Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 90 : Chancy Espouse

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 90 : Chancy Espouse at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ่ะ— อยู่นั่นไง หลบหน่อยสิพรีมูล่า! ฮึ้บ—”
 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อลิซกำลังคุยกับเอริซาเบธอยู่ในห้องพักอาจารย์อยู่นั้น ทางด้านนากาที่เดินนำพรีมูล่ามาจนถึงโกดังเก็บของได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้พูดขึ้นมาเมื่อเขาหันไปเจอหุ่นไม้ติดขาตั้งสำหรับฝึกซ้อมถูกตั้งหมกเอาไว้ที่มุมห้องจนฝุ่นจับหนา

 

ซึ่งนากาก็ได้หิ้วหุ้นไม้สำหรับฝึกซ้อมตัวนั้นออกมาตั้งเอาไว้ที่ด้านนอกของโกดังเก็บของก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปเพื่อคุ้ยหาเป้าซ้อมยิงให้กับพรีมูล่าที่ดูเหมือนว่าจะมีกำลังฝึกเป็นพิเศษในวันนี้

 

“รออยู่ข้างนอกนี่ก่อนแป๊บนึงนะพรีมูล่า เดี๋ยวพี่ขอเข้าไปหยิบเป้าซ้อมยิงออกมาให้เธอก่อน”

 

“อ่ะ ไม่ต้องก็ได้มั้งพี่นากา วันนี้หนูอยากลองฝึกดาบดูบ้างอ่ะ”

 

“อ—อ่า ถ้าเธอว่าแบบนั้นมันก็ได้แหล่ะ แต่ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เวลาที่เธอโดนบังคับให้ฝึกเธอก็เอาแต่ฝึกยิงปืนอย่างเดียวเลยไม่ใช่หรอน่ะ ทำไมวันนี้ถึงนึกอยากฝึกดาบขึ้นมาล่ะ?”

 

“อื้อ!!”

 

“แล้วไอ ‘อื้อ’ ของเธอนี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ล่ะนั่น…”

 

นากาที่โดนพรีมูล่ายิ้มพูดตอบกลับมาสั้นๆ นั้นได้แต่ต้องยอมตามน้ำกับน้องสาวของตนไปด้วยก่อนที่เขาจะใช้ความสามารถของตนเพื่อเปลี่ยนท่อโลหะในมือให้กลายเป็นดาบสีขาวเปื้อนเลือดประจำตัวที่ชื่อว่า เฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ ในขณะที่ทางด้านพรีมูล่านั้นก็ได้หยิบเอาด้ามมีดสีเงินที่ได้รับมาเป็นของขวัญเรียนจบจากคุณแม่ของเธอออกมาสร้างดาบน้ำแข็งเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน

 

“จะว่าไปนี่เธอก็ได้ดาบน้ำแข็งของคุณแม่มาได้สักพักนึงแล้วนี่นา แต่พี่ก็นึกไม่ถึงว่าเธอสนใจจะเอามันมาฝึกใช้เหมือนกันนะเนี่ย”

 

“แหะๆ ก็หนูเห็นว่าพี่นากาใช้ดาบเก่งหนูก็เลยอยากลองฝึกใช้บ้างนี่นา แต่ถ้าจะให้พูดถึงของขวัญ… พี่นากาเองก็ได้ถุงมือนั่นมาจากคุณแม่เหมือนกันไม่ใช่หรอ?”

 

“หือ? อ๋อ มันก็ใช่แหล่ะ…”

 

นากาที่ถูกพรีมูล่าพูดทักขึ้นมาแบบนั้นได้เหลือบสายตาลงไปมองถุงมือเปิดนิ้วสีน้ำตาลที่มีตัวคริสตัลสีขาวสารพัดประโยชน์ที่สามารถสร้างโล่ขึ้นมาได้จากพลังวิซทุกธาตุที่นากาสวมใส่ติดตัวเอาไว้แทบจะตลอดเวลาหลังจากที่ได้รับมันมา แต่ว่าตัวเขาเองที่ไม่ค่อยจะดีใจกับของขวัญที่ได้รับมาเท่าไหร่นั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะหันไปพูดกำกับการฝึกซ้อมของพรีมูล่าขึ้นมา

 

“เฮ้อ… เรื่องนั้นช่างมันก่อน… ไหนเธอลองใช้ดาบนั่นโจมตีใส่หุ่นซ้อมให้พี่ดูหน่อยสิ พี่จะได้ให้คำแนะนำได้ถูกน่ะ”

 

“ค่าาาาา~~~~”

 

แกร๊ก….

 

“แบบนี้อ่ะหรอพี่นากา?”

 

พรีมูล่าที่ถูกนากาพูดสั่งออกมานั้นได้หันกลับมาร้องถามพี่ชายของเธอเสียงใสเมื่อเธอได้ใช้ดาบน้ำแข็งพุ่งเข้าไปจิ้มใส่หุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อมเข้าทีหนึ่งก่อนที่เธอจะสั่งให้ตัวใบดาบน้ำแข็งแผ่ไอเย็นออกมาแบบที่เธอทำเป็นประจำจนส่วนหนึ่งของหุ่นไม้กลายเป็นแท่งไอติมไป

 

“แบบนั้นมันเรียกว่าฝึกดาบซะที่ไหนล่ะยัยบ๊องนี่!!”

 

 

“ให้ตายสิ ถ้าผลการทดสอบมันออกมาเป็นแบบนี้แผนที่ฉันคิดเอาไว้ก็เจ๊งหมดน่ะสิ…”

 

“เอ๋? ไม่ใช่ว่าทั้งซิลเวสกับคอนแนลเขาก็สู้กันได้ค่อนข้างจะสูสีไม่ใช่หรอคะคุณเอริกะ?”

 

“ก็นั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา ตอนแรกฉันคิดว่าซิลเวสเขาจะไปแพ้ให้กับคอนแนลง่ายๆ ก็เลยวางแผนว่าจะให้เธอไปเป็นหน่วยสนับสนุนที่จะคอยทำงานอยู่เบื้องหลังน่ะสิ แต่ผลดันออกมาสูสีกับคอนแนลเลยแบบนี้ซะได้… ท่าทางว่าฉันจะดูถูกเด็กๆ สมัยนี้เกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้งเนี่ย…”

 

หลังจากที่นากาและพรีมูล่าเริ่มฝึกกันไปได้สักพักหนึ่งแล้วนั้นทางด้านเอริกะที่พูดคุยธุระกับท่านผู้อำนวยการเสร็จแล้วก็ได้เปิดประตูเดินออกมาจากห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการและพูดบ่นขึ้นมาให้เอริซาเบธที่เดินตามหลังเธอออกมาด้วยกันฟัง ซึ่งเอริซาเบธที่ได้ยินแผนการของคุณเอริกะของเธอเข้าไปก็ได้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและพูดถามเอริกะกลับไป

 

“ไม่ใช่ว่าถ้าพวกเขาสู้กันได้เก่งๆ แบบนั้นก็ดีแล้วหรอคะ เพราะว่าตามที่คุณเอริกะเคยบอกเอาไว้ศัตรูของพวกเราก็ฝีมือใช่ย่อยเหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?”

 

“อ่า… แต่การที่ซิลเวสเขาฝีมือดีขนาดนั้นฉันก็เลยส่งซิลเวสไปอยู่หน่วยสนับสนุนตามแบบที่คิดเอาไว้ไม่ได้เนี่ยสิ… เพราะถึงพวกเราจะขาดกำลังคนกันอยู่จริงๆ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าพวกเราจะขาดกำลังคนกันหนักถึงขนาดต้องให้เด็กตัวเล็กๆ แบบซิลเวสเขาออกไปสู้อยู่ที่แนวหน้าหรอกนะ”

 

“เอาจริงๆ ถึงซิลเวสเขาจะตัวเล็กแค่นั้นก็เถอะแต่ว่าเธอก็น่าจะอายุเท่ากันกับพวกนากาแล้วก็คอนแนลนะคะคุณเอริกะ… ว่าแต่หน่วยสนับสนุนงั้นหรอคะ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้ที่พวกเราขาดแคลนกันหนักจริงๆ น่าจะเป็นคนที่มีฝีมือพอจะต่อกรกับศัตรูได้หรอกหรอคะ?”

 

“ก็ถึงต่อให้พวกเราจะหาตัวเด็กๆ ที่มีฝีมือต่อสู้สูงพอที่จะรับมือพวกนั้นได้บ้างมาได้จริงๆ ก็เถอะ แต่ว่าการใช้ยูนิตในระหว่างการต่อสู้น่ะเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ แล้วฉันก็เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถแบ่งประสาทสัมผัสมาควบคุมยูนิตพวกนี้ไปแล้วก็สู้ไปด้วยเหมือนกับอลิซเขาได้แน่ๆ ล่ะ”

 

“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องยังไงกับหน่วยสนับสนุนที่คุณเอริกะพูดมาด้วยล่ะคะ?”

 

ถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะได้เอริกะพูดอธิบายขึ้นมาให้ฟังแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่เอริกะต้องการจะสื่อได้เลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเรื่องของความสามารถในการควบคุมยูนิตในการต่อสู้นั้นมันควรจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่ไม่น่าจะถูกสนับสนุนจากหน่วยสนับสนุนที่ปกติแล้วจะมีหน้าที่ส่งข่าวส่งเสบียงหรือไม่ก็การรักษาบาดแผลในระหว่างการสู้รบได้เลย

 

“ก็หน่วยสนับสนุนที่ว่านั่นมีหน้าที่ในการช่วยรายงานสภาพของยูนิตแล้วก็ส่งข่าวสารในระหว่างการต่อสู้ยังไงล่ะ แล้วถ้าเกิดว่ามีใครคนไหนที่ต่อสู้ได้เก่งๆ แต่ว่าไม่ค่อยจะมีความสามารถในการควบคุมยูนิตสักเท่าไหร่ก็จะได้หน่วยสนับสนุนพวกนี้แหล่ะมาช่วยสนับสนุนเรื่องการควบคุมยูนิตให้ในระหว่างการต่อสู้น่ะ”

 

“นี่คุณเอริกะกำลังจะบอกว่าจะให้พวกเด็กนักเรียนจับคู่กันโดยมีเด็กคนนึงใส่ยูนิตออกไปสู้ในแนวหน้าแล้วก็ให้เด็กนักเรียนอีกคนคอยควบคุมยูนิตของเด็กคนแรกจากแนวหลังน่ะหรอคะ!? นี่พวกเราทำอะไรแบบนั้นกันได้แล้วหรอคะเนี่ย!?”

 

“อื้ม… ก็ต้องขอบคุณเด็กคนที่เซซิเรียพาตัวมาด้วยนั่นแหล่ะฉันถึงได้รู้ว่ามีเมืองที่แอบวิจัยอาวุธวงจรวิซที่สามารถควบคุมจากระยะไกลได้คล้ายๆ กับหอกของเซซิเรียเขาแล้วน่ะ”

 

“เด็กที่คุณเซซิเรียพามา… หมายถึงทีเอร่าจังน่ะหรอคะ?”

 

“ใช่ แล้วในเมื่อพวกเธอมีอุปกรณ์ที่สามารถควบคุมจากระยะไกลได้แบบนี้แล้วล่ะก็ งานของฉันก็เหลือแค่เพิ่มระยะสั่งการของมันแล้วก็นำมันไปติดตั้งเข้ากับยูนิตก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าหากมันใช้วิซในการควบคุมพวกเธอก็น่าจะทำความเข้าใจมันได้ง่ายกว่าการเรียนรู้ระบบของฉันหรือว่าเซซิเรียเขาที่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเธอใช่มั้ยล่ะ”

 

เอริกะพูดอธิบายออกมาให้เอริซาเบธฟังพลางเดินไปที่ริมระเบียงทางเดินเพื่อที่จะได้มองลงไปเบื้องล่างที่มีเหล่าเด็กนักเรียนกระจัดกระจายกันไปอยู่ทั่วโรงเรียน ในขณะที่ทางด้านเอริซาเบธที่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เอริกะพูดออกมานั้นก็ได้แต่มองไปยังเจ้านายของเธอด้วยความอึ้งทึ่ง

 

เพราะว่าในขณะที่อลิซเพิ่งจะจัดการสอบของพวกเด็กนักเรียนไปได้เพียงแค่สองคนนั้น ทางด้านคุณเอริกะของเธอกลับเตรียมแผนการสำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าไปหลายขั้นตอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“นี่คุณเอริกะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าถึงขนาดนี้เลยหรอคะเนี่ย…”

 

“ก็นะ… ความผิดพลาดอย่างนึงของพวกเรามันก็หมายถึงชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเลยนี่นะ แล้วถ้าเกิดศัตรูที่พวกเราต้องรับมือคือพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็มันคงไม่มีคำว่าระวังตัวจนเกินไปหรอกนะ… หืม? ตรงนั้นมัน…”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้นอยู่ๆ เธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีชมพูๆ ที่ดูคุ้นตาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามหญ้า ซึ่งเอริกะนั้นก็ได้ยกมือขึ้นมากดที่ขาแว่นของเธอจนมันส่งเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาในทันที

 

“นั่นมันนากากับพริมจังนี่นา… กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ด้วยแฮะ ขยันกันดีจังเลยนะสองคนนั้นน่ะ~”

 

“อ๋อ หมายถึงที่ตรงโกดังนั่นน่ะหรอคะ นี่คุณเอริกะมองออกได้ยังไงว่าเป็นสองคนนั้นคะนั่นอยู่ห่างออกไปตั้งไกลขนาดนั้น”

 

“หัวชมพูๆ ของพริมจังนั่นมันเด่นจะตายไป จะว่าไปนี่ก็น่าจะใกล้ช่วงเวลาทำกิจกรรมชมรมของทางโรงเรียนแล้วนี่นา? แบบนี้เธอไม่ต้องกลับไปดูแลพวกเด็กๆ นักเรียนหรือไงน่ะเอริ?”

 

“พอดีว่ายังไม่มีชมรมไหนแจ้งมาว่าอยากจะให้ฉันไปเป็นอาจารย์ประจำชมรมน่ะค่ะ ถึงอีกสักพักนึงฉันจะต้องไปแนะแนวเรื่องเกี่ยวกับชมรมให้พวกเด็กนักเรียนใหม่ในปีนี้เขาฟังกันก็เถอะ แต่ว่ามันก็ต้องรอให้ทางประชาสัมพันธ์เขาประกาศเรียกตัวนักเรียนกันก่อนอยู่ดี~”

 

“เพราะแบบนั้นเธอก็เลยมีเวลาว่างมารับฉันถึงที่ชั้นห้าได้แบบนี้งั้นสินะเนี่ย”

 

เอริกะอมยิ้มพูดตอบเอริซาเบธกลับไปก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนที่นั่งที่อยู่ติดกับระเบียงและยกมือขึ้นมาเท้าคางมองดูนากาที่กำลังฟาดฟันใส่หุ่นไม้อย่างคล่องแคล่วก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นพรีมูล่าที่กำลังใช้ดาบน้ำแข็งของเธอแช่แข็งสิ่งต่างๆ เล่นอยู่ที่ใกล้ๆ กันจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“จะว่าไปจนป่านนี้แล้วนากาเขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะใช้วิซได้เลยสินะ…”

 

“ค่ะ แถมตัวนากาคุงเองก็ดูท่าทางเหมือนกับว่าจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ด้วย ในฐานะอาจารย์แล้วฉันเองก็คิดว่าค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกันนะคะ…”

 

“แต่ถึงแบบนั้นตัวนากาเองก็ไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตสักเท่าไหร่… ไม่สิ… ต้องบอกว่าเป็นเพราะได้ฉันแอบไปเดินระบบน้ำกับไฟในคฤหาสน์ให้จนที่นั่นไม่จำเป็นต้องใช้วิซไปแล้วตัวนากาเขาก็เลยดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตซะมากกว่าล่ะมั้ง…”

 

“ก็ถ้าเกิดว่าเขาอยู่แต่ในคฤหาสน์นั่นหรือว่าที่บ้านของคุณเอริกะมันก็ใช่แหล่ะค่ะ แต่ถ้าเกิดว่านากาเขาจำเป็นต้องออกไปอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวโดยไม่มีใครตามไปด้วยนี่ฉันเองก็ดูไม่ออกเลยนะคว่าเขาจะเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองยังไงน่ะ”

 

“นั่นสินะ… เพราะว่าในโลกใบนี้ใครๆ เขาก็ใช้วิซกันได้อยู่แล้วนี่นะ…”

 

เอริกะพูดตอบเอริซาเบธกลับไปด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยพลางเหลือบสายตาไปมองดวงไฟดวงเล็กๆ ที่ถูกติดตั้งเรียงรายกันเอาไว้เต็มทางเดิน ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกมันจะถูกปิดเอาไว้อยู่จนไม่ได้ส่องสว่างออกมา แต่ว่าถ้าเกิดว่ามีใครคนไหนคิดว่าระเบียงทางเดินแห่งนี้มืดเกินไปล่ะก็ขอแค่พวกเขาเดินผ่านและแผ่พลังวิซออกมาเพียงแค่เล็กน้อยเหล่าดวงไฟที่ถูกติดตั้งเอาไว้บนระเบียงทางเดินแห่งนี้ก็จะพร้อมใจกันส่องสว่างออกมาในทันที

 

ซึ่งด้วยความที่โลกใบนี้มีพลังวิซที่แสนจะสะดวกสบายแถมยังไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่างๆ ในการใช้งานเลยนั้นก็แทบจะทำให้โลกใบนี้ไม่มีการพัฒนาวิทยาการทางด้านอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย ชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่าในโลกใบนี้แทบจะไม่มีใครรู้วิธีการจุดกองไฟตั้งแค้มป์โดยไม่ใช้คริสตัลวิซธาตุไฟเลยซะด้วยซ้ำ

 

“ตอนแรกที่อารอนพานากาคุงมาแนะนำตัวนี่ฉันก็เคยคิดว่าหน้าตากับอาการของเขาน่าสนใจดี… แต่ตอนนี้คงจะต้องเปลี่ยนเป็นบอกว่าน่าเป็นห่วงซะมากกว่าแล้วล่ะมั้งเนี่ย”

 

“ค่ะ… ฉันเองก็เคยบอกให้มีอาเขาไปลองแอบถามพวกคุณหมอที่โรงพยาบาลของเธอมาแล้ว แต่ว่าขนาดคุณหมอพวกนั้นก็ยังบอกมาเองเลยว่าไม่เคยมีคนไข้แบบเดียวกับนากาคุงถูกบันทึกเอาไว้เลยล่ะค่ะ”

 

“หรือก็คือถ้าเกิดว่าพวกเราอยากได้ข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มเติมก็คงจะต้องเข้าไปคุ้ยดูในวังหลวงหรือไม่ก็ลองหาข้อมูลจากเมืองอื่นดูเอาแล้วงั้นสินะ…”

 

“ค่ะ แต่ฉันคิดว่าโรงพยาบาลของเมืองอื่นไม่น่าจะมีข้อมูลอะไรมากไปกว่าโรงพยาบาลประจำเมืองรีมินัสนี่หรอกนะคะ ส่วนทางด้านวังหลวง… ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ถ้าเกิดว่าไม่ใช่พวกขุนนางชั้นสูงจริงๆ ล่ะก็พวกเขาคงจะไม่ยอมให้ใครเข้าไปหาข้อมูลอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ

 

“ไม่ว่าจะทางไหนก็มีปัญหางั้นสินะเนี่ย…”

 

เอริกะพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากสองพี่น้องที่กำลังฝึกฝนกันอยู่ที่บริเวณโกดังเก็บของและเหลือบกลับมามองแฟ้มเอกสารที่เอริซาเบธกำลังถือเอาไว้ในมืออยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงพูดถามขึ้นมา

 

“จะว่าไปเมื่อกี้นี้เธอบอกว่าเดี๋ยวจะต้องไปแนะแนวเรื่องชมรมให้กับพวกเด็กนักเรียนในห้องของเธองั้นสินะ ถ้างั้นเอกสารที่เธอถือนั่นก็คือที่เตรียมจะแจกให้พวกนักเรียนใช่หรือเปล่า?”

 

“อ่ะ ใช่แล้วล่ะค่ะ! คุณเอริกะสนใจจะลองเอาไปดูก่อนมั้ยล่ะคะ!?”

 

“ถ้าเธอว่าอย่างงั้นมันก็ได้อยู่แหล่ะ…”

 

เอริกะพูดตอบเอริซาเบธที่กำลังดีใจที่คุณเอริกะของเธอมีท่าทีเหมือนกับว่าจะสนใจในงานสอนหนังสือของเธอและยื่นมือออกไปรับชุดเอกสารของเอริซาเบธมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซึ่งเอริกะนั้นก็ได้ลองนำมันมาเปิดไล่ดูอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งสายตาของเธอไปสะดุดอยู่ที่เอกสารแผ่นหนึ่งที่ถูกขีดเขียนสัญลักษณ์จำนวนมากเอาไว้แตกต่างจากแผ่นอื่นที่มีเพียงแค่รายชื่อชมรมต่างๆ เพียงเท่านั้น

 

“หื้ม… แผ่นที่มีสัญลักษณ์เขียนกำกับเอาไว้นี่มันอะไรน่ะเอริซาเบธ?”

 

“อ่ะ— อันนั้นมันคือแผ่นที่ฉันเตรียมเอาไว้ให้นากาคุงเขาน่ะค่ะ คุณเอริกะไม่ต้องไปสนใจก็ได้ค่ะ แหะๆ”

 

“งั้นหรอ…”

 

เอริกะที่ได้รับคำตอบของเอริซาเบธไปแล้วนั้นได้นิ่งเงียบไปเหมือนกับว่าเธอกำลังใช้ความคิดในเรื่องอะไรบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะส่งชุดเอกสารกลับไปให้เอริซาเบธและพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา

 

“นี่เอริซาเบธ เด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มๆ ที่มาจับคู่กับซิลเวสตอนที่ฉันเอายูนิตมานำเสนอให้ทางโรงเรียนดูนี่อยู่ห้องของเธอด้วยหรือเปล่าน่ะ? ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อว่าเนลหรือว่าอะไรสักอย่างนี่ล่ะมั้ง”

 

“อ๋อ ถ้าเกิดว่าเป็นเนลคุงล่ะก็เขาเป็นนักเรียนของห้องฉันเองแหล่ะค่ะ ทำไมหรอคะ?”

 

“อื้ม… ถ้างั้นก็อาจจะได้อยู่แฮะ ถึงมันอาจจะเสี่ยงไปสักหน่อยก็เถอะ…”

 

“เอ๋ะ? เสี่ยงที่ว่านี่หมายถึงเรื่องอะไรหรอคะคุณเอริกะ?”

 

“อ่า พอดีว่าฉันพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้นิดหน่อยน่ะถึงฉันจะไม่มั่นใจว่าผลมันจะออกมาทางไหนแล้วตัวนากาเขาจะรับเรื่องนี้ได้สักเท่าไหร่ก็เถอะนะ… ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าเธอไปตามตัวเด็กนักเรียนที่ชื่อว่าเนลมาให้ฉันหน่อยสิ”

 

 

“ย้าาาาาา!!”

 

ปึ๊ก!!

 

“ดีมาก! หยุดมือได้แล้วล่ะพรีมูล่า”

 

ในขณะที่ทางด้านเอริกะกำลังคิดวางแผนอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของนากาขึ้นมาอยู่นั้น ทางด้านตัวของนากาเองที่ยืนคุมการฝึกของพรีมูล่าอยู่ด้านข้างโกดังก็ได้พูดชมพรีมูล่าที่กำลังใช้ดาบน้ำแข็งฟาดเข้าใส่หุ่นฝึกซ้อมอยู่ออกมาก่อนที่เด็กสาวหัวชมพูจะปาดเหงื่อนบนใบหน้าของตนและรีบวิ่งเข้ามาสอบถามพี่ชายของเธออย่างร่าเริง

 

“เป็นไงบ้างอ่ะพี่นากา! ฝีมือของหนูพอจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนบ้างหรือเปล่า!”

 

“อื้ม… ถ้าเทียบกับสมัยที่ยังอยู่ที่หมู่บ้านนี่ฝีมือเธอก็ดีขึ้นจริงๆ นั่นแหล่ะ นี่มีแอบไปฝึกดาบมาบ้างตอนที่พี่ไม่เห็นหรือเปล่าเนี่ย?”

 

“แหะๆ หนูก็มีแอบไปฝึกกับพี่คอนแนลมาอยู่บ้างเหมือนกันอ่ะ แล้วนี่พี่นากาคิดว่าไงบ้างอ่ะ! คิดว่าหนูพอจะเปลี่ยนมาใช้ดาบของคุณแม่แทนปืนอันเก่านั่นไหวหรือเปล่าอ่ะ!”

 

“อื้ม….”

 

นากาที่ถูกพรีมูล่าพูดถามขึ้นมาด้วยแววตาคาดหวังนั้นได้ก้มหน้าลงไปคิดอยู่เล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าการใช้ดาบของพรีมูล่าจะดีขึ้นกว่าสมัยก่อนที่สักแต่จะฟาดไปให้โดนอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อดูจากการสอบของคอนแนลและซิลเวสเมื่อเช้านี้ที่คนหนึ่งก็สามารถสร้างระเบิดได้ส่วนอีกคนหนึ่งก็สามารถเหวี่ยงค้อนยักษ์ทุบหน้าดินให้แตกกระจายได้แล้วนั้นสิ่งที่พรีมูล่าสามารถทำได้ก็กลับกลายเป็นเหมือนกับเด็กเหวี่ยงดาบเล่นไปซะแทนจนทำให้นากาได้แต่ตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาตรงๆ ด้วยความเป็นห่วง

 

“พี่ว่า… เธอกลับไปใช้ปืนเหมือนเดิมน่าจะดีกว่านะ”

 

“แอ๋!? ไหงงั้นอ้ะ!? บู่ววววว”

 

“อย่างอแงแบบนั้นสิ ที่ผ่านมาเธอก็ใช้ปืนยาวกระบอกนั้นมาตลอดแถมยังไม่สนใจจะฝึกอย่างอื่นเลยไม่ใช่หรือไง แถมในเมื่อเธอฝึกมาจนยิงปืนได้แม่นขนาดนั้นแล้วจะไปเสียเวลาฝึกอย่างอื่นอีกทำไมล่ะจริงมั้ย? แล้วไหนจะยังมีเรื่องที่ว่าวิธีการใช้ดาบกับปืนมันแตกต่างกันเกินไปจนต้องเริ่มต้นฝึกกันใหม่ตั้งแต่แรกอีก…”

 

“ถ้างั้นพี่นากาก็ช่วยฝึกให้หนูตั้งแต่ต้นเลยสิ!”

 

“ห—หา? แต่ว่าวิธีฝึกการใช้ดาบมันแตกต่างจากวิธีฝึกยิงปืนลิบลับเลยนะ การฝึกแบบนั้นมันจะหนักเกินไปสำหรับเธอที่ปกติใช้แต่ปืนหรือเปล่าเถอะ?”

 

“งั้นพี่นากาก็อย่าทำให้มันหนักเกินไปซะสิ!”

 

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ…”

 

นากาที่ถูกพรีมูล่างอแงกลับมาใส่นั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวของตัวเองอย่างจนปัญญา เพราะดูท่าทางแล้วว่าพรีมูล่าคงจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองฝึกการใช้ดาบในครั้งนี้ง่ายๆ อย่างที่เขาคิดเอาไว้

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้พี่จะลองคิดหาวิธีการฝึกแบบที่ไม่หนักเกินไปให้เธอดูละกัน แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่ได้ใช้ดาบได้เก่งเหมือนกับพวกอัศวินแบบคอนแนลเขานะเพราะงั้นเธอเองก็อย่าคาดหวังมากนักละกันล่ะ”

 

“ค่าาา~~”

 

“ว่าแต่แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ เธอถึงมาสนใจจะใช้ดาบแบบนี้กันล่ะ ปกติเวลาที่พี่คิดจะจับเธอมาฝึกใช้อย่างอื่นนอกจากปืนบ้างเธอก็แอบหนีไปซะทุกรอบเลยนี่?”

 

“แหะๆ”

 

เสียงหัวเราะของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาแทบคำตอบของเธอนั้นได้แต่ทำให้นาการู้สึกคันไม้คันมืออยากจะทุบหัวน้องสาวตัวแสบของเขาไปสักทีหนึ่งก่อนที่เขาจะหักห้ามใจตัวเองเอาไว้และพูดบอกกับเธอไปดีๆ แทน

 

“เอาเถอะ ถ้าเกิดว่าเธอคิดจะฝึกขึ้นมาจริงๆ พี่ก็จะไม่ห้ามละกัน แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เธอไปนั่งพักแล้วก็ดูวิธีการฝึกของพี่ไปก่อนละกันนะ”

 

“เข้าใจแล้วค่า~”

 

พรีมูล่าขานตอบนากากลับไปด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะเดินถอยห่างออกไปและนั่งแหมะลงไปกอดเข่าอยู่บนสนามหญ้าที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งท่าทางอารมณ์ดีของพรีมูล่านั้นก็ถึงกับทำให้นากาเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย

 

“พอได้พักแล้วก็อารมณ์ดีเชียวนะยัยตัวแสบเอ๊ย… เอาเถอะ…!”

 

ฟวับ—ปึ้ง!!

 

“โหวววว~”

 

เสียงเหวี่ยงดาบของนากาที่ดังขึ้นมาในตอนที่เขาเริ่มต้นการฝึกของตนนั้นได้ทำให้พรีมูล่าหลุดเสียงร้องออกมาเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง เพราะว่าเสียงของใบดาบสีขาวเปื้อนเลือดที่ถูกผ้าพันเอาไว้เพื่อความปลอดภัยที่พุ่งแหวกอากาศและเสียงของแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในเวลาที่มันกระทบลงบนหุ่นไม้นั้นได้แตกต่างจากในตอนที่เธอเหวี่ยงดาบเข้าใส่มันอย่างสิ้นเชิง

 

โดยเสียงกระแทกหนักๆ ในยามที่นากาฟาดดาบของเขาเข้าใส่หุ่นไม้นั้นฟังดูหนักแน่นบ่งบอกถึงความรุนแรงของดาบที่เขาฟาดเข้าใส่มัน ซึ่งถึงแม้ว่าวิชาดาบของนากานั้นจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่เขาฝึกฝนขึ้นมาด้วยตัวเองแบบมั่วๆ โดยไม่มีคนชี้นำจนทำให้มันดูไร้ซึ่งแบบแผนและความสวยงาม แต่ว่านากาก็กลับสามารถฟาดดาบของเขาเข้าใส่หุ่นไม้จากมุมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนก่อให้เกิดเสียงของดาบกระแทกเข้ากับหุ่นไม้ดังลั่นขึ้นมาเป็นจังหวะแบบไม่มีขาดสาย

 

“ฮึ่มฮึฮื้ม~”

 

ซึ่งพรีมูล่าที่นั่งกอดเข่าอยู่ในสนามหญ้านั้นก็ได้ฮัมเพลงออกมาและโยกตัวซ้ายขวาเป็นจังหวะตามเสียงฟาดดาบของนากาโดยที่ไม่ได้แอบลุกหนีไปไหนแบบในทุกครั้งที่ถูกพี่ชายของเธอจับมาฝึกก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงถอนหายใจของเด็กนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้นมาแว่วๆ ให้เธอได้ยิน

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ หือ?”

 

ทันใดนั้นเองเด็กนักเรียนผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบเป็นสีดำที่เป็นเจ้าของเสียงถอนหายใจนั้นก็ได้ส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเขาได้สังเกตเห็นนากาที่กำลังหวดหุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อมอยู่อย่างเมามันจนเกิดเสียงดังขึ้นมาเป็นจังหวะต่ออย่างเนื่องก่อนที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเห็นเด็กหนุ่มผมดำคนนี้จากที่ไหนมาก่อน

 

“นั่นมัน… คนที่ได้อัลเบิร์ตมาเป็นคู่สอบในการสอบรอบพิเศษนี่…”

 

“แอ๋?”

 

พรีมูล่าที่ได้ยินคำพูดของเด็กนักเรียนชายคนนั้นได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่แอบเหลือบมาดูว่าพรีมูล่ายังอยู่ที่เดิมอยู่หรือเปล่าเป็นระยะๆ นั้นได้รีบเร่งความเร็วในการเหวี่ยงดาบของเขาขึ้นเพื่อที่จะได้ให้มันครบจำนวนครั้งที่เขากำหนดเอาไว้ไวๆ เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าพรีมูล่าเริ่มที่จะละความสนใจไปจากเขาแล้ว

 

“ฮึ้บ!!”

 

ปึก-ปึก–ปึก!!

 

“—!”

 

การเหวี่ยงดาบของนากานั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะเดินตรงเข้าไปยืนดูการฝึกซ้อมของนากาอยู่ข้างๆ พรีมูล่าที่กำลังนั่งกองเข่าโยกตัวไปมาตามจังหวะการฟันดาบของนากาอยู่แทน

 

ซึ่งพรีมูล่านั้นก็ได้หันไปจ้องมองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะละความสนใจไปจากเขาและหันกลับไปมองดูการฝึกของพี่ชายของเธอต่อ

 

ปึก-! ปึก–! ปึ้ก!!

 

“ฟู่ว… ก็ราวๆ นี้แหล่ะพรีมูล่า พอจะเข้าใจหรือเปล่าล่ะ?”

 

“เอ๋? หมายถึงว่าฟาดมันให้เร็วขึ้นแล้วก็ฟาดเข้าไปจากทุกทิศทุกทางอะนะพี่นากา?”

 

“อื้ม… ถ้าจะให้พูดง่ายๆ มันก็แบบนั้นล่ะมั้ง… พี่เองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงซะด้วยสิ…”

 

นากาที่ถูกพรีมูล่าพูดถามย้อนกลับมานั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองและพูดตอบเธอกลับไปแบบส่งๆ เพราะว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ยังไงเช่นเดียวกัน

 

ซึ่งในขณะที่นากากำลังพยายามคิดหาคำพูดที่จะพออธิบายให้น้องสาวของเขาที่ท่าทางเหมือนกับว่าจะมีอายุสมองน้อยกว่าคนอื่นอยู่บ้างเข้าใจได้ง่ายๆ อยู่นั้น อยู่ๆ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่โผล่มายืนดูการฝึกซ้อมของเขาอยู่ข้างๆ พรีมูล่าก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“แต่ว่าการที่จะสามารถใช้ดาบโจมตีได้อย่างคล่องแคล่วและต่อเนื่องแบบนั้นมันก็หมายความว่านายจะต้องมีความคุ้นชินกับอาวุธในมืออยู่ในระดับหนึ่ง แถมถ้าฟังจากเสียงของดาบของนายที่กระแทกกับหุ่นไม้แล้วล่ะก็ฉันมั่นใจว่านายไม่ได้สักแต่จะเหวี่ยงดาบออกไปไวๆ เพื่อเน้นจำนวนครั้ง แต่ว่าทุกๆ ดาบของนายมีพลังมากพอที่จะฝากรอยแผลจริงๆ จังๆ เอาไว้กับคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน”

 

“หะ—เอ่อ….”

 

“นายน่ะไม่ใช่มือสมัครเล่นที่เพิ่งจะจับดาบหรืออะไรแบบนั้นสินะ”

 

“…นั่นเพื่อนใหม่ของเธอหรือเปล่าน่ะพรีมูล่า?”

 

นากาที่ถูกคนแปลกหน้าพูดจาแปลกๆ ใส่แบบยาวยืดนั้นได้หันไปกระซิบถามพรีมูล่าแบบไม่มั่นใจนัก พลางเฝ้าจับตามองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่เพิ่งจะเดินเข้าไปสำรวจหุ่นไม้ใกล้ๆ แบบละเอียดยิบอยู่ด้วยสายตาระแวดระวัง

 

“เอ๋ะ? หนูเห็นเขามายืนดูอยู่ใกล้ๆ ได้สักพักนึงแล้วก็เลยนึกว่าเป็นเพื่อนใหม่ของพี่นากาซะอีกอ่ะ— อ้ะ พี่เขาเริ่มแผ่วิซของตัวเองออกมาแล้วอ่ะพี่นากา”

 

“หา—?”

 

คำพูดของพรีมูล่าที่มีพรสวรรค์ด้านวิซนั้นถึงกับทำให้นากาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาก้าวออกไปบังด้านหน้าของพรีมูล่าเอาไว้และจับจ้องเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มด้วยท่าทีระแวดระวังถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถสัมผัสอะไรจากเด็กหนุ่มตรงหน้าได้เลยก็ตามที

 

แต่ว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั้นก็ไม่ได้หันกลับมาสนใจทางด้านนากาและพรีมูล่าเลยแม้แต่น้อยพลางใช้วิซของตัวเองในการตรวจสอบหุ่นไม้ที่ถูกนากาทารุณกรรมไปเมื่อสักครู่นี้อย่างละเอียดยิบพร้อมกับพูดพึมพำออกมาเบาๆ ไปด้วย

 

“มีร่องรอยการใช้วิซหลงเหลืออยู่เยอะมาก… ฟันได้เร็วขนาดนั้นน่าจะเป็นธาตุลม…ไม่ใช่สิสัมผัสแบบนี้น่าจะเป็นธาตุอื่นซะมากกว่า… แถวนี้มีแอ่งน้ำเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด… หรือว่าหมอนั่นจะใช้วิซธาตุน้ำคู่กับวิชาดาบ… ไม่สิ วิซธาตุน้ำไม่น่าจะช่วยเสริมความเร็วหรือว่าพลังในการโจมตีได้แบบนั้น… ธาตุน้ำ… น้ำ… แอ่งน้ำ… น้ำแข็ง!?”

 

นักเรียนผมสีน้ำตาลเข้มนั้นได้เบิ่งตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเขาได้กวาดตามองไปทั่วบริเวณอีกครั้งหนึ่งและพบเข้ากับแอ่งน้ำจำนวนมากที่เกิดขึ้นจากการที่พรีมูล่าแอบใช้ดาบน้ำแข็งของเธอแช่แข็งสิ่งของต่างๆ อย่างใบไม้ที่ปลิวผ่านมาเล่นไปในระหว่างที่เธอดูนากาตีหุ่นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะรีบเงยหน้ากลับขึ้นมาเพื่อที่จะได้พูดสอบถามเจ้าของวิชาดาบอย่างนากาไปตรงๆ

 

“—-!?”

 

แต่ว่าในทันทีที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเงยหน้ากลับขึ้นมามองนากาอีกครั้งนั้นแววตาประหลาดใจของเขาก็กลับกลายเป็นตกตะลึงแทน

 

“ทั้งๆ มีร่องรอยการใช้วิซกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณแบบนี้แท้ๆ แต่ว่ากลับสัมผัสอะไรจากหมอนี่ไม่ได้เลย— อย่าบอกนะว่า— เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หน่า!?”

 

เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดพึมพัมออกมาแบบไม่เชื่อสายตาของตัวเองก่อนที่เขาจะรีบเดินตรงเข้ามาหานากาด้วยท่าทีรีบร้อนราวกับกำลังกลัวว่านากาอาจจะหายตัวไปไหนต่อหน้าต่อตาและร้องเรียกนากาขึ้นมาน้ำเสียงร้อนรน

 

“นี่นายน่ะ!!”

 

“ห—หะ–? / เเอ๋?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด