Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 39 : Hazardous Faculty

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 39 : Hazardous Faculty at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เหวอ!!?”
 

นากาที่สะดุ้งตกใจกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่โผล่หน้ามาในระยะประชิดนั้นก็เผลอก้าวถอยหลังไปซะจนเขาแทบจะสะดุดขาตัวเองล้ม

 

ซึ่งเด็กสาวที่เห็นท่าทีลนลานของเขานั้นก็เอามือที่ถูกชายเสื้อขนาดใหญ่เกินตัวคลุมอยู่ทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากและหัวเราะคิกคักอย่างน่าขนหัวลุก ก่อนที่อยู่ดีๆ เธอจะหยุดหัวเราะอย่างกะทันหันและเอียงคอไปข้างๆ พร้อมกับพูดทักทายเขาขึ้นมา

 

“คิกคิกคิก… สวัสดี~”

 

“ว—ว่าไง เธอเป็นนักเรียนของที่นี่หรอ?”

 

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากทักทายตนมาแบบนั้นนากาก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างลังเล ก่อนที่เขาจะหันไปมองหาเอริซาเบธที่เดินเข้าไปในโรงอาหารเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะรับมือเด็กสาวท่าทางประหลาดๆ ตรงหน้านี้ยังไงดี

 

แต่ว่าเอริซาเบธก็เอาแต่พยายามมองหาเด็กนักเรียนคนที่เธอมาตามตัวโดยไม่ได้หันกลับมาทางฝั่งประตูทางเข้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องพยายามหาวิธีรับมือเด็กสาวตรงหน้าด้วยตัวเขาเอง

 

และเมื่อเขามองเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตตรงหน้าดูดีๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเห็นเด็กสาวคนนี้นั่งกอดเข่าจ้องมองเขาอยู่ในอาคารเรียนตอนที่กำลังเดินเข้าไปยื่นเอกสารนั่นเอง

 

“อื้ม~”

 

เมื่อนากาเห็นว่าอีกฝ่ายตอบคำถามของเขากลับมาเพียงสั้นๆ เขาจึงได้พยายามที่จะเดินถอยหลังไปเพื่อเว้นระยะห่างจากเด็กสาวที่ยื่นหน้าของเธอเข้ามาใกล้เขาสักเล็กน้อย

 

“อื้ม~~”

 

แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นก็กลับส่งเสียงลากยาวออกมาอีกครั้งและเดินเบิ่งตาเอียงคอตามเขามา แถมยังยื่นหน้าของเธอเข้ามาจ้องมองใบหน้าเขาในระยะประชิดถึงแม้ว่าเขาจะพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วก็ตาม จนทำให้นากาได้แต่ถามคำถามออกมาอีกครั้งเพื่อหวังที่ให้เธอหยุดเดินตามเขามาสักที

 

“อ—เอ่อ… มีอะไรหรือเปล่าน่ะ? ไม่ต้องเข้ามาจ้องกันใกล้ขนาดนี้ก็ได้นะ…”

 

ทันใดนั้นเองเด็กสาวตรงหน้าเขาก็ได้ขยับมือภายใต้ชายเสื้อของเธอพุ่งตรงมายังฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“….!”

 

หมับ!

 

“!?”

 

ถึงแม้ว่านากาที่เห็นการขยับตัวอย่างฉับพลันของเด็กสาวตรงหน้านั้นจะพยายามขยับมือของเขาหลบไปก็ตาม แต่ว่าเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวตรงหน้าของเขาก็กลับสามารถพุ่งมือของเธอตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่ค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตัวเองในระดับหนึ่งหลังจากที่เขาสามารถฝึกซ้อมกับอัศวินอย่างคอนเนล หรือประอาวุธกับนักดาบอย่างเซซิลที่เขาคิดว่าเผลอๆ อาจจะเก่งกาจกว่าคอนแนลด้วยได้อย่างสูสีถึงกับต้องหน้าเจือนไปเล็กน้อย

 

แต่ว่าเด็กสาวที่คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ได้นั้นก็ทำเพียงแค่ดึงมือของเขาไปจ้องดูใกล้ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“…..”

 

“…มือฉันมันมีอะไรหรือเปล่าน่ะ?”

 

นากาที่ถูกเด็กสาวตรงหน้าจับมือของตนไปบีบสำรวจดูเล่นได้ถามขึ้นมาอย่างทำตัวไม่ถูกนัก เพราะว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นได้ทำเหมือนกับว่าเพิ่งเคยเห็นมือคนเป็นครั้งแรกไม่มีผิด โดยเธอได้จับมือของเขาพลิกสำรวจดูทุกซอกทุกมุม จากนั้นก็จับนิ้วของเขาให้ขยับไปมา แล้วไหนจะยังจับมันให้กำและแบเล่นสลับไปมาอีกต่างหาก

 

และหลังที่เธอได้จับมือของเขาไปสำรวจดูเล่นได้สักพัก เธอก็ได้หยุดมือของเธออย่างกะทันหันและเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขาก่อนที่จะพูดขึ้นมา

 

“นี่…นา—”

 

“อ่าว มาอยู่ตรงนี้เองหรอพิเน๊ะ!แล้วไหงเธอถึงมายืนเล่นอยู่หน้าโรงอาหารล่ะเนี่ย?”

 

แต่ยังไม่ทันที่พิเน๊ะจะได้พูดออกมาจนเสร็จ เอริซาเบธที่เหลือบมาเห็นผมสีเหลืองแซมเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาวตรงหน้าของนากาก็ได้ร้องเรียกเธอขึ้นมาซะก่อน

 

และเมื่อเด็กสาวตรงหน้าได้ยินคนเอ่ยปากเรียกชื่อของเธอขึ้นมา เธอก็ได้ปล่อยมือออกจากฝ่ามือของนากาและหันไปเอียงคอจ้องมองเอริซาเบธที่กำลังเดินเข้ามาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

“อ๊ะ… พวกเธอได้แนะนำตัวกันหรือยังล่ะเนี่ย? เด็กผู้ชายหน้าตามึนๆ ตรงหน้าเธอนั่นชื่อว่านากาน่ะ เขาเพิ่งจะมาสมัครเรียนแล้วก็สอบกันวันนี้เลย ส่วนนากาคุง… เด็กคนนี้ชื่อว่าพิเน๊ะ เธอเป็นนักเรียนของที่นี่น่ะ”

 

“อ—อ่า… ชื่อว่าพิเน๊ะงั้นสินะ— เดี๋ยวสิ นี่เธอว่าใครหน้ามึนกันหะ!?”

 

เอริซาเบธที่เห็นว่านากาซึ่งควรจะเป็นคนที่เข้าหาและตีสนิทกับคนอื่นได้ง่ายนั้นกำลังยืนทำหน้าตาประหลาดๆ อยู่ ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงจะเจอความประหลาดยิ่งกว่าของพิเน๊ะเข้าไปจนทำตัวไม่ถูก เธอจึงได้ช่วยพูดแนะนำตัวให้ทั้งสองฝ่ายออกมาแทน

 

ซึ่งคำแนะนำตัวของเอริซาเบธนั้นก็ทำให้นากาตั้งสติได้และหันไปโวยวายใส่เธอในทันที ส่วนทางด้านพิเน๊ะที่ได้รู้ชื่อของนากาแล้วก็หันกลับไปเอียงคอเบิ่งตามองนากาแบบตาไม่กะพริบอีกครั้ง

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธก็ได้หยิบเอาคริสตัลสีเหลืองก้อนเดิมออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ของเธอและเอ่ยปากถามพิเน๊ะขึ้นมา

 

“ว่าแต่เธอยังมีอาการล้าอยู่หรือเปล่าน่ะพิเน๊ะ? ถ้าจะเปลี่ยนสนามหญ้าให้กลับมาเป็นแบบเดิมตอนนี้เลยจะไหวมั้ย?”

 

“อื้อ~”

 

ซึ่งเด็กสาวก็ตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนที่จะหยิบเอาคริสตัลก้อนนั้นไปจากมือเธอและชูมันไว้เหนือหัวพร้อมกับเดินออกไปยังแนวแท่นดินที่ใช้ในการสอบทันที และเมื่อเอริซาเบธเห็นแบบนั้นเธอก็หันไปสอบถามนากาดูว่าเขาจะเอายังไงต่อดี

 

“แล้วนายจะเข้าไปนั่งกินอะไรในโรงอาหารก่อนมั้ยล่ะนากาคุง? หรือว่าถ้ายังไม่หิวจะลองไปดูพิเน๊ะเขาจัดการเปลี่ยนสนามกลับมั้ยล่ะ?”

 

“ก็ดีนะ เพราะว่าฉันยังไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่ด้วยสิ… ส่วนพรีมูล่าปล่อยให้เอริกะดูแลไปก่อนละกัน คิดว่าคงไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้งนะ…”

 

“ฮะฮะ ก็คงได้แต่หวังล่ะน๊า~”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของนากาแล้วเอริซาเบธก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินนำเขาตามพิเน๊ะไปยังสนามสอบ และในจังหวะที่พวกเขาเดินไปถึง พิเน๊ะก็กำลังปักก้อนคริสตัลสีเหลืองที่กำลังเรืองแสงอยู่นั้นลงไปบริเวณพื้นหญ้าเบื้องหน้าสนามสอบอยู่พอดี

 

ครึกครึกครึก!

 

ทันใดนั้นเองแท่นดินจำนวนมากที่ถูกดันขึ้นมาเป็นสิ่งกีดขวางให้สนามสอบนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวกลับลงไปทีละแถวจนพื้นหญ้าที่อยู่เหนือแท่นดินเหล่านั้นได้กลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้ง

 

ซึ่งนากาที่เคยเห็นแต่น้องสาวของเขาใช้วิซเพื่อสร้างกระสุนน้ำแข็งมายิงเล่นหรือสร้างก้อนน้ำแข็งมายัดใส่ตู้แช่เย็นก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างตกตะลึง

 

“โห วิซนี่มันทำได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย?”

 

“อื้ม อื้ม ค่อยๆ ลดมันลงช้าๆ ให้มันกลับเป็นสภาพเดิมไปทีละส่วนแบบนั้นแหล่ะ”

 

แต่ก็ดูเหมือนว่าเอริซาเบธจะไม่ได้ยินคำถามของเขา เพราะว่าเธอกำลังพูดกำกับพิเน๊ะที่ใช้พลังวิซในการปรับสภาพสนามสอบอยู่ และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่าพิเน๊ะนั้นสามารถทำให้สนามสอบส่วนหนึ่งกลับมาเรียบเสมอกันกับพื้นหญ้าได้ตามเดิมเธอก็เอ่ยปากชมออกมา

 

“นั่นล่ะๆ เก่งมากจ้ะพิเน๊ะ”

 

“ฮะฮะฮะฮะ~~”

 

พิเน๊ะที่ได้รับคำชมจากเอริซาเบธไปนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งกอดเข่าเอียงตัวไปมาและส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย จนทำให้นากาที่เห็นท่าทางประหลาดๆ ของเธอเข้าไปต้องแอบสะกิดเอริซาเบธเบาๆ ให้อีกฝ่ายเดินตามเขาไปเพื่อที่จะสอบถามอะไรบางอย่าง

 

“นี่เอริ… ปกติพิเน๊ะเขาเป็นแบบนี้ตลอดเวลาหรือเปล่าน่ะ…? แบบว่าทำตัวแปลกๆ จนแอบน่ากลัวแบบนั้นน่ะ?”

 

“เห? อื้อ… พิเน๊ะเขาก็ทำท่าทางแบบนี้ตลอดเวลาอยู่แล้วนะ”

 

“จริงหรอ? ฉันว่าท่าทางของพิเน๊ะดูน่ากลัวแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ…”

 

“ก็แค่แอบน่ากลัวนิดหน่อยเองล่ะน่า~ อีกอย่างถ้าพูดถึงเรื่องทำตัวแปลกๆ ฉันว่าน้องสาวของนายดูประหลาดกว่าตั้งเยอะนะ”

 

“เถียงไม่ได้แฮะอันนี้…”

 

เมื่อได้ยินเอริซาเบธพูดขึ้นมาตรงๆ แบบนั้นนากาก็ได้แต่เกาหัวตัวเองแบบไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไงดี ก่อนที่เขาจะแอบเหลือบกลับไปมองพิเน๊ะที่ยังคงนั่งกอดเข่าเอียงตัวไปมาและใช้พลังวิซของเธอจัดการสนามสอบส่วนที่เหลืออยู่อย่างหวาดๆ

 

“จะว่าไปนายเองก็ไม่ใช่คนแรกที่มาถามฉันเรื่องพิเน๊ะเขานี่นะ~”

 

“เอ๊ะ? มีคนอื่นที่คิดเหมือนกับฉันด้วยหรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธได้ร้องถามเธอขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกประหลาดใจที่มีคนคิดเหมือนกันสักเท่าไหร่นักก็ตามที

 

“อื้ม~ ถึงส่วนมากเธอจะอยู่ตัวคนเดียวเพราะว่านักเรียนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เธอก็เถอะ แต่ว่าบางทีพิเน๊ะเขามีท่าทีเหมือนว่าจะสนใจนักเรียนหรืออาจารย์บางคนเป็นพิเศษอยู่บ้างน่ะ”

 

“เห…”

 

“แล้วทีนี้อาจารย์กับนักเรียนพวกนั้นก็มาปรึกษาฉันราวๆ ว่าเหมือนพวกเขาจะเหลือบไปเห็นพิเน๊ะแอบจ้องมองพวกเขาอยู่จากหลังเสาไม่ก็มุมตึกแต่ว่าพอหันไปมองดูดีๆ ก็ไม่เห็นมีใครเลยน่ะ แล้วไหนจะยังมีเรื่องที่ว่าพวกภารโรงเห็นอะไรสักอย่างสีเหลืองๆ เขียวๆ แว๊บไปแว๊บมาในโรงเรียนตอนกลางคืนแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนจับตาดูอยู่อีก…”

 

“แล้วตกลงที่เธอว่ามานั่นมันใช่ฝีมือของพิเน๊ะเขาหรือเปล่าน่ะ?”

 

“เรื่องตอนกลางคืนนั่นไม่ใช่หรอก เพราะว่าตอนที่ถูกภารโรงตื๊อหนักมากๆ ฉันเคยลองแอบตามพิเน๊ะเขาไปช่วงหลังเลิกเรียนดูแล้ว แต่ว่าเธอก็ตรงกลับเข้าบ้านของเธอที่อยู่แถวๆ ชานเมืองตามปกติเลยน่ะ เพราะงั้นถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นช่วงหลังเลิกเรียนก็ไม่ใช่ฝีมือพิเน๊ะเขาหรอก~”

 

คำตอบของเอริซาเบธนั้นพอจะทำให้นากาโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง แต่ว่าเมื่อเขาคิดตามคำพูดของเธอดูดีๆ แล้วก็พบว่าเอริซาเบธได้แอบข้ามเรื่องอะไรบางอย่างไป

 

“ง—งั้นเรื่องที่ว่าแอบจ้องมองจากหลังเสานั่นล่ะ?”

 

“แหมรู้ตัวด้วยหรอ~ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เธอก็แค่แอบมองเองน่ะไม่เคยเข้าไปทำอะไรใครสักหน่อย~ เอาเป็นว่าถ้านายโดนพิเน๊ะแอบมองดูแล้วไม่ชอบใจก็ลองบอกเธอไปตรงๆ ดูสิ”

 

“เอ่อ… แบบนั้นมันจะดีหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธก็แอบเหลือบกลับไปมองดูพิเน๊ะที่กำลังยืนโยกไปมามองดูสนามหญ้าที่กลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้งอย่างลังเล

 

เพราะว่าเมื่อดูจากท่าทีประหลาดๆ ของเธอแล้วเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่สักคนเดียว และการที่เธอเอาแต่แอบจ้องมองคนอื่นจากมุมตึกนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่รู้วิธีที่จะเข้าหาคนอื่นก็เป็นได้ ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่เขาจะเข้าไปพูดกับเธอตรงๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ใจร้ายเกินไปหน่อย

 

“ใจดีจังเลยนะนากาคุงเนี่ย~ แต่เอาเป็นว่าถ้าเกิดนายต้องเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืนแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าถูกจ้องมองดูอยู่ล่ะก็ นั่นไม่ใช่ฝีมือของพิเน๊ะเขาหรอก~”

 

“ด—เดี๋ยวสิ!? แบบนั้นมันหมายความว่ามันมีอะไรสักอย่างคอยจับตาดูคนที่อยู่ในโรงเรียนตอนกลางคืนจริงๆ หรอน่ะ!?”

 

“นั่นสิน๊า~ แต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีหรอก …มั้ง~”

 

เอริซาเบธพูดตอบนากากลับไปอย่างกำกวมจนทำให้เขาแทบจะตาเหลือก แต่ว่าในจังหวะที่เขากำลังคิดจะถามเอริซาเบธกลับไปให้ชัดๆ นั้นเอง อยู่ดีๆ มือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้และดึงไปข้างหลังซะก่อน

 

หมับ

 

“เหวอ!!?”

 

นากาที่กำลังสยองขวัญอยู่กับเรื่องเล่าของเอริซาเบธนั้นได้ร้องออกมาอย่างตกใจและรีบสะบัดมือของเขาให้หลุดออกจากการจับกุมในทันที ก่อนที่เขาจะรีบดีดตัวไปหลบอยู่ด้านหลังเอริซาเบธและโผล่หน้าออกมามองดูใครหรืออะไรก็ตามที่คว้ามือของเขาไปเมื่อสักครู่

 

ซึ่งเขาก็พบกับพิเน๊ะที่ได้เดินมาด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังเงยหน้ามองมือของเธอที่กำลังชูขึ้นสูงเพราะถูกเขาสะบัดทิ้งอย่างแรงอยู่

 

ก่อนที่เธอจะเอียงคอของตัวเองหันกลับมาเบิ่งตามองนากาโดยไม่ลดมือลงเลยแม้แต่น้อยและพูดถามเขาขึ้นมา

 

“คิกคิก~ ตกใจอะไรหรอ? นากา?”

 

ในขณะที่นากากำลังโล่งอกเพราะเห็นว่าคนที่มาคว้าแขนของเขาเอาไว้นั้นมีเลือดเนื้อจริงๆ ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาตินั่นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นเอริซาเบธที่กำลังทำตาแพรวพราวหันกลับมามองดูเขาอย่างล้อเลียนเข้า ทำให้เขารีบตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา

 

“ป—เปล่าสักหน่อย!ว่าแต่เธอไม่ไปเปลี่ยนสนามกลับแล้วหรอ?”

 

“เสร็จแล้วต่างหาก~ แต่ว่ามันมีตรงส่วนที่พื้นหญ้าแหว่งไปเพราะที่รีซาน่าทำแท่นดินพังด้วย อาจารย์เอริไม่ว่าอะไรสินะคะ~”

 

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอจ้ะ เดี๋ยวหญ้ามันก็งอกขึ้นมาใหม่เองล่ะ เก่งมากจ้ะพิเน๊ะ~”

 

“นี่มันสนามที่พวกฉันใช้สอบเมื่อกี้จริงๆ หรอเนี่ย…”

 

ในระหว่างที่เอริซาเบธกำลังลูบหัวชมพิเน๊ะอยู่นั้น นากาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพราะว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เบื้องหน้าของเขานั้นยังคงเต็มไปด้วยแท่นดินอยู่เลย

 

แต่ว่าในตอนนี้มันได้กลับมากลายเป็นสนามหญ้าเรียบๆ เหมือนกับตอนที่เขาเดินเข้ามาในโรงเรียนไปซะแล้วถึงแม้ว่าจะมีพื้นหญ้าบางส่วนแหว่งไปบ้างก็ตามที

 

“ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะพิเน๊ะ ตอนนี้ก็หมดเรื่องแล้วล่ะ ถ้าเธออยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ตามสบายเลยนะ”

 

“ฮิฮิ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนละกันนะคะ~”

 

เมื่อพิเน๊ะได้ยินคำอนุญาตจากเอริซาเบธเธอก็พยักหน้ากลับไปทีหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาโบกมือลานากาและออกเดินเข้าไปในอาคารเรียนที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว

 

“ดูๆ แล้วก็ท่าทางเป็นเด็กดีกว่าที่คิดเหมือนกันนะ…”

 

“ใช่มั้ยล๊า~ พิเน๊ะเขาเป็นเด็กดีจะตาย”

 

นากาที่เห็นอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วแบบนั้นก็หันกลับไปมองยังสนามหญ้าเบื้องหน้าอีกครั้งและพูดถามเอริซาเบธออกมาอย่างประหลาดใจ

 

“ว่าแต่วิซนี่มันทำได้ถึงขนาดเปลี่ยนสนามหญ้าที่กว้างขนาดนี้ให้กลายเป็นสนามสอบได้เลยหรอเนี่ย?”

 

“ก็ถ้าเกิดว่าเธอมีพลังมากพอแล้วก็มีคริสตัลที่เหมาะสมบวกกับการฝึกฝนนิดๆ หน่อยๆ ใครๆ ก็ทำได้กันทั้งนั้… เอ่อ…”

 

ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดตอบกลับนากาด้วยน้ำเสียงร่าเริงนั่นเอง อยู่ดีๆ เธอก็เงียบไปกลางคันและเหลือบมองท่าทีของนากาเล็กน้อย เมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นไม่สามารถใช้พลังวิซออกมาได้เลยแม้แต่สักนิดเดียว

 

“…ไม่เป็นไรหรอก พูดต่อสิ”

 

“อื้ม… เอาจริงๆ พิเน๊ะเขาก็ต้องฝึกการใช้คริสตัลประเภทเปลี่ยนสภาพพื้นที่แบบนี้หนักพอตัวอยู่นะ~ อีกอย่างนึง ต่อให้ฝึกใช้จนคล่องแล้วก็เถอะ แต่ว่าปริมาณวิซที่ใช้ในแต่ละครั้งก็ไม่ใช่น้อยๆ ซะด้วยสิ”

 

“อ้าว? แล้วปล่อยไปเฉยๆ แบบนั้นจะดีหรอ? ไม่สั่งให้พิเน๊ะเขาไปพักที่ห้องพยาบาลก่อนล่ะ”

 

“ก็… ถึงตอนแรกๆ ที่พิเน๊ะเขาโดนฝึกให้ใช้คริสตัลสำหรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่เธอจะล้มพับลงไปเลยก็เถอะ แต่ว่าหลังๆ มานี่ดูเหมือนว่าจะใช้ได้สบายๆ แล้วล่ะ แถมก่อนหน้านี้เธอยังสนุกเกินไปจนเผลอทำคริสตัลแตกอีกต่างหาก… เพราะงั้นจองห้องพยาบาลไว้ให้โมโกะได้พักผ่อนอย่างสงบน่าจะดีกว่าละมั้ง”

 

“หะ? นี่สรุปว่าอาการของโมโกะหนักขนาดไหนกันแน่เนี่ย?”

 

“จริงด้วยสิ นากาคุงใช้วิซไม่ได้แบบนี้คงจะไม่เคยมีอาการโอเวอร์ฮีตสินะ”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาเข้าไปก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าในเมื่อนากานั้นไม่สามารถใช้วิซได้ เขาก็คงจะไม่เคยประสบปัญหาเรื่องร่างกายขาดแคลนพลังวิซกับตัวเองมาก่อนจนทำให้เขาไม่เข้าใจอาการที่โมโกะกำลังเป็นอยู่

 

“อย่าว่าแต่ไม่มีเคยมีอาการเลย… ชาตินี้ฉันจะมีโอกาสได้โอเวอร์ฮีตหรือเปล่าก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำ…”

 

“อืม… ขอโทษที… แต่ว่าฝีมือระดับนายนี่ต่อให้ใช้วิซไม่ได้ก็น่าจะอนาคตไกลอยู่แล้วล่ะ เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอก~”

 

เมื่อนากาได้ยินเอริเบธพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจือนๆ และยังพยายามปลอบใจเขาแบบนั้น เขาก็ได้รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้ตลอดออกมา เขาจึงได้พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงของตนให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งในทันที

 

“อ่า ถ้าขนาดคนดังประจำโรงเรียนรีมินัสอย่างอาจารย์เอริซาเบธยังพูดออกมาแบบนี้ ฉันคงจะสบายใจได้แล้วล่ะมั้ง…”

 

“มาเรียกฉันว่าอาจาร์ยนอกเวลาเรียนนี่สนใจอยากโดนหักคะแนนก่อนเริ่มเรียนมั้ยจ๊ะ~”

 

“อ้าว ก็เธอบอกว่าอยู่ในโรงเรียนให้เรียกว่าอาจา… ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ”

 

และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่านากานั้นกลับมามีท่าทีสบายๆ เหมือนกับทุกทีแล้วเธอจึงค่อยหันกลับมาอธิบายอาการโอเวอร์ฮีต หรือที่เรียกกันบ้านๆ ว่าอาการขาดแคลนพลังวิซให้กับเด็กนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องวิซเลยอย่างนากาฟัง

 

“อะแฮ่ม เอาล่ะถ้างั้นก็กลับมาพูดเรื่องเดิมกันต่อดีกว่า อันนี้ต่อให้เป็นนายก็น่าจะรู้นะว่าร่างกายของคนเราน่ะต้องใช้พลังวิซเพื่อดำรงกิจวัตรประจําวัน ไม่ได้หมายถึงในแง่ของความสะดวกสบายจากอุปกรณ์ภายนอกนะ แต่หมายถึงในการค้ำจุนระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายน่ะ”

 

“อื้ม… เรื่องนั้นอาจารย์ที่หมู่บ้านเคยสอนแล้วล่ะ”

 

“แล้วทีนี้เวลาที่คนเราส่งพลังวิซออกไปนอกร่างกายเพื่อกระตุ้นการทำงานของคริสตัลน่ะ ถ้าเกิดว่าใช้ในปริมาณน้อยๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าร่างกายสามารถรับพลังวิซจากธรรมชาติมาเพื่อทดแทนได้ แต่ว่าถ้าเกิดใช้พลังไปในปริมาณมากๆ จนดูดซับพลังจากธรรมชาติมาทดแทนได้ไม่ทันล่ะก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะ”

 

“นั่นก็เป็นที่มาของอาการขาดแคลนพลังวิซงั้นสินะ”

 

“ใช่แล้วล่ะ~ ถ้าจะให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คิดซะว่าวิซในร่างกายเป็นอากาศ พอเธอส่งพลังวิซออกไปก็เหมือนเอาอากาศส่วนหนึ่งออกไปจากร่างกายนั่นล่ะ แล้วพอปล่อยอากาศออกไปมากๆ เข้า ร่างกายก็จะทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะพยายามรักษาระบบการทำงานของร่างกายเอาไว้”

 

นากาที่ได้ยินอาจารย์เอริซาเบธเปรียบเทียบพลังวิซให้เป็นอากาศที่มนุษย์ใช้ในการหายใจเข้าออกนั้นก็นึกถึงทะเลหญ้าหรือที่ทุกคนเรียกว่าทะเลมรกตที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านของเขาขึ้นมาได้ เขาจึงได้เอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา

 

“…เพราะแบบนั้นทะเลมรกตที่ไม่มีวิซอยู่เลยถึงเป็นเขตอันตรายสินะ เหมือนกับว่าเข้าไปในบริเวณที่ไม่มีอากาศให้หายใจอะไรแบบนั้น?”

 

“อื้ม~ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะถึงขั้นเข้าไปแล้วล้มพับลงไปเสียชีวิตในทันทีเลยหรอกนะ เพราะว่าร่างกายของพวกเรายังสามารถสร้างพลังวิซขึ้นมาเองได้อยู่ส่วนหนึ่ง แต่ว่าพอเป็นแบบนั้นก็ทำให้ร่างกายรับภาระหนักเหมือนกับว่าออกกำลังอยู่ตลอดเวลาอะไรแบบนั้นนั่นล่ะ”

 

“แล้วนี่โมโกะเขามีอาการเป็นยังไงบ้างน่ะ คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตใช่มั้ย?”

 

ในขณะที่เอริซาเบธกำลังยืนยิ้มพูดอธิบายให้นักเรียนหน้าใหม่ของเธอฟังอยู่นั่นเอง นากาที่ได้ยินว่าการใช้งานพลังวิซหนักๆ นั้นอาจจะทำให้มีผลข้างเคียงอะไรตามมาด้วยก็ได้รีบเอ่ยปากถามออกมาด้วยความเป็นห่วงในทันที

 

“ถ้าดูจากการที่ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอะไรแต่ว่าสลบไปแบบนั้นก็คงเป็นอาการโอเวอร์ฮีตขั้นสามน่ะ อ้ะ… อันนี้เธอคงจะยังไม่รู้สินะ อาการโอเวอร์ฮีตน่ะมีอยู่หลายขั้น ขั้นแรกก็แค่เหนื่อยหอบเหมือนกับออกแรงหนักธรรมดาๆ ขั้นสองก็จะเป็นอาการตาพร่า เวียนหัวหรือว่าเจ็บหน้าอก ส่วนขั้นที่สามก็จะเป็นสลบไปเลยแบบนั้นล่ะ แต่ว่าไม่ร้ายแรงถึงชีวิตหรอก วางใจได้เลย”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ยัยนั่นน่ะรู้จักกับพรีมูล่าที่มีวิซธาตุน้ำแข็งมาตั้งแต่เด็กๆ แถมยังสู้กับใครเขาไม่เก่งอีกต่างหาก ก็เลยตีค่าของตัวเองไว้ต่ำติดดินแบบนั้นน่ะ ให้ตายสิ… คราวนี้คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องแล้วล่ะมั้งว่าชีวิตของตัวเองมีค่าน่ะ”

 

“น่าๆ แต่ว่าการที่โมโกะเขาตัดสินใจแบ….อ้ะ! จะว่าไปก็โชคดีนะที่โมโกะสลบไปก่อนแบบนั้นน่ะ ไม่งั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินนากาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดนั้นก็พยายามพูดแก้ต่างออกมาให้แทน แต่ว่าเธอก็เปลี่ยนเรื่องไปกลางคัน ซึ่งสิ่งที่เธอพูดขึ้นมาแทนนั้นก็ทำให้นากาหันไปมองอย่างสงสัย

 

“ยังจะมีอะไรร้ายแรงยิ่งกว่าการสลบไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนั้นอีกหรอ?”

 

“อื้ม… ถึงส่วนมากคนที่ฝืนใช้พลังวิซจนโอเวอร์ฮีตจะมาหยุดกันที่อาการขั้นที่สามนี่ก็เถอะนะ… แต่เขาว่ากันว่ามันมีอาการขั้นที่สี่ขั้นที่ห้าขึ้นไปอยู่ด้วยเหมือนกันน่ะ”

 

“ขั้นที่สี่ ขั้นที่ห้า งั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ถึงจะไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดก็เถอะ เพราะคนส่วนมากที่ฝืนใช้พลังเกินตัวจะสลบไปในขั้นที่สามนี่ล่ะ แต่เขาว่ากันว่าถ้าเธอมุ่งมั่นมากพอจนสามารถที่จะทนอาการเจ็บปวดและฝืนร่างกายของตนไม่ให้สลบไปได้ เธอก็จะยังสามารถใช้พลังวิซต่อไปได้อีกสักพักหนึ่ง แต่ว่าผลกระทบที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ…”

 

“พี่นากา~ สนามสอบตะกี้หายไปไหนแล้วอ้ะ~”

 

ในตอนที่เอริซาเบธเพิ่งจะอธิบายจบนั่นเองก็ได้มีเสียงของพรีมูล่าดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา และเมื่อพวกเขาหันไปมองก็พบกับพรีมูล่าที่มีครีมเปื้อนแก้มกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาจากทางโรงอาหาร ซึ่งเอริซาเบธก็ได้มองเธอแบบยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบเธอกลับไป

 

“เมื่อกี้ฉันให้นักเรียนอีกคนมาเก็บสนามไปเรียบร้อยแล้วน่ะ”

 

“โห~~ สนามใหญ่ขนาดนั้นน่ะนะ!? เรื่องจริงหรอพี่นากา!”

 

“อืม… พี่ก็ยืนดูอยู่เหมือนกัน เขาเพิ่งจะเดินเข้าตึกเรียนไปเมื่อกี้นี้เอง เหมือนว่าที่นี่จะมีนักเรียนเก่งๆ อยู่หลายคนเลยล่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดพวกเราสอบผ่านขึ้นมาจริงๆ เธอก็ต้องตั้งใจเรียนหน่อยก็ละกัน อย่าให้เสียชื่อคุณแม่เขานะรู้มั้ย”

 

นากาที่เห็นพิเน๊ะใช้พลังวิซจัดการเปลี่ยนสภาพสนามหญ้าที่กว้างเกือบร้อยเมตรได้โดยไม่หมดแรงไปซะก่อนแถมยังสามารถเข้าใกล้เขาได้โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวถึงสองครั้งนั้นได้เอ่ยปากเตือนพรีมูล่าโดยอ้างชื่อของคุณแม่ของพวกเขาขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่าถ้าพูดไปแบบนั้นน้องสาวของตนจะต้องรับฟังแน่ๆ

 

ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นครีมสีขาวที่เปื้อนหน้าน้องสาวของตนอยู่จึงได้ถอนหายใจออกมาและดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ๆ เพื่อที่จะใช้แขนเสื้อของเขาเช็ดมันให้กับเธอ

 

“เฮ้อ… เธอเนี่ยน๊า…ให้ตายสิ…”

 

“แฮะๆ ขอบคุณค่ะพี่นากา~”

 

“อ้าว แล้วคุณเอริกะล่ะพริมจัง?”

 

ทางด้านเอริซาเบธที่พยายามมองหาเอริกะที่น่าจะอยู่ด้วยกันกับพรีมูล่าแต่ว่าก็ไม่พบตัวนั้นได้ร้องถามขึ้นมาด้วยสรรพนามเดียวกับที่เธอได้ยินเอริกะเรียกพรีมูล่า จนทำให้อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นหันมามองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย

 

“พี่เอริกะเขาบอกว่าเป็นห่วงพี่อลิซก็เลยกลับบ้านไปก่อนแล้วอ่ะ ส่วนพวกเราถ้าโมโกะจังฟื้นเมื่อไหร่ก็ค่อยตามกลับไปละกันอ่ะ”

 

“รีบกลับไปนอนชัวร์!/ คงรีบกลับไปนอนแน่ๆ!”

 

นากาและเอริซาเบธที่ตอบกลับไปเป็นเสียงเดียวกันนั้นได้หันมามองหน้ากันและหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เอริซาเบธจะพูดขึ้นมาและออกเดินนำทั้งสองคนไปยังทางอาคารเรียน

 

“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปดูอาการของโมโกะกันก่อนละกันนะ ตามมาสิ เดี๋ยวฉันพาไปที่ห้องพยาบาลให้เอง”

 

“คิกคิก…”

 

“—!?”

 

ยังไม่ทันที่นากาจะได้ตอบอะไรกลับไป เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาดังขึ้นมาจากทางด้านหลังจนทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปดูในทันที

 

แต่ว่าเขาก็ไม่พบกับใครเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เขาเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะหลอนไปกับสิ่งที่เอริซาเบธพูดขึ้นมาเพื่อแกล้งเขาเล่นแล้วก็เป็นได้

 

“พี่นากา~ ทำอะไรอยู่อ่ะ ถ้ามาช้าเดี๋ยวก็โดนทิ้งซะหรอก~”

 

“อ—อ่า จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 39 : Hazardous Faculty

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 39 : Hazardous Faculty at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เหวอ!!?”
 

นากาที่สะดุ้งตกใจกับการปรากฏตัวของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่โผล่หน้ามาในระยะประชิดนั้นก็เผลอก้าวถอยหลังไปซะจนเขาแทบจะสะดุดขาตัวเองล้ม

 

ซึ่งเด็กสาวที่เห็นท่าทีลนลานของเขานั้นก็เอามือที่ถูกชายเสื้อขนาดใหญ่เกินตัวคลุมอยู่ทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากและหัวเราะคิกคักอย่างน่าขนหัวลุก ก่อนที่อยู่ดีๆ เธอจะหยุดหัวเราะอย่างกะทันหันและเอียงคอไปข้างๆ พร้อมกับพูดทักทายเขาขึ้นมา

 

“คิกคิกคิก… สวัสดี~”

 

“ว—ว่าไง เธอเป็นนักเรียนของที่นี่หรอ?”

 

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากทักทายตนมาแบบนั้นนากาก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างลังเล ก่อนที่เขาจะหันไปมองหาเอริซาเบธที่เดินเข้าไปในโรงอาหารเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะรับมือเด็กสาวท่าทางประหลาดๆ ตรงหน้านี้ยังไงดี

 

แต่ว่าเอริซาเบธก็เอาแต่พยายามมองหาเด็กนักเรียนคนที่เธอมาตามตัวโดยไม่ได้หันกลับมาทางฝั่งประตูทางเข้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องพยายามหาวิธีรับมือเด็กสาวตรงหน้าด้วยตัวเขาเอง

 

และเมื่อเขามองเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตตรงหน้าดูดีๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเห็นเด็กสาวคนนี้นั่งกอดเข่าจ้องมองเขาอยู่ในอาคารเรียนตอนที่กำลังเดินเข้าไปยื่นเอกสารนั่นเอง

 

“อื้ม~”

 

เมื่อนากาเห็นว่าอีกฝ่ายตอบคำถามของเขากลับมาเพียงสั้นๆ เขาจึงได้พยายามที่จะเดินถอยหลังไปเพื่อเว้นระยะห่างจากเด็กสาวที่ยื่นหน้าของเธอเข้ามาใกล้เขาสักเล็กน้อย

 

“อื้ม~~”

 

แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นก็กลับส่งเสียงลากยาวออกมาอีกครั้งและเดินเบิ่งตาเอียงคอตามเขามา แถมยังยื่นหน้าของเธอเข้ามาจ้องมองใบหน้าเขาในระยะประชิดถึงแม้ว่าเขาจะพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วก็ตาม จนทำให้นากาได้แต่ถามคำถามออกมาอีกครั้งเพื่อหวังที่ให้เธอหยุดเดินตามเขามาสักที

 

“อ—เอ่อ… มีอะไรหรือเปล่าน่ะ? ไม่ต้องเข้ามาจ้องกันใกล้ขนาดนี้ก็ได้นะ…”

 

ทันใดนั้นเองเด็กสาวตรงหน้าเขาก็ได้ขยับมือภายใต้ชายเสื้อของเธอพุ่งตรงมายังฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“….!”

 

หมับ!

 

“!?”

 

ถึงแม้ว่านากาที่เห็นการขยับตัวอย่างฉับพลันของเด็กสาวตรงหน้านั้นจะพยายามขยับมือของเขาหลบไปก็ตาม แต่ว่าเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวตรงหน้าของเขาก็กลับสามารถพุ่งมือของเธอตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่ค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตัวเองในระดับหนึ่งหลังจากที่เขาสามารถฝึกซ้อมกับอัศวินอย่างคอนเนล หรือประอาวุธกับนักดาบอย่างเซซิลที่เขาคิดว่าเผลอๆ อาจจะเก่งกาจกว่าคอนแนลด้วยได้อย่างสูสีถึงกับต้องหน้าเจือนไปเล็กน้อย

 

แต่ว่าเด็กสาวที่คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ได้นั้นก็ทำเพียงแค่ดึงมือของเขาไปจ้องดูใกล้ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“…..”

 

“…มือฉันมันมีอะไรหรือเปล่าน่ะ?”

 

นากาที่ถูกเด็กสาวตรงหน้าจับมือของตนไปบีบสำรวจดูเล่นได้ถามขึ้นมาอย่างทำตัวไม่ถูกนัก เพราะว่าเด็กสาวตรงหน้านั้นได้ทำเหมือนกับว่าเพิ่งเคยเห็นมือคนเป็นครั้งแรกไม่มีผิด โดยเธอได้จับมือของเขาพลิกสำรวจดูทุกซอกทุกมุม จากนั้นก็จับนิ้วของเขาให้ขยับไปมา แล้วไหนจะยังจับมันให้กำและแบเล่นสลับไปมาอีกต่างหาก

 

และหลังที่เธอได้จับมือของเขาไปสำรวจดูเล่นได้สักพัก เธอก็ได้หยุดมือของเธออย่างกะทันหันและเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขาก่อนที่จะพูดขึ้นมา

 

“นี่…นา—”

 

“อ่าว มาอยู่ตรงนี้เองหรอพิเน๊ะ!แล้วไหงเธอถึงมายืนเล่นอยู่หน้าโรงอาหารล่ะเนี่ย?”

 

แต่ยังไม่ทันที่พิเน๊ะจะได้พูดออกมาจนเสร็จ เอริซาเบธที่เหลือบมาเห็นผมสีเหลืองแซมเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาวตรงหน้าของนากาก็ได้ร้องเรียกเธอขึ้นมาซะก่อน

 

และเมื่อเด็กสาวตรงหน้าได้ยินคนเอ่ยปากเรียกชื่อของเธอขึ้นมา เธอก็ได้ปล่อยมือออกจากฝ่ามือของนากาและหันไปเอียงคอจ้องมองเอริซาเบธที่กำลังเดินเข้ามาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

“อ๊ะ… พวกเธอได้แนะนำตัวกันหรือยังล่ะเนี่ย? เด็กผู้ชายหน้าตามึนๆ ตรงหน้าเธอนั่นชื่อว่านากาน่ะ เขาเพิ่งจะมาสมัครเรียนแล้วก็สอบกันวันนี้เลย ส่วนนากาคุง… เด็กคนนี้ชื่อว่าพิเน๊ะ เธอเป็นนักเรียนของที่นี่น่ะ”

 

“อ—อ่า… ชื่อว่าพิเน๊ะงั้นสินะ— เดี๋ยวสิ นี่เธอว่าใครหน้ามึนกันหะ!?”

 

เอริซาเบธที่เห็นว่านากาซึ่งควรจะเป็นคนที่เข้าหาและตีสนิทกับคนอื่นได้ง่ายนั้นกำลังยืนทำหน้าตาประหลาดๆ อยู่ ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงจะเจอความประหลาดยิ่งกว่าของพิเน๊ะเข้าไปจนทำตัวไม่ถูก เธอจึงได้ช่วยพูดแนะนำตัวให้ทั้งสองฝ่ายออกมาแทน

 

ซึ่งคำแนะนำตัวของเอริซาเบธนั้นก็ทำให้นากาตั้งสติได้และหันไปโวยวายใส่เธอในทันที ส่วนทางด้านพิเน๊ะที่ได้รู้ชื่อของนากาแล้วก็หันกลับไปเอียงคอเบิ่งตามองนากาแบบตาไม่กะพริบอีกครั้ง

 

ทันใดนั้นเองเอริซาเบธก็ได้หยิบเอาคริสตัลสีเหลืองก้อนเดิมออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ของเธอและเอ่ยปากถามพิเน๊ะขึ้นมา

 

“ว่าแต่เธอยังมีอาการล้าอยู่หรือเปล่าน่ะพิเน๊ะ? ถ้าจะเปลี่ยนสนามหญ้าให้กลับมาเป็นแบบเดิมตอนนี้เลยจะไหวมั้ย?”

 

“อื้อ~”

 

ซึ่งเด็กสาวก็ตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนที่จะหยิบเอาคริสตัลก้อนนั้นไปจากมือเธอและชูมันไว้เหนือหัวพร้อมกับเดินออกไปยังแนวแท่นดินที่ใช้ในการสอบทันที และเมื่อเอริซาเบธเห็นแบบนั้นเธอก็หันไปสอบถามนากาดูว่าเขาจะเอายังไงต่อดี

 

“แล้วนายจะเข้าไปนั่งกินอะไรในโรงอาหารก่อนมั้ยล่ะนากาคุง? หรือว่าถ้ายังไม่หิวจะลองไปดูพิเน๊ะเขาจัดการเปลี่ยนสนามกลับมั้ยล่ะ?”

 

“ก็ดีนะ เพราะว่าฉันยังไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่ด้วยสิ… ส่วนพรีมูล่าปล่อยให้เอริกะดูแลไปก่อนละกัน คิดว่าคงไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้งนะ…”

 

“ฮะฮะ ก็คงได้แต่หวังล่ะน๊า~”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของนากาแล้วเอริซาเบธก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินนำเขาตามพิเน๊ะไปยังสนามสอบ และในจังหวะที่พวกเขาเดินไปถึง พิเน๊ะก็กำลังปักก้อนคริสตัลสีเหลืองที่กำลังเรืองแสงอยู่นั้นลงไปบริเวณพื้นหญ้าเบื้องหน้าสนามสอบอยู่พอดี

 

ครึกครึกครึก!

 

ทันใดนั้นเองแท่นดินจำนวนมากที่ถูกดันขึ้นมาเป็นสิ่งกีดขวางให้สนามสอบนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวกลับลงไปทีละแถวจนพื้นหญ้าที่อยู่เหนือแท่นดินเหล่านั้นได้กลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้ง

 

ซึ่งนากาที่เคยเห็นแต่น้องสาวของเขาใช้วิซเพื่อสร้างกระสุนน้ำแข็งมายิงเล่นหรือสร้างก้อนน้ำแข็งมายัดใส่ตู้แช่เย็นก็ได้แต่ร้องออกมาอย่างตกตะลึง

 

“โห วิซนี่มันทำได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย?”

 

“อื้ม อื้ม ค่อยๆ ลดมันลงช้าๆ ให้มันกลับเป็นสภาพเดิมไปทีละส่วนแบบนั้นแหล่ะ”

 

แต่ก็ดูเหมือนว่าเอริซาเบธจะไม่ได้ยินคำถามของเขา เพราะว่าเธอกำลังพูดกำกับพิเน๊ะที่ใช้พลังวิซในการปรับสภาพสนามสอบอยู่ และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่าพิเน๊ะนั้นสามารถทำให้สนามสอบส่วนหนึ่งกลับมาเรียบเสมอกันกับพื้นหญ้าได้ตามเดิมเธอก็เอ่ยปากชมออกมา

 

“นั่นล่ะๆ เก่งมากจ้ะพิเน๊ะ”

 

“ฮะฮะฮะฮะ~~”

 

พิเน๊ะที่ได้รับคำชมจากเอริซาเบธไปนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งกอดเข่าเอียงตัวไปมาและส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย จนทำให้นากาที่เห็นท่าทางประหลาดๆ ของเธอเข้าไปต้องแอบสะกิดเอริซาเบธเบาๆ ให้อีกฝ่ายเดินตามเขาไปเพื่อที่จะสอบถามอะไรบางอย่าง

 

“นี่เอริ… ปกติพิเน๊ะเขาเป็นแบบนี้ตลอดเวลาหรือเปล่าน่ะ…? แบบว่าทำตัวแปลกๆ จนแอบน่ากลัวแบบนั้นน่ะ?”

 

“เห? อื้อ… พิเน๊ะเขาก็ทำท่าทางแบบนี้ตลอดเวลาอยู่แล้วนะ”

 

“จริงหรอ? ฉันว่าท่าทางของพิเน๊ะดูน่ากลัวแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ…”

 

“ก็แค่แอบน่ากลัวนิดหน่อยเองล่ะน่า~ อีกอย่างถ้าพูดถึงเรื่องทำตัวแปลกๆ ฉันว่าน้องสาวของนายดูประหลาดกว่าตั้งเยอะนะ”

 

“เถียงไม่ได้แฮะอันนี้…”

 

เมื่อได้ยินเอริซาเบธพูดขึ้นมาตรงๆ แบบนั้นนากาก็ได้แต่เกาหัวตัวเองแบบไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไงดี ก่อนที่เขาจะแอบเหลือบกลับไปมองพิเน๊ะที่ยังคงนั่งกอดเข่าเอียงตัวไปมาและใช้พลังวิซของเธอจัดการสนามสอบส่วนที่เหลืออยู่อย่างหวาดๆ

 

“จะว่าไปนายเองก็ไม่ใช่คนแรกที่มาถามฉันเรื่องพิเน๊ะเขานี่นะ~”

 

“เอ๊ะ? มีคนอื่นที่คิดเหมือนกับฉันด้วยหรอน่ะ?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของเอริซาเบธได้ร้องถามเธอขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกประหลาดใจที่มีคนคิดเหมือนกันสักเท่าไหร่นักก็ตามที

 

“อื้ม~ ถึงส่วนมากเธอจะอยู่ตัวคนเดียวเพราะว่านักเรียนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เธอก็เถอะ แต่ว่าบางทีพิเน๊ะเขามีท่าทีเหมือนว่าจะสนใจนักเรียนหรืออาจารย์บางคนเป็นพิเศษอยู่บ้างน่ะ”

 

“เห…”

 

“แล้วทีนี้อาจารย์กับนักเรียนพวกนั้นก็มาปรึกษาฉันราวๆ ว่าเหมือนพวกเขาจะเหลือบไปเห็นพิเน๊ะแอบจ้องมองพวกเขาอยู่จากหลังเสาไม่ก็มุมตึกแต่ว่าพอหันไปมองดูดีๆ ก็ไม่เห็นมีใครเลยน่ะ แล้วไหนจะยังมีเรื่องที่ว่าพวกภารโรงเห็นอะไรสักอย่างสีเหลืองๆ เขียวๆ แว๊บไปแว๊บมาในโรงเรียนตอนกลางคืนแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนจับตาดูอยู่อีก…”

 

“แล้วตกลงที่เธอว่ามานั่นมันใช่ฝีมือของพิเน๊ะเขาหรือเปล่าน่ะ?”

 

“เรื่องตอนกลางคืนนั่นไม่ใช่หรอก เพราะว่าตอนที่ถูกภารโรงตื๊อหนักมากๆ ฉันเคยลองแอบตามพิเน๊ะเขาไปช่วงหลังเลิกเรียนดูแล้ว แต่ว่าเธอก็ตรงกลับเข้าบ้านของเธอที่อยู่แถวๆ ชานเมืองตามปกติเลยน่ะ เพราะงั้นถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นช่วงหลังเลิกเรียนก็ไม่ใช่ฝีมือพิเน๊ะเขาหรอก~”

 

คำตอบของเอริซาเบธนั้นพอจะทำให้นากาโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง แต่ว่าเมื่อเขาคิดตามคำพูดของเธอดูดีๆ แล้วก็พบว่าเอริซาเบธได้แอบข้ามเรื่องอะไรบางอย่างไป

 

“ง—งั้นเรื่องที่ว่าแอบจ้องมองจากหลังเสานั่นล่ะ?”

 

“แหมรู้ตัวด้วยหรอ~ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เธอก็แค่แอบมองเองน่ะไม่เคยเข้าไปทำอะไรใครสักหน่อย~ เอาเป็นว่าถ้านายโดนพิเน๊ะแอบมองดูแล้วไม่ชอบใจก็ลองบอกเธอไปตรงๆ ดูสิ”

 

“เอ่อ… แบบนั้นมันจะดีหรอ…”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของเอริซาเบธก็แอบเหลือบกลับไปมองดูพิเน๊ะที่กำลังยืนโยกไปมามองดูสนามหญ้าที่กลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้งอย่างลังเล

 

เพราะว่าเมื่อดูจากท่าทีประหลาดๆ ของเธอแล้วเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่สักคนเดียว และการที่เธอเอาแต่แอบจ้องมองคนอื่นจากมุมตึกนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่รู้วิธีที่จะเข้าหาคนอื่นก็เป็นได้ ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่เขาจะเข้าไปพูดกับเธอตรงๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ใจร้ายเกินไปหน่อย

 

“ใจดีจังเลยนะนากาคุงเนี่ย~ แต่เอาเป็นว่าถ้าเกิดนายต้องเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืนแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าถูกจ้องมองดูอยู่ล่ะก็ นั่นไม่ใช่ฝีมือของพิเน๊ะเขาหรอก~”

 

“ด—เดี๋ยวสิ!? แบบนั้นมันหมายความว่ามันมีอะไรสักอย่างคอยจับตาดูคนที่อยู่ในโรงเรียนตอนกลางคืนจริงๆ หรอน่ะ!?”

 

“นั่นสิน๊า~ แต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีหรอก …มั้ง~”

 

เอริซาเบธพูดตอบนากากลับไปอย่างกำกวมจนทำให้เขาแทบจะตาเหลือก แต่ว่าในจังหวะที่เขากำลังคิดจะถามเอริซาเบธกลับไปให้ชัดๆ นั้นเอง อยู่ดีๆ มือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้และดึงไปข้างหลังซะก่อน

 

หมับ

 

“เหวอ!!?”

 

นากาที่กำลังสยองขวัญอยู่กับเรื่องเล่าของเอริซาเบธนั้นได้ร้องออกมาอย่างตกใจและรีบสะบัดมือของเขาให้หลุดออกจากการจับกุมในทันที ก่อนที่เขาจะรีบดีดตัวไปหลบอยู่ด้านหลังเอริซาเบธและโผล่หน้าออกมามองดูใครหรืออะไรก็ตามที่คว้ามือของเขาไปเมื่อสักครู่

 

ซึ่งเขาก็พบกับพิเน๊ะที่ได้เดินมาด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังเงยหน้ามองมือของเธอที่กำลังชูขึ้นสูงเพราะถูกเขาสะบัดทิ้งอย่างแรงอยู่

 

ก่อนที่เธอจะเอียงคอของตัวเองหันกลับมาเบิ่งตามองนากาโดยไม่ลดมือลงเลยแม้แต่น้อยและพูดถามเขาขึ้นมา

 

“คิกคิก~ ตกใจอะไรหรอ? นากา?”

 

ในขณะที่นากากำลังโล่งอกเพราะเห็นว่าคนที่มาคว้าแขนของเขาเอาไว้นั้นมีเลือดเนื้อจริงๆ ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาตินั่นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นเอริซาเบธที่กำลังทำตาแพรวพราวหันกลับมามองดูเขาอย่างล้อเลียนเข้า ทำให้เขารีบตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา

 

“ป—เปล่าสักหน่อย!ว่าแต่เธอไม่ไปเปลี่ยนสนามกลับแล้วหรอ?”

 

“เสร็จแล้วต่างหาก~ แต่ว่ามันมีตรงส่วนที่พื้นหญ้าแหว่งไปเพราะที่รีซาน่าทำแท่นดินพังด้วย อาจารย์เอริไม่ว่าอะไรสินะคะ~”

 

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอจ้ะ เดี๋ยวหญ้ามันก็งอกขึ้นมาใหม่เองล่ะ เก่งมากจ้ะพิเน๊ะ~”

 

“นี่มันสนามที่พวกฉันใช้สอบเมื่อกี้จริงๆ หรอเนี่ย…”

 

ในระหว่างที่เอริซาเบธกำลังลูบหัวชมพิเน๊ะอยู่นั้น นากาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เพราะว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เบื้องหน้าของเขานั้นยังคงเต็มไปด้วยแท่นดินอยู่เลย

 

แต่ว่าในตอนนี้มันได้กลับมากลายเป็นสนามหญ้าเรียบๆ เหมือนกับตอนที่เขาเดินเข้ามาในโรงเรียนไปซะแล้วถึงแม้ว่าจะมีพื้นหญ้าบางส่วนแหว่งไปบ้างก็ตามที

 

“ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะพิเน๊ะ ตอนนี้ก็หมดเรื่องแล้วล่ะ ถ้าเธออยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ตามสบายเลยนะ”

 

“ฮิฮิ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนละกันนะคะ~”

 

เมื่อพิเน๊ะได้ยินคำอนุญาตจากเอริซาเบธเธอก็พยักหน้ากลับไปทีหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาโบกมือลานากาและออกเดินเข้าไปในอาคารเรียนที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว

 

“ดูๆ แล้วก็ท่าทางเป็นเด็กดีกว่าที่คิดเหมือนกันนะ…”

 

“ใช่มั้ยล๊า~ พิเน๊ะเขาเป็นเด็กดีจะตาย”

 

นากาที่เห็นอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วแบบนั้นก็หันกลับไปมองยังสนามหญ้าเบื้องหน้าอีกครั้งและพูดถามเอริซาเบธออกมาอย่างประหลาดใจ

 

“ว่าแต่วิซนี่มันทำได้ถึงขนาดเปลี่ยนสนามหญ้าที่กว้างขนาดนี้ให้กลายเป็นสนามสอบได้เลยหรอเนี่ย?”

 

“ก็ถ้าเกิดว่าเธอมีพลังมากพอแล้วก็มีคริสตัลที่เหมาะสมบวกกับการฝึกฝนนิดๆ หน่อยๆ ใครๆ ก็ทำได้กันทั้งนั้… เอ่อ…”

 

ในขณะที่เอริซาเบธกำลังพูดตอบกลับนากาด้วยน้ำเสียงร่าเริงนั่นเอง อยู่ดีๆ เธอก็เงียบไปกลางคันและเหลือบมองท่าทีของนากาเล็กน้อย เมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นไม่สามารถใช้พลังวิซออกมาได้เลยแม้แต่สักนิดเดียว

 

“…ไม่เป็นไรหรอก พูดต่อสิ”

 

“อื้ม… เอาจริงๆ พิเน๊ะเขาก็ต้องฝึกการใช้คริสตัลประเภทเปลี่ยนสภาพพื้นที่แบบนี้หนักพอตัวอยู่นะ~ อีกอย่างนึง ต่อให้ฝึกใช้จนคล่องแล้วก็เถอะ แต่ว่าปริมาณวิซที่ใช้ในแต่ละครั้งก็ไม่ใช่น้อยๆ ซะด้วยสิ”

 

“อ้าว? แล้วปล่อยไปเฉยๆ แบบนั้นจะดีหรอ? ไม่สั่งให้พิเน๊ะเขาไปพักที่ห้องพยาบาลก่อนล่ะ”

 

“ก็… ถึงตอนแรกๆ ที่พิเน๊ะเขาโดนฝึกให้ใช้คริสตัลสำหรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่เธอจะล้มพับลงไปเลยก็เถอะ แต่ว่าหลังๆ มานี่ดูเหมือนว่าจะใช้ได้สบายๆ แล้วล่ะ แถมก่อนหน้านี้เธอยังสนุกเกินไปจนเผลอทำคริสตัลแตกอีกต่างหาก… เพราะงั้นจองห้องพยาบาลไว้ให้โมโกะได้พักผ่อนอย่างสงบน่าจะดีกว่าละมั้ง”

 

“หะ? นี่สรุปว่าอาการของโมโกะหนักขนาดไหนกันแน่เนี่ย?”

 

“จริงด้วยสิ นากาคุงใช้วิซไม่ได้แบบนี้คงจะไม่เคยมีอาการโอเวอร์ฮีตสินะ”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินคำถามของนากาเข้าไปก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าในเมื่อนากานั้นไม่สามารถใช้วิซได้ เขาก็คงจะไม่เคยประสบปัญหาเรื่องร่างกายขาดแคลนพลังวิซกับตัวเองมาก่อนจนทำให้เขาไม่เข้าใจอาการที่โมโกะกำลังเป็นอยู่

 

“อย่าว่าแต่ไม่มีเคยมีอาการเลย… ชาตินี้ฉันจะมีโอกาสได้โอเวอร์ฮีตหรือเปล่าก็ไม่รู้ซะด้วยซ้ำ…”

 

“อืม… ขอโทษที… แต่ว่าฝีมือระดับนายนี่ต่อให้ใช้วิซไม่ได้ก็น่าจะอนาคตไกลอยู่แล้วล่ะ เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอก~”

 

เมื่อนากาได้ยินเอริเบธพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจือนๆ และยังพยายามปลอบใจเขาแบบนั้น เขาก็ได้รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้ตลอดออกมา เขาจึงได้พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงของตนให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งในทันที

 

“อ่า ถ้าขนาดคนดังประจำโรงเรียนรีมินัสอย่างอาจารย์เอริซาเบธยังพูดออกมาแบบนี้ ฉันคงจะสบายใจได้แล้วล่ะมั้ง…”

 

“มาเรียกฉันว่าอาจาร์ยนอกเวลาเรียนนี่สนใจอยากโดนหักคะแนนก่อนเริ่มเรียนมั้ยจ๊ะ~”

 

“อ้าว ก็เธอบอกว่าอยู่ในโรงเรียนให้เรียกว่าอาจา… ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ”

 

และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่านากานั้นกลับมามีท่าทีสบายๆ เหมือนกับทุกทีแล้วเธอจึงค่อยหันกลับมาอธิบายอาการโอเวอร์ฮีต หรือที่เรียกกันบ้านๆ ว่าอาการขาดแคลนพลังวิซให้กับเด็กนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องวิซเลยอย่างนากาฟัง

 

“อะแฮ่ม เอาล่ะถ้างั้นก็กลับมาพูดเรื่องเดิมกันต่อดีกว่า อันนี้ต่อให้เป็นนายก็น่าจะรู้นะว่าร่างกายของคนเราน่ะต้องใช้พลังวิซเพื่อดำรงกิจวัตรประจําวัน ไม่ได้หมายถึงในแง่ของความสะดวกสบายจากอุปกรณ์ภายนอกนะ แต่หมายถึงในการค้ำจุนระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายน่ะ”

 

“อื้ม… เรื่องนั้นอาจารย์ที่หมู่บ้านเคยสอนแล้วล่ะ”

 

“แล้วทีนี้เวลาที่คนเราส่งพลังวิซออกไปนอกร่างกายเพื่อกระตุ้นการทำงานของคริสตัลน่ะ ถ้าเกิดว่าใช้ในปริมาณน้อยๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าร่างกายสามารถรับพลังวิซจากธรรมชาติมาเพื่อทดแทนได้ แต่ว่าถ้าเกิดใช้พลังไปในปริมาณมากๆ จนดูดซับพลังจากธรรมชาติมาทดแทนได้ไม่ทันล่ะก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาน่ะ”

 

“นั่นก็เป็นที่มาของอาการขาดแคลนพลังวิซงั้นสินะ”

 

“ใช่แล้วล่ะ~ ถ้าจะให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คิดซะว่าวิซในร่างกายเป็นอากาศ พอเธอส่งพลังวิซออกไปก็เหมือนเอาอากาศส่วนหนึ่งออกไปจากร่างกายนั่นล่ะ แล้วพอปล่อยอากาศออกไปมากๆ เข้า ร่างกายก็จะทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะพยายามรักษาระบบการทำงานของร่างกายเอาไว้”

 

นากาที่ได้ยินอาจารย์เอริซาเบธเปรียบเทียบพลังวิซให้เป็นอากาศที่มนุษย์ใช้ในการหายใจเข้าออกนั้นก็นึกถึงทะเลหญ้าหรือที่ทุกคนเรียกว่าทะเลมรกตที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านของเขาขึ้นมาได้ เขาจึงได้เอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา

 

“…เพราะแบบนั้นทะเลมรกตที่ไม่มีวิซอยู่เลยถึงเป็นเขตอันตรายสินะ เหมือนกับว่าเข้าไปในบริเวณที่ไม่มีอากาศให้หายใจอะไรแบบนั้น?”

 

“อื้ม~ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะถึงขั้นเข้าไปแล้วล้มพับลงไปเสียชีวิตในทันทีเลยหรอกนะ เพราะว่าร่างกายของพวกเรายังสามารถสร้างพลังวิซขึ้นมาเองได้อยู่ส่วนหนึ่ง แต่ว่าพอเป็นแบบนั้นก็ทำให้ร่างกายรับภาระหนักเหมือนกับว่าออกกำลังอยู่ตลอดเวลาอะไรแบบนั้นนั่นล่ะ”

 

“แล้วนี่โมโกะเขามีอาการเป็นยังไงบ้างน่ะ คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตใช่มั้ย?”

 

ในขณะที่เอริซาเบธกำลังยืนยิ้มพูดอธิบายให้นักเรียนหน้าใหม่ของเธอฟังอยู่นั่นเอง นากาที่ได้ยินว่าการใช้งานพลังวิซหนักๆ นั้นอาจจะทำให้มีผลข้างเคียงอะไรตามมาด้วยก็ได้รีบเอ่ยปากถามออกมาด้วยความเป็นห่วงในทันที

 

“ถ้าดูจากการที่ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอะไรแต่ว่าสลบไปแบบนั้นก็คงเป็นอาการโอเวอร์ฮีตขั้นสามน่ะ อ้ะ… อันนี้เธอคงจะยังไม่รู้สินะ อาการโอเวอร์ฮีตน่ะมีอยู่หลายขั้น ขั้นแรกก็แค่เหนื่อยหอบเหมือนกับออกแรงหนักธรรมดาๆ ขั้นสองก็จะเป็นอาการตาพร่า เวียนหัวหรือว่าเจ็บหน้าอก ส่วนขั้นที่สามก็จะเป็นสลบไปเลยแบบนั้นล่ะ แต่ว่าไม่ร้ายแรงถึงชีวิตหรอก วางใจได้เลย”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ยัยนั่นน่ะรู้จักกับพรีมูล่าที่มีวิซธาตุน้ำแข็งมาตั้งแต่เด็กๆ แถมยังสู้กับใครเขาไม่เก่งอีกต่างหาก ก็เลยตีค่าของตัวเองไว้ต่ำติดดินแบบนั้นน่ะ ให้ตายสิ… คราวนี้คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องแล้วล่ะมั้งว่าชีวิตของตัวเองมีค่าน่ะ”

 

“น่าๆ แต่ว่าการที่โมโกะเขาตัดสินใจแบ….อ้ะ! จะว่าไปก็โชคดีนะที่โมโกะสลบไปก่อนแบบนั้นน่ะ ไม่งั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

เอริซาเบธที่ได้ยินนากาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดนั้นก็พยายามพูดแก้ต่างออกมาให้แทน แต่ว่าเธอก็เปลี่ยนเรื่องไปกลางคัน ซึ่งสิ่งที่เธอพูดขึ้นมาแทนนั้นก็ทำให้นากาหันไปมองอย่างสงสัย

 

“ยังจะมีอะไรร้ายแรงยิ่งกว่าการสลบไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนั้นอีกหรอ?”

 

“อื้ม… ถึงส่วนมากคนที่ฝืนใช้พลังวิซจนโอเวอร์ฮีตจะมาหยุดกันที่อาการขั้นที่สามนี่ก็เถอะนะ… แต่เขาว่ากันว่ามันมีอาการขั้นที่สี่ขั้นที่ห้าขึ้นไปอยู่ด้วยเหมือนกันน่ะ”

 

“ขั้นที่สี่ ขั้นที่ห้า งั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ ถึงจะไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดก็เถอะ เพราะคนส่วนมากที่ฝืนใช้พลังเกินตัวจะสลบไปในขั้นที่สามนี่ล่ะ แต่เขาว่ากันว่าถ้าเธอมุ่งมั่นมากพอจนสามารถที่จะทนอาการเจ็บปวดและฝืนร่างกายของตนไม่ให้สลบไปได้ เธอก็จะยังสามารถใช้พลังวิซต่อไปได้อีกสักพักหนึ่ง แต่ว่าผลกระทบที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ…”

 

“พี่นากา~ สนามสอบตะกี้หายไปไหนแล้วอ้ะ~”

 

ในตอนที่เอริซาเบธเพิ่งจะอธิบายจบนั่นเองก็ได้มีเสียงของพรีมูล่าดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา และเมื่อพวกเขาหันไปมองก็พบกับพรีมูล่าที่มีครีมเปื้อนแก้มกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาจากทางโรงอาหาร ซึ่งเอริซาเบธก็ได้มองเธอแบบยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบเธอกลับไป

 

“เมื่อกี้ฉันให้นักเรียนอีกคนมาเก็บสนามไปเรียบร้อยแล้วน่ะ”

 

“โห~~ สนามใหญ่ขนาดนั้นน่ะนะ!? เรื่องจริงหรอพี่นากา!”

 

“อืม… พี่ก็ยืนดูอยู่เหมือนกัน เขาเพิ่งจะเดินเข้าตึกเรียนไปเมื่อกี้นี้เอง เหมือนว่าที่นี่จะมีนักเรียนเก่งๆ อยู่หลายคนเลยล่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดพวกเราสอบผ่านขึ้นมาจริงๆ เธอก็ต้องตั้งใจเรียนหน่อยก็ละกัน อย่าให้เสียชื่อคุณแม่เขานะรู้มั้ย”

 

นากาที่เห็นพิเน๊ะใช้พลังวิซจัดการเปลี่ยนสภาพสนามหญ้าที่กว้างเกือบร้อยเมตรได้โดยไม่หมดแรงไปซะก่อนแถมยังสามารถเข้าใกล้เขาได้โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวถึงสองครั้งนั้นได้เอ่ยปากเตือนพรีมูล่าโดยอ้างชื่อของคุณแม่ของพวกเขาขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่าถ้าพูดไปแบบนั้นน้องสาวของตนจะต้องรับฟังแน่ๆ

 

ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นครีมสีขาวที่เปื้อนหน้าน้องสาวของตนอยู่จึงได้ถอนหายใจออกมาและดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ๆ เพื่อที่จะใช้แขนเสื้อของเขาเช็ดมันให้กับเธอ

 

“เฮ้อ… เธอเนี่ยน๊า…ให้ตายสิ…”

 

“แฮะๆ ขอบคุณค่ะพี่นากา~”

 

“อ้าว แล้วคุณเอริกะล่ะพริมจัง?”

 

ทางด้านเอริซาเบธที่พยายามมองหาเอริกะที่น่าจะอยู่ด้วยกันกับพรีมูล่าแต่ว่าก็ไม่พบตัวนั้นได้ร้องถามขึ้นมาด้วยสรรพนามเดียวกับที่เธอได้ยินเอริกะเรียกพรีมูล่า จนทำให้อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นหันมามองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย

 

“พี่เอริกะเขาบอกว่าเป็นห่วงพี่อลิซก็เลยกลับบ้านไปก่อนแล้วอ่ะ ส่วนพวกเราถ้าโมโกะจังฟื้นเมื่อไหร่ก็ค่อยตามกลับไปละกันอ่ะ”

 

“รีบกลับไปนอนชัวร์!/ คงรีบกลับไปนอนแน่ๆ!”

 

นากาและเอริซาเบธที่ตอบกลับไปเป็นเสียงเดียวกันนั้นได้หันมามองหน้ากันและหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เอริซาเบธจะพูดขึ้นมาและออกเดินนำทั้งสองคนไปยังทางอาคารเรียน

 

“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปดูอาการของโมโกะกันก่อนละกันนะ ตามมาสิ เดี๋ยวฉันพาไปที่ห้องพยาบาลให้เอง”

 

“คิกคิก…”

 

“—!?”

 

ยังไม่ทันที่นากาจะได้ตอบอะไรกลับไป เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาดังขึ้นมาจากทางด้านหลังจนทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปดูในทันที

 

แต่ว่าเขาก็ไม่พบกับใครเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เขาเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะหลอนไปกับสิ่งที่เอริซาเบธพูดขึ้นมาเพื่อแกล้งเขาเล่นแล้วก็เป็นได้

 

“พี่นากา~ ทำอะไรอยู่อ่ะ ถ้ามาช้าเดี๋ยวก็โดนทิ้งซะหรอก~”

 

“อ—อ่า จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+