่ะ…”

 

“เฮ้ออออ~ ไม่เหนื่อยหน่อยล่ะ เหนื่อยสุดๆ ไปเลยต่างหาก”

 

เมื่อเอริกะได้ยินคำถามของเซซิเรียเข้าไปเธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับบ่นกลับไปให้อีกฝ่ายฟังจนทำให้เซซิเรียอดที่จะส่ายหน้ากลับมาให้เอริกะเป็นไม่ได้

 

“…จะว่าไปแล้วเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ ที่เธอบอกว่าจะเอายูนิตจากสมัยก่อนมาปรับปรุงให้ประชาชนได้ใช้กันน่ะ? ตอนนี้พร้อมที่จะเอาออกไปให้พวกชาวบ้านทั่วไปได้ทดลองใช้กันแล้วหรือยัง?”

 

“อ๋อ~ ถ้าเรื่องนี้ฉันเพิ่งจะเอาไปให้ทางโรงเรียนพิจารณาดูน่ะ พวกเขาเพิ่งจะตอบตกลงไปเมื่อตอนเย็นนี้เอง”

 

“ห—หา? โรงเรียน!? นี่เธอคงไม่ได้คิดจะให้พวกเด็กนักเรียนของที่นี่เป็นหนูทดลองก่อนใช่มั้ยเนี่ยหะ!?”

 

เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ นั้นถึงกับขมวดคิ้วและเดินเข้าไปประชิดตัวเอริกะพร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังในทันที

 

“พวกเราไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้นแล้วนะเอริกะ! ถ้าขืนเธอยังมัวแต่เล่นเป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์กันแบบนี้กว่ายูนิตพวกนั้นจะได้ใช้กันอย่างแพร่หลายมันจะสายเกินไปแล้วนะ!!”

 

“จ้าๆ นี่คือคำพูดของคนที่เพิ่งจะไปเก็บเด็กจากที่ไหนไม่รู้มาเข้าทีมเพิ่มแล้วก็พาไปสอนงานพลาดจนภารกิจล่มเพราะพวกเด็กๆ ของฉันงั้นหรอจ๊ะ~?”

 

“หึ้ย—!”

 

คำพูดยอกย้อนของเอริกะนั้นถึงกับทำให้เซซิเรียกำหมัดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะทุบมันใส่กลางกบาลของนักประดิษฐ์ตัวแสบเข้าไปสักที ในขณะที่เอริกะก็กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกวนๆ กลับมาใส่เธออยู่

 

“แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เห็นความสามารถกับความเป็นไปได้ของเด็กพวกนั้นแล้วใช่มั้ยล่ะเซซิเรีย?”

 

“หึ… ก็แค่พอจะดูแลตัวเองกันได้เท่านั้นล่ะ ถ้าจะให้พร้อมใช้งานจริงๆ ก็คงจะยังต้องฝึกกันอีกเยอะเลยล่ะ…”

 

“ใช่มั้ยล่า~ ถึงกับทำให้เธอเอ่ยปากชมขึ้นมาได้แบบนี้พวกเขาก็มีความสามารถกันจริงๆ นั่นล่ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกนากาคุงด้วยนะ พวกเด็กๆ ยุคนี้น่ะเริ่มที่จะควบคุมวิซกันเก่งขึ้นกว่าสมัยก่อนมากแล้วล่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่าพวกเขาน่าจะพอใช้พวกยูนิตเก่าๆ ที่พวกนั้นเคยใช้กันได้อย่างไม่น่ามีปัญหาเลยล่ะ”

 

“…ก็ถ้าพวกเขามีความสามารถถึงขั้นนั้นกันจริงๆ การที่จะให้พวกเขาได้ฝึกฝนใช้ยูนิตพื้นฐานพวกนี้ให้ชำนาญกันก่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่มีพวกเราแล้วก็คงจะดีกว่าจริงๆ ล่ะมั้ง”

 

เซซิเรียพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะคลายมือที่กำแน่นของเธอและเดินไปกอดอกพิงกล่องอุปกรณ์ของเอริกะที่วางอยู่ใกล้ๆ กันพร้อมกับพูดขึ้นมาต่อถึงปัญหาที่เธอสังเกตเห็น

 

“แล้วเรื่องฝึกสอนเธอจะทำยังไงล่ะ? โรงเรียนนั่นน่าจะมีพวกเด็กๆ จากตระกูลขุนนางกันอยู่เยอะแยะเลยไม่ใช่หรือไง เจ้าหนูพวกนั้นคงจะไม่ยอมรับการสั่งสอนจากคนที่ไม่มีความสามารถจริงๆ หรอกมั้ง? แบบนี้เธอจะส่งใครเข้าไปเป็นคนสอนล่ะ หรือว่าเธอจะเป็นคนไปลงสนามเอง?”

 

“จะบ้าหรอ!? จะให้ฉันเป็นคนไปสอนพวกเด็กๆ แบบนั้นเองเนี่ยนะ? ต่อให้ตายฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก! เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบดูแลพวกเด็กๆ น่ะ!”

 

“เฮ้อ… กล้าพูดมาได้นะ แต่ก็เรียกว่าเป็นโชคดีของพวกเด็กๆ ในโรงเรียนแล้วละกันถ้าดูจากยัยจิ้งจอกแดงกับเจ้ามังกรกล้ามแล้วก็ยัยพยาบาลผมขาวที่โตมากับการสั่งสอนของเธอน่ะ… จะว่าไปก็น่าสงสารเจ้าหนุ่มกับน้องสาวข้างนอกนั่นเหมือนกันนะที่ถูกเธอรับมาดูแลน่ะ”

 

เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะพูดว่าเธอไม่ชอบการดูแลเด็กๆ นั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับไล่รายชื่อของเด็กๆ ที่เอริกะเคยรับมาดูแลอย่างเอริซาเบธ เดรคและมีอาออกมาพลางนึกสงสารกลุ่มเด็กๆ รายล่าสุดอย่างนากาและน้องสาวของเขาที่นั่งกินอาหารกันอยู่ในห้องนั่งเล่นขึ้นมา ในขณะที่เอริกะนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยท่าทางเขินอาย

 

“แหะๆ”

 

“ฉันไม่ได้ชมนะเฮ้ย…”

 

“ฮะฮะ รู้แล้วหน่าๆ ส่วนเรื่องคนที่จะไปสอนพวกนักเรียนใช้เจ้ายูนิตนั่นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฉันเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แถมคนที่อนุมัติเรื่องยูนิตนี่ยังเป็นคนขอให้ส่งไปสอนด้วยตัวเองเลยด้วยนะ”

 

“คนที่อนุมัติงั้นหรอ…? ถ้าเป็นตานั่นงั้นก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรล่ะมั้ง…”

 

“ใช่มั้ยล่ะ~”

 

“ให้ตายสิ…”

 

ท่าทางของเอริกะที่ยังคงร่าเริงอยู่เสมอนั้นทำให้เซซิเรียได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะเดินผ่านเอริกะไปทางหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้ของเธอพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเรื่องนี้ฉันจะปล่อยให้เธอจัดการต่อไปเองก็ละกัน ส่วนเรื่องนั้น… ไว้ถ้าเธอได้ตำแหน่งของเป้าหมายถัดไปของพวกนั้นแล้วก็ติดต่อมาหาฉันด้วยล่ะ”

 

“ได้เลยๆ ถึงเอาจริงๆ ก็น่าจะเหลืออยู่อีกไม่กี่ที่ก็เถอะนะ…”

 

“นั่นสินะ…”

 

เซซิเรียพูดตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะกระโดดออกไปยังสนามหญ้าหลังบ้านพร้อมกับเหลือบมองไปยังบริเวณประตูกระจกของห้องนั่งเล่นที่ในตอนนี้ได้มีเงาของนากากับพรีมูล่าที่กำลังนั่งทานอาหารกันถูกส่องมากระทบกับผ้าม่านของประตูกระจกที่เอริกะจงใจดึงมันมาปิดเอาไว้ก่อนจะเข้ามาในห้องออฟฟิศ

 

ซึ่งเซซิเรียก็เหม่อมองดูเงาของสองพี่น้องที่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ด้วยท่าทีสนิทสนมกับเสียงหัวเราะที่ดังลอดผ่านออกมาจากห้องนั่งเล่นอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเรียกชื่อเพื่อนของเธอขึ้นมาเบาๆ

 

“นี่เอริกะ…”

 

“จ๊าจ้ะ?”

 

“เธอคิดว่าพวกเราจะยังกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนกันได้อยู่หรือเปล่า…?”

 

ทันทีที่เอริกะได้ยินคำถามของเซซิเรียนั้นมือของเธอที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบซากสิ่งประดิษฐ์ออกมาจากกล่องก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาและพูดตอบเซซิเรียกลับไป

 

“ฉันว่ามันคงจะยากล่ะนะเซซิเรีย… รอยร้าวระหว่างพวกเรากับพวกเขามันมากเกินกว่าที่จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”

 

“หึ…นั่นสินะ…”

 

คำตอบจากปากเพื่อนนักประดิษฐ์นั้นทำให้เซซิเรียได้แต่ต้องก้มหน้าลงพร้อมกับเค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่เอริกะนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบเอาอุปกรณ์ของเธอออกมาและเริ่มจัดการซ่อมแซมมันพร้อมกับพูดขึ้นมาต่อ

 

“ถึงฉันจะคิดแบบนั้นก็เถอะ… แต่ว่าเธอน่ะเป็นคนที่เชื่อมั่นในเรื่องนั้นมากที่สุดไม่ใช่หรือไง? ถ้าเกิดว่าแม้แต่เธอก็ยังยอมแพ้… พวกเราก็คงจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้จริงๆ แล้วล่ะ…”

 

“นั่นสินะ… แต่บางทีฉันก็อดสงสัยขึ้นมาบ้างไม่ได้เหมือนกัน… ว่าสิ่งที่ฉันกำลังพยายามทำอยู่นี่มันเป็นเรื่องที่โง่งมหรือเปล่าน่ะ…”

 

“…..”

 

เอริกะได้แต่นิ่งเงียบกับคำถามของหญิงสาวผมสีเขียวที่ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้แตกต่างจากน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเองตลอดเวลาของอีกฝ่ายและนั่งจ้องมองซากอุปกรณ์ที่ถูกระเบิดในมือของเธออย่างเงียบๆ โดยไม่อาจหาคำพูดอะไรตอบอีกฝ่ายกลับไปได้

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“—-!”

 

ในขณะที่ภายในห้องออฟฟิศของเอริกะถูกปกคลุมด้วยความเงียบนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจนทำให้เอริกะต้องรีบหมุนเก้าอี้ของเธอไปทางเซซิเรียที่อยู่นอกหน้าต่างในทันที

 

แต่ว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นก็มีเพียงแค่ผ้าม่านที่กำลังปลิวไสวจากสายลมยามดึกที่พัดผ่านเข้ามาในห้องโดยไร้ซึ่งวี่แววของเพื่อนสาวของเธอแล้ว ก่อนที่จะมีเสียงของนากาจะดังขึ้นมาจากทางประตูห้องออฟฟิศของเธอ

 

“นี่เอริกะ ยังตื่นอยู่หรือเปล่า?”

 

“อะแฮ่ม อ–อ่า แป๊บนึงนะ~”

 

เอริกะที่ได้ยิงเสียงของนากานั้นรีบปรับสีหน้าและน้ำเสียงของเธอให้เป็นปกติและพูดตอบนากาไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้กับเขาในทันที

 

“ว่าไงๆ?”

 

“พอดีว่าฉันกับพรีมูล่าเอาข้าวที่เหลืออยู่มาทำเป็นข้าวปั้นน่ะ เธอสนใจจะกินด้วยกันมั้ย?”

 

“โอ้~ ข้าวปั้นหรอ? ขอบใจมากนะนากาคุง~”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+