สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหนเล่มที่ 19 551 อวิ๋นจวิ่นหายไปไหน

Now you are reading สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน Chapter เล่มที่ 19 551 อวิ๋นจวิ่นหายไปไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามนี้ ซูจิ่นซียังอยู่ในถ้ำบนภูเขา ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามของสกุลจง

ขณะที่กำลังนอนหลับ ไม่รู้ว่านางถูกผู้ใดนินทาถึงได้จามอย่างรุนแรง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังไม่ตื่นจากนิทรา ทำเพียงพลิกตัวแล้วนอนต่อ

ในความฝันอันแสนยาวนาน นางฝันว่าตนเองกลับไปที่เรือนชิงโยว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆ แสงสีแดงยามสายัณห์ปกคลุมไปทั่วทั้งเรือนชิงโยว ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

ทว่านางกลับหาเยี่ยโยวเหยาไม่พบ หาอย่างไรก็หาไม่เจอ

นางจึงรีบเดินไปยังตำหนักฝูอวิ๋นและเรือนอวิ๋นไค แต่นางออกไปจากเรือนชิงโยวไม่ได้

ทันใดนั้น เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังก้องมาจากด้านบน “ซูจิ่นซี เป็นเจ้าที่ยั่วยุข้าก่อน นี่เป็นหนี้ที่เจ้าต้องชดใช้ ก่อนที่เจ้าจะชดใช้ให้ข้า เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อข้า เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”

“เยี่ยโยวเหยา ท่านอยู่ที่ใด… เยี่ยโยวเหยา ท่านออกมา… ”

แม้จะได้ยินเสียงเยี่ยโยวเหยา ทว่าซูจิ่นซีกลับหาตัวเขาไม่พบ

ทันใดนั้น เท้าของนางก็เหยียบอันใดบางอย่างเข้า ร่างของนางพลันตกลงไปในเหวลึก

“อ๊าก… เยี่ยโยวเหยา… ” ซูจินซีตะโกนลั่น และตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ

นางยกมือปาดหน้าผาก ก่อนจะรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นเฉียบ

ทันใดนั้นก็มีคนตบไหล่นางเบาๆ สองครั้ง

ซูจิ่นซีหันกลับไปอย่างระมัดระวัง เป็นอู๋จุนที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด

นางถามด้วยความดีใจ “อู๋จุน เจ้าตื่นแล้วหรือ? ”

“แค่ก แค่ก” อู๋จุนไออย่างหนักสองครั้ง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เสียงดังอันใดถึงเพียงนั้น กลัวข้าไม่ตื่นหรือ? ” ขณะที่พูด แววตาของเขาก็แสดงออกถึงความหึงหวง “ตอนหลับยังฝันถึงเยี่ยโยวเหยา พี่จุนเจ็บหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่เห็นเจ้าฝันถึงข้าบ้าง”

ซูจิ่นซีไม่อาจสนใจไปมากกว่านี้แล้วกระมัง? นางรีบปรี่เข้าไปตรวจชีพจรอู๋จุน

เมื่อแน่ใจว่าชีพจรของอู๋จุนคงที่และพ้นช่วงวิกฤติแล้ว นางจึงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

“อู๋จุน เจ้ามีส่วนใดที่รู้สึกไม่สบายหรือไม่? ”

อู๋จุนขมวดคิ้วอย่างหนัก “ไม่สบายทุกส่วน เจ็บไปทั้งเนื้อทั้งตัว” พูดจบ ริมฝีปากซีดขาวก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ทว่า พี่จุนเห็นหน้าเจ้าแล้ว ความเจ็บปวดก็หายไปจนหมดสิ้น แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับพี่จุน”

ซูจิ่นซีผลักอู๋จุนออกอย่างแผ่วเบา “ยังพูดจาไร้สาระอีก ดูท่าทางตอนนี้คงไม่ตายง่ายๆ กระมัง”

พูดจบ นางก็ลุกขึ้นไปนั่งอีกฝั่ง

อู๋จุนยังคงส่งยิ้มให้ซูจิ่นซี “ฮ่า ฮ่า แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นห่วงพี่จุนใช่หรือไม่? ความจริงแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล พี่จุนไม่เป็นอันใดแล้ว พี่จุนกระดูกแข็ง ตายยาก! ”

แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดแน่นแสดงถึงอาการเจ็บปวด

ซูจิ่นซีเป็นหมอพิษ ทั้งยังรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง เหตุใดนางจะดูไม่ออกว่าอู๋จุนกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดเพื่อทำให้นางสบายใจ

คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน แม้จะเป็นคนใจอ่อน ทว่าฝีปากของนางหาได้เป็นเช่นนั้น “บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้แล้วยังไม่ตายอีก ถ้าจะรีบตายก็ไม่ต้องลากข้ากับอวิ๋นจิ่นไปกับเจ้าด้วย” พูดจบ นางก็ยื่นยาที่หยิบออกมาจากระบบถอนพิษให้อู๋จุน

อู๋จุนรู้ว่าซูจิ่นซีเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี เขาแย้มยิ้มพลางรับยามาจากนาง เพียงได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเป็นส่วนผสมของยาแก้ปวด แต่เขายังจงใจถาม “แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย นี่คือยาอันใดหรือ เจ้าคงไม่ได้เอายาพิษมาให้พี่จุนกินใช่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซียังคงพูดจาเหน็บแนม “เจ้าเดาไม่ผิด มันเป็นยาพิษที่กินแล้วทำให้ท้องไส้ของเจ้าเน่าเปื่อย เจ้าจะได้ตายไปเสีย! ”

อู๋จุนยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะกรอกยาเข้าปากโดยไม่ลังเล “แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย อย่าว่าแต่พิษที่ทำให้อวัยวะภายในเน่าเปื่อยเลย แม้จะเป็นพิษหงอนกระเรียนแดงที่ทำให้ตายอย่างทรมาน พี่จุนก็สามารถทานมันเป็นของหวานได้”

ทว่าเมื่อกลืนยาลงไป อู๋จุนกลับไอออกมาทันที เขาไอจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองกลายเป็นสีเลือด ไอจนหายใจไม่ทัน ร่างกายสั่นสะท้านจนต้องนอนขดตัวอยู่บนพื้น

ซูจิ่นซีใบหน้าถอดสี นางรีบเข้าไปจับชีพจรอู๋จุน

เมื่อครู่ก็ดูปกติดี เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

อู๋จุนไออย่างหนักจนแทบกระอักเลือด ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีมีท่าทางร้อนรน เขากลับไม่อาจทนเห็นนางขมวดคิ้วได้ เขาไม่ชอบเห็นนางเป็นกังวลเพราะเขา ดังนั้นเขาจึงข่มกลั้นไม่ให้กระอักเลือดออกมา

ทว่าสุดท้าย เขาก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ทั้งยังไอจนหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง

ซูจิ่นซีเป็นหมอ นางจะไม่รู้อาการของอู๋จุนได้อย่างไร?

ทันใดนั้น นางก็ตบกลางหลังที่เปื้อนเลือดของอู๋จุน “กลั้นไม่ไหวก็อาเจียนออกมา เจ้าจะทนไว้จนตายหรืออย่างไร? ”

“แอวะ! ” อู๋จุนพ่นเลือดไปทางกองไฟราวกับดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดจนหมด ก่อนจะล้มพับไปกับพื้น

ทั้งความคิดและสติสัมปชัญญะของเขายังอยู่ครบ ทว่าเขาไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่อยากปริปากพูดสิ่งใด เพียงต้องการมองซูจิ่นซีนำเข็มออกมาด้วยความรีบร้อนและเป็นกังวล

เขาทำได้เพียงมองดูอย่างเงียบงัน

เพราะเขารู้ดีว่า ตนเองคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

เขาเป็นถึงหมอยา!

หมอยาก็มีความรู้ด้านการแพทย์อยู่ครึ่งหนึ่งเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นหมอก็ใช่ว่าจะรักษาตนเองได้ อย่างไรก็ตาม เขาย่อมรู้ตนเองดี ไม่มีใครเข้าใจสถานกาณ์ในตอนนี้ได้ดีเท่าตัวเขาเอง

ทว่าเขาอาลัยอาวรณ์แม่นางพิษน้อยจริงๆ เขาไม่ต้องการจากนางไป

ซูจิ่นซีมีท่าทีจดจ่อ มือไม้ของนางสับสนเป็นระวิง ไม่นานนัก เหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมาตามขมับ

เม็ดเหงื่อบนผิวขาวเนียนช่างดูเย้ายวน เป็นความงดงามที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้

อู๋จุนมองอยู่อย่างนั้นด้วยดวงตาที่ทอประกาย มุมปากยังคงแย้มยิ้ม เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปเพื่อเช็ดคราบเหงื่อที่หน้าผากของนาง

ภายใต้แสงไฟสลัว สีหน้าของอู๋จุนทั้งจดจ่อ รักใคร่ และอาลัยอาวรณ์

ทว่าขณะที่มือของเขากำลังจะสัมผัสตัวซูจิ่นซี แสงสีแดงก็ฉายวาบเข้ามาในดวงตาของเขา

เขาเห็นคราบเลือดเกรอะกรังบนมือของตนเอง จึงดึงมือกลับทันทีราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ความอาลัยและความสูญเสียพลันปรากฏในแววตา

เขาต้องการปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าของแม่นางพิษน้อยที่กำลังยุ่ง ทว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเขาไม่ต้องการให้เลือดบนมือเปื้อนแก้มของนาง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีดึงเข็มเงินบนร่างอู๋จุนออก พลางขมวดคิ้วแน่น

“คราวนี้เจ้ารอดไปได้อีกครั้ง แต่อย่าลืมว่าเท้าข้างหนึ่งของเจ้าอยู่บนประตูนรก ยังสามารถเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ”

เวลานี้เป็นยามใดแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่อาจคาดเดาได้

เมื่อพูดจบ นางจึงหันศีรษะไปมองปากถ้ำซึ่งมีแสงจันทร์สาดส่องลงมา

“ร่างกายของเจ้าเหมือนได้รับการถ่ายโอนพลังลมปราณ คงเป็นอวิ๋นจิ่นไม่ผิดแน่ ทว่าตอนนี้เขาหายหัวไปที่ใดแล้ว? คงออกไปหาสมุนไพรมารักษาเจ้ากระมัง! ”

อู๋จุนนอนบนหินขนาดใหญ่ ดวงตาอ่อนล้าจ้องมองไปที่ซูจิ่นซี ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสนทนากับนาง ทว่าเขาไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกมา

เขาเพียงต้องการนอนอยู่เงียบๆ เช่นนั้น ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อมองซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีเติมฟืนลงไปในกองไฟ ทุกๆ สิบห้านาที นางจะเข้าไปตรวจชีพจรอู๋จุน นางคิดว่า เมื่ออวิ๋นจิ่นกลับมา นางจะพาอู๋จุนลงจากเขาเพื่อตามหาวิธีรักษา ดีกว่าอยู่บนเขาเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าเมื่อลงเขาไปแล้ว นางอาจพบหนทางที่ดีกว่าในการรักษาอู๋จุนก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปทุกนาที ทุกวินาที ยามสาม ยามสี่ อีกไม่นานก็จะเข้ายามห้าแล้ว

หลังยามห้า ท้องฟ้าจะเริ่มสว่าง เมื่อถึงตอนนั้น แม้จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อตามหาสมุนไพร หรือจะลงจากเขา ก็ล้วนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

ทว่าอวิ๋นจิ่นยังไม่กลับมา

อาการบาดเจ็บของอู๋จุนเริ่มแย่ลงอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะยิ่ง… เลวร้ายมากกว่าเดิม

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *