Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 17

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 17 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่นากาและเอริซาเบธได้พบกับร่างของสาวใช้ผมสีทองที่พวกเขาต้องมาตามหาตัวกันแล้ว พวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะอยู่รอเอริกะกับเดรคอยู่ในห้องนี้พร้อมกับพยายามมองหาเบาะแสหรือว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาอาจจะใช้มันสืบหาตัวคนร้ายได้ไปด้วยโดยที่ไม่ค่อยจะกล้าแตะต้องอะไรมากนักด้วยความเกรงใจตัวเจ้าของห้องที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจนกระทั่งเอริกะเดินทางมาถึงในเวลาหลังจากนั้นอีกไม่นาน

 

“ไม่นะ…”

 

ในทันทีที่เอริกะเปิดประตูเข้ามาพบกับร่างของสาวใช้ผมสีทองเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนที่เธอเดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงที่ข้างๆ เตียงนอนที่มีร่างของสาวใช้ผมสีทองนอนอยู่และยกมือขึ้นไปลูบใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา

 

“เพราะแบบนี้เธอก็เลยไม่ได้มาหาฉันในวันนี้งั้นสินะ… ยังไงก็หลับให้สบายเถอะนะเจน…”

 

“คุณเอริกะคะ…”

 

“ฉันจะไปเฝ้าข้างนอก…”

 

ในขณะที่เอริซาเบธได้เอ่ยปากเรียกเอริกะขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นั้น ทางด้านเดรคที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนจะปิดประตูห้องนอนลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนทางด้านเอริกะนั้นก็ดูเหมือนว่าจะโศกเศร้าจนลืมเรื่องรอบกายและจับมือของสาวใช้ผมสีทองมากุมเอาไว้ก่อนจะเอาหน้าผากของเธอแนบลงไปกับอุ้งมือที่เย็นเฉียบและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทางรู้สึกผิด

 

“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ฉันน่าจะดึงตัวเธอออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว… ฉันขอโทษนะเจน…”

 

“นี่เอริกะ—”

 

“ชู่วๆ มันใช่เวลามั้ยเนี่ยนากาคุง!”

 

ในขณะที่นากากำลังจะพูดเรียกเอริกะขึ้นมาอยู่นั้น เอริซาเบธที่ยืนอยู่ข้างๆ กันก็ได้ตีไปที่ไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ พร้อมกับพูดต่อว่าออกมา ซึ่งเสียงของเด็กๆ ทั้งสองคนนั้นก็เหมือนว่าจะทำให้เอริกะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวเธอจึงได้ยกมือขึ้นมาปาดหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นมาทิ้งไปและหันกลับไปพูดบอกกับพวกเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะเอริ เอาเป็นว่าพวกเธอหาที่นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องของเจนให้พวกเธอฟังเอง”

 

“อืม…”

 

“ถ้าคุณเอริกะว่างั้นมันก็ได้แหล่ะค่ะ…”

 

นากากับเอริซาเบธพูดรับคำของเอริกะกลับไปเบาๆ ก่อนจะแยกย้ายไปหาที่นั่งในห้องกัน และเมื่อเอริกะเห็นว่าพวกเด็กๆ พร้อมที่จะรับฟังแล้วเธอจึงได้เริ่มต้นเล่าเรื่องของสาวใช้ผมสีทองที่มีชื่อว่า เจน ขึ้นมาให้พวกเขาได้ฟัง

 

“เธอคนนี้ชื่อว่า เจเนต… เป็นหนึ่งในพวกเด็กๆ ที่ฉันรับมาดูแลหลังจากที่ฉันรับพวกเธอเข้ามาได้ไม่นานน่ะเอริ”

 

“เอ๋ะ? นี่สรุปว่าเธอเองก็เคยอยู่กับเอริกะเหมือนกันหรอน่ะเอริ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ! เวลาที่คุณเอริกะเดินทางไปไหนแล้วเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะก็คุณเอริกะก็ไม่เคยปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรหรอกนะ! นอกจากฉันกับเดรคแล้วก็ยังมีคนอื่นๆ อีกตั้งเยอะที่เคยได้คุณเอริกะช่วยเหลือเอาไว้เหมือนกับเธอนั่นแหล่ะนากาคุง”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาได้ยืดอกและส่ายหางจิ้งจอกฟูๆ ของเธอไปมาพร้อมกับพูดยกย่องคุณเอริกะของเธอขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าการที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวจะหาเงินเลี้ยงดูคนตั้งมากมายขนาดนั้นมันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแน่นอน

 

“ยังมีคนอื่นๆ อีกตั้งหลายคนเลยงั้นหรอ…? นี่เธอเป็นใครกันแน่เนี่ยเอริกะ?”

 

“ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่บังเอิญได้คนที่มีความคิดแบบเดียวกันคอยช่วยหนุนหลังเอาไว้แค่นั้นล่ะ…”

 

เอริกะที่ได้ยินคำถามของนากาได้ยิ้มบางๆ พูดตอบเขากลับไปก่อนที่เธอจะพูดเล่าเรื่องของสาวใช้ผมสีทองออกมาต่อ

 

“แต่ว่าเรื่องของฉันนั่นเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน… ตอนนี้พวกเรามาฟังเรื่องของเด็กคนนี้กันต่อดีกว่าเนอะ”

 

“อ่า… นั่นสินะ”

 

“เจเนต… หรือที่เด็กคนนี้ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่า เจน มากกว่า เป็นเด็กกำพร้าที่ฉันรับเข้ามาหลังจากที่ฉันเจอกับพวกเธอได้ไม่นานสักเท่าไหร่น่ะเอริ… เอาจริงๆ แล้วสมัยก่อนพวกเธอเองก็เคยอาศัยอยู่ด้วยกันสักพักนึงเหมือนกันนะ”

 

“เอ๋? แต่ว่าฉันไม่เห็นจะจำได้สักนิดเลยนะคะ”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้เอริซาเบธเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย และเมื่อเอริกะเห็นว่าเอริซาเบธเหมือนจะจำเรื่องของเจนไม่ได้เลยแม้แต่น้อยเธอก็ได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวร่างของสาวใช้เบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

 

“ก็นะ… เพราะว่าร่างกายของเจนเขาค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อยพวกเธอก็เลยมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวก่อนที่ฉันจะต้องส่งเจนเขาไปให้คุณหมอที่ฉันรู้จักคอยช่วยดูแลให้แทนน่ะ”

 

“เพราะงั้นฉันก็เลยจำอะไรเกี่ยวกับเธอคนนี้ไม่ได้เลยสินะคะ… ถ้าเกิดว่าเป็นมีอาล่ะก็อาจจะยังพอจำเธอคนนี้ได้อยู่ล่ะมั้งคะ ส่วนทางด้านเดรคนี่คงจะไม่ต้องพูดถึงเลย…”

 

“อื้ม… ส่วนสาเหตุที่ฉันต้องส่งเจนไปให้เพื่อนของฉันช่วยดูแลให้นี่มันเป็นเพราะเจนเขามีปัญหาในเรื่องของการใช้วิซน่ะ… อย่างนากาคุงที่ใช้วิซไม่ได้เองก็ต้องมีอารอนคอยช่วยตรวจอาการให้อยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยล่ะ”

 

“หะ—? อ๋อ… จะบอกว่าได้อารอนคอยช่วยตรวจให้มันก็ได้ล่ะมั้ง… แต่แบบนี้นี่ก็หมายความว่าเจนเขาก็ใช้วิซไม่ได้เหมือนกันหรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินชื่อของตัวเองดังขึ้นมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เขาก่อนที่เธอจะเล่าออกมาต่อ

 

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ… อย่างนากาคุงเนี่ยน่าจะมีปัญหาเรื่องที่ว่าร่างกายของเธอไม่สามารถปล่อยวิซออกมาได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าปัญหาของเจนเขาน่ะมันเป็นการที่ร่างกายของเธอปลดปล่อยวิซออกมาได้ง่ายเกินไป… ง่ายซะขนาดที่ว่าถ้าเธอเผลอหลุดการควบคุมพลังวิซไปสักนิดเดียวล่ะก็วิซในร่างกายของเธอก็จะไหลทะลักออกมาจนหมดในชั่วพริบตาแล้วก็สลบไปเลยล่ะ”

 

“—!?”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาเบิ่งตาด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าของเจนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความเสียดาย เพราะถึงแม้ว่าปัญหาที่เจนมีจะเปรียบเสมือนกับขั้วตรงกันข้ามกับปัญหาของเขา แต่ว่าพวกเขาทั้งสองคนก็เป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการใช้วิซที่น้อยคนนักจะมีโอกาสเป็นเหมือนๆ กัน

 

ซึ่งท่าทางของนากานั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรเธอจึงได้เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาแล้วจึงพูดเล่าเรื่องของเจนขึ้นมาต่อ

 

“แล้วอยู่มาวันนึงอยู่ๆ ทางวังหลวงก็ได้ส่งคุณเวก้ามาจับตาดูฉัน… ถึงถ้าดูจากฉากหน้าแล้วจะดูเหมือนกับว่าทางวังหลวงแค่เลือกขุนนางระดับล่างแบบส่งๆ มาคอยเฝ้าดูไม่ให้ฉันอู้งานก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาส่งคุณเวก้ามาคอยแอบสืบความลับของฉันต่างหาก”

 

“อ้าว? แต่ทั้งๆ ที่เธอรู้อย่างงั้นแต่ฉันก็เห็นเหมือนกับว่าเธอจะสนิทกับเวก้าเขาดีไม่ใช่หรอน่ะ?”

 

“อื้ม… เพราะว่าฉันดูแล้วเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรมากนักน่ะ เพราะถึงเขาจะรู้ว่าฉันแอบทำนู่นทำนี่ลับหลังทางวังหลวงอยู่บ้างอย่างการรับพวกเด็กๆ อย่างพวกเธอมาดูแลแต่ว่าเขาก็ไม่ได้ต่อว่าหรือว่าเอาเรื่องนี้ไปแจ้งอะไร… แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่ได้คิดจะไว้ใจเขามากนักก็เลยคิดจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบเขาจากภายในดู แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่เจนเป็นคนพูดอาสาขึ้นมาด้วยตัวเอง…”

 

“อ๋อ… ทีนี้เรื่องมันก็เข้าทางคุณเอริกะเลยสินะคะ เพราะว่าเจนเขาก็รู้จักกับคุณเอริกะมาอยู่ก่อนแล้ว เวลาที่เธอมาหาคุณเอริกะบ่อยๆ แบบนั้นมันก็เลยดูไม่ค่อยจะน่าสงสัยสักเท่าไหร่ แบบเหมือนกับว่าแค่เป็นการแวะมาเยี่ยมครอบครัวอะไรแบบนั้น”

 

“ใช่แล้วล่ะ อีกอย่างนึงเจนเขาก็ค่อนข้างจะติดฉันมากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่แล้วด้วย เวลาที่เธอส่งจดหมายมาหาฉันบ่อยๆ คุณเวก้าเขาก็เลยไม่สงสัยอะไรน่ะ เพราะขนาดก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถูกส่งไปจัดการธุระที่เมืองอื่นให้กับคุณเวก้าตั้งเกือบครึ่งปีเธอก็ยังหาทางส่งจดหมายมาหาฉันได้แทบจะทุกวันไม่เคยขาดเลยล่ะ… เพราะงั้นที่เมื่อเช้านี้เธอเงียบหายไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอบอกว่ามีธุระสำคัญที่จะต้องมาคุยกับฉันให้ได้ ฉันก็เลยเป็นห่วงจนต้องรีบส่งพวกเธอมาหาตัวนี่ล่ะ…”

 

“แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่สินะ…”

 

“อื้ม…”

 

เอริกะพยักหน้ารับคำของนากาสั้นๆ และลูบหัวของเจนอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหยิบเอาหลอดยาหลอดหนึ่งออกมาและจับมือของเจนมากุมมันเอาไว้แล้วจึงวางมือของเธอกลับไปที่เดิม

 

“อาการของเจนน่ะไม่ใช่โรคหรือว่าอาการเจ็บป่วยทั่วๆ ไปหรอกนะ เพราะงั้นยาของเธอมันถึงได้หายากมาก ยากถึงขั้นที่ว่าถ้าพวกเธอไม่ได้มีเส้นสายอยู่ในวังหลวงหรือว่ารู้จักกับหมอเก่งๆ เหมือนกับฉันล่ะก็พวกเธอก็คงจะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของมันเลยล่ะ แล้วยิ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยาหลอดเก่าของเธอใกล้จะหมดแล้วแบบนี้ฉันก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก…”

 

“แล้วถ้าเกิดว่าอาการของเจนน่าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมเธอถึงไม่รั้งตัวเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ? ฉันเห็นเธอพูดเหมือนกับว่าพวกเธอเพิ่งจะไปเจอกันมาเมื่อวานนี้เองนี่?”

 

“ฮะฮะ ก็นั่นสินะ…”

 

เอริกะหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของนากาก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองดูหน้าของเจนอีกครั้งหนึ่งและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

 

“ถ้าเกิดว่าตอนนั้นฉันใจแข็งกว่านั้นอีกสักนิดแล้วก็รั้งตัวเธอเอาไว้ไม่ให้กลับไปมันก็คงจะดีกว่าจริงๆ นั่นล่ะ… ทั้งๆ ที่ฉันเองก็มั่นใจว่ายาของเธอมันน่าจะใกล้หมดแล้วแท้ๆ แบบนั้นแต่ทำไมฉันถึงยังปล่อยเธอให้คลาดสายตาไปอีกกันนะ…”

 

“นากาคุงทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมากันล่ะ…!”

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่เห็นคุณเอริกะของเธอมีท่าทีเศร้าหมองก็ได้ดึงตัวนากาเข้าไปต่อว่าเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบเข้าไปพูดปลอบใจเอริกะออกมาจนทำให้ทางด้านนากาเองก็ต้องรีบเอ่ยปากพูดขอโทษออกมาเช่นเดียวกัน

 

“ไม่เป็นไรนะคะคุณเอริกะ คุณเอริกะไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนะคะ!”

 

“อ–อ่า… ขอโทษทีนะเอริกะ ฉันแค่สงสัยเฉยๆ น่ะ เธออย่าโทษตัวเองไปเลยนะ”

 

“อื้อ… ขอบใจมากนะจ๊ะทั้งสองคน… ถ้างั้นตอนนี้พวกเรามาลองตรวจดูสาเหตุก่อนก็แล้วกันนะว่าเจนเขาไปโดนอะไรมากันแน่น่ะ”

 

เอริกะที่เห็นพวกเด็กๆ พยายามพูดปลอบใจเธอขึ้นมาได้เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาร่างของเจนและปลดกระดุมชุดสาวใช้ของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็วจนทำให้นากาถึงกับสะดุ้งและรีบหันไปมองทางอื่นแทน

 

“ท—ทำอะไรของเธอน่ะเอริกะ”

 

“ก็ชันสูตรศพไง… อื้ม… ที่ตรงนี้มีรอยแผลไหม้ๆ แดงๆ เหมือนกับโดนไฟลวกอยู่หน่อยนึงงั้นหรอ…”

 

“แผลไฟลวกหรอคะ? ที่ร่างของหัวหน้าอัศวินที่ฉันเจออยู่ข้างในห้องพักก็มีแผลเหมือนกับโดนไฟเผาอย่างรุนแรงอยู่เหมือนกันนะคะ”

 

“หัวหน้าอัศวิน…? คุณเดเมี่ยนที่เป็นคนสนิทของคุณเวก้าคนนั้นน่ะหรอ?”

 

“ค่ะ แต่ว่าแผลของเขาค่อนข้างจะรุนแรงกว่านี้มากเลยล่ะค่ะ”

 

เอริซาเบธพูดรายงานให้คุณเอริกะของเธอฟังอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งทางด้านเอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานเอริซาเบธขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันฝากเธอพาเดรคไปยกร่างของเขามาให้ฉันตรวจดูหน่อยสิ แล้วระหว่างนั้นฝากเธอจุดตะเกียงส่วนที่เหลืออยู่ให้หมดด้วยล่ะ จะได้ปลอดภัยๆ สักหน่อย”

 

“ค่า~”

 

เอริซาเบธพูดรับคำสั่งของเอริกะเสียงใสแล้วจึงเปิดประตูออกไปสะกิดเรียกเดรคที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องแล้วจึงพากันเดินหายไปตามโถงทางเดิน และเมื่อนากาที่ว่างงานอยู่ได้เห็นแบบนั้นเขาก็ได้หันไปพูดถามเอริกะขึ้นมาบ้าง

 

“แล้วเธอจะเอายังไงต่อดีล่ะเอริกะ?”

 

“อื้ม นั่นสินะ… เจนเองก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนซะด้วยสิ… จะมีก็แค่คนรู้จักเก่าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแพนเทร่ากับฉันที่เธอนับว่าเป็นพี่สาวล่ะมั้ง… จะว่าไปพวกเธอได้เจอร่างของเวก้าเขาแล้วหรือยังน่ะ?”

 

“ไม่นะ ที่พวกฉันเจอมีแค่พวกอัศวินกับสาวใช้เท่านั้นเองนะ”

 

“งั้นหรอ… แต่อย่างคุณเวก้าเขาถ้าไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานก็น่าจะเป็นห้องนอนล่ะมั้ง เอาเป็นว่าพวกเราลองไปตามหาตัวเขาดูกันก่อนเถอะ”

 

เอริกะพูดพึมพำออกมาก่อนที่เธอจะเอ่ยปากชวนนากาและเดินตรงไปเปิดประตูห้องของเจนออกจนทำให้นากาที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบร้องถามขึ้นมา

 

“เดี๋ยวก่อนสิ แล้วเธอจะทำยังไงกับร่างของเจนเขาต่อล่ะ ปล่อยเอาไว้แบบนี้มันจะดีหรอ?”

 

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ ยังไงซะเธอก็คงจะลุกไปไหนเองไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวเอาไว้จบเรื่องแล้วฉันจะส่งคนเข้ามาจัดการให้ถูกต้องเอง”

 

“อ–อ่า นั่นสินะ…”

 

นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตามหลังเธอไปตามโถงทางเดินชั้นสองของตัวคฤหาสน์ที่ถูกเอริซาเบธจุดไฟจนส่องสว่างไปแล้วอย่างเงียบๆ

 

แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินไปได้เพียงแค่ชั่วครู่เดียว เอริกะที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้หยุดเท้าลงที่หน้าประตูห้องที่อยู่ข้างๆ ห้องของเจนและเอียงคอหันไปมาด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

“ถ้าจำไม่ผิดจากที่เจนเขาเคยบอกเอาไว้นี่ ห้องนอนของคุณเวก้าเขาก็น่าจะเป็นห้องนี้ล่ะมั้งนะ…”

 

“หา? ข้างๆ ห้องนอนของสาวใช้เนี่ยนะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็ไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาและครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะผลักประตูห้องให้เปิดออกและก้าวเท้าเข้าไปภายใน

 

“ไม่น่าจะผิดห้องล่ะมั้งเนี่ย”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังแปลกใจที่ความคิดของเธอถูกต้องอยู่นั้น ทางด้านนากาที่ได้เห็นว่าสภาพภายในห้องนอนของเวก้าดูไม่ค่อยจะต่างไปจากห้องนอนของเจนที่เป็นหัวหน้าสาวใช้มากนักก็ได้กวาดตามองไปทั่วห้องก่อนจะพูดบอกเอริกะที่กำลังเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมา

 

“จะบอกว่าห้องนี้มันดูเรียบเกินไปหรือว่าห้องของเจนเขาดูหรูเกินไปดีล่ะเนี่ย…”

 

“อื้ม… นั่นสินะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับมาแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักก่อนที่เธอจะเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือออกและหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสมุดไดอารี่ของเวก้าขึ้นมาลองเปิดอ่านดูจนทำให้นากาที่หันไปเห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมา

 

“เธอไปอ่านหนังสือของคนอื่นแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนเขาว่าเอาหรอกนะเอริกะ”

 

“แหม่ ถ้าเขาออกมาว่าฉันก็ดีสิ พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาตัวเขาไง”

 

“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะ”

 

คำตอบของเอริกะที่กำลังยืนอ่านหนังสือไดอารี่ของเวก้าอยู่ได้ทำให้นากาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะที่กำลังพลิกหน้ากระดาษอยู่อย่างรวดเร็วจะส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“หื้ม…”

 

“อะไรหรอเอริกะ? เธอเจออะไรเข้าหรือไงน่ะ?”

 

“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ล่ะมั้ง… แต่เดี๋ยวพวกเราลองเดินไปดูที่ห้องทำงานของคุณเวก้าเขากันก่อนเถอะ แล้วระหว่างนั้นเธอลองเอาเจ้านี่ไปอ่านดูสินากาคุง”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับยื่นไดอารี่ของเวก้าในมือของเธอไปให้กับนากาและเดินนำเขาไปตามโถงทางเดินชั้นสองของคฤหาสน์โดยมีนากาเดินอ่านสมุดไดอารี่ของเวก้าตามหลังเธอไปด้วย

 

ซึ่งภายในสมุดไดอารี่ของเวก้านั้นก็ดูเหมือนกับไดอารี่ธรรมดาๆ ที่ถูกเขียนเรื่องที่เจ้าของของมันได้ทำในแต่ละวันลงไป

 

“หน้านี้เขียนเกี่ยวกับเรื่องงานที่สั่งหัวหน้าอัศวินเดเมี่ยนเอาไว้… หน้าถัดมามีเขียนเอาไว้ว่าพาแมรี่ออกไปกินข้าว ส่วนอีกหน้าเขียนเอาไว้ว่าไปปิกนิกกับเจนแล้วก็พวกคนอื่นๆ ในคฤหาสน์… มันก็แค่ไดอารี่ปกติไม่ใช่หรอเอริกะ?”

 

“มันก็ใช่ แต่เธอลองอ่านหน้าสุดท้ายนั่นดูก่อนสิ”

 

“หน้าสุดท้ายงั้นหรอ… ‘ในที่สุดวันนี้ก็ได้ของมาแล้ว หลังจากนี้แมรี่ก็จะได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดสักที ถึงมันเสี่ยงมากในวันที่พายุเข้าแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าผมก็สัญญากับเจนเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องสำเร็จ เสร็จแล้วพวกเราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขจริงๆ สักที’ หมายถึงอะไรกันล่ะเนี่ย…”

 

นากาที่อ่านออกเสียงขึ้นมานั้นได้เลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ถูกระบุเอาไว้ในหน้ากระดาษเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองวันที่ที่ถูกระบุเอาไว้ด้านบนหน้ากระดาษด้วยความสนใจ

 

“เมื่อวานนี้งั้นหรอ… นี่อย่าบอกนะว่า ‘ของ’ ที่เขาเขียนเอาไว้นี่หมายถึงขวดโหลที่หายไปจากบ้านของเธอนั่นน่ะ?”

 

“ก็ไม่รู้สิ เขาอาจจะหมายถึงของอย่างอื่นก็ได้ล่ะมั้ง เพราะงั้นฉันถึงอยากจะลองไปหาหลักฐานอะไรที่ห้องออฟฟิศของเขาก่อนจะด่วนตัดสินใจอะไรน่ะ”

 

เอริกะหันกลับมาพูดตอบนากาแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่อยู่ในส่วนด้านหลังคฤหาสน์ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามนากาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ว่าแต่พวกเธอเห็นสมุดจด ไดอารี่ หรือว่าอะไรพวกนั้นในห้องของเจนเขาบ้างหรือเปล่าน่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนเจนเขาชอบเขียนไดอารี่หรือว่าอะไรพวกนั้นมากเลยนะ”

 

“เอ๋ะ? พวกฉันไม่เห็นอะไรแบบนั้นเลยนะ เอาจริงๆ พวกฉันไม่กล้าเตะต้องอะไรสักเท่าไหร่ก็เลยอยู่กันเฉยๆ จนกว่าเธอจะมาถึงนั่นล่ะ…”

 

“งั้นหรอ…”

 

เอริกะพยักหน้าตอบนากากลับไปสั้นๆ และล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์เหมือนกับว่ากำลังเตรียมพร้อมอาวุธอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะผลักบานประตูเบื้องหน้าให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

 

แต่ว่าพวกเขาก็ไม่พบเข้ากับเวก้าหรือว่าร่างของขุนนางหนุ่มตามที่คาดเอาไว้ จะมีก็เพียงแค่เสียงของผ้าม่านที่ถูกพัดจนโบกสะบัดด้วยสายลมที่ลอดผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้เข้ามา กับเก้าอี้ที่ดูเหมือนว่าจะถูกผลักจนล้มและเอกสารจำนวนมากที่มีรอยไหม้แหว่งรวมถึงเปียกน้ำฝนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องที่เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงแห้งกรังกองเล็กๆ เท่านั้น

 

“เอิ่ม…”

 

“เอาล่ะ… ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก็เถอะ แต่ก็คงจะต้องยอมรับว่าผิดจากที่คาดเอาไว้พอสมควรเลยล่ะ”

 

เอริกะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนากาได้พูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับคลายท่าทีระมัดระวังของเธอลงแล้วจึงค่อยๆ เดินลัดเลาะไปที่โต๊ะทำงานของเวก้าโดยพยายามที่จะระวังไม่ให้เผลอเหยียบแผ่นเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงดึงมันกลับมาปิดให้เรียบร้อยและหันกลับมาตีหน้าเข้มพูดสันนิษฐานให้นากาได้ฟัง

 

“จากที่ดูแล้วคนร้ายก็คงจะหลบหนีออกไปผ่านทางหน้าต่างบานนี้นี่ล่ะ… ซะที่ไหนกันล่ะ เอาจริงๆ แล้วเขาก็คงจะหนีออกไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้นนั่นล่ะ เพราะมันไม่มีประตูบานไหนล็อกเอาไว้เลยนี่นะ”

 

“แต่ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วทำไมหน้าต่างนี่ถึงเปิดอยู่ล่ะ? คือฝนมันก็ตกหนักตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดไม่ได้มีใครเปิดหน้าต่างกระโดดหนีออกไปมันก็ไม่น่าจะมีใครเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้จนฝนสาดเข้ามาให้เอกสารเสียหายเล่นหรอกมั้ง… แล้วไหนจะยังมีกองเลือดนี่อีก…”

 

“อื้ม… ถ้าดูจากที่เลือดมันแห้งขนาดนี้แล้วเรื่องมันน่าจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปและหยิบเอาเอกสารบางส่วนที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้องขึ้นมาลองอ่านดูก่อนที่เธอจะเกาหัวตัวเองเล็กน้อยและคว้าเอาเอกสารอีกแผ่นขึ้นมาเปรียบเทียบกันเหมือนกับว่ากำลังพยายามมองดูอยู่ว่าอันไหนคือเอกสารแผ่นหน้าหรือว่าแผ่นหลังกันแน่จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดอาสาขึ้นมา

 

“ให้ฉันช่วยเก็บเอกสารให้มั้ยเอริกะ?”

 

“ก็ดีจ้ะ ถ้างั้นฝากเธอเก็บเอกสารมากองรวมๆ กันให้หน่อยฉันหน่อยก็ละกันนะนากาคุง”

 

เมื่อเอริกะได้ยินนากาพูดอาสาตัวขึ้นมาเองแบบนั้นเธอก็ไม่เกรงใจและใช้แขนเสื้อกาวน์ของเธอปาดหยดน้ำฝนที่เปื้อนอยู่เต็มโต๊ะออกและคว้าเอาเอกสารจำนวนหนึ่งขึ้นมาโยนกองเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะดึงเก้าอี้ที่ล้มอยู่ขึ้นมาตั้งและนั่งลงไปอ่านเอกสารของเวก้าอย่างสบายใจเฉิบราวกับว่าอยู่ในห้องออฟฟิศของตัวเองก็ไม่ปาน

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งจนนากาจัดเก็บเอกสารได้เกือบจะครบแล้วนั้นเองเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของพวกเขาก็ได้ส่งเสียงสัญญาณออกมาก่อนที่จะมีเสียงของเอริซาเบธดังออกมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“คุณเอริกะคะ ฉันกับเดรคจุดไฟจนทั่วทั้งคฤหาสน์เสร็จแล้วค่ะ”

 

“อื้อ ได้ยินแล้วล่ะ แล้วพวกเธอสองคนเจอใครเหลือรอดอยู่บ้างหรือเปล่าน่ะ”

 

“อ่ะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบเอริซาเบธกลับไปอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้สังเกตเห็นว่าเอริกะเพิ่งจะโยนเอกสารแผ่นที่เธออ่านเสร็จแล้วลงพื้นไปแบบส่งๆ จนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาจัดเก็บเอกสารนานกว่าที่คาดเอาไว้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้พูดต่อว่าอะไรออกมา เอริซาเบธที่อยู่ปลายสายการสื่อสารก็ได้พูดตอบเอริกะขึ้นมาเสียก่อนจนทำให้นากาพลาดโอกาสต่อว่านักประดิษฐ์สาวไป

 

“ไม่มีวี่แววเลยค่ะ ทั้งฉันทั้งเดรคเดินไปจนน่าจะทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วแต่ก็เจอแค่ร่างของอัศวินอีกสองสามคนแถวๆ ห้องเก็บของน่ะค่ะ”

 

“อีกสองสามคนงั้นหรอ… นี่ถ้ารวมกับที่ฉันไปเจอมากับเอริก่อนหน้านี้เข้าไปด้วยนี่มันก็น่าจะสักสิบกว่าคนได้แล้วมั้งน่ะ กับแค่การที่คฤหาสน์ตั้งอยู่นอกเมืองนี่มันจะต้องใช้อัศวินคุ้มกันเยอะขนาดนั้นเลยหรือไง”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธผ่านเครื่องมือสื่อสารด้วยเช่นกันได้พูดบ่นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่ถูกไฟไหม้จนเหลืออยู่เพียงแค่เสี้ยวเดียวที่เธอสังเกตเห็นมันมาสักพักหนึ่งแล้วขึ้นมาโบกให้นากาดู

 

“จุ๊ๆ ไม่ว่าคุณเวก้าเขาจะใช้อัศวินพวกนั้นไปทำอะไร แต่เธอเชื่อเถอะว่าเขาได้รับอนุญาตแล้วแน่ๆ ล่ะ~”

 

“เธอหมายความว่ายังไงน่ะเอริกะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้หันไปมองเธอด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะได้พบเข้ากับเสี้ยวหนึ่งของแผ่นเอกสารที่ถูกไฟไหม้จนแหว่งไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเหลือร่องรอยของตราประทับสีน้ำเงินเข้มและลายเซ็นของใครบางคนที่อยู่บนนั้น

 

“ก็มันมีอยู่แค่ไม่กี่ที่หรอกนะที่จะเขาจะใช้ตราประทับสีน้ำเงินเข้มแบบนี้กันน่ะนากาคุง แถมแต่ละที่ที่ใช้น้ำหมึกโทนสีน้ำเงินแบบนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ซะด้วยสิ”

 

“คุณเอริกะเจอเอกสารจากทางวังหลวงหรอคะ?”

 

เสียงพูดถามของเอริซาเบธนั้นพอจะทำให้นากาเข้าใจได้ว่าเอกสารที่มีตราประทับสีน้ำเงินเข้มในมือของเอริกะน่าจะถูกส่งออกมาจากที่ไหน แต่ว่าด้วยความที่เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับสถานที่อย่างวังหลวงมาก่อนนั้นมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถามขึ้นมา

 

“ของปลอมหรือเปล่าน่ะเอริกะ พวกคนในวังเขาจะใช้หมึกสีน้ำเงินฉูดฉาดอย่างงั้นกันจริงหรอ… ฉันนึกว่าเวลาพวกคนข้างในวังเขาคิดจะทำอะไรกันก็คงจะไม่อยากให้ใครเขารู้ซะอีกนะนั่น”

 

คำถามของนากานั้นได้ทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะผุดรอยยิ้มซุกซนออกมาและทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่าก่อนที่จะได้มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากของเอริกะ เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาด้วยเช่นกันก็ได้ชิงพูดตอบคำถามของเด็กหนุ่มขึ้นมาเสียก่อน

 

“แหม่~ ก็ปกติแล้วเอกสารพวกนั้นมันไม่ใช่อะไรที่คนทั่วๆ ไปเขาจะได้เห็นกันไง พวกชาวบ้านทั่วๆ ไปเขาไม่มีโอกาสได้เห็นเอกสารอะไรพวกนั้นโดยไม่โดนพวกอัศวินหลวงตามไปควักลูกตาไปลอยน้ำเล่นหรอกนะ~”

 

“หะ—!?”

 

คำพูดของเอริซาเบธที่ดังตอบออกมาจากเครื่องมือสื่อสารนั้นได้ทำให้นากาชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่เอริกะจะพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่านากาเข้าใจผิดไปแบบนั้น

 

“เอริเขาก็แค่พูดเล่นเหมือนกับทุกทีนั่นแหล่ะนากาคุง กรณีที่แย่ที่สุดก็น่าจะแค่โดนจับไปขังลืมเฉยๆ นั่นแหล่ะ ไม่ถึงขั้นโดนควักลูกตาหรอก”

 

“มันก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลยไม่ใช่หรือไง!?”

 

“น่าๆ แต่ว่ามันก็อย่างที่เอริเขาบอกนั่นแหล่ะ ว่าปกติแล้วพวกชาวบ้านทั่วๆ ไปเขาไม่มีโอกาสได้เห็นจดหมายหรือเอกสารพวกนี้กันสักเท่าไหร่น่ะ เพราะงั้นพวกเขาก็เลยทำให้มันแยกที่มากับลำดับความสำคัญของเอกสารได้สะดวกๆ โดยดูจากสีของน้ำหมึกหรือไม่ก็รูปแบบของลวดลายที่ประดับอะไรจำพวกนั้นไง”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนที่เธอจะคว้าเอาเอกสารอีกแผ่นหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงขึ้นมาส่งให้นากาดูพร้อมกับพูดอธิบายออกมาด้วย

 

“เนี่ย อย่างถ้าเกิดว่าเป็นเอกสารที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงแบบนี้ขอแค่เธอเหลือบตาไปเห็นก็จะบอกได้แล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันถูกส่งออกมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพวกแพทย์พยาบาลที่ขึ้นตรงกับทางวังหลวงน่ะ แล้วอีกอย่างนึง น้ำหมึกพวกนี้ก็เป็นน้ำหมึกพิเศษที่ทางวังหลวงเก็บวิธีการสร้างมันเอาไว้เป็นความลับด้วยเพราะงั้นก็หมดห่วงเรื่องการปลอมแปลงเอกสารไปได้เลย~”

 

“หืม… เอกสารเกี่ยวกับการขอเบิกอุปกรณ์ทางการแพทย์งั้นหรอ… นี่เวก้าเขาขอเบิกของพวกนี้มาทำอะไรกันล่ะเนี่ย”

 

นากาที่เห็นว่าเอกสารที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงนั้นก็คือเอกสารอนุมัติการขอเบิกอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากได้เกาหัวพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับยักไหล่กลับมาให้เขาและพูดตอบกลับมาแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

“ก็ไม่รู้สิ… นี่เอริ เธอได้บอกให้เดรคเขาเอาร่างของอัศวินคนที่เธอตรวจไปแล้วนั่นขึ้นไปบนห้องของเจนเขาด้วยหรือเปล่าน่ะ?”

 

“อ๋อ… ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ฉันให้เดรคเขาเอาร่างของอัศวินอีกคนนึงที่ใส่ชุดเกราะหนากว่าอัศวินคนนั้นขึ้นมาแทนน่ะค่ะจะได้ตรวจสอบดูง่ายๆ หน่อย”

 

“อื้ม ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะส่งนากาคุงกลับไปหาพวกเธอก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพอฉันตรวจสอบเอกสารพวกนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไป”

 

“รับทราบแล้วค่ะ ถ้ายังไงคุณเอริกะก็ระวังตัวด้วยนะคะ”

 

“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้างั้นเดี๋ยวนากาคุงกลับไปหาพวกเอริที่ห้องของเจนก่อนเลยก็แล้วกันนะ”

 

“อ่า… ถ้ายังไงเธอเองก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ร้องดังๆ เลยล่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะรีบมาช่วยเอง”

 

นากาที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะได้พยักหน้าพูดตอบเธอกลับไปพร้อมกับพูดเตือนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง จนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับทำหน้ายี้และโบกมือไล่เขาออกไป

 

“นี่ตกลงว่าใครเป็นหัวหน้ากันแน่เนี่ย รีบไปได้แล้วไป ชิ่วๆ”

 

“ฮะฮะ ก็พวกฉันเป็นห่วงเธอนี่นา ถ้างั้นฉันไปก่อนก็แล้วกันนะ”

 

นากาหัวเราะแห้งๆ ตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกจากห้องออฟฟิศแล้วจึงเดินตรงย้อนกลับไปตามโถงทางเดินเดิมที่เอริกะเดินนำเขามาอย่างเงียบๆ เพื่อตรงกลับไปสู่ห้องนอนของเจนที่อยู่ในส่วนด้านหน้าของคฤหาสน์อีกครั้งหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 17

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 17 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่นากาและเอริซาเบธได้พบกับร่างของสาวใช้ผมสีทองที่พวกเขาต้องมาตามหาตัวกันแล้ว พวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะอยู่รอเอริกะกับเดรคอยู่ในห้องนี้พร้อมกับพยายามมองหาเบาะแสหรือว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาอาจจะใช้มันสืบหาตัวคนร้ายได้ไปด้วยโดยที่ไม่ค่อยจะกล้าแตะต้องอะไรมากนักด้วยความเกรงใจตัวเจ้าของห้องที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจนกระทั่งเอริกะเดินทางมาถึงในเวลาหลังจากนั้นอีกไม่นาน

 

“ไม่นะ…”

 

ในทันทีที่เอริกะเปิดประตูเข้ามาพบกับร่างของสาวใช้ผมสีทองเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนที่เธอเดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงที่ข้างๆ เตียงนอนที่มีร่างของสาวใช้ผมสีทองนอนอยู่และยกมือขึ้นไปลูบใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา

 

“เพราะแบบนี้เธอก็เลยไม่ได้มาหาฉันในวันนี้งั้นสินะ… ยังไงก็หลับให้สบายเถอะนะเจน…”

 

“คุณเอริกะคะ…”

 

“ฉันจะไปเฝ้าข้างนอก…”

 

ในขณะที่เอริซาเบธได้เอ่ยปากเรียกเอริกะขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นั้น ทางด้านเดรคที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนจะปิดประตูห้องนอนลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนทางด้านเอริกะนั้นก็ดูเหมือนว่าจะโศกเศร้าจนลืมเรื่องรอบกายและจับมือของสาวใช้ผมสีทองมากุมเอาไว้ก่อนจะเอาหน้าผากของเธอแนบลงไปกับอุ้งมือที่เย็นเฉียบและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทางรู้สึกผิด

 

“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ฉันน่าจะดึงตัวเธอออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว… ฉันขอโทษนะเจน…”

 

“นี่เอริกะ—”

 

“ชู่วๆ มันใช่เวลามั้ยเนี่ยนากาคุง!”

 

ในขณะที่นากากำลังจะพูดเรียกเอริกะขึ้นมาอยู่นั้น เอริซาเบธที่ยืนอยู่ข้างๆ กันก็ได้ตีไปที่ไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ พร้อมกับพูดต่อว่าออกมา ซึ่งเสียงของเด็กๆ ทั้งสองคนนั้นก็เหมือนว่าจะทำให้เอริกะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวเธอจึงได้ยกมือขึ้นมาปาดหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นมาทิ้งไปและหันกลับไปพูดบอกกับพวกเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะเอริ เอาเป็นว่าพวกเธอหาที่นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องของเจนให้พวกเธอฟังเอง”

 

“อืม…”

 

“ถ้าคุณเอริกะว่างั้นมันก็ได้แหล่ะค่ะ…”

 

นากากับเอริซาเบธพูดรับคำของเอริกะกลับไปเบาๆ ก่อนจะแยกย้ายไปหาที่นั่งในห้องกัน และเมื่อเอริกะเห็นว่าพวกเด็กๆ พร้อมที่จะรับฟังแล้วเธอจึงได้เริ่มต้นเล่าเรื่องของสาวใช้ผมสีทองที่มีชื่อว่า เจน ขึ้นมาให้พวกเขาได้ฟัง

 

“เธอคนนี้ชื่อว่า เจเนต… เป็นหนึ่งในพวกเด็กๆ ที่ฉันรับมาดูแลหลังจากที่ฉันรับพวกเธอเข้ามาได้ไม่นานน่ะเอริ”

 

“เอ๋ะ? นี่สรุปว่าเธอเองก็เคยอยู่กับเอริกะเหมือนกันหรอน่ะเอริ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ! เวลาที่คุณเอริกะเดินทางไปไหนแล้วเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือล่ะก็คุณเอริกะก็ไม่เคยปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรหรอกนะ! นอกจากฉันกับเดรคแล้วก็ยังมีคนอื่นๆ อีกตั้งเยอะที่เคยได้คุณเอริกะช่วยเหลือเอาไว้เหมือนกับเธอนั่นแหล่ะนากาคุง”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาได้ยืดอกและส่ายหางจิ้งจอกฟูๆ ของเธอไปมาพร้อมกับพูดยกย่องคุณเอริกะของเธอขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าการที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวจะหาเงินเลี้ยงดูคนตั้งมากมายขนาดนั้นมันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแน่นอน

 

“ยังมีคนอื่นๆ อีกตั้งหลายคนเลยงั้นหรอ…? นี่เธอเป็นใครกันแน่เนี่ยเอริกะ?”

 

“ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่บังเอิญได้คนที่มีความคิดแบบเดียวกันคอยช่วยหนุนหลังเอาไว้แค่นั้นล่ะ…”

 

เอริกะที่ได้ยินคำถามของนากาได้ยิ้มบางๆ พูดตอบเขากลับไปก่อนที่เธอจะพูดเล่าเรื่องของสาวใช้ผมสีทองออกมาต่อ

 

“แต่ว่าเรื่องของฉันนั่นเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน… ตอนนี้พวกเรามาฟังเรื่องของเด็กคนนี้กันต่อดีกว่าเนอะ”

 

“อ่า… นั่นสินะ”

 

“เจเนต… หรือที่เด็กคนนี้ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่า เจน มากกว่า เป็นเด็กกำพร้าที่ฉันรับเข้ามาหลังจากที่ฉันเจอกับพวกเธอได้ไม่นานสักเท่าไหร่น่ะเอริ… เอาจริงๆ แล้วสมัยก่อนพวกเธอเองก็เคยอาศัยอยู่ด้วยกันสักพักนึงเหมือนกันนะ”

 

“เอ๋? แต่ว่าฉันไม่เห็นจะจำได้สักนิดเลยนะคะ”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้เอริซาเบธเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย และเมื่อเอริกะเห็นว่าเอริซาเบธเหมือนจะจำเรื่องของเจนไม่ได้เลยแม้แต่น้อยเธอก็ได้ยกมือขึ้นไปลูบหัวร่างของสาวใช้เบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

 

“ก็นะ… เพราะว่าร่างกายของเจนเขาค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อยพวกเธอก็เลยมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวก่อนที่ฉันจะต้องส่งเจนเขาไปให้คุณหมอที่ฉันรู้จักคอยช่วยดูแลให้แทนน่ะ”

 

“เพราะงั้นฉันก็เลยจำอะไรเกี่ยวกับเธอคนนี้ไม่ได้เลยสินะคะ… ถ้าเกิดว่าเป็นมีอาล่ะก็อาจจะยังพอจำเธอคนนี้ได้อยู่ล่ะมั้งคะ ส่วนทางด้านเดรคนี่คงจะไม่ต้องพูดถึงเลย…”

 

“อื้ม… ส่วนสาเหตุที่ฉันต้องส่งเจนไปให้เพื่อนของฉันช่วยดูแลให้นี่มันเป็นเพราะเจนเขามีปัญหาในเรื่องของการใช้วิซน่ะ… อย่างนากาคุงที่ใช้วิซไม่ได้เองก็ต้องมีอารอนคอยช่วยตรวจอาการให้อยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยล่ะ”

 

“หะ—? อ๋อ… จะบอกว่าได้อารอนคอยช่วยตรวจให้มันก็ได้ล่ะมั้ง… แต่แบบนี้นี่ก็หมายความว่าเจนเขาก็ใช้วิซไม่ได้เหมือนกันหรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินชื่อของตัวเองดังขึ้นมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เขาก่อนที่เธอจะเล่าออกมาต่อ

 

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ… อย่างนากาคุงเนี่ยน่าจะมีปัญหาเรื่องที่ว่าร่างกายของเธอไม่สามารถปล่อยวิซออกมาได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าปัญหาของเจนเขาน่ะมันเป็นการที่ร่างกายของเธอปลดปล่อยวิซออกมาได้ง่ายเกินไป… ง่ายซะขนาดที่ว่าถ้าเธอเผลอหลุดการควบคุมพลังวิซไปสักนิดเดียวล่ะก็วิซในร่างกายของเธอก็จะไหลทะลักออกมาจนหมดในชั่วพริบตาแล้วก็สลบไปเลยล่ะ”

 

“—!?”

 

คำตอบของเอริกะได้ทำให้นากาเบิ่งตาด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าของเจนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความเสียดาย เพราะถึงแม้ว่าปัญหาที่เจนมีจะเปรียบเสมือนกับขั้วตรงกันข้ามกับปัญหาของเขา แต่ว่าพวกเขาทั้งสองคนก็เป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการใช้วิซที่น้อยคนนักจะมีโอกาสเป็นเหมือนๆ กัน

 

ซึ่งท่าทางของนากานั้นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรเธอจึงได้เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมาแล้วจึงพูดเล่าเรื่องของเจนขึ้นมาต่อ

 

“แล้วอยู่มาวันนึงอยู่ๆ ทางวังหลวงก็ได้ส่งคุณเวก้ามาจับตาดูฉัน… ถึงถ้าดูจากฉากหน้าแล้วจะดูเหมือนกับว่าทางวังหลวงแค่เลือกขุนนางระดับล่างแบบส่งๆ มาคอยเฝ้าดูไม่ให้ฉันอู้งานก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาส่งคุณเวก้ามาคอยแอบสืบความลับของฉันต่างหาก”

 

“อ้าว? แต่ทั้งๆ ที่เธอรู้อย่างงั้นแต่ฉันก็เห็นเหมือนกับว่าเธอจะสนิทกับเวก้าเขาดีไม่ใช่หรอน่ะ?”

 

“อื้ม… เพราะว่าฉันดูแล้วเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรมากนักน่ะ เพราะถึงเขาจะรู้ว่าฉันแอบทำนู่นทำนี่ลับหลังทางวังหลวงอยู่บ้างอย่างการรับพวกเด็กๆ อย่างพวกเธอมาดูแลแต่ว่าเขาก็ไม่ได้ต่อว่าหรือว่าเอาเรื่องนี้ไปแจ้งอะไร… แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่ได้คิดจะไว้ใจเขามากนักก็เลยคิดจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบเขาจากภายในดู แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่เจนเป็นคนพูดอาสาขึ้นมาด้วยตัวเอง…”

 

“อ๋อ… ทีนี้เรื่องมันก็เข้าทางคุณเอริกะเลยสินะคะ เพราะว่าเจนเขาก็รู้จักกับคุณเอริกะมาอยู่ก่อนแล้ว เวลาที่เธอมาหาคุณเอริกะบ่อยๆ แบบนั้นมันก็เลยดูไม่ค่อยจะน่าสงสัยสักเท่าไหร่ แบบเหมือนกับว่าแค่เป็นการแวะมาเยี่ยมครอบครัวอะไรแบบนั้น”

 

“ใช่แล้วล่ะ อีกอย่างนึงเจนเขาก็ค่อนข้างจะติดฉันมากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ อยู่แล้วด้วย เวลาที่เธอส่งจดหมายมาหาฉันบ่อยๆ คุณเวก้าเขาก็เลยไม่สงสัยอะไรน่ะ เพราะขนาดก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถูกส่งไปจัดการธุระที่เมืองอื่นให้กับคุณเวก้าตั้งเกือบครึ่งปีเธอก็ยังหาทางส่งจดหมายมาหาฉันได้แทบจะทุกวันไม่เคยขาดเลยล่ะ… เพราะงั้นที่เมื่อเช้านี้เธอเงียบหายไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอบอกว่ามีธุระสำคัญที่จะต้องมาคุยกับฉันให้ได้ ฉันก็เลยเป็นห่วงจนต้องรีบส่งพวกเธอมาหาตัวนี่ล่ะ…”

 

“แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่สินะ…”

 

“อื้ม…”

 

เอริกะพยักหน้ารับคำของนากาสั้นๆ และลูบหัวของเจนอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหยิบเอาหลอดยาหลอดหนึ่งออกมาและจับมือของเจนมากุมมันเอาไว้แล้วจึงวางมือของเธอกลับไปที่เดิม

 

“อาการของเจนน่ะไม่ใช่โรคหรือว่าอาการเจ็บป่วยทั่วๆ ไปหรอกนะ เพราะงั้นยาของเธอมันถึงได้หายากมาก ยากถึงขั้นที่ว่าถ้าพวกเธอไม่ได้มีเส้นสายอยู่ในวังหลวงหรือว่ารู้จักกับหมอเก่งๆ เหมือนกับฉันล่ะก็พวกเธอก็คงจะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของมันเลยล่ะ แล้วยิ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยาหลอดเก่าของเธอใกล้จะหมดแล้วแบบนี้ฉันก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก…”

 

“แล้วถ้าเกิดว่าอาการของเจนน่าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมเธอถึงไม่รั้งตัวเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ? ฉันเห็นเธอพูดเหมือนกับว่าพวกเธอเพิ่งจะไปเจอกันมาเมื่อวานนี้เองนี่?”

 

“ฮะฮะ ก็นั่นสินะ…”

 

เอริกะหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของนากาก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองดูหน้าของเจนอีกครั้งหนึ่งและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

 

“ถ้าเกิดว่าตอนนั้นฉันใจแข็งกว่านั้นอีกสักนิดแล้วก็รั้งตัวเธอเอาไว้ไม่ให้กลับไปมันก็คงจะดีกว่าจริงๆ นั่นล่ะ… ทั้งๆ ที่ฉันเองก็มั่นใจว่ายาของเธอมันน่าจะใกล้หมดแล้วแท้ๆ แบบนั้นแต่ทำไมฉันถึงยังปล่อยเธอให้คลาดสายตาไปอีกกันนะ…”

 

“นากาคุงทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมากันล่ะ…!”

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธที่เห็นคุณเอริกะของเธอมีท่าทีเศร้าหมองก็ได้ดึงตัวนากาเข้าไปต่อว่าเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบเข้าไปพูดปลอบใจเอริกะออกมาจนทำให้ทางด้านนากาเองก็ต้องรีบเอ่ยปากพูดขอโทษออกมาเช่นเดียวกัน

 

“ไม่เป็นไรนะคะคุณเอริกะ คุณเอริกะไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนะคะ!”

 

“อ–อ่า… ขอโทษทีนะเอริกะ ฉันแค่สงสัยเฉยๆ น่ะ เธออย่าโทษตัวเองไปเลยนะ”

 

“อื้อ… ขอบใจมากนะจ๊ะทั้งสองคน… ถ้างั้นตอนนี้พวกเรามาลองตรวจดูสาเหตุก่อนก็แล้วกันนะว่าเจนเขาไปโดนอะไรมากันแน่น่ะ”

 

เอริกะที่เห็นพวกเด็กๆ พยายามพูดปลอบใจเธอขึ้นมาได้เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาร่างของเจนและปลดกระดุมชุดสาวใช้ของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็วจนทำให้นากาถึงกับสะดุ้งและรีบหันไปมองทางอื่นแทน

 

“ท—ทำอะไรของเธอน่ะเอริกะ”

 

“ก็ชันสูตรศพไง… อื้ม… ที่ตรงนี้มีรอยแผลไหม้ๆ แดงๆ เหมือนกับโดนไฟลวกอยู่หน่อยนึงงั้นหรอ…”

 

“แผลไฟลวกหรอคะ? ที่ร่างของหัวหน้าอัศวินที่ฉันเจออยู่ข้างในห้องพักก็มีแผลเหมือนกับโดนไฟเผาอย่างรุนแรงอยู่เหมือนกันนะคะ”

 

“หัวหน้าอัศวิน…? คุณเดเมี่ยนที่เป็นคนสนิทของคุณเวก้าคนนั้นน่ะหรอ?”

 

“ค่ะ แต่ว่าแผลของเขาค่อนข้างจะรุนแรงกว่านี้มากเลยล่ะค่ะ”

 

เอริซาเบธพูดรายงานให้คุณเอริกะของเธอฟังอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งทางด้านเอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดสั่งงานเอริซาเบธขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันฝากเธอพาเดรคไปยกร่างของเขามาให้ฉันตรวจดูหน่อยสิ แล้วระหว่างนั้นฝากเธอจุดตะเกียงส่วนที่เหลืออยู่ให้หมดด้วยล่ะ จะได้ปลอดภัยๆ สักหน่อย”

 

“ค่า~”

 

เอริซาเบธพูดรับคำสั่งของเอริกะเสียงใสแล้วจึงเปิดประตูออกไปสะกิดเรียกเดรคที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องแล้วจึงพากันเดินหายไปตามโถงทางเดิน และเมื่อนากาที่ว่างงานอยู่ได้เห็นแบบนั้นเขาก็ได้หันไปพูดถามเอริกะขึ้นมาบ้าง

 

“แล้วเธอจะเอายังไงต่อดีล่ะเอริกะ?”

 

“อื้ม นั่นสินะ… เจนเองก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนซะด้วยสิ… จะมีก็แค่คนรู้จักเก่าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแพนเทร่ากับฉันที่เธอนับว่าเป็นพี่สาวล่ะมั้ง… จะว่าไปพวกเธอได้เจอร่างของเวก้าเขาแล้วหรือยังน่ะ?”

 

“ไม่นะ ที่พวกฉันเจอมีแค่พวกอัศวินกับสาวใช้เท่านั้นเองนะ”

 

“งั้นหรอ… แต่อย่างคุณเวก้าเขาถ้าไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานก็น่าจะเป็นห้องนอนล่ะมั้ง เอาเป็นว่าพวกเราลองไปตามหาตัวเขาดูกันก่อนเถอะ”

 

เอริกะพูดพึมพำออกมาก่อนที่เธอจะเอ่ยปากชวนนากาและเดินตรงไปเปิดประตูห้องของเจนออกจนทำให้นากาที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบร้องถามขึ้นมา

 

“เดี๋ยวก่อนสิ แล้วเธอจะทำยังไงกับร่างของเจนเขาต่อล่ะ ปล่อยเอาไว้แบบนี้มันจะดีหรอ?”

 

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ ยังไงซะเธอก็คงจะลุกไปไหนเองไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวเอาไว้จบเรื่องแล้วฉันจะส่งคนเข้ามาจัดการให้ถูกต้องเอง”

 

“อ–อ่า นั่นสินะ…”

 

นากาพยักหน้าตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตามหลังเธอไปตามโถงทางเดินชั้นสองของตัวคฤหาสน์ที่ถูกเอริซาเบธจุดไฟจนส่องสว่างไปแล้วอย่างเงียบๆ

 

แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินไปได้เพียงแค่ชั่วครู่เดียว เอริกะที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้หยุดเท้าลงที่หน้าประตูห้องที่อยู่ข้างๆ ห้องของเจนและเอียงคอหันไปมาด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

“ถ้าจำไม่ผิดจากที่เจนเขาเคยบอกเอาไว้นี่ ห้องนอนของคุณเวก้าเขาก็น่าจะเป็นห้องนี้ล่ะมั้งนะ…”

 

“หา? ข้างๆ ห้องนอนของสาวใช้เนี่ยนะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็ไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาและครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะผลักประตูห้องให้เปิดออกและก้าวเท้าเข้าไปภายใน

 

“ไม่น่าจะผิดห้องล่ะมั้งเนี่ย”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังแปลกใจที่ความคิดของเธอถูกต้องอยู่นั้น ทางด้านนากาที่ได้เห็นว่าสภาพภายในห้องนอนของเวก้าดูไม่ค่อยจะต่างไปจากห้องนอนของเจนที่เป็นหัวหน้าสาวใช้มากนักก็ได้กวาดตามองไปทั่วห้องก่อนจะพูดบอกเอริกะที่กำลังเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมา

 

“จะบอกว่าห้องนี้มันดูเรียบเกินไปหรือว่าห้องของเจนเขาดูหรูเกินไปดีล่ะเนี่ย…”

 

“อื้ม… นั่นสินะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับมาแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักก่อนที่เธอจะเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือออกและหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสมุดไดอารี่ของเวก้าขึ้นมาลองเปิดอ่านดูจนทำให้นากาที่หันไปเห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นมา

 

“เธอไปอ่านหนังสือของคนอื่นแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนเขาว่าเอาหรอกนะเอริกะ”

 

“แหม่ ถ้าเขาออกมาว่าฉันก็ดีสิ พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาตัวเขาไง”

 

“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะ”

 

คำตอบของเอริกะที่กำลังยืนอ่านหนังสือไดอารี่ของเวก้าอยู่ได้ทำให้นากาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองเอริกะที่กำลังพลิกหน้ากระดาษอยู่อย่างรวดเร็วจะส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“หื้ม…”

 

“อะไรหรอเอริกะ? เธอเจออะไรเข้าหรือไงน่ะ?”

 

“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ล่ะมั้ง… แต่เดี๋ยวพวกเราลองเดินไปดูที่ห้องทำงานของคุณเวก้าเขากันก่อนเถอะ แล้วระหว่างนั้นเธอลองเอาเจ้านี่ไปอ่านดูสินากาคุง”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับยื่นไดอารี่ของเวก้าในมือของเธอไปให้กับนากาและเดินนำเขาไปตามโถงทางเดินชั้นสองของคฤหาสน์โดยมีนากาเดินอ่านสมุดไดอารี่ของเวก้าตามหลังเธอไปด้วย

 

ซึ่งภายในสมุดไดอารี่ของเวก้านั้นก็ดูเหมือนกับไดอารี่ธรรมดาๆ ที่ถูกเขียนเรื่องที่เจ้าของของมันได้ทำในแต่ละวันลงไป

 

“หน้านี้เขียนเกี่ยวกับเรื่องงานที่สั่งหัวหน้าอัศวินเดเมี่ยนเอาไว้… หน้าถัดมามีเขียนเอาไว้ว่าพาแมรี่ออกไปกินข้าว ส่วนอีกหน้าเขียนเอาไว้ว่าไปปิกนิกกับเจนแล้วก็พวกคนอื่นๆ ในคฤหาสน์… มันก็แค่ไดอารี่ปกติไม่ใช่หรอเอริกะ?”

 

“มันก็ใช่ แต่เธอลองอ่านหน้าสุดท้ายนั่นดูก่อนสิ”

 

“หน้าสุดท้ายงั้นหรอ… ‘ในที่สุดวันนี้ก็ได้ของมาแล้ว หลังจากนี้แมรี่ก็จะได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดสักที ถึงมันเสี่ยงมากในวันที่พายุเข้าแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าผมก็สัญญากับเจนเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องสำเร็จ เสร็จแล้วพวกเราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขจริงๆ สักที’ หมายถึงอะไรกันล่ะเนี่ย…”

 

นากาที่อ่านออกเสียงขึ้นมานั้นได้เลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ถูกระบุเอาไว้ในหน้ากระดาษเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองวันที่ที่ถูกระบุเอาไว้ด้านบนหน้ากระดาษด้วยความสนใจ

 

“เมื่อวานนี้งั้นหรอ… นี่อย่าบอกนะว่า ‘ของ’ ที่เขาเขียนเอาไว้นี่หมายถึงขวดโหลที่หายไปจากบ้านของเธอนั่นน่ะ?”

 

“ก็ไม่รู้สิ เขาอาจจะหมายถึงของอย่างอื่นก็ได้ล่ะมั้ง เพราะงั้นฉันถึงอยากจะลองไปหาหลักฐานอะไรที่ห้องออฟฟิศของเขาก่อนจะด่วนตัดสินใจอะไรน่ะ”

 

เอริกะหันกลับมาพูดตอบนากาแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่อยู่ในส่วนด้านหลังคฤหาสน์ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามนากาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ว่าแต่พวกเธอเห็นสมุดจด ไดอารี่ หรือว่าอะไรพวกนั้นในห้องของเจนเขาบ้างหรือเปล่าน่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนเจนเขาชอบเขียนไดอารี่หรือว่าอะไรพวกนั้นมากเลยนะ”

 

“เอ๋ะ? พวกฉันไม่เห็นอะไรแบบนั้นเลยนะ เอาจริงๆ พวกฉันไม่กล้าเตะต้องอะไรสักเท่าไหร่ก็เลยอยู่กันเฉยๆ จนกว่าเธอจะมาถึงนั่นล่ะ…”

 

“งั้นหรอ…”

 

เอริกะพยักหน้าตอบนากากลับไปสั้นๆ และล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์เหมือนกับว่ากำลังเตรียมพร้อมอาวุธอะไรบางอย่างก่อนที่เธอจะผลักบานประตูเบื้องหน้าให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

 

แต่ว่าพวกเขาก็ไม่พบเข้ากับเวก้าหรือว่าร่างของขุนนางหนุ่มตามที่คาดเอาไว้ จะมีก็เพียงแค่เสียงของผ้าม่านที่ถูกพัดจนโบกสะบัดด้วยสายลมที่ลอดผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้เข้ามา กับเก้าอี้ที่ดูเหมือนว่าจะถูกผลักจนล้มและเอกสารจำนวนมากที่มีรอยไหม้แหว่งรวมถึงเปียกน้ำฝนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องที่เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงแห้งกรังกองเล็กๆ เท่านั้น

 

“เอิ่ม…”

 

“เอาล่ะ… ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก็เถอะ แต่ก็คงจะต้องยอมรับว่าผิดจากที่คาดเอาไว้พอสมควรเลยล่ะ”

 

เอริกะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนากาได้พูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับคลายท่าทีระมัดระวังของเธอลงแล้วจึงค่อยๆ เดินลัดเลาะไปที่โต๊ะทำงานของเวก้าโดยพยายามที่จะระวังไม่ให้เผลอเหยียบแผ่นเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นห้องก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงดึงมันกลับมาปิดให้เรียบร้อยและหันกลับมาตีหน้าเข้มพูดสันนิษฐานให้นากาได้ฟัง

 

“จากที่ดูแล้วคนร้ายก็คงจะหลบหนีออกไปผ่านทางหน้าต่างบานนี้นี่ล่ะ… ซะที่ไหนกันล่ะ เอาจริงๆ แล้วเขาก็คงจะหนีออกไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้นนั่นล่ะ เพราะมันไม่มีประตูบานไหนล็อกเอาไว้เลยนี่นะ”

 

“แต่ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วทำไมหน้าต่างนี่ถึงเปิดอยู่ล่ะ? คือฝนมันก็ตกหนักตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดไม่ได้มีใครเปิดหน้าต่างกระโดดหนีออกไปมันก็ไม่น่าจะมีใครเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้จนฝนสาดเข้ามาให้เอกสารเสียหายเล่นหรอกมั้ง… แล้วไหนจะยังมีกองเลือดนี่อีก…”

 

“อื้ม… ถ้าดูจากที่เลือดมันแห้งขนาดนี้แล้วเรื่องมันน่าจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะ”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปและหยิบเอาเอกสารบางส่วนที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้องขึ้นมาลองอ่านดูก่อนที่เธอจะเกาหัวตัวเองเล็กน้อยและคว้าเอาเอกสารอีกแผ่นขึ้นมาเปรียบเทียบกันเหมือนกับว่ากำลังพยายามมองดูอยู่ว่าอันไหนคือเอกสารแผ่นหน้าหรือว่าแผ่นหลังกันแน่จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดอาสาขึ้นมา

 

“ให้ฉันช่วยเก็บเอกสารให้มั้ยเอริกะ?”

 

“ก็ดีจ้ะ ถ้างั้นฝากเธอเก็บเอกสารมากองรวมๆ กันให้หน่อยฉันหน่อยก็ละกันนะนากาคุง”

 

เมื่อเอริกะได้ยินนากาพูดอาสาตัวขึ้นมาเองแบบนั้นเธอก็ไม่เกรงใจและใช้แขนเสื้อกาวน์ของเธอปาดหยดน้ำฝนที่เปื้อนอยู่เต็มโต๊ะออกและคว้าเอาเอกสารจำนวนหนึ่งขึ้นมาโยนกองเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะดึงเก้าอี้ที่ล้มอยู่ขึ้นมาตั้งและนั่งลงไปอ่านเอกสารของเวก้าอย่างสบายใจเฉิบราวกับว่าอยู่ในห้องออฟฟิศของตัวเองก็ไม่ปาน

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งจนนากาจัดเก็บเอกสารได้เกือบจะครบแล้วนั้นเองเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของพวกเขาก็ได้ส่งเสียงสัญญาณออกมาก่อนที่จะมีเสียงของเอริซาเบธดังออกมาให้พวกเขาได้ยิน

 

“คุณเอริกะคะ ฉันกับเดรคจุดไฟจนทั่วทั้งคฤหาสน์เสร็จแล้วค่ะ”

 

“อื้อ ได้ยินแล้วล่ะ แล้วพวกเธอสองคนเจอใครเหลือรอดอยู่บ้างหรือเปล่าน่ะ”

 

“อ่ะ—”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบเอริซาเบธกลับไปอยู่นั้น ทางด้านนากาก็ได้สังเกตเห็นว่าเอริกะเพิ่งจะโยนเอกสารแผ่นที่เธออ่านเสร็จแล้วลงพื้นไปแบบส่งๆ จนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาจัดเก็บเอกสารนานกว่าที่คาดเอาไว้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้พูดต่อว่าอะไรออกมา เอริซาเบธที่อยู่ปลายสายการสื่อสารก็ได้พูดตอบเอริกะขึ้นมาเสียก่อนจนทำให้นากาพลาดโอกาสต่อว่านักประดิษฐ์สาวไป

 

“ไม่มีวี่แววเลยค่ะ ทั้งฉันทั้งเดรคเดินไปจนน่าจะทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วแต่ก็เจอแค่ร่างของอัศวินอีกสองสามคนแถวๆ ห้องเก็บของน่ะค่ะ”

 

“อีกสองสามคนงั้นหรอ… นี่ถ้ารวมกับที่ฉันไปเจอมากับเอริก่อนหน้านี้เข้าไปด้วยนี่มันก็น่าจะสักสิบกว่าคนได้แล้วมั้งน่ะ กับแค่การที่คฤหาสน์ตั้งอยู่นอกเมืองนี่มันจะต้องใช้อัศวินคุ้มกันเยอะขนาดนั้นเลยหรือไง”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธผ่านเครื่องมือสื่อสารด้วยเช่นกันได้พูดบ่นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่ถูกไฟไหม้จนเหลืออยู่เพียงแค่เสี้ยวเดียวที่เธอสังเกตเห็นมันมาสักพักหนึ่งแล้วขึ้นมาโบกให้นากาดู

 

“จุ๊ๆ ไม่ว่าคุณเวก้าเขาจะใช้อัศวินพวกนั้นไปทำอะไร แต่เธอเชื่อเถอะว่าเขาได้รับอนุญาตแล้วแน่ๆ ล่ะ~”

 

“เธอหมายความว่ายังไงน่ะเอริกะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้หันไปมองเธอด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะได้พบเข้ากับเสี้ยวหนึ่งของแผ่นเอกสารที่ถูกไฟไหม้จนแหว่งไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเหลือร่องรอยของตราประทับสีน้ำเงินเข้มและลายเซ็นของใครบางคนที่อยู่บนนั้น

 

“ก็มันมีอยู่แค่ไม่กี่ที่หรอกนะที่จะเขาจะใช้ตราประทับสีน้ำเงินเข้มแบบนี้กันน่ะนากาคุง แถมแต่ละที่ที่ใช้น้ำหมึกโทนสีน้ำเงินแบบนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ซะด้วยสิ”

 

“คุณเอริกะเจอเอกสารจากทางวังหลวงหรอคะ?”

 

เสียงพูดถามของเอริซาเบธนั้นพอจะทำให้นากาเข้าใจได้ว่าเอกสารที่มีตราประทับสีน้ำเงินเข้มในมือของเอริกะน่าจะถูกส่งออกมาจากที่ไหน แต่ว่าด้วยความที่เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับสถานที่อย่างวังหลวงมาก่อนนั้นมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถามขึ้นมา

 

“ของปลอมหรือเปล่าน่ะเอริกะ พวกคนในวังเขาจะใช้หมึกสีน้ำเงินฉูดฉาดอย่างงั้นกันจริงหรอ… ฉันนึกว่าเวลาพวกคนข้างในวังเขาคิดจะทำอะไรกันก็คงจะไม่อยากให้ใครเขารู้ซะอีกนะนั่น”

 

คำถามของนากานั้นได้ทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะผุดรอยยิ้มซุกซนออกมาและทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่าก่อนที่จะได้มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากของเอริกะ เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาด้วยเช่นกันก็ได้ชิงพูดตอบคำถามของเด็กหนุ่มขึ้นมาเสียก่อน

 

“แหม่~ ก็ปกติแล้วเอกสารพวกนั้นมันไม่ใช่อะไรที่คนทั่วๆ ไปเขาจะได้เห็นกันไง พวกชาวบ้านทั่วๆ ไปเขาไม่มีโอกาสได้เห็นเอกสารอะไรพวกนั้นโดยไม่โดนพวกอัศวินหลวงตามไปควักลูกตาไปลอยน้ำเล่นหรอกนะ~”

 

“หะ—!?”

 

คำพูดของเอริซาเบธที่ดังตอบออกมาจากเครื่องมือสื่อสารนั้นได้ทำให้นากาชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่เอริกะจะพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่านากาเข้าใจผิดไปแบบนั้น

 

“เอริเขาก็แค่พูดเล่นเหมือนกับทุกทีนั่นแหล่ะนากาคุง กรณีที่แย่ที่สุดก็น่าจะแค่โดนจับไปขังลืมเฉยๆ นั่นแหล่ะ ไม่ถึงขั้นโดนควักลูกตาหรอก”

 

“มันก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลยไม่ใช่หรือไง!?”

 

“น่าๆ แต่ว่ามันก็อย่างที่เอริเขาบอกนั่นแหล่ะ ว่าปกติแล้วพวกชาวบ้านทั่วๆ ไปเขาไม่มีโอกาสได้เห็นจดหมายหรือเอกสารพวกนี้กันสักเท่าไหร่น่ะ เพราะงั้นพวกเขาก็เลยทำให้มันแยกที่มากับลำดับความสำคัญของเอกสารได้สะดวกๆ โดยดูจากสีของน้ำหมึกหรือไม่ก็รูปแบบของลวดลายที่ประดับอะไรจำพวกนั้นไง”

 

เอริกะพูดตอบนากากลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนที่เธอจะคว้าเอาเอกสารอีกแผ่นหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงขึ้นมาส่งให้นากาดูพร้อมกับพูดอธิบายออกมาด้วย

 

“เนี่ย อย่างถ้าเกิดว่าเป็นเอกสารที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงแบบนี้ขอแค่เธอเหลือบตาไปเห็นก็จะบอกได้แล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันถูกส่งออกมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพวกแพทย์พยาบาลที่ขึ้นตรงกับทางวังหลวงน่ะ แล้วอีกอย่างนึง น้ำหมึกพวกนี้ก็เป็นน้ำหมึกพิเศษที่ทางวังหลวงเก็บวิธีการสร้างมันเอาไว้เป็นความลับด้วยเพราะงั้นก็หมดห่วงเรื่องการปลอมแปลงเอกสารไปได้เลย~”

 

“หืม… เอกสารเกี่ยวกับการขอเบิกอุปกรณ์ทางการแพทย์งั้นหรอ… นี่เวก้าเขาขอเบิกของพวกนี้มาทำอะไรกันล่ะเนี่ย”

 

นากาที่เห็นว่าเอกสารที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงนั้นก็คือเอกสารอนุมัติการขอเบิกอุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมากได้เกาหัวพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ว่าทางด้านเอริกะก็กลับยักไหล่กลับมาให้เขาและพูดตอบกลับมาแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

“ก็ไม่รู้สิ… นี่เอริ เธอได้บอกให้เดรคเขาเอาร่างของอัศวินคนที่เธอตรวจไปแล้วนั่นขึ้นไปบนห้องของเจนเขาด้วยหรือเปล่าน่ะ?”

 

“อ๋อ… ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ฉันให้เดรคเขาเอาร่างของอัศวินอีกคนนึงที่ใส่ชุดเกราะหนากว่าอัศวินคนนั้นขึ้นมาแทนน่ะค่ะจะได้ตรวจสอบดูง่ายๆ หน่อย”

 

“อื้ม ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะส่งนากาคุงกลับไปหาพวกเธอก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวพอฉันตรวจสอบเอกสารพวกนี้เสร็จแล้วจะรีบตามไป”

 

“รับทราบแล้วค่ะ ถ้ายังไงคุณเอริกะก็ระวังตัวด้วยนะคะ”

 

“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้างั้นเดี๋ยวนากาคุงกลับไปหาพวกเอริที่ห้องของเจนก่อนเลยก็แล้วกันนะ”

 

“อ่า… ถ้ายังไงเธอเองก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ร้องดังๆ เลยล่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะรีบมาช่วยเอง”

 

นากาที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะได้พยักหน้าพูดตอบเธอกลับไปพร้อมกับพูดเตือนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง จนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับทำหน้ายี้และโบกมือไล่เขาออกไป

 

“นี่ตกลงว่าใครเป็นหัวหน้ากันแน่เนี่ย รีบไปได้แล้วไป ชิ่วๆ”

 

“ฮะฮะ ก็พวกฉันเป็นห่วงเธอนี่นา ถ้างั้นฉันไปก่อนก็แล้วกันนะ”

 

นากาหัวเราะแห้งๆ ตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกจากห้องออฟฟิศแล้วจึงเดินตรงย้อนกลับไปตามโถงทางเดินเดิมที่เอริกะเดินนำเขามาอย่างเงียบๆ เพื่อตรงกลับไปสู่ห้องนอนของเจนที่อยู่ในส่วนด้านหน้าของคฤหาสน์อีกครั้งหนึ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+