Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 86 : Validated Falsity

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 86 : Validated Falsity at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แล้วแกเป็นใครถึงกล้าเข้ามาขวางพวกฉันหะ!?”
 

เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มที่เห็นว่ามีเด็กหนุ่มผมสีดำตาสองสีเข้ามาเกะกะเพิ่มเติมนั้นได้พูดขึ้นมาเสียงดังก่อนที่เขาพุ่งเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่นากาในทันที แต่ว่าทางด้านนากาที่มีประสาทสัมผัสดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันจากการฝึกฝนมาอย่างหนักนั้นก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

“ช้าหน่า…”

 

ฟุ๊บ— ผัวะ!!

 

“โอ๊ย!? ทำบ้าอะไรของแกหะริวโตะ!?”

 

เด็กหนุ่มผมแดงที่ถูกนากาใช้ฝ่ามือรับหมัดเอาไว้ในทีแรกได้ร้องโวยวายใส่เพื่อนของตัวเองเสียงดังเมื่ออยู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ถูกกระแทกเข้าด้วยกำปั้นของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินอย่างแรงเนื่องจากว่านากาได้กระชากมือของเขาจนเสียหลักและพุ่งถลาเข้าไปรับหมัดให้แทนตัวนากาซะเอง ซึ่งเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ถูกต่อว่าขึ้นมาก็รีบพูดเถียงกลับไปในทันที

 

“เอ้า! ก็จู่ๆ นายพุ่งเข้ามาขวางแบบนี้ใครจะไปยั้งมือทันกันเล่า!?”

 

“เจ้าโง่ริวโตะเอ๊ย!! ก็แกเล่นง้างหมัดพุ่งเข้าไปต่อยเข้าแบบนั้นต่อให้เป็นพวกบ้านนอกไร้ความสามารถขนาดไหนเขาก็รู้ทั้งนั้นสิฟะว่าแกจะไปต่อยเขาน่ะ!!”

 

“หา!? นายพูดแบบนี้หมายความว่าไงหะ!?”

 

“เฮ้อ…”

 

ในขณะที่สองหนุ่มผมสีน้ำเงินและสีแดงกำลังหันไปเถียงกันเองอยู่นั้น ทางด้านเด็กหนุ่มผมสีเขียวที่เหมือนกับว่าจะอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกเขาด้วยก็ได้ยกมือขึ้นมากุมหน้าของตัวเองและถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

 

ส่วนทางด้านนากาที่เห็นว่าเด็กนักเรียนทั้งสองคนที่เป็นคู่กรณีได้หันไปมีปากเสียงกันเองแทนแล้วนั้นก็ได้กะพริบตาปริบๆ มองดูพวกเขาอยู่สักพักก่อนที่เขาจะหันกลับไปพูดถามโมโกะที่ตกเป็นเป้าหมายในทีแรกขึ้นมา

 

“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยโมโกะ?”

 

“อ…อื้อ… ขอบใจนะนากา… ฉันก็ไม่นึกว่าแค่พูดไปแบบนั้นพวกพวกนั้นจะพุ่งเข้ามาทำร้ายกันเลยน่ะ…”

 

โมโกะที่ดูเหมือนว่าจะขวัญเสียเล็กน้อยได้พูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงเบาๆ จนทำให้นากาต้องรีบยกมือขึ้นไปลูบหัวและปลอบใจเธอในทันที ก่อนที่เขาจะหันไปมองดูเด็กนักเรียนอีกคนที่เขาเห็นว่าเธอพยายามที่จะช่วยปกป้องโมโกะเอาไว้เมื่อสักครู่เพื่อที่จะได้พูดขอบคุณอีกฝ่ายไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบว่าเด็กนักเรียนหญิงคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครคนไหนไปนอกซะจากเซซิลนั่นเอง

 

“อ้าว… เซซิลเองหรอกหรอ นี่เธอจะไปมีเรื่องกับคนอื่นเขาทุกวี่ทุกวันเลยหรือไงเนี่ย? …ว่าแต่คราวนี้โดนเขาต่อยเข้าไปหรือยังน่ะ?”

 

“พูดมาก…”

 

ปึ๊ก!

 

“โอ๊ย— ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ เอง!”

 

เสียงร้องของนากาที่ถูกเซซิลหวดขาเตะเข้าให้นั้นได้ดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เป็นคู่กรณีให้กลับมามอง ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เห็นว่ากลุ่มของนากาได้หันไปพูดคุยเล่นกันเหมือนกับไม่ได้สนใจเลยว่าเพิ่งจะมีเรื่องกับพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ไปเมื่อสักครู่ก็ได้ตวาดขึ้นมาเสียงดัง

 

“พวกแกยังไม่จบเรื่องกับพวกฉันเลยนะโว้ย!!”

 

“อะไรล่ะ? มันเป็นพวกนายเองไม่ใช่หรือไงที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเพื่อนของฉันก่อนน่ะ”

 

นากาที่เห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนได้หันกลับมาสนใจทางกลุ่มของพวกเขาแล้วได้ขึ้นเสียงเถียงอีกฝ่ายกลับไปพร้อมกับก้าวเท้าออกมายืนบังโมโกะกับเซซิลเอาไว้ราวกับว่าไม่ได้เกรงกลัวเห็นหนุ่มทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งเด็กหนุ่มผมสีแดงที่ได้ยินคำพูดของนากาเข้าไปนั้นก็ได้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดูถูก

 

“นี่แกเรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนของยัยนี่งั้นเรอะ? ยัยนักโทษหลบหนีที่มาทำตัวเป็นกาฝากอยู่ในเมืองของคนอื่นเขาแบบนี้เนี่ยน่ะนะ?”

 

กึก…

 

เซซิลที่ได้ยินคำพูดของดูถูกของเด็กหนุ่มผมสีแดงนั้นได้กระตุกมือของเธอไปสัมผัสกับด้ามดาบคาตานะที่เธอพกเอาไว้ตลอดเวลาด้วยความลืมตัว แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเสียงของนากาที่ดังขึ้นมาให้เธอได้ยินนั้นก็ทำให้เซซิลต้องรีบสงบสติตัวเองไปซะก่อน

 

“หา…? นักโทษ? นี่พวกแกพูดเรื่องอะไรกันเนี่ยหะ?”

 

“ก็ใช่น่ะสิ! นี่แกไม่รู้เลยหรือไงว่ายัยผู้หญิงที่แกยืนขวางอยู่นั่นมีค่าหัวติดตัวอยู่ด้วยน่ะหะ!?”

 

“ค่าหัว…?”

 

นากาที่ได้รับคำตอบมาจากเด็กหนุ่มผมสีแดงนั้นได้พูดถามกลับไปด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะเหลือบกลับไปมองทางเซซิลและพบว่าในเวลานี้เซซิลกำลังเม้มปากแน่นและได้หันหนีไปอีกทางในทันทีที่เธอสังเกตเห็นว่านากาได้แอบหันมามองท่าทีของเธอ ซึ่งถึงแม้ว่านากาที่เห็นแบบนั้นจะรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแต่ว่าเขาก็ตัดสินใจที่จะเชื่อใจเซซิลและพูดเถียงเด็กหนุ่มผมแดงกลับไป

 

“เรื่องค่าหัวอะไรนั่นฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนแถมไม่เห็นจะมีอะไรมายืนยันคำพูดของพวกแกเลยสักนิด! พวกแกจะเที่ยวใส่ความคนอื่นเขาก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!!”

 

“นี่แกกล้ามากล่าวหาว่าคนอย่างพวกฉันจะไปเที่ยวใส่ความคนอื่นงั้นหรอวะ!?”

 

“ก็เออสิ! พวกแกเป็นใครมาจากไหนฉันก็ยังไม่รู้เลย แต่ว่าอยู่ๆ ก็มาด่าแถมยังคิดจะต่อยเพื่อนของฉันแบบนี้ถ้าจะให้ฉันเชื่อพวกแกก็ปัญญาอ่อนแล้ว!!”

 

“หา—!?”

 

เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มได้ส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจที่เด็กหนุ่มผมดำตรงเหมือนจะไม่รู้จักกับเขาคนนี้และทำท่าเหมือนกับว่าจะพุ่งเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่นากาอีกครั้ง แต่ว่าทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มผมแดงก็ได้ยื่นมือออกมาขวางเพื่อนของเขาเอาไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวก่อนริวโตะ เจ้าหมอนี่มันอาจจะไม่รู้จักพวกเราจริงๆ ก็ได้ล่ะมั้ง เพราะดูเหมือนว่าปีนี้โรงเรียนรีมินัสจะมาตรฐานตกไปเยอะจนมีพวกบ้านนอกแล้วก็พวกสามัญชนหลุดเข้ามาได้กันเพียบเลยนี่”

 

“ฮะ! นั่นสินะ ถ้าเกิดว่าเป็นพวกบ้านนอกหรือว่าพวกสามัญชนล่ะก็จะไม่รู้จักพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่หรอก!”

 

เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยคำพูดเยาะเย้ยออกมาท่ามกลางเหล่าเด็กนักเรียนจำนวนมากที่เริ่มเข้ามามุงดูเรื่องสนุกๆ หลังอาหารกัน แต่ว่าในทันทีที่เด็กนักเรียนเหล่านั้นเห็นว่าหนึ่งในสองฝ่ายที่กำลังยืนเถียงกันอยู่มีเด็กสาวร่างสูงโปร่งอย่างเซซิลอยู่ด้วยพวกเขาก็รีบกระจายตัวกันออกไปแอบดูอยู่ห่างๆ กันแทนเหมือนกับว่าไม่อยากจะอยู่ใกล้เพราะอาจจะติดร่างแหไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

 

ซึ่งโมโกะที่สังเกตเห็นท่าทางของเหล่านักเรียนมุงมาได้สักพักแล้วนั้นก็เลือกที่จะไม่สนใจพวกเด็กนักเรียนขี้ขลาดเหล่านั้นและพูดเถียงเด็กหนุ่มทั้งสองคนเบื้องหน้าไปในทันที

 

“คำก็บ้านนอกสองคนก็บ้านนอก แค่พวกฉันไม่ได้เกิดมาในเมืองเหมือนกับพวกนายก็ต้องพูดจาดูถูกกันถึงขนาดนั้นเลยหรือไงกันหะ!?”

 

“หึ! มันก็ตามนั้นนั่นล่ะยัยแมวบ้านนอก! ถ้าเกิดว่าแกไม่พอใจงั้นก็อธิษฐานขอให้ชาติอย่าไปเกิดในหมู่บ้านกันดารแบบนั้นก็แล้วกัน!!”

 

“นี่นาย—!! อุ๊บ—”

 

“…….”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังจะชี้นิ้วด่าเด็กหนุ่มปากเสียทั้งสองคนกลับไปนั้นเธอก็โดนเซซิลพุ่งมือมาอุดปากเอาไว้ก่อนพร้อมกับส่ายหน้าให้เธออย่างเงียบๆ

 

ส่วนทางด้านเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เห็นว่าโมโกะถูกอุดปากจนเงียบเสียงไปแล้วก็ได้ยกนิ้วโป้งคนละข้างกันขึ้นมาชี้อกตัวเองพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดแนะนำตัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

 

“ฉันชื่ออากิ ฮิโตะ! เป็นว่าที่เอกอัครรัฐทูตจากเมืองซากิที่จะถูกส่งมาประจำในเมืองรีมินัสแห่งนี้ในอนาคตยังไงล่ะ!!”

 

“ส่วนฉันชื่อริวโตะ ซากิ! เป็นผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งเอกอัครรัฐทูตจากเมืองยูกิประจำเมืองรีมินัสต่อจากคุณพ่อของฉันยังไงล่ะ!!”

 

คำพูดแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอันดังของเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นถึงกับทำให้ทั่วทั้งโรงอาหารตกอยู่ท่ามกลางความเงียบไปชั่วขณะก่อนที่ทันใดนั้นเองเสียงของนากาและเซซิลจะดังขึ้นมาเบาๆ

 

“แนะนำตัวได้เห่ยชะมัด…”

 

“นั่นสิ…”

 

“เสียมารยาท!! / เสียมารยาท!!”

 

คำพูดพึมพำของนากาได้ทำให้เด็กหนุ่มผมสีแดงที่ชื่อว่าอากิและเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มที่ชื่อว่าริวโตะต่างพากันแหกปากขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน แต่ถึงแบบนั้นนากาก็เลือกที่จะเมินพวกเขาไปและหันไปมองดูเด็กหนุ่มผมสีเขียวเข้มที่กำลังยืนกุมหน้าผากตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้วแทน

 

“แล้วนายล่ะ? จะไม่ไปยืนเก๊กท่ากับสองคนนั้นด้วยหรอน่ะ?”

 

“นั่นสิน๊อกซ์! พวกเราเป็นทีมเดียวกันไม่ใช่หรือไง!?”

 

“ใช่แล้วล่ะ! นายเองก็รีบมาแนะนำตัวบ้างสิน๊อกซ์!”

 

“ไอเจ้าพวกบ้าเอ๊ย… ให้ตายสิ”

 

เด็กหนุ่มผมสีเขียวที่เหมือนจะชื่อว่าน๊อกซ์นั้นได้กัดฟันพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเดินแทรกเข้าไปยืนกอดอกอยู่ตรงกลางระหว่างอากิกับริวโตะและพูดแนะนำตัวขึ้นมาด้วยท่าทางแบบไม่เต็มใจนัก

 

“ฉันชื่อว่าน๊อกซ์ เป็นผู้ที่จะได้รับช่วงต่อตำแแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างเมืองรีมินัสและเมืองซายูกิในอนาต… เอ้า… พอใจหรือยังล่ะอากิ?”

 

“จะแนะนำตัวทั้งทีก็ทำให้มันแข็งขันกว่านี้หน่อยสิ!! แล้วไหนล่ะนามสนุกของนายน่ะน๊อกซ์! บอกชื่อตระกูลของนายออกมาให้เจ้าพวกบ้านนอกพวกนี้ตกตะลึงกันไปเลยสิ! เอ้าไหนลองใหม่อีกครั้งสิ!”

 

อากิที่ถูกพูดถามขึ้นมานั้นได้พูดตอบน๊อกซ์กลับไปพร้อมกับรบเร้าให้เด็กหนุ่มผมสีเขียวเข้มพูดแนะนำตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยไม่ได้สนใจท่าทีบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางด้านนากาที่ชักจะเริ่มรู้สึกว่ากลุ่มคนเบื้องหน้าน่าจะเหมาะกับการเป็นคณะตลกมากกว่าคณะรัฐทูตตามที่อีกฝ่ายแนะนำตัวมานั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะพาโมโกะและเซซิลออกจากบริเวณนี้ในทันที

 

“ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักละกัน ส่วนพวกฉันขอตัวไปกินข้าวกันก่อนล่ะ… ป่ะ พวกเราไปกันเถอะ โมโกะ เซซิล…”

 

“เฮ้ย—เดี๋ยวก่อนสิ!”

 

“นี่พวกแกไม่สนใจอยากจะรู้สักหน่อยหรือไงว่าทำไมพวกฉันถึงเรียกยัยนั่นว่ากาฝากน่ะ ทั้งๆ ที่พวกฉันเห็นว่าพวกแกท่าทางบ้านนอกไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เลยอยากจะบอกให้เอาบุญนะเนี่ย!”

 

“ไม่ล่ะขอบใจ เพราะถ้าเกิดว่ามันเป็นคำพูดจากปากของพวกลูกหลานขุนนางอย่างพวกนายนี่ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่น่ะ”

 

“พูดแบบนี้มันหาเรื่องกันนี่หว่า!!”

 

คำพูดของนากานั้นทำให้ทั้งอากิและริวโตะตวาดขึ้นมาเสียงดังด้วยความไม่พอใจในทันที แต่ว่าก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะได้พุ่งเข้าไปจัดการสั่งสอนนากานั้นน๊อกซ์ที่หลบไปยืนดูอย่างเงียบๆ หลังจากการแนะนำตัวและสังเกตเห็นถึงความสามารถในการป้องกันตัวของนากาในตอนแรกที่เขาโผล่มาก็ได้ก้าวเดินออกมาเบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาซะก่อน

 

“ยัยเซซิลนั่นเป็นถึงผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมทหารยามแล้วก็ยังเป็นผู้ต้องหาที่ทั้งทางเมืองซากิและเมืองยูกิตั้งค่าหัวเอาไว้… ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างพวกนายคิดดีแล้วหรอที่จะคบคนแบบนั้นเป็นเพื่อนน่ะ?”

 

“หา—? เซซิลเนี่ยนะ—!?”

 

“…..”

 

คำพูดของน๊อกซ์นั้นถึงกับทำให้นากาต้องแอบเหลือบกลับไปมองเซซิลอีกครั้งก่อนที่เขาจะพบว่าเซซิลได้หันหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนกับว่าไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่สักนิดเดียว ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องลองหันไปสอบถามกลุ่มคนเบื้องหน้าดูเพิ่มเติมแทน

 

“ที่ว่าเซซิลเป็นที่ต้องการตัวน่ะฉันก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่ที่พวกนายบอกว่าเซซิลไปฆ่าคนมานี่มันหมายความว่ายังไง? ถ้าเกิดว่าเป็นการกล่าวหากันลอยๆ ล่ะก็ฉันไม่ยอมให้มันจบแค่นี้แน่!”

 

“หึ สามัญชนธรรมดาๆ อย่างพวกแกจะไม่รู้ก็คงไม่แปลก แต่ว่าลูกหลานขุนนางอย่างพวกฉันหรือว่าคนอื่นๆ ในโรงเรียนน่ะเขารู้กันหมดแล้วว่ายัยนั่นเป็นผู้ต้องหาในการขโมยสมบัติร่วมของเมืองของพวกเราไป เพราะงั้นถ้าจะให้ฉันแนะนำพวกแกก็ควรจะเลิกไปยุ่งกับยัยนั่นซะจะดีกว่านะ!”

 

“ก็ตามที่อากิพูดมานั่นล่ะ! ที่พวกฉันยอมลดตัวลงมาเตือนพวกแกก็เพราะว่าเป็นห่วงนะเนี่ย เพราะว่าหน้าที่ของขุนนางอย่างพวกฉันก็คือการปกป้องพวกไพร่สามัญชนอย่างพวกแกต่อให้พวกแกจะทำตัวโสโครกน่าขยะแขยงขนาดไหนก็เถอะยังไงล่ะ!!”

 

“…..”

 

เซซิลที่ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองคนเข้าไปนั้นได้แต่กำหมัดแน่นอย่างอดทนอดกลั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้โมโกะต้องรีบยื่นมือของเธอไปจับมือของเซซิลที่กำแน่นเอาไว้พร้อมกับจงใจพูดขึ้นมาให้พวกอากิได้ยิน

 

“เธอไม่ต้องไปสนใจเจ้าพวกนี้หรอกนะเซซิล ลูกขุนนางพวกนี้ก็มีดีแค่พูดขู่แล้วก็กระดิกนิ้วรังแกคนอื่นไปวันๆ นั่นแหล่ะ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เดี๋ยวพวกมันก็หายหัวไปกันหมดเหมือนกับพ่อแม่ของพวกมันนั่นแหล่ะ พวกเราปล่อยเจ้าพวกนี้แล้วไปหาข้าวกินกันเถอะ”

 

“แกว่าไงนะยัยแมวบ้านนอก!! / เมื่อกี้แกว่าไงนะยัยแมวผี!!”

 

“มันก็ตามที่โมโกะเขาว่ามานั่นแหล่ะเซซิล อีกอย่างนึงพวกเราเองก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง เธอไม่ต้องเป็นห่วงว่าพวกฉันจะไปหลงเชื่อคำพูดของเจ้าพวกนั้นหรอกหน่า”

 

“เพื่อน… งั้นหรอ…”

 

เซซิลที่ได้ยินคำพูดของนากาได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจนัก ในขณะที่ทางด้านของน๊อกซ์ที่ได้ยินคำพูดดูถูกของโมโกะเข้าไปก็เริ่มที่รักษามาดใจเย็นของเขาเอาไว้ไม่ไหวบ้างแล้ว

 

“ฉันก็อุตส่าห์หวังดีเพราะเห็นว่าพวกนายคงจะไม่รู้อะไร แต่ว่าถ้าจะมาดูถูกกันขนา—-”

 

ในขณะที่น๊อกกำลังจะพูดจาข่มขู่นากาขึ้นมานั้นเขาก็ได้เหลือบไปเห็นปลายเส้นผมสีเหลืองแซมเขียวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนเนียนแอบอยู่ข้างๆ กระถางต้นไม้ประดับที่อยู่ใกล้ๆ กันมาสักพักหนึ่งแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้น๊อกซ์ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยและรีบขยับตัวถอยห่างจากกระถางต้นไม้อันนั้นในทันที

 

“พูดกันถึงขนาดนั้นแล้วอย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆ นะโว้ย!!”

 

“เดี๋ยวก่อนอากิ!”

 

“หุบปากไปเลยน๊อกซ์! ถ้าฉันไม่ได้สั่งสอนยัยนี่ล่—-”

 

หมับ!

 

“ใครกันอีกวะ—!?”

 

อากิที่ถูกจับแขนเอาไว้นั้นได้ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความหัวเสียและหันไปมองดูผู้ที่เข้ามาขัดขวางการลงมือของเขาเป็นคนที่สองก่อนที่เขาจะสะดุ้งเฮือกไปในทันทีที่พบกับรอยยิ้มฉีกกว้างผิดธรรมชาติของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่กำลังส่งเสียงหัวเราะชวนสยองขึ้นมาอยู่

 

“ฮิฮิฮิ~”

 

“อึ๊ย—!?”

 

“นั่นมันพิเน๊ะนี่นา”

 

“หืม? พิเน๊ะมาหรอนากา?”

 

โมโกะที่ได้ยินชื่อของพิเน๊ะดังขึ้นมานั้นได้ชะโงกหน้าผ่านตัวของนากาที่ยืนบังอยู่เพื่อที่จะมองหาคนรู้จักของเธอในทันที และเธอก็ได้พบว่าพิเน๊ะที่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังจับท่อนแขนของอากิเอาไว้แน่นโดยที่อีกฝ่ายเองก็กำลังพยายามที่จะสะบัดแขนของตัวเองให้หลุดออกจากการจับกุมอยู่แต่ก็ทำไม่สำเร็จสักที

 

“ปล่อยสิยัยผีนี่!”

 

กรึก—

 

“—!?”

 

อากิที่กำลังสะบัดแขนของตัวเองให้หลุดออกจากอุ้งมือของพิเน๊ะนั้นถึงกับสะดุ้งไปด้วยความเจ็บปวดเมื่ออยู่ๆ พิเน๊ะก็ได้เพิ่มแรงบีบของเธอมากขึ้นจนแขนของเขาส่งเสียงดังลั่นขึ้นมาก่อนที่เธอจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาและพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชวนสยอง

 

“ฮิฮิ~ จะรีบไปไหนหรอ~? ไหนเมื่อกี้ใครเป็นคนหันมาพูดด้วยกันก่อนนะ~”

 

“ยัยนี่—”

 

“น—นายรีบเข้าไปช่วยอากิเขาเร็วสิริวโตะ!”

 

“ม—ไม่ไหวล่ะ นายไปเองสิน๊อกซ์”

 

“อ่ะ มาอยู่ตรงนี้เองหรอครับนากา…”

 

ในขณะที่น๊อกและริวโตะกำลังเถียงกันให้อีกฝ่ายเป็นคนเข้าไปช่วยอากิจากอุ้งมือของพิเน๊ะอยู่นั้นก็ได้มีเสียงของคอนแนลพูดถามนากาขึ้นมาเมื่อเขาได้ออกมาเดินตามหาตัวนากาและโมโกะที่หายตัวไปซื้ออาหารเป็นเวลานานจนน่าเป็นห่วง ก่อนที่คอนแนลจะเหลือบไปเห็นอากิ ริวโตะและน๊อกซ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พวกนากาเข้าพอดี

 

“แล้วไหนจะยังมีคุณอากิ คุณริวโตะ กับคุณน๊อกซ์จากห้องหนึ่งอยู่ด้วย นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรือเปล่าครับเนี่ย?”

 

“ว—ว่าไงเจ้าอัศวิน”

 

“อากิ ฉันว่าพวกเราถอยกันก่อนเถอะ พ่อแม่ของนายคงจะไม่อยากให้นายไปมีเรื่องกับพวกอัศวินหลวงสักเท่าไหร่หรอก ต่อให้ตาแว่นนี่จะยังเป็นนักเรียนเหมือนกับพวกเราอยู่ก็เถอะ”

 

ในขณะที่ริวโตได้พูดทักทายคอนแนลไปด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ นั้น ทางด้านน๊อกซ์ก็ได้เดินเข้าไปพูดเตือนอากิที่กำลังพยายามสะบัดแขนของเขาให้หลุดจากอุ้งมือของพิเน๊ะด้วยเสียงเบาๆ จนทำให้อากิต้องรีบพูดตอบกลับเพื่อนของตนไป

 

“ถ้างั้นนายก็มาช่วยฉันแกะมือของยัยนี่ออ—- เฮ้ย!?”

 

อากิที่ถูกพิเน๊ะจับแขนเอาไว้นั้นได้สะบัดแขนของเขาอย่างแรงอีกทีก่อนที่ตัวของเขาจะเซไปตามแรงของตัวเองเนื่องจากว่าพิเน๊ะที่จับแขนของเขาเอาไว้แน่นเมื่อสักครู่นี้ได้หายไปจากข้างกายของเขาและแอบหลบไปอยู่ด้านหลังกระถางต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้ว

 

ซึ่งอากิก็ได้ยกมือขึ้นมาลูบท่อนแขนของตัวเองที่ถูกพิเน๊ะบีบจนแดงก่ำก่อนจะตัดสินใจที่จะรีบออกไปจากโรงอาหารแห่งนี้กันในทันที

 

“อย่าคิดว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้ล่ะเจ้าพวกห้องสาม!!”

 

“ใช่แล้วล่ะ! จำเอาไว้เลยว่าพวกฉันเองนี่ล่ะจะเป็นคนจับยัยกาฝากนั่นกลับไปรับผิดที่เมืองของพวกฉันเอง!!”

 

“…..”

 

อากิและริวโตะที่ยืนหันหลังเข้าหากันเพื่อเก๊กท่าพูดออกมานั้นได้นิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่พวกเขาจะหันไปดูตรงกลางระหว่างพวกเขาที่ควรจะเป็นที่เก๊กท่าพูดเท่ๆ ของน๊อกซ์และพบว่าเพื่อนของพวกเขากำลังจะเดินไปถึงที่หน้าประตูโรงอาหารแล้ว

 

“เดี๋ยวก่อนสิน๊อกซ์! รอพวกฉันด้วยสิ!”

 

“ฮิฮิฮิ~ พวกนั้นตลกดีจังเนอะ!”

 

พิเน๊ะที่มองไล่หลังเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่รีบวิ่งตามน๊อกซ์ไปนั้นได้โผล่มายืนอยู่ข้างกายของโมโกะโดยที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นและส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ จนทำให้ทั้งนากาและโมโกะถึงกับสะดุ้งเฮือกและรีบพูดตอบเธอกลับไป

 

“อ–อื้อ ถ—ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ”

 

“ถ้าเกิดว่าพวกฉันไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายก็คงจะดูตลกอยู่จริงๆ ล่ะมั้ง…”

 

ในขณะที่นากายังคงทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องมาอยู่ใกล้กับพิเน๊ะที่ใครๆ ก็ต่างเรียกเธอว่าสาวสยองหรือไม่ก็ยัยตัวประหลาดโรคจิตนั้น ทางด้านโมโกะที่ได้บังเอิญไปเจอกับพิเน๊ะบ่อยๆ ในตอนที่ออกไปเที่ยวเล่นในป่ากับรีซาน่าในช่วงปิดเทอมกลับดูเหมือนว่าจะเริ่มที่จะชินกับอีกฝ่ายไปบ้างแล้วจึงได้พูดตอบกลับไปแบบสบายๆ และเอ่ยปากขอบคุณเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวคนนี้ไป

 

“ถ้ายังไงก็ขอบใจเธอมากนะพิเน๊ะ ตอนแรกฉันก็แค่กะจะเข้าไปห้ามเฉยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะพุ่งเข้ามาต่อยกันเลยน่ะ ว่าแต่นี่เธอก็มากินข้าวที่โรงอาหารเหมือนกันหรอ?”

 

“อื้อ! มาโรงอาหารก็ต้องกินข้าวสิหรือว่าจะให้มาปลูกผักล่ะ!”

 

“อ่า…ฉันผิดเองที่ถามไปแบบนั้นน่ะ…” .

 

“ฮะฮะ ว่าแต่สรุปว่าเมื่อกี้นี้มีเรื่องกันจริงๆ งั้นสินะครับเนี่ย กับพวกคุณอากิเขาน่ะ?”

 

“ก็นิดหน่อยน่ะ แล้วนี่นายรู้จักกับพวกนั้นด้วยหรอน่ะคอนแนล?”

 

นากาเอ่ยปากถามคอนแนลขึ้นมาด้วยความสงสัยโดยปล่อยให้โมโกะเป็นคนรับมือกับพิเน๊ะไปก่อน ในขณะที่ทางด้านเหล่าเด็กนักเรียนที่แอบมุงดูกันอยู่เองก็เริ่มที่จะสลายตัวกันออกไปเมื่อเห็นว่าเรื่องสนุกๆ หลังอาหารได้จบลงไปแล้ว

 

ส่วนทางด้านเซซิลเองก็อาศัยจังหวะนี้แอบเดินเนียนไปกับฝูงคนเพื่อที่จะไปซื้ออาหารกลางวันของเธอจากร้านอาหารของเมืองซายูกิด้วยเช่นกัน ซึ่งท่าทางสบายใจเฉิบของเซซิลที่เหมือนกับไม่สนใจว่าตัวเธอเองนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุของความวุ่นวานเมื่อครู่นี้ก็ถึงกับทำให้โมโกะได้แต่พูดบ่นไล่หลังเธอไปเบาๆ

 

“อ่าว ยัยเซซิลนี่ก็เล่นเดินไปซื้อของกินหน้าตาเฉยเลยนะ… อย่างน้อยก็น่าจะขอบคุณกันสักหน่อยสิ”

 

“ฮะฮะ เซซิลเขาก็เป็นแบบนั้นนั่นแหล่ะครับ เอาจริงๆ ถึงเธอจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็คงจะรู้สึกขอบคุณทั้งสองคนอยู่นั่นล่ะ แต่ยังไงก็เอาเป็นว่าทั้งสองคนรีบไปซื้อข้าวกันก่อนเถอะครับเพราะถ้าขืนช้าไปกว่านี้เดี๋ยวอาหารจะขายหมดกันซะก่อน ผมจองโต๊ะเอาไว้ให้ทางด้านนู้นแล้ว”

 

“อื้ม นั่นสินะ พิเน๊ะเธอกินอะไรแล้วหรือยัง—- เอ๋?”

 

โมโกะที่ละสายตาไปจากพิเน๊ะเพียงชั่วครู่เพื่อพูดบ่นเซซิลขึ้นมานั้นได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจเมื่อข้างกายของเธอไม่มีเพื่อนสาวผมสีเหลืองแซมเขียวยืนอยู่ด้วยกันแล้วจนทำให้คอนแนลที่มองดูทางด้านโมโกะอยู่เมื่อสักครู่ต้องพูดขึ้นมาให้เธอฟัง

 

“ถ้าพิเน๊ะล่ะก็เมื่อกี้นี้เห็นโบกมือให้โมโกะแล้วก็เดินออกไปข้างนอกแล้วล่ะครับ”

 

“มาไวไปไวแบบไม่ให้ตั้งตัวจริงๆ แฮะรายนี้… แล้วนี่เธอไปสนิทกับพิเน๊ะเขาได้ยังไงล่ะเนี่ยโมโกะ?”

 

“เรื่องนั้นฉันก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันนั่นแหล่ะหน่า… แล้วนี่พวกเราจะกินอะไรกันดีล่ะนากา?”

 

“เอาเป็นร้านนี้เลยก็ได้ล่ะมั้ง พวกเราเล่นมาก่อเรื่องอยู่หน้าร้านเขาตั้งนาน แถมพวกเราเองก็ยังไม่เคยลองกินอาหารจากเมืองซายูกิกันเลยด้วยนี่นา”

 

“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปซื้อข้าวที่ทางด้านนั้นก่อนละกันนะครับ ส่วนโต๊ะที่จองเอาไว้อยู่ทางด้านนู้นนะครับ มีซิลเวสคอยคุมพรีมูล่าเอาไว้อยู่ไม่น่าจะต้องเป็นห่วงอะไรหรอกครับ”

 

คอนแนลที่ได้ยินว่าพวกนากาจะซื้ออาหารของเมืองซายูกิมาลิ้มลองกันนั้นได้พูดบอกพวกเขาออกมาก่อนที่เขาจะเดินไปทางร้านอาหารร้านอื่นแทน ซึ่งทางด้านนากาที่ได้ยินว่าพรีมูล่ามีคนคอยคุมเอาไว้แล้วก็ได้พูดขึ้นมาเหมือนกับไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือว่าเป็นกังวลดีกันแน่

 

“พรีมูล่ากับซิลเวสงั้นหรอ… พวกเรารีบซื้อข้าวแล้วไปคอยคุมพรีมูล่ากันเองเถอะโมโกะ ว่าแต่นี่ยัยตัวแสบซื้ออะไรมากินเป็นข้าวกลางวันกันล่ะเนี่ย…”

 

“เห็นตอนแรกพรีมูล่าบอกว่าเจอซิลเวสอยู่แถวๆ ร้านของแพนเทร่านี่ ถ้างั้นก็คงจะไม่พ้นพวกขนมอบหรือไม่ก็เครปแล้วก็แพนเค้กหรอกล่ะมั้ง”

 

“ให้ตายสิ… ยัยตัวแสบเอ๊ย…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด