Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 132 : Bilateral Animosity

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 132 : Bilateral Animosity at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่อลิซใช้เวลาส่วนมากของคาบโฮมรูมไปกับการพยายามปลอบซิลเวสจนเด็กสาวกลับมาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เธอจึงได้เดินตรงไปที่หน้ากระดานดำเพื่อเรียกความสนใจจากเหล่าเด็กนักเรียนในห้องก่อนจะเริ่มต้นพูดขึ้นมา
 

“ก็อย่างที่พวกเธอน่าจะได้เห็นกันแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้คร่าชีวิตเพื่อนร่วมห้องของพวกเราไปหนึ่งคน… แต่ว่านั่นก็ยังไม่ใช่ข่าวร้ายข่าวเดียวที่ฉันจะต้องมาแจ้งให้พวกเธอทราบ…”

 

คำพูดของอลิซได้ดึงความสนใจของเด็กนักเรียนบางส่วนที่กำลังนั่งซึมมาได้ และนั่นก็ทำให้เธอไม่รีรอที่จะพูดขึ้นมาต่อในทันที

 

“นอกจากการจากไปอย่างกะทันหันของพรีมูล่าแล้ว อาจารย์อารอนที่ฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อำนวยการเพื่อออกไปช่วยเหลือหมู่บ้านที่เขาเคยไปเปิดคลินิกเอาไว้จากการโจมตีของกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายเองก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย… และที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือว่าการโจมตีที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่หมู่บ้านที่อาจารย์อารอนมุ่งหน้าไปเพียงแค่ที่เดียวด้วย”

 

อลิซพูดขึ้นมาพลางเขียนรายชื่อของหมู่บ้านต่างๆ ที่ถูกโจมตีลงไปบนแผนที่ทวีปที่เธอขีดขึ้นมาคร่าวๆ ซึ่งกว่าเธอจะเขียนลงไปเสร็จนั้นบนกระดานดำก็แทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่อีกต่อไป เพราะว่าถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วการโจมตีมันเกิดขึ้นเทียบจะทั่วทั้งทวีปพร้อมๆ กันโดยมีเพียงแค่ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้นที่ไม่ถูกโจมตีด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่อาจทราบได้

 

“ถ้าเกิดว่าพวกเธอมาจากหมู่บ้านพวกนี้หรือว่ามีคนรู้จักอยู่ข้างในหมู่บ้านพวกนี้ล่ะก็ หลังจากนี้ก็ขอให้รีบหาทางติดต่อหาครอบครัวหรือว่าคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ว่านั่นด้วย… มีใครมีคำถามอะไรหรือเปล่า?”

 

“ผ—ผมครับ!! มันเกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านในรายชื่อพวกนั้นหรอครับ!?”
“หนูด้วยค่ะอาจารย์อลิซ! แล้วหมู่บ้านที่ไม่ได้มีอยู่ในรายชื่อนี่ยังปลอดภัยดีใช่มั้ยคะ!?”
“ค–ครอบครัวของผมอยู่ที่หมู่บ้านนั้นด้วย พวกเขายังปลอดภัยกันอยู่หรือเปล่าครับ!?”

 

“ค่อยๆ ถามกันทีละคนสิ ฉันไม่หนีไปไหนจนกว่าจะหมดคาบอยู่แล้วล่ะน่า… แต่ขอตอบของนายคนนั้นก่อนเลยก็แล้วกันว่าฉันไม่รู้ ถ้ายังไงก็ลองหาทางติดต่อดูเองก่อนก็แล้วกัน แล้วถ้าติดต่อไม่ได้ยังไงจริงๆ ก็ลองไปขอให้อาจารย์เอริซาเบธเขาช่วยดู… เอ้าคนต่อไปถามมา…”

 

เสียงร้องแย่งกันพูดสอบถามของเหล่าเด็กนักเรียนถึงกับทำให้อลิซต้องรีบพูดห้ามปรามออกมาก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามของเด็กนักเรียนคนหนึ่งขึ้นมาก่อนแล้วจึงสอดส่ายสายตาไปหาเด็กนักเรียนคนอื่นต่อไป

 

และหลังจากที่อลิซใช้เวลาพูดตอบคำถามของเหล่าเด็กนักเรียนจนใกล้ได้เวลาหมดคาบเรียนแล้วอยู่ๆ ซิลเวสที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ได้ยกมือขึ้นเพื่อขออนุญาตสอบถามขึ้นมาบ้าง

 

“อาจารย์อลิซคะ…”

 

“ว่าไงซิลเวส…?”

 

“ค… คือถ้าเกิดว่าหนูอยากจะขอเข้าร่วมกลุ่มดอว์นของประธานนักเรียนด้วย… จะได้หรือเปล่าคะ…?”

 

“กลุ่มดอว์นของไดเอน่างั้นหรอ…? ฉันขอถามก่อนจะได้หรือเปล่าล่ะว่าทำไมเธอถึงสนใจอยากจะเข้าร่วมกลุ่มกับไดเอน่าเขาน่ะ?”

 

อลิซที่ได้ยินคำถามของซิลเวสได้ยกมือขึ้นมากอดอกจ้องมองเด็กสาวผมสีฟ้าด้วยแววตาจริงจังพร้อมกับพูดถามอีกฝ่ายกลับไป ซึ่งทางด้านซิลเวสก็ได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามของอลิซขึ้นมา

 

“หนูไม่อยาก… จะให้เพื่อนๆ ของหนูต้องมาเป็นแบบพริมจังเขาอีกแล้วน่ะค่ะ…”

 

“ต่อให้นั่นมันจะหมายความว่าเธอจะต้องแบกรับความเสี่ยงไปแทนคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันอาจจะสูญเปล่าและไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์อะไรดีขึ้นเลยน่ะหรอ…?”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าจะมีประโยชน์กว่าการที่หนูจะนั่งอยู่เฉยๆ ในห้องหลบภัยจนกว่าเรื่องจะจบลงแบบเมื่อวันก่อนไม่ใช่หรอคะ!? ถ้าเกิดว่าหนูจะต้องมานั่งรอคอยคนที่ออกไปแล้วไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือเปล่าอีกครั้งหนึ่งแบบนั้นล่ะก็ขอหนูตามพวกเขาออกไปสู้ด้วยดีกว่าอีก!!”

 

“ฮึ่ม…..”

 

คำพูดของซิลเวสนั้นได้ทำให้อลิซต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองทางด้านประตูห้องเรียนที่ถูกแง้มทิ้งเอาไว้เล็กน้อยจนทำให้เด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ภายนอกเลื่อนประตูให้เปิดออกและเดินเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว

 

“ขออนุญาตนะคะ”

 

“นั่นมันคุณเรมิเลียที่อยู่ในกลุ่มสภานักเรียนนี่ครับ…”

 

ในทันทีที่คอนแนลเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาภายในนั้นคือเด็กสาวตัวเล็กผมยาวสีดำสวมแว่นตาที่มีนัยน์ตาสีน้ำเงินเขาก็อดหลุดปากพูดออกมาไม่ได้ด้วยความสงสัย เพราะว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในสภานักเรียนแล้วก็ยังควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสื่อสารของกลุ่มดอว์นอยู่อีกด้วย

 

แต่ถึงอย่างนั้นเรมิเลียก็กลับไม่ได้ให้สนใจในความสงสัยของเหล่าเด็กนักเรียนในห้องสามเลยแม้แต่น้อยและเดินตรงผ่านอลิซไปยังด้านหน้ากระดานดำโดยมีเสียงของอลิซที่กำลังจะเดินตรงออกไปจากห้องพูดอธิบายให้ฟังแทน

 

“ในเมื่อมีคนสนใจจะเข้าร่วมกลุ่มดอว์นเพิ่มแบบนี้งั้นก็ให้เรมิเลียเขาอธิบายให้ฟังโดยตรงเลยก็แล้วกัน… ส่วนใครที่ไม่สนใจแน่ๆ หรือว่าอยากจะสอบถามฉันเกี่ยวกับเรื่องอื่นก็ออกมาที่หน้าระเบียงห้องนี่มา ส่วนเธอพออธิบายเสร็จแล้วก็มาหาฉันด้านนอกนี่หน่อยด้วยละกัน ฉันมีเรื่องจะถามอะไรเธอหน่อยนึงน่ะ เรมิเลีย”

 

“ค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะอาจารย์อลิซ… เอาล่ะ ซิลเวสจังเธอมั่นใจแล้วใช่มั้ย? เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วหลังจากนี้งานของกลุ่มดอว์นจะมีแต่เสี่ยงและอันตรายมากขึ้นไปเรื่อยๆ นะ”

 

“อื้อ! หนูมั่นใจอยู่แล้วล่ะค่ะ!!”

 

“ถ้างั้นพวกเธอคนไหนที่สนใจจะเข้าร่วมกลุ่มดอว์นของไดเอน่าจังก็ขอให้เดินออกมารวมกันตรงนี้เลย ส่วนถ้าใครมีคำถามสงสัยอะไรตรงไหนจะลองสอบถามดูก่อนก็ได้นะ”

 

หลังจากที่เรมิเลียพูดจบก็เกิดเสียงพูดคุยดังกระหึ่มขึ้นมาทั่วห้องเรียนก่อนที่หลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งจะมีนักเรียนอีกสามคนลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปยืนรวมกลุ่มอยู่กับซิลเวส ในขณะที่ทางด้านซึบากิที่นิ่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ที่เธอก้าวเท้าเข้ามาข้างในห้องเรียนนั้นก็ได้จ้องมองไปยังเรมิเลียก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเรียกความสนใจมา

 

“ว่าไงจ๊ะซึบากิ?”

 

“…แล้วเรื่องของอาจารย์อารอนที่หายตัวไปนั่น ทางกลุ่มดอว์นของพวกเธอคิดจะลงมือทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนั้นหรือเปล่า?”

 

“เรื่องนั้นเองสินะ… ถ้าสำหรับเรื่องนั้นฉันเองก็คงจะตอบอะไรไม่ได้เหมือนกันเพราะว่าไดเอน่าจังขาดการติดต่อไปเพื่อไปจัดการธุระให้กับท่านผู้อำนวยการอยู่น่ะจ้ะ”

 

“ไม่ต้องอ้อมค้อมจะได้มั้ย แค่พูดมาว่าพวกเธอมีแผนจะไปสืบค้นเรื่องนี้หรือว่าไม่มีแค่นั้นก็พอแล้ว”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ของซึบากิได้ทำให้เรมิเลียที่ขาดการติดต่อกับไดเอน่าไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางนึกว่าถ้าเป็นไดเอน่าเพื่อนของเธอคนนั้นจะทำยังไงกันแน่

 

“ฉันเชื่อว่าทั้งไดเอน่าจังและท่านผู้อำนวยการคงจะไม่มีทางปล่อยให้อาจารย์คนหนึ่งของพวกเราหายไปเฉยๆ แบบนั้นหรอกจ้ะ… แต่ว่ายังไงก็คงจะต้องรอให้ไดเอน่าจังกลับมาก่อนพวกเราถึงจะวางแผนอะไรต่อกันได้ เพราะว่าตอนนี้พวกเรามีปัญหาอยู่ที่จำนวนของนักเรียนในกลุ่มดอว์นที่มีอยู่ค่อนข้างจะจำกัดนั่นแหล่ะ”

 

เรมิเลียพูดอธิบายออกมาให้ซึบากิฟังตามที่เธอคิดเอาไว้ว่าไดเอน่าน่าจะทำ พร้อมทั้งยังใช้โอกาสนี้แอบพูดถึงปัญหาของกลุ่มดอว์นออกมาด้วย เพราะว่าเหตุผลหลักๆ ที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อหาอาสาสมัครนักเรียนเพิ่มนั่นเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นเรมิเลียก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักว่าจะได้อาสาสมัครมากไปกว่าซิลเวสและนักเรียนอีกสามที่ที่ตัดสินใจเข้าร่วมเพิ่มไปแล้ว เพราะเธอเองก็รู้ดีว่าคงจะไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนอยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเมื่อมีช่อดอกไม้สีขาวตั้งอยู่บนโต๊ะด้านหลังห้องนั่นให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่จะจะแบบนี้แล้ว

 

ส่วนทางด้านซึบากินั้นเมื่อเธอได้รับคำตอบที่ฟังดูค่อนข้างจะคาดหวังได้แล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบพูดถามจี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในทันที

 

“หมายความว่าทางกลุ่มของพวกเธอมีแผนจะลงมือทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการหายตัวไปของอาจารย์อารอนเขาแน่ๆ งั้นสินะ…?”

 

“อื้ม ฉันเชื่อว่าถ้าเกิดว่าพวกเรามีกำลังคนมากกว่านี้ล่ะก็ไดเอน่าจังเขาจะต้องแบ่งทีมออกไปทำการค้นหาแน่ๆ ล่ะ”

 

“แล้วถ้าเกิดว่าฉันขอเข้าร่วมกลุ่มด้วย เธอจะรับปากได้หรือเปล่าล่ะว่าฉันจะได้อยู่ในทีมค้นหานั่นด้วยน่ะ?”

 

“ถ้าเกิดว่าพวกเรามีสมาชิกมากพอจนสามารถตั้งทีมค้นหาได้แล้วล่ะก็เดี๋ยวฉันจะเสนอชื่อของเธอให้ไดเอน่าเขาเองเลยจ้ะ”

 

“ได้แค่นั้นฉันก็พอใจแล้วล่ะ…”

 

ซึบากิพูดตอบเรมิเลียกลับไปแล้วจึงเหลือบกลับไปมองทางด้านตู้ล็อกเกอร์ที่เธอเก็บดาบสีม่วงประจำตัวเองไว้และพยักหน้าเบาๆ หนึ่งทีก่อนที่เธอจะเดินตรงไปรวมกลุ่มอยู่กับซิลเวสและเด็กนักเรียนอีกสามคนอยู่ที่หน้าชั้นเรียน

 

ส่วนทางด้านเรมิเลียที่ได้อาสาสมัครเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วก็ได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่เธอจะยื่นเอกสารไปให้เหล่าอาสาสมัครแล้วจึงหันกลับมาพูดบอกเหล่าเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในห้องไปพร้อมๆ กันด้วย

 

“ถ้าเกิดว่าหลังจากนี้มีใครสนใจจะเข้าร่วมกลุ่มดอว์นอีกล่ะก็เชิญติดต่อที่สภานักเรียนได้เลยก็แล้วกันนะจ๊ะ ส่วนพวกเธอสี่คนตรงนี้ก็อ่านเอกสารพวกนี้กันให้ละเอียดๆ ด้วยล่ะ”

 

 

ในขณะเดียวกันกับที่เรมิเลียกำลังพูดอธิบายให้เหล่าเด็กนักเรียนในห้องฟังกันอยู่นั้น ทางด้านอลิซที่พบว่าไม่มีนักเรียนคนไหนตามเธอออกมาจากห้องก็ได้ทรุดลงนั่งบนที่นั่งที่ติดอยู่กับขอบระเบียงและยกมือขึ้นมากุมบาดแผลบนศีรษะของเธอที่ยังคงปวดตุบๆ อยู่เบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงแผ่วๆ ของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาให้เธอได้ยิน

 

“อ… อาจารย์อลิซ…”

 

เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูกล้าๆ กลัวๆ นั้นทำให้อลิซทราบได้ในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องหันไปมองว่าผู้ที่เอ่ยปากร้องเรียกเธอขึ้นมานั้นก็คืออาจารย์เทีย หญิงสาวผู้ที่เป็นพี่สาวฝาแฝดของมีอา หนึ่งในคนของเอริกะที่ทำงานอยู่ในโรงเรียนนี้เช่นเดียวกับเธอนั่นเอง

 

“อาจารย์เทีย… มีธุระอะไรหรือเปล่า…?”

 

“ค… คาร์เทียร์จัง… เขาฝากยามา….”

 

“โอ้… ขอบใจนะ”

 

อลิซพูดตอบเทียกลับไปพร้อมกับยื่นมืออีกข้างไปรับเม็ดยามาโยนเข้าปากของตัวเองจนทำให้เทียที่เห็นว่าอลิซยังไม่ยอมปล่อยมือข้างที่กุมแผลที่หัวออกอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

 

“ห…ไหวมั้ย…?”

 

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกหน่า… แล้วทางด้านครอบครัวของอาจารย์คนอื่นๆ เป็นยังไงกันบ้างล่ะ มีครอบครัวของคนไหนโดนลูกหลงไปด้วยหรือเปล่า?”

 

“ม…ไม่มี… พวกเขาปลอดภัย… ดี…”

 

“งั้นหรอ… ฮึบ—”

 

อลิซพูดตอบเทียกลับไปสั้นๆ แล้วจึงออกแรงยันให้ตัวเองลุกขึ้นมายืนโซซัดโซเซด้วยความยากลำบาก ทำให้เทียที่เห็นแบบนั้นต้องรีบยื่นมือออกไปช่วยพยุงร่างของเด็กสาวเอาไว้

 

“พ…พักก่อนสักหน่อย… เถอะนะ…”

 

“เจ็บแค่นี้ยังสบายมากหน่า… ถ้าเกิดมัวแต่มานั่งพักเดี๋ยวงานของฉันมันก็ไม่เสร็จกันพอดีสิ…”

 

“ง…งานจากคุณเอริกะเขา…น่ะหรอ…”

 

“อื้ม…”

 

อลิซพยักหน้าพูดตอบเทียกลับไปก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นสายตาเป็นห่วงปนสงสัยของอีกฝ่ายเธอจึงได้ตัดสินใจที่จะพูดถามกลับไปบ้าง

 

“จะว่าไป ช่วงหลังๆ มานี่เธอได้ติดต่อกับเอริกะบ้างหรือเปล่า…?”

 

“ม… ไม่จ้ะ… ค… คุณเอริกะเขาไม่ค่อยอยากจะ… ให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นสักเท่าไหร่… ถ… ถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกับเอริกับมีอา…เขาน่ะ…”

 

“เพราะเธอเองก็ชอบการใช้ชีวิตเป็นอาจารย์ แล้วยังไม่มั่นใจว่าจะทำงานให้เอริกะเขาได้หรือเปล่าก็เลยยังไม่ได้เข้าร่วมทีมกับเอริกะเขาเต็มตัวใช่มั้ยล่ะ…?”

 

“อ…อื้อ…”

 

เทียพยักหน้าตอบอลิซกลับไปเบาๆ พร้อมกับหลบตาหันหนีไปทางอื่นเหมือนกับว่าเธอไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซก็กลับไม่ได้ถือสาอะไรมากและตัดสินใจที่จะพูดสอบถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้างั้นเธอรู้เรื่องงานของเอริกะเขาในช่วงนี้ถึงไหนบ้างล่ะเผื่อว่าฉันจะเล่าให้ฟังได้… เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องปัญหาหมอกควันของแพนเทร่าที่เอริกะกำลังส่งคนไปสืบอยู่ หรือว่าเรื่องของผู้ชายผมสีม่วงที่ระเบิดตัวเองไปนั่นหรือเปล่า…?”

 

“ร…ระเบิดตัวเองหรอ…?”

 

คำถามของอลิซทำให้แววตาของเทียเบิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ และนั่นก็ทำให้อลิซตัดสินใจที่จะเล่าถึงเรื่องของชายหูแมวผมสีม่วงที่มีชื่อว่า อัลเดรีย ที่เคยตกเป็นนักโทษที่ทางเมืองกราวิทัสส่งตัวมายังเมืองรีมินัสแห่งนี้ก่อนจะถูกชิงตัวหายไปแล้วจึงโผล่กลับมาอีกครั้งในแผนการจู่โจมกำแพงเมืองของศัตรูของพวกเธอก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงไปด้วยระเบิดที่ผูกติดเอาไว้เต็มร่างกายออกมา เพราะดูท่าทางว่าเทียคงจะเป็นห่วงมีอาผู้เป็นน้องสาวที่ทำงานให้กับเอริกะไม่ใช่น้อย

 

“ใช่… เขาคือหนึ่งในตัวหลักของแผนการจู่โจมประตูเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนน่ะ… ถ้าเอาตามที่เอริกะเล่ามาเห็นบอกว่าก่อนที่เขาจะระเบิดตัวเองไปนี่เด็กนักเรียนคนที่ชื่อว่าเนลที่ไปช่วยนากากับคอนแนลสู้กับเขาบอกว่าได้ยินเขาพูดชื่อออกมาสามชื่อด้วยน่ะ…

 

“ชื่อที่อัลเดรียพูดเอาไว้ก่อนจะเสียชีวิตคือ ดราวดิน่า รากูน่า แล้วก็ เรเกียน่า งั้นสินะคะ…”

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อลิซกำลังเล่าเรื่องของอัลเดรียให้อาจารย์เทียฟังอยู่นั้นเอง ภายในห้องเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองรีมินัสออกไปไกลก็ได้มีเสียงของสาวใช้ผมสีเขียวนามว่า ไอวี่ ผู้ที่เคยทำงานเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเอริกะเมื่อนานมาแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันอย่างพอดิบพอดี

 

และคู่สนทนาของเธอนั้นก็คือเด็กสาวผมสีดำในชุดเสื้อกาวน์นามว่า นัวร์ ที่กำลังนั่งหมุนเก้าอี้เล่นอยู่ที่ข้างๆ นูลิสสาวใช้ผมสีเทานั่นเอง

 

“ช่าย~ คราวดิน่า รากูน่า เรเกียน่า ปลาทูน่า อะไรน่าๆ เต็มไปหมดอย่างที่เธอได้ยินนั่นแหล่ะเธอฟังไม่ผิดหรอก~ เพราะตอนนั้นเจ้าพวกตุ๊กตาของฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะงั้นฉันยืนยันได้เลยว่ามีคำว่า น่า อยู่ในทุกชื่อแน่นอน~”

 

“เพราะงั้นท่านนัวร์ก็เลยอยากจะให้ฉันออกไปสืบหาข้อมูลของคนทั้งสามคนนั่นที่กราวิทัสอย่างงั้นสินะคะ?”

 

“เรียกว่าไปค้นหาตัวน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง~ เพราะถ้าฉันเดาไม่ผิด คราวดิน่านั่นน่าจะเป็นชื่อของภรรยาเขา ส่วนรากูน่ากับเรเกียน่านั่นก็น่าจะชื่อลูกทั้งสองคนของเขาที่หัวหน้าพูดเหมือนกับจะรับปากว่าจะหาเวลาไปช่วยออกมาจากเมืองนั้นล่ะมั้ง อ๋อ แล้วก็ปลาทูน่านั่นเธอไม่ต้องเสียเวลาไปหาตัวหรอกนะเพราะว่ามันเป็นชื่อของปลาทะเลน่ะ~”

 

“…….”

 

คำพูดติดตลกของนัวร์ได้ทำให้นูลิสส่งสายตาดุๆ ไปให้เด็กสาว และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่สังเกตเห็นแบบนั้นต้องหยุดหมุนเก้าอี้ของเธอเล่นและหันไปทางไอวี่พร้อมกับรีบพูดเข้าเรื่องในทันที

 

“ก็นะ ฉันคิดว่างานที่ต้องเข้าไปคลุกคลีกับพวกมนุษย์ของที่นี่น่าจะเหมาะสำหรับเธอที่เคยใช้คนใช้ของยัยนั่นดีน่ะสิไอวี่จัง~”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องไปสนใจที่ท่านนัวร์พูดก็ได้นะไอวี่… เพราะว่าจนถึงตอนนี้แล้วท่านนัวร์ก็ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการสั่งการพวกเรากลับมาอยู่ดี…”

 

นูลิสที่ได้ยินคำพูดที่ฟังดูเหมือนสั่งงานของนัวร์ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความตำหนิเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ที่ได้ยินคำพูดจิกกัดก็ยังคงยิ้มร่าเหมือนกับว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

“ถูกต้องจ้า~ เพราะถึงฉันจะได้รับตำแหน่งรักษาการณ์มาแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าหัวหน้าก็ดันไม่ได้มอบอำนาจในการสั่งการแฟรี่อย่างพวกเธอมาสักหน่วยอยู่ดี~ เพราะงั้นก็ถือซะว่าคำพูดของฉันเป็นแค่คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เวลาว่างในช่วงนี้ของพวกเธอก็แล้วกัน~”

 

“…เฮ้อ ก็ตามนั้นแหล่ะไอวี่ เพราะอย่างฮานะกับทรินเขาก็ออกไปทำตามคำสั่งสำรองที่หัวหน้ากับคุณแม่เคยสั่งเผื่อเอาไว้ในกรณีแบบนี้แล้วด้วย… ว่าแต่คำสั่งของเธอที่คุณแม่กับหัวหน้าเคยสั่งเอาไว้คืออะไรล่ะไอวี่…?”

 

“………”

 

ไอวี่ที่ถูกถามขึ้นมาได้นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะเงยหน้ากลับขึ้นมาพูดตอบทั้งสองคนกลับไป

 

“ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะลองออกไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคนทั้งสามคนนั่นที่กราวิทัสมาให้ท่านนัวร์ก็ได้ค่ะ”

 

“เธอแน่ใจนะไอวี่…? ถ้าเกิดว่าเธอได้รับคำสั่งอะไรมาจากหัวหน้าหรือว่าคุณแม่แล้วก็บอกมาได้เลยนะ เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองไปทำตามที่ท่านนัวน์พูดแนะนำมาหรอก…”

 

“อุ้ย ใจร้ายจัง~”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ของนูลิสได้ทำให้นัวร์หลุดเสียงร้องโวยวายออกมาด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง ในขณะที่ทางไอวี่นั้นก็ได้หันไปพูดกับนูลิสโดยที่ไม่ได้สนใจกับท่าทีของนัวร์เลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่นูลิส คือพอดีว่าคำแนะนำของท่านนัวร์เขาบังเอิญเป็นคำสั่งเดียวกับที่หนูได้รับมอบหมายให้ไปทำเลยน่ะค่ะ”

 

“…ท่านนัวร์… สนใจจะคิดจะพูดอธิบายอะไรสักหน่อยมั้ยคะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือเปล่าน่ะ…?”

 

คำตอบของไอวี่ได้ทำให้นูลิสหรี่ตาลงเล็กน้อยและหันไปพูดถามท่านนัวร์ที่เธอไม่ค่อยจะอยากไว้ใจอะไรนักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เพราะเธอไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะบังเอิญเสนอวิธีการฆ่าเวลาขึ้นมาได้ตรงกับคำสั่งของคุณแม่หรือว่าหัวหน้าของพวกเธอแน่ๆ

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ก็กลับเผยรอยยิ้มร่าออกมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับหมุนเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่อีกครั้งด้วยความรวดเร็วชวนให้มึนหัว

 

“เห~~ แล้วถ้าฉันไม่สนใจจะพูดอะไรเลยเธอจะทำยังไงล่ะ~ จะควักไอ้นั่นออกมาเป่าหัวฉันทิ้งเลยมั้ยเอ่ย~?”

 

“ฉันไม่ทำแบบนั้นให้เปลืองกระสุนในเวลาที่พวกเราต้องประหยัดทรัพยากรกันแบบนี้หรอกค่ะ… แต่ว่าในเมื่อท่านนัวร์ไม่คิดจะพูดอะไรแบบนี้เดี๋ยวฉันก็ค่อยหาเวลาว่างไปค้นหาคำตอบเอาเองก็ได้ค่ะ…”

 

“น่าเสียดายจังเลยน้า~ แต่เดี๋ยวฉันจะแอบบอกใบ้ให้สักหน่อยก็แล้วกันว่ามันเป็นเพราะว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้กับคุณหัวหน้าเขาจนถึงขั้นรู้ใจกันแล้วก็เลยพอจะเดาได้ง่ายๆ ว่าเขาจะสั่งงานอะไรให้กับพวกเธอยังไงล่ะ~”

 

นัวร์ที่ดูเหมือนว่าพอได้เอ่ยปากแล้วจะพูดปั่นประสาทคนไม่หยุดนั้นได้ยืดอกพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอเป็นถึงคนสนิทของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมหรือคนที่พวกเธอเรียกกันว่าหัวหน้าด้วยความภาคภูมิใจ

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้แม้แต่ไอวี่ที่ดูแล้วเป็นคนเงียบๆ ที่ติดจะออกขี้กลัวหน่อยๆ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาบ้าง

 

“…ไม่ใช่ว่าท่านนัวร์ก็โมเมบอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทสุดซี้กับทุกคนไปทั่วหรอกหรอคะ ขนาดแม้แต่กับท่านไคเลอร์เองท่านนัวร์ก็ยังบอกว่าสนิทกับเขาเลยนะคะ…”

 

“แหม่~ ก็คนมันน่ารักซะขนาดนี้จะมีเพื่อนเยอะมันก็ไม่แปลกไม่ใช่หรอจ๊ะ~”

 

“……..”

 

“…ถ้าท่านนัวร์ว่าอย่างงั้นก็คงจะเป็นไปตามนั้นนั่นแหล่ะค่ะ”

 

คำพูดอย่างไม่อายปากของเด็กสาวผมสีดำได้ทำให้ไอวี่นิ่งเงียบไปเหมือนกับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดออกมาได้ ส่วนทางด้านนูลิสนั้นก็ได้พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยใจ และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่กำลังยิ้มร่าอยู่ถึงกับต้องเหงื่อตกนิดๆ เพราะว่าสาวใช้ผมสีเทาเล่นตัดบทไม่เหลือทางให้เธอเล่นมุกต่อไปได้เลยเธอจึงได้แต่ต้องกลับมาพูดเข้าเรื่องต่อ

 

“เอาล่ะ~ ถ้าเกิดว่าพวกเธอหมดข้อสงสัยกันแล้วงั้นก็หมดธุระกันแค่นี้แหล่ะจ้ะ~ แล้วถ้าเกิดว่าเธอสืบเรื่องของสามคนนั้นได้ความมายังไงก็ส่งข้อมูลไปให้นูลิสเขาได้เลยนะไอวี่ เพราะเดี๋ยวยังไงพักนี้นูลิสเขาก็ต้องไปทำงานอยู่ที่ใกล้ๆ กับฉันอยู่แล้วล่ะ~”

 

“รับทราบค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ พี่นูลิสอยู่ใกล้ๆ กับท่านนัวร์ก็พยายามทำใจเย็นๆ ไว้ด้วยนะคะ”

 

ไอวี่พูดขึ้นมาพร้อมกับค้อมหัวให้กับนูลิสและนัวร์ไปคนละทีก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป ส่วนทางด้านนัวร์เองก็ได้หันไปเลิกคิ้วมองนูลิสที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ภายในห้องด้วยความสงสัย

 

“แล้วเธอจะไม่ไปเตรียมตัวทำภารกิจบ้างหรอนูลิสจัง?”

 

“พอดีว่าฉันมีข้อสงสัยอยู่น่ะค่ะ… ว่าสรุปแล้วท่านนัวร์มีเป้าหมายอะไรกันแน่?”

 

“หืม~~~? แล้วทำไมเธอถึงมาถามเรื่องนั้นเอาซะป่านนี้ล่ะ~?”

 

นัวร์ที่ได้ยินคำถามของนูลิสได้เปลี่ยนท่าไปเป็นนั่งเท้าคางอยู่กับโต๊ะของเธอและพูดถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอเพิ่งได้พบเจอกับเรื่องน่าสนุกบางอย่างเข้า และนั่นก็ทำให้นูลิสที่ดูเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเผลอถามคำถามที่ค้างคาใจมานานแล้วออกมาต้องนิ่งเงียบไปเพื่อเรียบเรียงคำพูดของตัวเองก่อน

 

“ฉันหมายถึงว่า… ทำไมในตอนนั้นท่านนัวร์ถึงได้ตัดสินใจจะอยู่ที่นี่กับหัวหน้ากันคะ ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านอารอน ท่านเอริกะ ท่านเซซิเรีย หรือแม้แต่ท่านโอริเวอร์กับน้องสาวเองก็ต่างไม่เห็นด้วยกับแผนการของหัวหน้าจนจากไปกันหมดแท้ๆ”

 

“เห~ ที่เธอถามขึ้นมาแบบนี้เนี่ยเป็นเพราะว่าเธอสงสัยว่าที่จริงแล้วฉันอาจจะไม่เห็นด้วยกับคุณหัวหน้าเขาแต่ว่าแกล้งทำเป็นให้ความร่วมมือเพื่อหวังจะทำลายแผนการของคุณหัวหน้าเขาจากภายในหรือไงกันจ๊ะ~”

 

“…….”

 

นูลิสที่ได้ยินคำพูดของนัวร์ที่พูดขึ้นมาด้วยแววตายิ้มเยาะได้ชะงักไปและขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว ส่วนทางด้านนัวร์ที่เห็นว่าสีหน้าของสาวใช้ตัวน้อยที่ปกติแล้วมักจะนิ่งเฉยได้แปรเปลี่ยนไปถึงจะเพียงแค่เล็กน้อยแบบนั้นก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงเข้าไปกระซิบพูดกับนูลิสเบาๆ

 

“เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า~ ถึงฉันจะเป็นพวกนอกคอกยิ่งกว่าไคเลอร์ที่ทุกคนบอกว่าเป็นพวกไม่สนใจกฎเกณฑ์ก็เถอะ แต่ทุกการกระทำของฉันมันก็เพื่อคุณหัวหน้าผู้เป็นที่รักของพวกเรานั่นแหล่ะ~ เพราะถึงเขาจะเปลี่ยนไปจนเป็นแบบนี้แล้วก็เถอะ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของฉันนี่นะ~”

 

“ถ้าท่านนัวร์ว่าแบบนั้นงั้นฉันขอตัวไปทำภารกิจก่อนก็แล้วกันนะคะ…”

 

“อ่ะๆ อยู่ดีๆ ก็คิดจะชิ่งไปแบบนี้นี่อย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้นะว่าเธอกะจะแอบงุบงิบของเล่นน่าสนุกในทุ่งดอกไม้ที่พวกเราไปเจอกันมาเมื่อวานนั่นเอาไว้คนเดียวน่ะ~ พาฉันไปที่รีมินัสด้วยกันกับเธอเดี๋ยวนี้เลยนะนูลิสจัง~”

 

“เฮ้อ….”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด