สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหนเล่มที่ 14 415 แผนการที่โหดร้าย

Now you are reading สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน Chapter เล่มที่ 14 415 แผนการที่โหดร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หยุดพูดจาไร้สาระ! ” หลานเยวี่ยหลีลุกขึ้นพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม

สาวใช้ผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตกใจ

“ผู้ใดให้เจ้าพูดจาไร้สาระเช่นนี้? หากยังกล้าพูดอีก ข้าจะสั่งโบยเจ้าให้ตาย”

สาวใช้รีบโขกศีรษะราวกับทุบกระเทียม “คุณหนู บ่าวไม่กล้าแล้ว ต่อไปบ่าวไม่กล้าพูดอีกแล้วเจ้าค่ะ! ”

หลานเยวี่ยหลีไม่ได้สอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่สาวใช้พูด ทั้งยังสั่งให้สาวใช้ปิดปากให้สนิท เห็นได้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของซูอวี้ ไม่ได้มีเพียงสาวใช้ข้างกายของนางเท่านั้นที่ได้ยิน กระทั่งตัวนางเองก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน

เพียงแต่… ในใจลึกๆ ของนางไม่ยอมรับ

ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูอวี้เดินทางกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง

หมอเทวดาหวา แม่นมฮวา และพ่อบ้าน ต่างยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าจวนโยวอ๋อง พวกเขาเดินวนไปวนมาและชะเง้อมองไปยังปากทางที่อยู่ไกลๆ

ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นรถม้าของซูอวี้เลี้ยวเข้ามา จึงรีบออกไปต้อนรับ

“คุณชายน้อยอวี้ เป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ได้มาแล้ว! ”

ซูอวี้กระโดดลงจากรถม้าและพูดคุยกับทั้งสามคนเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในเรือนชิงโยว

นับตั้งแต่ซูอวี้เข้ามาในตำหนักฝูอวิ๋น แม่นมฮวากับลวี่หลีก็ถูกกันให้รออยู่ด้านนอกไม่ให้เข้าไป พวกนางทั้งสองทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ด้านนอกกับหมอเทวดาหวาและคนอื่นๆ รอผลการรักษาอย่างใจจดใจจ่อ

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดประตูของตำหนักฝูอวิ๋นก็เปิดออก

หมอเทวดาหวา แม่นมฮวา ลวี่หลี พ่อบ้าน และเหล่าองครักษ์ที่คุ้มกันเรือนชิงโยว ต่างมองไปที่ประตูตำหนักฝูอวิ๋นด้วยความสนใจ แต่ละคนตื่นเต้นจนหัวใจแทบตกลงไปที่ตาตุ่ม

ผู้ที่ออกมาเป็นคนแรกคือซูอวี้

“คุณชายน้อยอวี้ เป็นอย่างไร? ”

“ผู้นำอวี้… พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ผู้นำอวี้ ท่านพูดอันใดบ้างสิ! ”

……

ทว่าใบหน้าของซูอวี้กลับเคร่งขรึม เขานิ่งเงียบไม่พูดอันใด ท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนวิตกกังวลมากขึ้น

จากนั้นอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังซูอวี้ก็เดินออกมายืนเบื้องหน้าพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังคงมองไม่เห็นท่าทียินดี

บางคนแทบหมดหวัง

ใบหน้าของแม่นมฮวาเศร้าหมอง ความคิดน่ากลัวเริ่มปรากฏในจิตใจ ทว่านางไม่ยอมให้ความกลัวมากดดันตนเอง นางยังคงดึงดันบอกกับตนเองว่าต้องสำเร็จ พระชายาต้องทำได้อย่างแน่นอน! นางจะต้องปลอดภัย

ในที่สุด หมอเทวดาหวาก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “หมอหลวงอวิ๋น ผู้นำอวี้ เกิดอันใดขึ้นกันแน่? พวกท่านบอกความจริงมาเถิด! ข้างในเกิดอันใดขึ้น? พวกเราทั้งหมดเป็นกังวลจะตายอยู่แล้ว”

ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก เขายกมือปาดหน้าผากตนเองและพูดว่า “ในเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาวิกฤติที่ต้องต่อสู้กับท่านยมบาล ข้ากับผู้นำอวี้ต่างเหน็ดเหนื่อยกันมากจนลืมทุกคนไปจริงๆ ขออภัยด้วย ข้าต้องขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้! พวกท่านวางใจได้ โชคดีที่ผู้นำอวี้นำยามาได้ทันเวลา หลังจากที่พระชายาเสวยยา นางก็พ้นขีดอันตราย ไม่เป็นอันใดแล้ว! ”

อวิ๋นจิ่นพูดพลางโค้งคำนับให้ทุกคน

พวกเขาต่างเผยความรู้สึกออกมาให้เห็นทันที มีเพียงแม่นมฮวาที่ตกตะลึงนิ่งอึ้งราวกับรูปปั้นหิน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด จึงมีท่าทางแข็งทื่อเช่นนี้

“นางหนูลวี่หลี แม่นมฮวา พระชายาพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเจ้าสามารถเข้าไปดูแลได้! ”

ลวี่หลีได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น

แม่นมฮวาตกประหม่าเกินไป นางกังวลเกี่ยวกับซูจิ่นซียิ่งนัก เมื่อครู่จึงตกใจแทบแย่ แม้อวิ๋นจิ่นจะบอกว่าซูจิ่นซีพ้นขีดอันตรายแล้ว ทว่านางยังไม่อาจฟื้นคืนความเข้มแข็งกลับมาได้

แม่นมฮวายิ้มแห้งให้อวิ๋นจิ่น ก่อนจะเดินไปทางตำหนักฝูอวิ๋น ทว่าสองเท้าของนางเหมือนมีตะกั่วหนักพันชั่งถ่วงเอาไว้ ต้องใช้พลังอย่างมากในการก้าวเท้า

นางเดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็ล้มลงบนพื้น

“แม่นมฮวา! ”

หมอเทวดาหวาที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบรับตัวแม่นมฮวาไว้ ผู้คนจำนวนมากต่างวิ่งมาห้อมล้อม

หมอเทวดาหวาตรวจชีพจรให้แม่นมฮวา ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ไม่เป็นอันตราย แม่นมฮวาเพียงกังวลใจมากเกินไป ไม่เป็นอันใด เพียงพักผ่อนสักหน่อย กินยาสักหน่อยก็หายดีแล้ว”

“เร็ว มาพยุงแม่นมฮวาเข้าไปพักในเรือน! ”

พ่อบ้านรีบเรียกบ่าวรับใช้สองคนให้มาประคองแม่นมฮวาเข้าไปในเรือน

ทุกคนต่างพากันแยกย้าย อวิ๋นจิ่นเห็นว่าตำหนักฝูอวิ๋นเหลือเพียงลวี่หลีที่ดูแลซูจิ่นซี เกรงว่านางจะยุ่งจนละเลยรายละเอียดบางอย่าง จึงกลับเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น

เวลานี้ที่โถงเรือนชิงโยวเหลือเพียงซูอวี้ผู้เดียวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เขามองไปที่เรือนอวิ๋นไคด้วยแววตาสับสน

ผ่านไปสักพัก ซูอวี้ก็ยกชายเสื้อขึ้นและค่อยๆ เดินขึ้นไปที่บันไดหน้าเรือนอวิ๋นไค

เรือนอวิ๋นไคอยู่ในเขตเรือนชิงโยวซึ่งเป็นของนายหญิงซูจิ่นซี ตามกฎแล้วไม่อนุญาตให้บุรุษอื่นนอกเหนือจากโยวอ๋องเข้าไป ซูอวี้บุกเข้าไปเช่นนี้ เหล่าองครักษ์เงาที่เฝ้าอยู่ในเรือนชิงโยวต้องตรวจพบ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ซูอวี้เดินไปถึงและเตรียมผลักประตูเข้าไปแล้ว กลับไม่มีผู้ใดเข้ามาขัดขวาง

ซูอวี้ยื่นมือออกไปด้วยความลังเล เขาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงออกแรงผลักประตูเข้าไป

ก่อนที่ซูอวี้จะก้าวเข้าไป ทันใดนั้น เขาก็ถูกคนผู้หนึ่งใช้มือปิดปากไว้ คนผู้นั้นออกแรงดึงแขนของเขาเข้าไปข้างใน

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูของเรือนอวิ๋นไคปิดลงอีกครั้ง

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยาที่ซ่อนอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว

เมื่อซูอวี้มองเห็นคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน

ร่างนั้นค่อยๆ คลายมือที่ปิดปากซูอวี้ออก ซูอวี้จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว น้ำเสียงประหลาดใจพลันดังขึ้น “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว? ”

“เบาเสียงลงหน่อย! ”

จิ้นหนานเฟิงที่ยังจับตัวซูอวี้ไว้ด้านหลัง ตบศีรษะของเขาเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ซูอวี้หันไปมองร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของจิ้นหนานเฟิง และพยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงมองไปยังเยี่ยโยวเหยาที่นอนขมวดคิ้วแน่นอยู่บนเตียง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด

“ท่านอ๋องกลับมาจากแคว้นไหวเจียงและได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่? เหตุใดจึง… ได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้? ตอนที่ออกไป ท่านอ๋องพาขุนพลผีไปด้วยไม่ใช่หรือ? ”

บนพื้นเต็มไปด้วยเลือด และร่างกายของเยี่ยโยวเหยาก็เปียกโชกไปด้วยเลือดเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนใดบาดเจ็บ ส่วนใดไม่บุบสลาย ในฐานะหมอ ซูอวี้พบเห็นผู้คนในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ที่ก้าวเข้าสู่ประตูผีไปครึ่งตัวแล้วนั้น สามารถกลับมาจากเมืองไหวเจียงได้อย่างไร

ครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็ขยับตัว เขายื่นมือออกมาคว้าถุงผ้าที่เปื้อนเลือดตรงหน้าอกส่งให้ซูอวี้โดยไม่พูดอันใด

ซูอวี้เปิดถุงผ้าดู เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ด้านในชัดเจนก็ตกตะลึง

“ยาสมุนไพรทั้งห้าชนิดของแคว้นไหวเจียงที่จำเป็นต้องใช้ตามเทียบยาของจิ่วหรง… ท่านอ๋องรับปากว่าจะนำกลับมาภายในสามวัน นึกไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียงสองวัน… ไม่แปลกใจ… ไม่แปลกใจเลย… ” ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้

จิ้นหนานเฟิงยืนหยัดต่อไปไม่ไหว เขาตบไปที่ไหล่ของซูอวี้อย่างแรง ขณะเดียวกันก็เทน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งกดทับร่างกายบอบบางของซูอวี้

“หนุ่มน้อย ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ส่วนเรื่องที่บาดเจ็บ ต้องมีเพียงเจ้าผู้เดียวที่รู้ ไม่เช่นนั้น… ”

จิ้นหนานเฟิงพูดไม่ทันจบก็เผยแววตาดุร้าย เขายกมือข้างหนึ่งวางไว้บนคอตนเองพลางทำท่าปาดคอด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม

ความหมายนั้นชัดเจนยิ่งนัก

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *