สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหนเล่มที่ 15 440 ไม่มีชีพจร จะวินิจฉัยโรคอย่างไร

Now you are reading สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน Chapter เล่มที่ 15 440 ไม่มีชีพจร จะวินิจฉัยโรคอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อู๋จุน หยุดต่อสู้ พวกเราไปวังหลวงกันเถิด” ซูจิ่นซีตะโกนบอก

อู๋จุนและหัวหน้าองครักษ์ต่างหยุดมือ

“ตกลง แม่นางพิษน้อย พี่จุนฟังเจ้า เจ้าพูดสิ่งใด พวกเราก็ทำตามนั้น”

หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นเผยท่าทีลำพองใจ เขาออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง “นำตัวไป! ”

คราวนี้พวกเขาไม่ได้ถูกล่ามโซ่ ทว่าท่าทางก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมนัก

จิงจ้าวหยิ่นที่ถูกฝูงชนเบียดเสียด และแอบเฝ้าดูสถานการณ์ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบฝ่าฝูงชนออกไปพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “องครักษ์เหลิ่ง องครักษ์เหลิ่ง พวกเขาทั้งสองสังหารคุณชายใหญ่จง แม่ทัพใหญ่จงต้องไม่ปล่อยพวกเขาเป็นแน่! ”

“สังหารคุณชายใหญ่จงหรือ? ”

หัวหน้าองครักษ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเดินไปดูผู้ที่นอนอยู่บนเปลหามด้านหลังจิงจ้าวหยิ่น เมื่อเปิดผ้าขาวคลุมศพ ก็เห็นเป็นคุณชายใหญ่จงจริงๆ สีหน้าพลันเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น

เขาหันกลับมาพลางยกมือออกคำสั่ง “เอาตัวไป รอให้ตรวจพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยเสร็จ ค่อยมอบให้แม่ทัพใหญ่จัดการภายหลัง”

ในฐานะหัวหน้าองครักษ์แห่งวังหลวง นึกไม่ถึงว่าตนจะถูกส่งให้มาเฝ้าป้ายประกาศของราชสำนัก อย่างไรก็ตาม เพียงเฝ้าป้ายประกาศก็ไม่เป็นไร ทว่าเขาเฝ้ามาสามวันเต็มๆ แล้ว ยังไม่มีผู้ใดดึงประกาศนี้แม้แต่ผู้เดียว

ท่านแม่ทัพใหญ่จงพูดว่า หากยังหาหมอมารักษาโรคให้กุ้ยเฟยไม่ได้ จะตัดศีรษะของเขาในพระราชพิธีพระศพของกุ้ยเฟย

เขาที่กำลังกังวลต่อความปลอดภัยของศีรษะตนเอง ทั้งยังรู้สึกโกรธไม่หาย! สองคนนี้ก็เข้ามาในจังหวะวิกฤติของเขาพอดี

ยังมีเด็กหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงนั่นอีก ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าทำให้เขาโกรธเคือง

ดูท่าทางพวกเขาไม่เหมือนผู้ที่มีวิชาแพทย์ ต่อให้มีวิชาแพทย์ กุ้ยเฟยก็ทรงประชวรด้วยโรคประหลาด มีโอกาสถึงแปดส่วนที่พวกเขาอาจรักษาไม่ได้

รอให้พวกเขาไม่สามารถรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยได้แล้ว เขาจะลากคนทั้งสองไปตัดศีรษะที่นอกประตูอู่เหมินเพื่อระบายโทสะ

เรื่องนี้นับได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว เหตุใดเวลานี้เขาต้องโกรธและร่วมต่อสู้ด้วยเล่า?

ซูจิ่นซีและอู๋จุนถูกองครักษ์เหลิ่งคุมตัวเข้าไปในวังหลวง และโยนไว้ด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ส่วนเขาเข้าไปในตำหนักเพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชา

ครู่หนึ่ง องครักษ์เหลิ่งก็ออกมาจากตำหนักฉินเจิ้ง

“มหาอุปราชมีรับสั่งให้นำตัวผู้ที่ดึงประกาศราชสำนักไปยังห้องบรรทมของกุ้ยเฟยทันที”

“น้อมรับสั่ง! ”

องครักษ์สองนายที่ดูแลซูจิ่นซีกับอู๋จุนส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะคุมตัวซูจิ่นซีกับอู๋จุนเข้าไปในวังหลัง

ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดกับการต้อนรับอย่างเรียบง่ายและหยาบคายเช่นนี้ นางขมวดคิ้วมุ่น

“อย่าได้ทำอันใดมักง่ายเช่นนี้”

อู๋จุนตบมือขององครักษ์ทั้งสองที่มาคุมตัวซูจิ่นซี

“พวกเราเดินเองได้! ”

ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินมาถึงห้องบรรทมของกุ้ยเฟย

ด้านนอกห้องบรรทม บรรดาขุนนาง ขันที และเหล่าหมอหลวงต่างคุกเข่าอยู่บนพื้น

แต่ละคนตัวสั่นเทา ท่าทางราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

องครักษ์เหลิ่งพูดกับขันทีที่เฝ้าประตู จากนั้นขันทีก็สั่งให้นางกำนัลเปิดประตูห้องบรรทม และปล่อยให้ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเข้าไปข้างใน

ภายในตำหนักมืดสลัว ประตูหน้าต่างถูกปิดสนิท ทั้งยังแขวนผ้าม่านหนาทึบจนแสงไม่สามารถรอดผ่านเข้ามาได้

ทันทีที่ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเดินเข้าไป ประตูตำหนักก็ถูกผู้ที่อยู่ด้านนอกปิดลงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ บรรยากาศพลันมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้า

นางกำนัลผู้หนึ่งถือเทียนเดินเข้ามา พลางพูดกับซูจิ่นซีและอู๋จุนว่า “ท่านทั้งสอง โปรดตามข้ามาทางนี้”

แม้ในมือของนางกำนัลจะถือเทียนไว้ ทว่าแสงเทียนกลับให้แสงสว่างน้อยกว่าเทียนปกติอย่างมาก ทำให้มองเห็นเพียงทางเดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาทั้งสามเท่านั้น

ซูจิ่นซีเห็นเช่นนั้น ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย กุ้ยเฟยทรงประชวรด้วยโรคอันใดกันแน่?

พระองค์ไม่สามารถเห็นแสงสว่างได้หรือ?

นางกำนัลพาซูจิ่นซีและอู๋จุนเดินผ่านผ้าม่านหนาทึบ ไม่นานนักก็เดินมาถึงแท่นบรรทมของกุ้ยเฟย

ตามกฎระเบียบแล้ว วังหลังไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาโดยง่าย ทว่ายามนี้ เพื่อการตรวจรักษากุ้ยเฟย จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิบัติตามกฎระเบียบได้

อย่างไรก็ตาม มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ยังคงจำเป็น

ซูจิ่นซีและอู๋จุนเพิ่งมาถึง นางกำนัลก็ยกอ่างล้างมือที่โรยด้วยกลีบดอกไม้เข้ามาให้พวกเขาได้ทำความสะอาด และส่งเสื้อคลุมสีน้ำเงินขนาดใหญ่จำนวนสองชุดให้พวกเขา

ทันทีที่พวกเขาสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย ก็ถูกห่อตัวไว้แน่น ทั้งยังต้องสวมหมวก ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดมากขึ้น มีเพียงครึ่งหนึ่งของใบหน้าและแขนเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับอากาศด้านนอก

ซูจิ่นซีอดบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจไม่ได้ นี่เป็นกฎพิลึกอันใดกัน?

รอจนทั้งสองแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลราวสามสี่คนก็ก้าวออกมาด้านหน้า และเปิดผ้าม่านหนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา เผยให้เห็นพื้นที่กว้างขวางและหรูหรา

ซูจิ่นซีกวาดตามองไปรอบๆ จากการตกแต่งสามารถยืนยันได้ว่าที่แห่งนี้คงเป็นห้องบรรทมของกุ้ยเฟย

“เชิญท่านทั้งสอง! ” นางกำนัลเชิญซูจิ่นซีและอู๋จุนเข้าไป

แม้ด้านในจะมีเทียนจุดไว้ ทว่าด้านบนของเทียนทั้งหมดกลับครอบไว้ด้วยโคม แสงสว่างจึงจำกัดให้มองเห็นได้เพียงร่างที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

พวกเขามองตรงไปยังแท่นบรรทมหรูหราขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า บนแท่นบรรทมยังมีผ้าม่านหนาทึบที่ถูกดึงลงมา

“กุ้ยเฟย ท่านหมอมาแล้วเพคะ! ”

นางกำนัลผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ยข้างผ้าม่านด้วยน้ำเสียงต่ำอย่างระมัดระวัง

ไม่นานนัก มือที่ซีดขาวและเรียวยาวคู่หนึ่งก็โผล่ออกมาจากผ้าม่าน

ใช่แล้ว เมื่อซูจิ่นซีเห็นมือคู่นั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองเป็นคำแรกคือ ‘ซีดขาว’

หากอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีแสงเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความซีดขาวที่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพไม่แข็งแรงก็จะก่อตัวขึ้น

ซูจิ่นซีและอู๋จุนสบตากัน สอบถามว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายไปตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟยก่อน

อู๋จุนส่งสัญญาณว่าเขามาเป็นเพื่อนซูจิ่นซีเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง

ซูจิ่นซีทำได้เพียงเดินมาด้านหน้าและตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย

แรกเริ่ม ใบหน้าของซูจิ่นซียังปรากฏความสงสัย ทว่าท่าทีของนางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอยู่พักใหญ่

อู๋จุนเห็นท่าทางของซูจิ่นซี ในใจพลันรู้สึกตึงเครียด

การดึงประกาศของราชสำนักเพื่อรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยนั้น ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากรักษาไม่ได้ต้องถูกตัดศีรษะ

ตลอดทางเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมากมาย คงไม่ใช่ว่ากุ้ยเฟยทรงประชวรด้วยโรคที่รักษาไม่ได้กระมัง?

ผ่านไปครู่หนึ่ง นิ้วมือของซูจิ่นซียังคงจับอยู่บนข้อมือที่ทั้งบอบบางและซีดขาวราวกับกระดาษ ท่าทางของนางยังคงเคร่งขรึมไม่ผ่อนคลาย

อู๋จุนเป็นกังวล จึงอดถามไม่ได้ “แม่นางพิษน้อย เจ้าตรวจพบสิ่งใดบ้างหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีหลับตาและยืนขึ้น พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อู๋จุนมาตรวจดูเอง

อู๋จุนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย ครู่หนึ่ง แววตาของเขาก็ปรากฏความเคร่งเครียดเหมือนซูจิ่นซี เขาแนบปลายนิ้วบนข้อมือของกุ้ยเฟยสักพัก ก่อนจะสบถเสียงต่ำว่า “บัดซบ เสียชีวิตไปแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่มีชีพจร”

“บังอาจ กล้าหยาบคายกับกุ้ยเฟยหรือ! ”

นางกำนัลสูงวัยต่อว่าอู๋จุนทันที

“ไม่เป็นไร ถอยไป! ”

น้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนของสตรีพลันดังขึ้นจากด้านหลังผ้าม่าน

“เพคะ! ”

นางกำนัลผู้นั้นตอบรับและถอยห่างออกไปยืนก้มหน้า ไม่พูดอันใดอีก

“ท่านทั้งสองตรวจดูไม่ผิด ข้าไม่มีชีพจรจริงๆ ทว่าข้าไม่ได้เสียชีวิต นอกจากอาการที่ไม่สามารถเจอแสงได้และไม่มีชีพจรแล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใดอีก ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองตรวจดูแล้ว รู้หรือไม่ว่าข้าป่วยเป็นโรคอันใด? มีวิธีรักษาหรือไม่? ”

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน และมีความสงบนิ่งเล็กน้อยตามแบบฉบับของผู้สูงศักดิ์

ดูไม่เหมือนเสียงและท่าทางของผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากุ้ยเฟยท่านนี้ไม่ธรรมดา

นี่เป็นครั้งแรกที่อู๋จุนเห็นลักษณะอาการเช่นนี้ เขามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสับสน

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างหนัก “กระหม่อมยังต้องปรึกษากับสหายในเรื่องรายละเอียดอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟยอย่าได้ทรงตำหนิ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *