Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 68 : Luminary

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 68 : Luminary at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอ๋ะ?”
 

นากาที่ยืนตัวลีบอยู่นั้นได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจที่ชื่อเต็มของเขาถูกเอ่ยออกมาจากปากของปู่ทวดของไดเอน่า ถึงแม้ว่านามสกุลที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาจะไม่คุ้นหูเขาเลยแม้แต่น้อยก็ตาม ส่วนทางด้านไดเอน่าเองนั้นก็รีบหันกลับมาสอบถามเขาด้วยความตกใจในทันที

 

“นี่นายเคยเจอกับท่านปู่ทวดของฉันมาก่อนด้วยหรอ!?”

 

“เปล่านะ! ฉันเพิ่งจะเคยเจอเขาครั้งแรกเนี่ยแหล่ะ! แล้วอีกอย่างหนึ่งถึงชื่อเต็มของฉันคือ นากามูระ ก็จริงอยู่แต่ว่านามสกุลของฉันคือ อาร์ทิอัส ต่างหากล่ะ!”

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่นั้นท่านปู่ทวดของไดเอน่าก็กำลังหรี่ตามองเด็กหนุ่มผมสีดำตาสองสีตรงหน้าอยู่อย่างพิจารณาและเมื่อเขาเห็นท่าทางและสีหน้ามึนๆ ของนากาแล้วเขาก็ได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ

 

“เป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรอ… หรือว่าจะเป็นโชคชะตากันแน่นะ…”

 

“ท่านปู่ทวดคะ?”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของปู่ทวดของเธอได้หันมามองทางเข้าด้วยความสงสัยจนทำให้ท่านปู่ทวดของไดเอน่าต้องรีบพูดขึ้นมา

 

“อ้อ… ปู่คงจะจำผิดคนไปเองนั่นล่ะ คนเราพอแก่แล้วก็ชักจะเลอะเลือนไปมากขึ้นทุกวันๆ นั่นล่ะ พอเห็นคนท่าทางคล้ายๆ กันก็เผลอนึกว่าเป็นเพื่อนเก่าไปซะได้… ยังไงก็ขอโทษทีที่ทำให้ตกใจละกันนะพ่อหนุ่ม”

 

“ง–งั้นหรอครับ… ถ้าอย่างงั้นผมขอแนะนำตัวก่อนละกันนะครับ ผมนากามูระ อาร์ทิอัส ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แล้วถ้ายังไงจะเรียกสั้นๆ ว่านากาเฉยๆ ก็ได้นะครับ”

 

“ส่วนหนูก็ไดเอน่า เซมฟิร่า หลานสาวสุดที่รักของท่านปู่ทวดไง~”

 

“ฮะฮะ ถึงปู่จะแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้หลงลืมอะไรขนาดนั้นนะไดเอน่า”

 

ท่านปู่ทวดของไดเอน่าได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับการหยอกเล่นของไดเอน่าผู้เป็นหลานสาว ในขณะที่นากานั้นก็ได้แต่กะพริบตามองไดเอน่าด้วยความประหลาดใจที่ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าโหมดหลานสาวขี้อ้อนที่แตกต่างจากมาดประธานนักเรียนสุดเคร่งขรึมไปโดยสิ้นเชิงซะแล้ว

 

“ฮะแฮ่ม… เอาล่ะนากาคุง ฉันเรียกเธอแบบนั้นได้สินะ? ฉันชื่อ แม๊กซ์ เซมฟิร่า หรือจะเรียกฉันว่าปู่แม๊กซ์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ…”

 

“อ่ะ—ได้อยู่แล้วสิครับ! แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณปู่แม๊กซ์”

 

“อื้ม… เห็นไดเอน่าบอกว่าที่พาเธอมาที่นี่เป็นเพราะว่าเธอรู้เรื่องที่เกี่ยวกับการทดลองของเจ้าหนูเวก้า รีวิซคนนั้นใช่มั้ย? พอจะเล่าเรื่องนั้นให้ฉันฟังได้หรือเปล่า?”

 

“อ่ะ— เอ่อ…”

 

นากาที่ถูกปู่แม็กซ์เอ่ยปากถามขึ้นมานั้นได้แต่อ้ำอึ้งไปสักพักหนึ่งด้วยความลังเลว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ ซึ่งปู่แม็กซ์ก็ดูเหมือนจะรู้ว่านากากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เขาจึงได้หันไปบอกไดเอน่าเพื่อให้เธอออกไปรออยู่ข้างนอกก่อน

 

“ไดเอน่า เดี๋ยวหลานช่วยออกไปรออยู่ด้านนอกสักพักหนึ่งก่อนได้หรือเปล่า?”

 

“หื้ม? อ๋อ ได้ค่ะๆ”

 

“อ—เอ๋—”

 

“ยังไงก็โชคดีนะนากาคุง~ แล้วถ้าเกิดได้รู้เรื่องอะไรจากท่านปู่ทวดก็อย่าลืมมาเล่าให้กันฟังบ้างนะ”

 

ไดเอน่าพูดบอกลานากาออกมาก่อนจะฉวยโอกาสในตอนที่เดินผ่านเขาไปทางประตูแอบกระซิบบอกเขาขึ้นมาเพื่อพยายามจะบอกใบ้ให้เขาลองสอบถามท่านปู่ทวดของเธอเกี่ยวกับเรื่องสงครามในตำนานนั้นดู

 

“ด–เดี๋ยวก่อนสิ นี่เธอหมายความว่าไ—–”

 

นากาที่ไม่ได้เข้าใจอะไรกับคำบอกใบ้ของไดเอน่าเลยนั้นได้พยายามพูดถามกลับไปอย่างมึนๆ แต่ว่าไดเอน่าก็โบกมือกลับมาให้เขาและเดินตรงออกจากห้องไปในทันทีโดยทิ้งให้นากาอยู่ในห้องกับปู่ทวดของเธอเพียงลำพัง

 

“เฮ้อ… อย่างน้อยเธอก็ยังเชื่อฟังฉันอยู่บ้างล่ะนะ… เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ ฉันสินากาคุง”

 

“ค—ครับ”

 

นาการีบพูดรับคำของชายวัยกลางคนไปและเลื่อนเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ มุมห้องมาที่ด้านข้างของเตียงและนั่งลงไป ซึ่งปู่แม็กซ์ที่เห็นแบบนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงพูดถามขึ้นมา

 

“เอาล่ะ… ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักกับเอริกะแล้วก็คุณอารอนด้วยงั้นสินะ ตอนนี้สองคนนั้นยังสบายดีอยู่หรือเปล่าล่ะ?”

 

“อ—เอ๋ะ? คุณปู่แม๊กซ์รู้จักสองคนนั้นด้วยงั้นหรอครับ?”

 

“อื้ม… สมัยตอนก่อนที่ฉันยังออกเดินทางไปทั่วทวีปอยู่ฉันได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับพวกเขาอยู่สักพักน่ะ… แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าเธอไปเจอกับคุณอารอนเขาที่ไหนกันน่ะ?”

 

“ถ้าเป็นอารอนล่ะก็เขาเป็นคนคอยดูแลผมกับน้องสาวที่หมู่บ้านโมริโกะที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกตั้งแต่พวกผมจำความได้แล้วล่ะครับ เห็นเขาเคยบอกว่ามาช่วยดูแลตามคำขอของคุณแม่พวกผมที่เป็นคนรู้จักของเขาน่ะ แต่เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้ประจำอยู่ที่หมู่บ้านสักเท่าไหร่หรอกครับ”

 

นากาที่ไม่เห็นว่าคำถามนี้จะเป็นความลับอะไรตรงไหนได้พูดตอบชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางใจดีคนนี้ไป ซึ่งปู่แม็กซ์ก็เผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาเล็กน้อยและพึมพำออกมา

 

“หมู่บ้านทางตะวันตกงั้นหรอ… ที่แท้หลังจากเกิดเรื่องนั้นเขาก็ไปหลบอยู่ที่นั่นเองสินะ”

 

“แต่เอาจริงๆ อารอนเขาก็หาตัวยากอยู่เหมือนกันนะครับ นี่คุณปู่แม๊กซ์ไปเจอเขาได้ยังไงหรอครับ?”

 

คำถามของนากานั้นทำให้ปู่แม็กซ์เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นเหมือนกับกำลังนึกถึงเรื่องสมัยเก่าๆ และเล่ามันออกมาให้นากาฟัง

 

“สมัยก่อนฉันเคยป่วยด้วยโรคร้ายน่ะ… ถึงตอนนั้นหมอทุกคนจะลงความเห็นว่าไม่มีทางรักษาได้และถอดใจกันไปหมดแล้วก็เถอะ แต่ว่าคุณหมออารอนก็แอบเข้ามาตรวจดูอาการของฉันให้ในตอนที่ฉันกำลังสิ้นหวัง… แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็มีโอกาสได้ออกเดินทางด้วยกันอยู่สักพัก… จากแพนเทร่าที่อยู่ทางเหนือลงไปทางใต้เสร็จแล้วก็ไปยังเมืองซายูกิที่อยู่ฝั่งตะวันออก… หรือแม้แต่กระทั่งเมืองมาร์นาร์ฟที่แทบจะไม่ต้อนรับคนนอกพวกฉันเองก็ยังเคยไปมาแล้วเลยนะ… ฮะฮะ”

 

“เมืองมาร์นาร์ฟหรอครับ…? ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนั้นมาก่อนเลยนะครับ…”

 

“อ้อ… เธอไม่ต้องไปสนใจเจ้าเมืองเรื่องมากนั่นนักหรอก มันเป็นเมืองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลน่ะแถมยังปิดตัวเองไม่ยอมให้คนนอกเข้าไปข้างในอีกต่างหาก…”

 

“ง—งั้นหรอครับ… แต่ว่าเรื่องของอารอนที่ปู่แม็กซ์พูดมานั่นก็ฟังดูสมกับเป็นอารอนเขาดีเหมือนกันนะครับนั่น”

 

นากาที่ได้ยินปู่แม็กซ์บอกปัดเรื่องของเมืองที่ชื่อว่ามาร์นาร์ฟออกมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อย และหันกลับไปพูดเรื่องของอารอนแทน ซึ่งปู่แม็กซ์นั้นก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมานิดหน่อยกับท่าทีของเขาแล้วจึงหันไปถามเรื่องของคนรู้จักเก่าของเขาอีกคนหนึ่งแทน

 

“แล้วเอริกะเป็นยังไงบ้างล่ะ…? เดี๋ยวนี้ยังซนสร้างของเล่นอะไรแผลงๆ ออกมาอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?”

 

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะว่าตอนนี้ที่บ้านของเธอมีของพวกนั้นหมกอยู่เต็มจนแทบจะไม่มีที่เดินเลยล่ะครับ”

 

“ฮะฮะ! ฉันว่าแล้ว! สมกับเป็นเอริกะเขาจริงๆ!!”

 

คำตอบของนากาถึงกับทำให้ปู่แม็กซ์หลุดหัวเราะออกมาและตบเข่าตัวเองด้วยความอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นสีหน้าของนากาที่เหมือนอยากจะฟังเรื่องราวของเขากับเอริกะเข้าเขาจึงได้ถือโอกาสนี้นินทาคนรู้จักเก่าของเขาให้เด็กหนุ่มฟังในทันที

 

“เอริกะน่ะเป็นนักประดิษฐ์ตัวแสบ ชนิดที่ว่าใครได้รู้จักกับเธอก็แทบอยากจะทุบกบาลของเธอไปสักทีนั่นแหล่ะ ขนาดฉันไม่ได้เจอกับเอริกะมาสักพักนึงแล้วภาพรอยยิ้มน่าเตะของเธอก็ยังติดตาอยู่เลยล่ะ… แต่เอาจริงๆ เอริกะก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของฉันไม่ต่างจากคุณอารอนสักเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าเกิดว่าไม่ได้เธอช่วยพัฒนาเศษเหล็กพวกนี้ฉันเองก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน… เฮ้อ…”

 

ปู่แม็กซ์พูดขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหลายแหล่ที่เขาเรียกมันว่าเศษเหล็กก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาด้วยแววตาเศร้าๆ เหมือนกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องเก่าๆ อยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

“เอ่อ… คุณปู่แม็กซ์ครับ ผมขออนุญาตถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

 

“หืม…? ลองว่ามาสินากาคุง”

 

“ที่ไดเอน่าเขาบอกว่าคุณปู่แม็กซ์อยู่มาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ทำสงครามกับเทพเจ้านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าน่ะครับ?”

 

“หือ…?”

 

คำถามของนากานั้นทำให้ปู่แม็กซ์ส่งเสียงออกมาเล็กน้อยและมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจก่อนจะก้มหน้าลงไปเหมือนกับกำลังใช้คิดอยู่สักพักใหญ่ๆ จนนากาเริ่มที่จะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเผลอถามคำถามอะไรที่ไม่ควรจะถามออกไปหรือเปล่าและรีบพูดแก้ตัวออกมาในทันที

 

“อ–อ่า ถ้าเกิดว่าปู่แม็กซ์ไม่อยากจะบอกก็ไม่เป็นอะไรนะครับ ผมก็แค่เกิดอยากรู้ขึ้นมาเฉยๆ นั่นล่ะครับ”

 

“นั่นสินะ… ดูท่าทางว่าคงจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นั่นล่ะ… โชคชะตาจะเล่นตลกอะไรขนาดนั้นกันนะ…”

 

“ครับ…?”

 

“เอาเป็นแบบนี้ดีมั้ยล่ะนากาคุง… ถ้าเกิดว่าเธอยอมบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของเวก้าล่ะก็ฉันสัญญาว่าจะตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องในอดีตที่เธออยากรู้ให้สักสองสามข้อเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนดีมั้ยล่ะ?”

 

“อ—เอ๋?”

 

ข้อแลกเปลี่ยนที่ปู่แม็กซ์เสนอขึ้นมานั้นถึงกับทำให้นากาลังเลไปชั่วขณะเพราะว่าเขาเองก็แอบที่จะสนใจเรื่องในอดีตอย่างตำนานเทวทูตนั่นเช่นเดียวกัน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้เพราะว่าความปลอดภัยของคาร์เทียร์ที่อยู่ในการดูแลของอารอนนั้นสำคัญกว่ามาก

 

“เธอไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้สนใจเรื่องผลการทดลองหรือว่าเรื่องเจ้าหนูเวก้ากับร่างทดลองที่อาจจะตายไปแล้วนั่นเลยสักนิด ที่ฉันอยากจะรู้น่ะก็คือลูกตาที่ถูกเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบในการทดลองนั่นเป็นยังไงหลังจากนั้นต่างหาก เพราะยังไงทั้งเจ้าหนูเวก้าและร่างทดลองเองก็คงจะควบคุมพลังของมันไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ…”

 

“อ—เอ๋ะ น—นี่คุณปู่รู้ได้—”

 

“ตกลงว่าเจ้าหนูเวก้าทำมันสำเร็จจริงๆ สินะ…”

 

“อุ๊บ—”

 

คำพูดของปู่แม็กซ์นั้นทำให้นาการู้ตัวและรีบพุ่งมือทั้งสองข้างไปอุดปากของตัวเองในทันทีก่อนที่เขาจะรีบกลอกตาไปมาคิดหาคำพูดแก้ตัว ซึ่งปู่แม็กซ์นั้นก็อดที่จะแอบอมยิ้มให้กับท่าทีของนากาที่เหมือนกับเด็กน้อยที่เผลอหลุดปากเรื่องความลับอะไรบางอย่างออกมาเป็นไม่ได้

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก… แต่ว่าพอฉันได้รู้ว่าเขาทำมันสำเร็จได้จริงๆ แบบนี้ฉันก็ยิ่งเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นกับร่างทดลองหลังจากนั้นไปกว่าเดิมอีก… ถ้ายังไงเธอช่วยบอกฉันหน่อยได้หรือเปล่าว่าเธอคนนั้นเป็นยังไงต่อไปน่ะ…”

 

“อ–เอ่อ…”

 

นากาที่ได้ยินคำขอร้องของปู่แม็กซ์นั้นได้แต่ลังเลที่จะบอกความจริงออกไป แต่ว่าเมื่อเขาได้เห็นท่าทางจริงใจของชายวัยกลางคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นห่วงคนที่ถูกทดลองจริงๆ นั้นเขาก็นิ่งคิดไปสักพักและตัดสินใจที่จะเล่าความจริงให้อีกฝ่ายฟังไปตรงๆ

 

“ก็ได้ครับ… แต่ว่าหลังจากนี้ผมจะต้องไปบอกเอริกะเขานะว่าผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้คุณฟังน่ะ”

 

“อื้ม ไม่มีปัญหาหรอก”

 

“ถ้างั้นก็ เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนที่พวกผมเพิ่งจะเข้าเมืองมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่…”

 

นากาเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของเวก้าให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าฟังโดยเริ่มตั้งแต่วันที่เจนขาดการติดต่อไปจนทำให้เขากับเอริซาเบธต้องแอบไปสอดแนมที่คฤหาสน์ของเวก้ากันจนไปจบอยู่ตรงที่ว่าร่างทดลองคนนั้นหรือก็คือแมรี่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคาร์เทียร์และไปอาศัยอยู่กับอารอน โดยที่จงใจเว้นเรื่องที่เขาได้พบกับหญิงสาวผมแดงที่ชื่อไคเลอร์ตามที่เขาตั้งใจและทำมาตลอด กับเรื่องที่ว่าเขาปล่อยให้เวก้ารอดชีวิตไปได้เอาไว้

 

“หมายความว่าลูกตาดวงนั้นถูกเอริกะเก็บเอาไว้จนกระทั่งเจ้าหนูเวก้าส่งคนมาแอบขโมยมันไปเพื่อเอาไปใช้ในการทดลอง แต่ว่าการทดลองก็เกิดผิดพลาดขึ้นเพราะว่าร่างทดลองเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจนทำให้ทุกคนในคฤหาสน์เสียชีวิตกันไปหมด ส่วนเด็กที่เป็นร่างทดลองนั่นก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเพื่อซ่อนตัวและกำลังอาศัยอยู่กับคุณอารอนงั้นสินะ…?”

 

“ใช่แล้วล่ะครับ แถมตอนนี้คาร์เทียร์เองก็ดูท่าว่าจะติดอารอนเขาแจเลยด้วยล่ะครับ”

 

“งั้นหรอ… ถ้าลงเอยแบบนั้นได้ก็ดีแล้วล่ะ…”

 

ปู่แม็กซ์หลับตาลงเล็กน้อยและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโล่งใจ ก่อนที่เขาจะพยายามดันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งจนทำให้นากาต้องรีบเอื้อมมือเข้าไปช่วยพยุงเขาในทันที

 

“โอ้… ขอบใจนะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณปู่แม็กซ์เองก็อย่าฝืนตัวเองแบบนี้สิครับ…”

 

“พูดมากน่า ฉันยังไม่ได้แก่ถึงขนาดลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหวสักหน่อย… แค่ว่าพอได้ยินว่าชิโดริได้กลับไปอยู่กับเขาแล้วแบบนี้ฉันก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลยต่างหากล่ะ…”

 

“…ชิโดริหรอครับ?”

 

นากาที่ได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมาแบบนั้นได้หันไปถามปู่แม็กซ์ด้วยความสงสัยในทันที แต่ว่าชายวัยกลางคนก็ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยและพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

 

“อ้อไม่ใช่สิ ต้องเป็นคาร์เทียร์สินะ… คนเราพอแก่แล้วแบบนี้ก็เรียกชื่อคนอื่นผิดๆ ถูกๆ ไปเรื่อยนั่นแหล่ะ… ไหนกลับมาเรื่องข้อตกลงของเรากันดีกว่า ลองถามคำถามที่เธออยากรู้มาสิ”

 

“อ่ะ… อ๋อ ก็เรื่องที่ว่าคุณปู่แม็กซ์อายุยืนมากจนอยู่มาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ทำสงครามกับทวยเทพนี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าน่ะครับ?”

 

“เรื่องนั้นเองสินะ… สมัยที่ไดเอน่ายังเด็กๆ เธอก็ชอบเข้ามาถามเรื่องนี้กับฉันอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน…”

 

ปู่แม็กซ์พูดพึมพำขึ้นมาพลางมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอกหน้าต่างบานใหญ่และนิ่งเงียบไปสักพักเหมือนกับว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องเก่าๆ อยู่

 

“เรื่องที่ฉันอายุยืนมากน่ะเป็นความจริง… แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอคำว่าตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ทำสงครามกับทวยเทพของเธอมันคือสมัยไหนกันแน่น่ะ เพราะว่าฉันไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนั้นเลย”

 

“เอ๋ะ? แต่ไม่ใช่ว่าตำนานนี้มันค่อนข้างจะดังหรอกหรอครับ? ที่เขาว่ากันว่ากลุ่มผู้กล้าของมนุษย์ต่อสู้กับเทพเจ้าที่พยายามจะทำลายล้างมนุษย์บนโลกจนชนะแล้วก็ปกป้องโลกนี้เอาไว้ได้น่ะครับ?”

 

คำพูดของนากานั้นทำให้ปู่แม็กซ์ละสายตาออกมาจากหน้าต่างและหันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจเพราะว่ามันฟังดูคุ้นหูของเขาอย่างบอกไม่ถูก

 

“นี่เธอไปได้ยินตำนานนั่นมาจากที่ไหนกันเนี่ย?”

 

“ก็เอริกะเขาเป็นคนเล่าให้พวกผมฟังเพื่ออธิบายเรื่องดวงตาเจ้าปัญหานั่นน่ะครับ”

 

“ฮะฮะ เป็นเอริกะจริงๆ ด้วยสินะ…”

 

ปู่แม็กซ์เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งและหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เป็นคนเล่าตำนานเรื่องนี้ให้นากาฟัง

 

“แล้วเอริกะเขาบอกเธอว่ายังไงล่ะตอนที่เล่าตำนานเรื่องนี้ให้ฟังน่ะ?”

 

“เอ่อ… ก็… เห็นพูดอะไรราวๆ ว่าในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเพราะงั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของพวกเธอหรืออะไรสักอย่างเนี่ยละครับ”

 

“ถ้างั้นก็เป็นไปตามที่เอริกะเขาบอกนั่นล่ะ ว่าเธอจะเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่ามันก็เป็นที่เธอต้องเลือกเองน่ะ แต่ถ้าฉันจะให้คำตอบเธอแบบนี้ก็คงจะไม่คุ้มค่ากับข้อตกลงสักเท่าไหร่งั้นสินะ… เอาเป็นว่าเธอมีคำถามอื่นอีกหรือเปล่าล่ะ?”

 

“เอ่อ… ก็ยังมีเรื่องอื่นที่ผมสนใจอยู่อีกสักสองสามอย่างนั่นล่ะครับ… แต่ไม่รู้ว่ามันจะเสียมารยาทหรือเปล่า”

 

“เอาหน่า ยังไงก็ลองถามออกมาดูก่อนก็ได้”

 

คำพูดของปู่แม็กซ์นั้นถึงกับทำให้นาการู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้ไดเอน่าเคยบ่นให้เขาฟังอยู่ว่าท่านปู่ทวดของเธอไม่เคยยอมปริปากเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ใครฟังเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหลังจากที่เขาได้คุยกับปู่แม็กซ์มาสักพักแล้วนี่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนคนแก่ธรรมดาๆ ที่อยากจะเล่าเรื่องเก่าๆ ให้หลานๆ ตัวน้อยฟังซะด้วยซ้ำ

 

“เมื่อก่อนโลกของพวกเรานี่มันเป็นยังไงหรอครับ? อย่างพวกเมืองต่างๆ หรืออะไรพวกนั้นน่ะครับ”

 

“หืม… พวกเมืองต่างๆ ในสมัยก่อนงั้นหรอ…”

 

“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ เพราะผมแค่สนใจเรื่องนี้เฉยๆ น่ะ”

 

“ไม่หรอกๆ แค่ว่าสมัยก่อนฉันไม่ค่อยจะได้อยู่เฉยๆ ในเมืองสักเท่าไหร่ก็เลยนึกไม่ค่อยจะออกนี่สิ…”

 

ปู่แม็กซ์รีบพูดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของนากาเพราะว่าที่เขานิ่งไปสักพักนั้นเป็นเพราะว่าเขานึกถึงเรื่องของเมืองต่างๆ ในสมัยก่อนไม่ค่อยจะได้ต่างหาก

 

“อื้ม… ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็สมัยก่อนไม่ได้มีเมืองแค่เมืองสี่เมืองแบบตอนนี้หรอกนะ แต่จะออกไปทางเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรแค่หลักพันกับหมู่บ้านต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันไปทั่วซะมากกว่าน่ะ อีกอย่างหนึ่งสมัยก่อนทุ่งหญ้าทางตะวันตกเองก็ไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดนี้ด้วย…”

 

“ทุ่งหญ้าทางตะวันตก? หมายถึงทะเลมรกตน่ะหรอครับ?”

 

“หืม? เดี๋ยวนี้ทุ่งหญ้านั่นมีชื่อเรียกแล้วสินะ”

 

ปู่แม็กซ์โคลงหัวไปมาเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของทะเลมรกตที่เป็นเขตแดนอันตรายสักเท่าไหร่นักก่อนที่เขาจะหลับตาลงไปนึกอยู่อีกสักพักแล้วจึงพูดขึ้นมาต่อ

 

“ถึงฉันจะบอกว่าสมัยก่อนมีเมืองเล็กๆ กับหมู่บ้านกระจัดกระจายกันไปทั่วก็เถอะนะ แต่ว่าที่จริงแล้วมันก็มีเมืองขนาดใหญ่อยู่บ้างเหมือนกัน… ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้แก่จนเลอะเลือนไปแล้วฉันคิดว่ามันน่าจะขนาดใหญ่พอๆ กับเมืองรีมินัสตอนนี้เลยล่ะ… รู้สึกว่าจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปล่ะมั้ง”

 

“เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกงั้นหรอครับ…”

 

“ใช่แล้ว… แต่ถึงฉันพอจะนึกเรื่องของเมืองนั้นได้อยู่บ้างก็เถอะนะแต่ว่าฉันเองก็จำชื่อของเมืองนั้นไม่ได้แล้วล่ะนะ… อื้ม… แล้วก็น่าจะมีเรื่องของการค้าขายกับพวกเมืองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลด้วยล่ะนะที่เหมือนว่าจะอิสระกว่าสมัยนี้มากน่ะ เพราะเห็นเจ้าเดวิดที่เป็นคุณพ่อของไดเอน่ามาบ่นๆ ให้ฉันฟังอยู่ว่าติดต่อเรื่องอะไรสักอย่างกับเมืองบนเกาะอื่นไม่ได้เพราะว่าเมืองซายูกิที่เป็นเมืองท่าเรือที่ใกล้ที่สุดเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมาสักอย่างนี่ล่ะ..”

 

“อย่างงั้นเองสินะครับ… ก็พอจะนึกภาพคร่าวๆ ของสมัยก่อนออกอยู่บ้างล่ะครับ”

 

“เท่าที่ฉันพอจะจำได้มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะ… สนใจเรื่องไหนอีกมั้ยล่ะนากาคุง?”

 

“ก็ยังมีอีกเรื่องนะครับ… แต่ว่าถ้ามันเป็นการเสียมารยาทผมก็ขอขอโทษล่วงหน้าเลยละกันนะครับ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกๆ ลองถามมาดูได้เลย”

 

ปู่แม็กซ์พูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดีที่นากายังคงสนใจที่จะถามเขาอยู่โดยไม่ได้เบื่อหน่ายไปกับเรื่องเล่าเก่าๆ ที่เขาเล่าให้เด็กหนุ่มฟังไปซะก่อน ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดถามไปตรงๆ ในทันที

 

“เพราะอะไรคุณปู่แม็กซ์ถึงอายุยืนมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรอครับ?”

 

“อ๋อ… เรื่องนั้นเองสินะ…”

 

คำถามของนากาทำให้ชายวัยกลางคนชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเด็กหนุ่มออกมาก่อนที่เขาจะหันไปมองดูอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหลายแหล่ที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ เตียงด้วยแววตาเศร้าๆ แตกต่างจากแววตาสนุกสนานในตอนที่พวกเขากำลังพูดถึงเอริกะและอารอนอย่างเห็นได้ชัด

 

“มันเป็นเพราะคำสาปน่ะ…”

 

“เอ๋ะ— คำสาปงั้นหรอครับ–!?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด