ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ 985 วัคซีนพิษสุนัขบ้า

Now you are reading ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ Chapter 985 วัคซีนพิษสุนัขบ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “ได้สู้ต่อเนื่องมาทั้งหมดสามรอบแล้ว หากจะสู้ต่อไปอีกเกรงว่าอาจจะไม่สามารถทนได้ไหว”

“ทนไม่ไหว หึ! ข้าว่าพวกเจ้ากลัวแล้วเสียมากกว่ากระมัง!” เจ้าเมืองหู่เสี้ยวกล่าว

มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเมืองซีเจว๋ ไม่มีอะไรที่ทนรับไม่ได้หรอก ข้าเองก็อยากที่จะสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้ดีเสียหน่อย”

“สั่งสอนข้า ข้าดูแล้วเจ้ามารนหาที่ตายนั่นคงจะใกล้เคียงกว่า” เจ้าเมืองหู่ยิ้มอย่างโหดร้าย

รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ในเมื่อทั้งสองฝั่งไม่มีข้อขัดแย้งใด เช่นนั้นก็ประลองต่อเถิด! ทางเมืองเหยียนคิดเห็นเช่นไร?”

ถึงแม้จะรู้ว่าเมืองเหลยและเมืองเหยียนนั้นสวมกางเกงตัวเดียวกัน แต่ทว่ารองเจ้าเมืองตงกัวก็ยังคงถามอย่างเป็นเชิงสัญลักษณ์ไปหนึ่งครา

เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เอาตามที่พวกเขาว่าทั้งหมด”

“รีบตัดสินผู้ที่จะมาเป็นผู้บัญชาการก็ดี เช่นนี้จะได้สามารถปรึกษากันได้ว่าจะรับมือไอ้สำนักมารคลั่งนั้นอย่างไร จากนี้ไปจะเริ่มทำการจับสลาก”

ในรอบแรก เมืองเหยียนสู้กับเมืองหู่เสี้ยว

รอบที่สอง เมืองเหลยสู้กับเมืองเหยียน

รอบที่สาม เมืองเหลยสู้กับเมืองหู่เสี้ยว

รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ในตอนนี้เริ่มการประลองในรอบแรกได้ ขอเชิญตัวแทนจากเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวขึ้นไปบนเวทีประลอง”

เจ้าเมืองหู่พุ่งขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยท่าทางที่ดูดุดันน่าหวั่นพรึง

แต่เจ้าเมืองเหยียนได้กล่าวออกมา “พวกเราเมืองเหยียนขอยอมแพ้”

เดิมทีเจ้าเมืองหู่นั้นคิดที่จะฉีกพวกเขาเป็นหมื่น ๆ ชิ้น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที มันเหมือนกับลูกหนังที่พลันเกิดรูรั่วให้อากาศออกไปก็มิปาน

เจ้าเมืองหู่กล่าวด้วยความโมโห “พวกเจ้านี่ช่างขลาดกลัวเสียจริง”

เจ้าเมืองเหยียนเองก็มิได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด รองเจ้าเมืองตงกัวจึงกล่าว “ในรอบนี้ เมืองหู่เสี้ยวได้รับชัยชนะ”

ต่อไปได้มาถึงรอบที่เมืองเหยียนกับเมืองเหลยจะต้องสู้กันแล้ว เย่เฉินได้ส่งตัวลูกสมุนขึ้นไปบนเวทีประลองแบบสุ่ม ๆ ผู้หนึ่ง เจ้าเมืองเหยียนก็กล่าวขึ้นอีกว่า “พวกเราเมืองเหยียนขอยอมแพ้!”

ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาออกมา ยอมแพ้อีกแล้ว! ในตอนนี้เมืองเหยียนได้ตกรอบไปแล้ว

รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “เมืองเหลยได้รับชัย!”

“ในตอนนี้เมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวต่างได้รับชัยชนะกันไปเมืองละหนึ่งรอบ”

ทั้งสองฝ่ายได้รับชัยชนะมาหนึ่งรอบโดยที่ไม่ต้องสู้

รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “จากนี้จะเป็นการต่อสู้ของเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยว”

เมืองหู่เสี้ยวมีท่าทีที่ดุดันอีกทั้งยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าเมืองเหลยคงได้พ่ายแพ้เป็นแน่แล้ว

เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ทางเราได้เลือกตัวคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

เมืองหู่เสี้ยวมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมากจึงทำให้ผู้คนหวาดกลัวกันยิ่งนัก แต่ทว่าพวกนางนั้นกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย หากจะแข่งกันเรื่องจำนวนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ใครกลัวใครกันเล่า?

มู่เฉียนซีกล่าว “เยี่ยมมาก ขึ้นไปบนเวทีประลองกับข้าเถอะ!”

ในครั้งนี้ มู่เฉียนซีมิได้ขึ้นไปบนเวทีประลองเพียงตัวคนเดียว หากแต่ยังพากู้ไป๋อีและลูกสมุนในเมืองเหลยขึ้นไปด้วย

เจ้าเมืองหู่กล่าว “ข้านึกว่าเจ้าจะโอหังขึ้นมาตัวคนเดียวเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะพาคนอื่นมาด้วย ข้าว่าเจ้าคงกลัวแล้วกระมัง!”

มู่เฉียนซีกล่าว “หากประมือกับมนุษย์แน่นอนว่าข้าจะขึ้นมาเพียงคนเดียว แต่ทว่านี่ประมือกับเดรัจฉาน แน่นอนว่าจะต้องพาคนมาด้วยเยอะเสียหน่อย ถ้าหากว่าถูกเดรัจฉานกัดได้รับบาดเจ็บเข้า ข้ายังจะต้องไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าอีก”

วัคซีนพิษสุนัขบ้าคืออะไรนั้นเขาไม่รู้ แต่ทว่าเดรัจฉานนั้นเจ้าเมืองหู่เสี้ยวรู้จักเป็นอย่างดี “เจ้า! เจ้ากล้าด่าข้าว่าเป็นเดรัจฉาน!”

มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “เจ้าก็อยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่สิ ข้าเองก็จนปัญญา ที่จริงแล้วที่ข้าพูดไปหมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นของเจ้าต่างหาก”

เจ้าเมืองหู่เดือดพล่าน ที่นางกล่าวมาหมายความว่าเช่นนี้อย่างแน่นอน

เจ้าเมืองหู่มองไปทางกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “คนผู้นี้มิใช่คนของเมืองเหยียนหรือ? ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนของเมืองเหลยไปเสียแล้ว”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ข้าเพิ่งให้เขามาเป็นลูกสมุนของข้าเมื่อครู่นี้ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่? หรือว่าอิจฉาในเสน่ห์ของข้าที่สามารถยึดเอาผู้อื่นมาเป็นลูกสมุนได้อย่างรวดเร็ว?”

เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “นี่มินับว่าผิดกฎ!”

ในทุ่งรกร้าง ผู้ที่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ยังพึ่งพิงนายเก่าแต่ต่อมาไม่นานก็เข้าถวายตัวกับนายใหม่นั้นมิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น

เจ้าเมืองหู่กล่าว “นึกว่ามีเขาเพิ่มขึ้นมาแล้วข้าจะกลัวเจ้าหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าเจ้าน่ะ ฝันไปเถอะ!”

ทั้งสองฝ่ายได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศขึ้น “เริ่มการประลองระหว่างเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวได้”

เมื่อรองเจ้าเมืองตงกัวได้ประกาศให้การประลองเริ่มขึ้น ทางเมืองหู่เสี้ยวก็ได้อัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดออกมา

เขาคิดที่จะฉีกคนตรงหน้าเหล่านี้ให้กลายเป็นชิ้นภายในสามจังหวะลมหายใจ

ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิทั้งหมดเจ็ดคนและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งหมดเจ็ดตัว ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีจะแสดงออกได้ยอดเยี่ยมไปมากกว่านี้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าทางเมืองเหลยจะเป็นผู้ชนะไปได้

มู่เฉียนซีกล่าว “หรือเจ้าคิดว่ามีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่มีสัตว์พันธสัญญา?”

“อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาออกมา!”

ทุกคนต่างมองไปยังคนอีกห้าคนของเมืองเหลยที่ล้วนแต่ได้อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาออกมาอย่างปากอ้าตาค้าง ถึงแม้ว่าจะไม่มีถึงระดับที่สี่ แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามเชียว!

พวกเขาล้วนแต่จนปัญญา มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเดินเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไรกัน

ใบหน้าของเจ้าเมืองหู่แข็งทื่อ “เป็นไป…เป็นไปได้ยังไง? เมืองเหลยเล็ก ๆ ของพวกเจ้าทำไมถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้?”

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าเมืองหู่เสี้ยวที่เป็นเพียงเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง ทำไมถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนั้นเล่า?”

สีหน้าของเจ้าเมืองหู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

“เสี่ยวหง อู๋ตี้ ออกมา!”

มู่เฉียนซีเองก็ได้อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาของนางออกมา พลังในการต่อสู้ของฝ่ายต้องข้ามนั้นมิอ่อนแอเลย ในครั้งนี้จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว อีกทั้งยังมีสองตัวเสียด้วย!”

“ตัวหนึ่งระดับสี่ และยังมีระดับสามด้วย!”

“นี่มันฝืนลิขิตฟ้าเกินไปแล้วกระมัง!”

สีหน้าของเจ้าเมืองหู่มีความกังวลเล็กน้อย “สองตัว! อย่าได้คิดว่าพวกเจ้ามีสัตว์พันธสัญญาแล้วจะสามารถชนะได้ วันนี้พวกเจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ตูม!

เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งเกิดขึ้น เจ้าเมืองหู่ได้เริ่มขยับตัวออกการโจมตีต่อฝ่ายตรงข้ามแล้ว

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!

กู้ไป๋อีเข้าไปประมือกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งก็คือเจ้าเมืองหู่ ส่วนอู๋ตี้และเสี่ยวหงได้พุ่งเข้าไปที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าของเขา

ส่วนคนอื่น ๆ นั้นต่างก็หาคู่ต่อสู้ของตนเอง ถึงแม้ว่าพลังความสามารถของพวกเขาเมื่อเทียบกับคนของเมืองหู่เสี้ยวแล้วจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อยก็ตาม แต่ทว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามระดับสี่นั้นมิใช่กินหญ้าไร้เรี่ยวแรง

ตูม!

มู่เฉียนซีเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ผู้หนึ่ง อู๋ตี้ได้พุ่งเข้าไปยังสัตว์พันธสัญญาของเขา และคนผู้นี้ก็ได้พุ่งมาทางมู่เฉียนซี

เขากล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น “สาวน้อย ไปตายเสียเถอะ!”

ในตอนที่นางออกกระบวนท่านั้น มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงอันตรายอันเย็นเฉียบชนิดหนึ่ง

ไม่ถูกต้อง พลังความสามารถของเขามิใช่เพียงแค่มหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่

มู่เฉียนซีจึงได้โคจรเคล็ดวิชาย่างก้าวพันเงาขึ้นมาแล้วหลบหลีกไปอย่างรีบร้อน

และบริเวณที่นางยืนอยู่เมื่อครู่นั้นก็ได้ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันที

เจ้าเมืองซีเจว๋มองคนผู้ที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาผู้นั้นแล้วกล่าวด้วยเสียงขรึม “พลังความสามารถของคนผู้นั้นกลับไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หก เหตุใดเมืองหู่เสี้ยวถึงมียอดฝีมือเช่นนี้ได้”

ถ้าหากว่าพวกเขามียอดฝีมือเช่นนี้ก็ควรที่จะเป็นเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองไปนานแล้ว จะยังเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งอยู่ได้อย่างไร?

“หึหึหึ! สาวน้อยมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วจึงทำให้หลบได้ทัน แต่กระบวนท่าต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้าหลบได้อย่างง่ายดายแน่นอน”

“คุณหนูใหญ่!” กู้ไป๋อีเองก็รู้สึกได้ถึงความเก่งกาจของฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นกังวลอยู่บ้าง

เจ้าเมืองหู่กล่าวขึ้น “ไอ้หนู ตอนนี้เจ้ายังจะมีกะจิตกะใจไปห่วงคนอื่นอีก ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”

“เจ้าขัดขวางโอกาสดี ๆ ของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจะต้องสับเจ้าให้แหลกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!” เจ้าเมืองหู่ได้ระเบิดพลังไปทางกู้ไป๋อี

ปราณกระบี่อันเยือกเย็นของกู้ไป๋อีก็ได้ระเบิดออกมาเช่นกัน และมันทำให้อากาศทั่วทั้งสนามประลองเย็นเยียบอย่างฉับพลัน

“เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งนัก!”

“เจ้าเด็กนี่อายุยังน้อย แต่กลับบรรลุเจตจำนงกระบี่อันสูงส่งเช่นนี้ ช่างน่ากลัวนัก”

“นั่นมันมิใช่มนุษย์เลยแม้แต่น้อย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด