สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหนเล่มที่ 36 1053 ประตูแห่งปรภพ

Now you are reading สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน Chapter เล่มที่ 36 1053 ประตูแห่งปรภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อพลังภายในผนึกรวมตัวเป็นพลังอันทรงอานุภาพ มันส่องแสงสว่างทั่วใบหน้างดงามหาผู้ใดเปรียบของจิ่วหรง ในเวลาเดียวกันก็ห่อหุ้มซูจิ่นซี กระบี่เสวียนหยวน และวิญญาณดวงที่สองของซูจิ่นซีไว้

วิญญาณดวงแรกค่อยๆ แยกออกมาจากกระบี่เสวียนหยวน จากนั้นร่างกายของซูจิ่นซีก็ค่อยๆ กลายเป็นร่างเงาทีละนิด… ทีละนิด ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวผสานเข้ากับวิญญาณอีกสองดวง

เวลานี้บนหน้าผากของจิ่วหรงมีเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบไหลซึมออกมาบางๆ เขาใช้พลังอันทรงอานุภาพเพื่อผสานดวงวิญญาณทั้งสาม จากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปในโลงหินเพื่อหลอมรวมกับร่างของฉ่ายเวย หรือก็คือดวงจิตเทพจิ่วโยว

“ฟู่ว… ”

ขณะที่ดวงวิญญาณทั้งสามซ้อนทับกับดวงจิตเทพจิ่วโยว จิ่วหรงก็ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป จู่ๆ เขาก็คุกเข่าลงบนพื้นและอาเจียนออกมาเป็นเลือดกองโต

เดิมทีร่างกายของเขาไม่ค่อยดีอยู่แล้ว การผสานดวงวิญญาณทั้งสามกับดวงจิตเทพจิ่วโยวยิ่งทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย

ทว่าเขาจะล้มลงไม่ได้ เพราะนี่เป็นเพียงการเริ่มต้น ต่อไปยังมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่ากำลังรอเขาอยู่

จิ่วหรงค้ำโลงหินและหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก เขาพลิกฝ่ามือและหยิบของสองสิ่งออกมา

สิ่งหนึ่งคือศิลาเทพคุนอวี้

อีกสิ่งหนึ่งคือธาตุอมฤตทั้งห้าที่กลั่นสำเร็จ

ความจริงแล้ว การรวมกันของธาตุทั้งห้าและอั้นหรานเซียวหุนที่ทำให้เกิดแผนที่เป็นเพียงละครตบตาเท่านั้น ผลประโยชน์ที่แท้จริง ทั้งยังเป็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ในห้องวางศพแห่งนี้

โลงหินทั้งสองหันหน้าไปทางทิศใต้ กำแพงด้านหน้าและด้านหลังกว้างขวาง การแกะสลักทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่จิ่นอีโหวจัดการก่อนเสียชีวิต ห้องวางศพของตระกูลชั้นสูงล้วนมีสิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันไม่มีอันใดพิเศษ ทว่าตรงกลางกำแพงเป็นอสูรร้ายขนาดมหึมาที่ยื่นออกมา อสูรร้ายนั้นมองแล้วเหมือนสัตว์เทพฉงฉี ทว่ามีหางขนาดใหญ่ยาวราวกับใบพัดซึ่งสัตว์เทพฉงฉีไม่มี และมีศีรษะใหญ่กว่าสัตว์เทพฉงฉีเล็กน้อย ท่าทางดุร้ายน่ากลัวเป็นอย่างมาก สันจมูกนูนขึ้น ทว่าตำแหน่งดวงตาทั้งสองข้างกลับเว้าลึกลงไป

จิ่วหรงถือธาตุอมฤตทั้งห้าและศิลาเทพคุนอวี้ ก่อนจะค่อยๆ เดินทีละก้าวมาตรงหน้ากำแพงหิน เขาแยกธาตุอมฤตทั้งห้าและศิลาเทพคุนอวี้ใส่เข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง ทันใดนั้นผนังทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะเทือน และลวดลายบนผนังค่อยๆ เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า

จิ่วหรงถอยหลังสองก้าวอย่างเชื่องช้า พลางแยกขาทั้งสองข้างออกและยืนบนพื้นอย่างมั่นคง จากนั้นจึงยกมือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวมาประสานกันตรงหน้า ควบแน่นพลังเกือบทั้งหมดที่มีแล้วผลักออกไปที่กำแพง

เดิมทีกำแพงทั้งหมดมีการเคลื่อนไหว กอปรกับแรงภายนอกที่กระแทกเข้ามา ยิ่งทำให้มันสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้น กำแพงหินค่อยๆ กลายเป็นทะเลทราย และอีกโลกหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางแสงสีแดงของการแปรสภาพเป็นทะเลทราย

แสงสีแดงโลหิตสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งโลก แท้จริงแล้วเป็นภาพทะเลดอกปี่อั้นที่ไกลสุดสายตา

มีภูเขาอยู่ไกลๆ บนยอดเขามีต้นไม้แห้งตายอยู่สองสามต้นราวกับกรงเล็บปีศาจยืดยาว มองแล้วน่าสะพรึงกลัว ด้านล่างภูเขามีแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำใสราวกับกระจกที่สะท้อนภาพอันน่าหวาดกลัวของภูเขาและภาพดอกไม้บานริมฝั่ง

สายลมพัดพลิ้วไหว ดอกปี่อั้นโอนเอน ผีเสื้อหลากสีบินล้อท่ามกลางหมู่ดอกไม้

ดอกปี่อั้นเบ่งบานอีกฝั่ง

โลกที่คึกคัก เมฆทะเลโคลน นกสาลิกาสองตัวที่สะพานข้าม

ความเป็นตายแสนสั้น เช้าเย็นหมุนเวียน ดินแดนสนธยา

ดอกปี่อั้น ตามตำนานเล่าว่าจะเบ่งบานริมแม่น้ำลืมเลือน จุดเชื่อมต่อระหว่างโลกหยินและหยาง

ใช่ นี่คือประตูแห่งปรภพ ภายในประตูก็คือโลกปรภพ ดินแดนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

คนภายนอกไม่อาจเข้ามาในโลกปรภพนี้ได้โดยง่าย คนเผ่าเม้ยยิ่งไม่ได้

ทว่าบนโลกนี้มีเพียงน้ำจากแม่น้ำลืมเลือนเท่านั้นที่สามารถชำระล้างคำสาปบนร่างคนเผ่าเม้ยได้

หลายพันปีก่อน เผ่าเม้ยทำผิดกฎสวรรค์จึงถูกคำสาป คนในตระกูลไม่อาจมีความรักกับบุรุษอื่นนอกเผ่าเม้ยได้ คำสาปนี้ติดตัวซูจิ่นซีมานับพันกว่าปี

หนึ่งพันปีก่อน จิ่วหรงต้องการคลายคำสาปให้ซูจิ่นซี ทว่าคิดจะคลายคำสาปของเผ่าสวรรค์นั้นง่ายดายอย่างที่พูดหรือ? หากคนที่ไม่ได้มาจากโลกปรภพข้ามแม่น้ำลืมเลือน จะถูกวิญญาณหยินของภูตผีปีศาจในแม่น้ำฉีกกระชากจนวิญญาณสลาย ไม่มีทางมีชีวิตได้อีก

ดังนั้นเขาจึงหลอมดวงจิตเทพจิ่วโยว พยายามใช้ดวงจิตเทพจิ่วโยวปกป้องกายเนื้อของนางไม่ให้ถูกภูตผีปีศาจในแม่น้ำลืมเลือนฉีกกระชากดวงวิญญาณ น่าเสียดายที่ตอนนั้นแผนนี้ยังไม่ทันดำเนินการ ซีเอ๋อร์ก็เข้าใจเขาผิดและสังเวยชีวิตจนดวงวิญญาณต้องแตกสลาย

เขารอมาเป็นเวลานับพันปี ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง

ตอนนี้จิ่วหรงรู้สึกเพียงว่า ไม่ว่าหนึ่งพันปีมานี้จะเกิดอันใดขึ้น ตราบใดที่ในอนาคต ซีเอ๋อร์ของเขาสามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างสงบสุข มีความสุขอยู่กับคนที่รักทุกชาติไป เขาก็พอใจแล้ว

จากนั้นจิ่วหรงจึงหมุนตัวกลับมาอย่างยากลำบาก เขาเดินทีละก้าวมาที่ข้างโลงหิน ก่อนจะหยิบหญ้าเสินเซียนออกมาจากแขนเสื้อและใส่เข้าไปในปากของดวงจิตเทพจิ่วโยวซึ่งมีดวงวิญญาณทั้งสามดวงที่ควบแน่นของซูจิ่นซี

ในตอนนั้นที่ซูจิ่นซีตามหาหญ้าเสินเซียนในดินแดนเทพ นางต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

หญ้าเสินเซียนมีสรรพคุณให้ความอบอุ่น เมื่อเจอกับอุณหภูมิในปากของดวงจิตเทพจิ่วโยวก็ละลายกลายเป็นยาน้ำอย่างรวดเร็วและไหลลงสู่ท้อง

หญ้าเสินเซียนเป็นสิ่งของจากแดนสวรรค์และสามารถปกป้องวิญญาณทั้งสามของซูจิ่นซีไว้ในดวงจิตเทพจิ่วโยวได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงวิญญาณถูกวิญญาณหยินของภูตผีปีศาจในแม่น้ำลืมเลือนดูดกลืนเข้าไป ถือว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นแก่ดวงจิตเทพจิ่วโยว

หลังจากนั้นจิ่วหรงก็ค่อยๆ โอบอุ้มดวงจิตเทพจิ่วโยวออกจากโลงหิน และเดินทีละก้าวอย่างยากลำบากไปที่ประตูปรภพ

ดอกปี่อั้น เบ่งบานพันปี ร่วงโรยพันปี

ดอกไม้เบ่งบานและร่วงโรย จากกันชั่วนิรันดร์

รักคือผลของกรรม โชคชะตาลิขิตการเกิดตาย

สิ่งนี้… ถูกลิขิตให้เป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ

เมื่อประตูโลกปรภพถูกเปิด ทั้งสุสานโบราณเกิดแรงสั่นสะเทือน รวมถึงห้องศิลาที่เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ อยู่

ทุกคนคิดว่าสุสานโบราณกำลังถล่มลงมา ทว่าสั่นสะเทือนได้ไม่นานก็หยุดอีกครั้ง ซึ่งเป็นเพียงแรงสั่นสะเทือนปกติเท่านั้น

“บัดซบ เจ้าจิ่วหรงคิดจะทำอันใดกันแน่? ” อู๋จุนสบถ

แม้แต่ห้องศิลาเล็กๆ ห้องเดียวก็ออกไปไม่ได้ คนแคว้นไหวเจียงก็ไม่มีกะจิตกะใจจะลงมือกับเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ พวกเขาต้องการเพียงค้นหาทางออกตลอดเวลา เยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และคนอื่นๆ ต่างไม่ยอมแพ้

จู่ๆ มู่หรงฉีก็ตะโกนไปทางเยี่ยโยวเหยา “โยวอ๋อง ท่านมาดูทางนี้ นี่คือสิ่งใด? ”

เยี่ยโยวเหยารีบเดินไปหามู่หรงฉี คนที่เหลือก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิด

ที่แท้ที่นี่เป็นกระดานหมากรุก

ก่อนหน้านี้บนตำแหน่งนี้ไม่มีสิ่งใด เมื่อครู่ภูเขาสั่นสะเทือน ที่แห่งนี้จึงทรุดตัวลง ท่ามกลางชั้นหินที่จมลงปรากฏกระดานหมากรุกขึ้นมา บนกระดานหมากรุกยังมีหมากรุกหินหยกสีขาวดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นหมากรุกกล

เยี่ยโยวเหยาหยิบก้อนกรวดบนกระดานหมากรุกออกเบาๆ หลังศึกษาอย่างละเอียดก็พบว่าตัวหมากสีดำกำลังถึงทางตัน

“หรือว่าแก้กระดานหมากรุกกลนี้ได้ ก็สามารถเปิดประตูออกไปได้? ” กูสือซานกล่าว

“เป็นไปได้! ” มู่หรงฉีวิเคราะห์ “พวกเราตามหาทางออกในห้องศิลาแห่งนี้อยู่นาน นอกจากกระดานหมากรุกกลที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาก็ไม่พบอย่างอื่นอีกแล้ว เป็นไปได้ว่าความลับอยู่บนกระดานหมากรุกนี้”

“ทว่าก็อันตรายมากเช่นกัน” เยี่ยโยวเหยาวิเคราะห์ “หากแก้หมากรุกที่ใกล้จะจบนี้ได้อย่างราบรื่น บางทีพวกเราอาจจะหาทางออกเจอ ทว่าหากล้มเหลว… ”

ไม่จำเป็นต้องพูดประโยคหลังทุกคนก็เข้าใจ

“นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว! ” หลานอวี่บ่นพึมพำ

ถังเสวี่ยจ้องหลานอวี่อย่างถมึงทึง “หึ โหดร้ายเท่าความคิดชั่วร้ายของคนแคว้นไหวเจียงอย่างพวกเจ้าหรือไม่? ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด