สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหนเล่มที่ 38 1130 เยี่ยโยวเหยารู้เรื่องแท่นดวงวิญญาณ

Now you are reading สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน Chapter เล่มที่ 38 1130 เยี่ยโยวเหยารู้เรื่องแท่นดวงวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อร่างนั้นค่อยๆ หันหลังกลับมา ซูจิ่นซีก็ชะงักงันในทันที

แม้ใบหน้าครึ่งบนของคนผู้นั้นจะถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีทองอร่าม ทว่าซูจิ่นซียังมองออกว่าใบหน้าของคนผู้นั้นไม่สอดคล้องกับคนในความทรงจำโดยสิ้นเชิง

คนผู้นั้นสุภาพอ่อนโยน สูงส่งราวกับหยกล้ำค่า ผอมเพรียวบอบบาง แม้จะมีท่าทางดูเป็นอมตะเหมือนจิ่วหรง ทว่ากลับมีไอเข้มแข็งกล้าหาญมากกว่าถึงสามส่วน

กลิ่นอายเช่นนั้นไม่ใช่ว่ามีขึ้นตามกาลเวลา ทว่าสิ่งนี้ต้องมีมาแต่กำเนิด

นอกจากนี้… รูปร่างของเขายังสูงใหญ่กว่าจิ่วหรงเล็กน้อย

ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังตกตะลึง คนผู้นั้นก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาซูจิ่นซี

เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อขวางซูจิ่นซีไว้

คนผู้นั้นยกยิ้มมุมปากเย็นชา “โยวอ๋องไม่ต้องกังวล” ทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวเล็กน้อยและพูดกับซูจิ่นซีที่อยู่ด้านหลังเยี่ยโยวเหยาว่า “พระชายาโยวอ๋อง ข้อตกลงที่ให้ไว้กับข้า เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ข้ารอเจ้า รอจนเหนื่อยมากจริงๆ ! ”

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วอย่างรุนแรง

คนผู้นั้นมองซูจิ่นซีที่ฟังด้วยสีหน้าสับสนแล้วพูดอีกครั้งว่า “เหอะ เจ้าคงลืมไปแล้วจริงๆ ข้าเสียพลังไปกว่าครึ่งให้เจ้า เหมือนเตะหมูเข้าปากสุนัขเสียจริง ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยสักนิดเดียว”

พลังครึ่งหนึ่ง…

ซูจิ่นซีดูเหมือนจะคิดอันใดบางอย่างได้ ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา

ดวงตาลึกล้ำที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีทองของคนผู้นั้นเบิกกว้างขึ้น “ในที่สุดเจ้าก็คิดออกแล้ว? ”

“ท่าน… ” ซูจิ่นซีชี้ไปที่คนผู้นั้น “อวิ๋น… ”

ทันทีที่พูดคำว่า ‘อวิ๋น’ ออกจากปาก จู่ๆ คนผู้นั้นก็สะบัดแขนเสื้อกว้าง ภาพตรงหน้าหมุนวนจนมองอันใดไม่ชัดเจน เสียงของคนผู้นั้นดังอยู่ข้างใบหู “มาที่ตำหนักพญายมนรกเก้าขุมของข้า พวกเรามาคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง”

หลังสิ้นเสียงได้ไม่นาน ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็หายไป ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากลับมาอยู่กลางตำหนักกว้างขวางโอ่อ่าเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเทียบกับตำหนักอสูรของราชาเฮยซาหู่และตำหนักราชาปีศาจของราชาปีศาจหยิน ตำหนักนี้หากเปรียบเป็นหนึ่งในผืนดินและหนึ่งในแผ่นฟ้า

แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในแผ่นฟ้า

ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็มีองครักษ์สวมชุดเกราะสีดำหลายนายผลักประตูเดินเข้ามา “ท่านพญายม! ”

“ไม่มีอันใด ไปคุ้มกันอยู่ข้างนอก! ”

“ขอรับ! ”

เมื่อคนผู้นั้นถอยออกไป ซูจิ่นซีก็เดินสำรวจรอบๆ นางเปิดหน้าต่างออกเพื่อมองทิวทัศน์ทั่วบริเวณ “นี่… นี่ไม่ใช่… ”

คนผู้นั้นพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นสถานที่ที่ข้าช่วยเจ้าในตอนนั้น เป็นอย่างไร? ข้าไม่ได้ผิดสัญญาใช่หรือไม่? บอกว่าจะรอเจ้าที่นี่ ก็รอเจ้าอยู่ที่นี่! เป็นเจ้าที่ลืมข้อตกลงระหว่างพวกเรา ให้ข้าทนรออยู่นาน”

ขณะที่ฟังบทสนทนาของทั้งสอง เยี่ยโยวเหยาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเต็มใบด้วยความหึงหวง

ซูจิ่นซีรีบพูดปลอบเยี่ยโยวเหยา “มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด” จากนั้นจึงพูดแนะนำคนผู้นั้นให้กับเยี่ยโยวเหยา “เขามีนามว่าอวิ๋นอี้ ก่อนหน้าที่ข้ามาโลกสามเขตแดนก็อยู่ในตำหนักนี้และได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส… ”

ซูจิ่นซีอธิบายเรื่องที่อวิ๋นอี้มอบพลังให้นางและยังมีเรื่องข้อตกลงระหว่างพวกเขาให้เยี่ยโยวเหยาฟังอย่างละเอียด คิ้วของเยี่ยโยวเหยาจึงคลายออก

“แท่นดวงวิญญาณ? ” เยี่ยโยวเหยาถามด้วยความสงสัย “ดูเหมือนจะไม่อยู่ในอาณาจักรเทียนเหอ”

“ถูกต้อง! ” อวิ๋นอี้ยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีทองเผยความเย็นชาและแน่วแน่ “อยู่ที่เผ่าสวรรค์”

เผ่าสวรรค์…

เป็นสถานที่ที่คนในอาณาจักรเทียนเหอสามารถไปได้หรือ?

ไม่รู้ว่าอวิ๋นอี้คิดอันใดได้ เขาหันหลังไปพูดกับซูจิ่นซี “นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับข้าในตอนนั้น ข้าช่วยเจ้าแล้ว ถือเป็นน้ำใจ เจ้าก็ต้องช่วยข้าเช่นกัน ตอนนี้เจ้าไม่อาจกลับคำได้… ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว หลังผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ นางก็ถามว่า “เรื่องเสด็จพี่ของข้าเกี่ยวข้องกับท่านหรือ? ”

อวิ๋นอี้ยกยิ้มมุมปาก “ดูท่าเจ้าก็ไม่ได้โง่”

ซูจิ่นซีพูดว่า “เกี่ยวข้องกับท่านจริงหรือ? เรื่องระหว่างท่านและข้า เหตุใดต้องท่านลากเสด็จพี่ของข้ามาเกี่ยวข้อง? ”

อวิ๋นอี้พูดว่า “หากไม่ให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เกรงว่าเจ้าคงจำเรื่องแท่นดวงวิญญาณไม่ได้ตลอดไปกระมัง? ”

ซูจิ่นซียอมรับว่าก่อนหน้านั้นได้ลืมเรื่องแท่นดวงวิญญาณไปเสียสนิท ทว่าก้นบึ้งหัวใจก็อดหงุดหงิดอวิ๋นอี้ไม่ได้เช่นกัน

อวิ๋นอี้กล่าว “เจ้าวางใจ ตราบใดที่เจ้าไม่กลับคำเรื่องข้อตกลงระหว่างเรา เรื่องมู่หรงฉี ข้าเพียงใช้พลังโบกมือครั้งเดียว เขาก็ปลอดภัยหายห่วงแล้ว! ”

“มีความสามารถถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านไม่ไปที่แท่นดวงวิญญาณด้วยตนเองเล่า? ”

อวิ๋นอี้ยกยิ้มอย่างขมขื่น “หากข้าใช้พลังตนเองช่วยนางออกมาได้ก็คงไม่ต้องทนรอนานหลายปีเช่นนี้”

เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ที่ความคิดล่องลอยไปไกล ซูจิ่นซีก็ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเถิด ในเมื่อข้าเคยรับปากท่านไว้แล้ว ข้า ซูจิ่นซีคำพูดหนักแน่นดั่งกระถางสัมฤทธิ์เก้าใบ คำเมื่อออกมาจากปากแล้ว ย่อมไม่กลับคำแน่นอน”

“ตกลง พวกจะเริ่มกันเมื่อใด? ”

“เริ่มอันใดหรือ? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว

อวิ๋นอี้พูดว่า “ส่งพลังอีกครึ่งหนึ่งของข้าให้เจ้า! ดูจากพลังในตอนนี้ของเจ้า คงฝึกพลังสยบมังกรถึงขั้นสูงสุดแล้ว นอกจากนี้ยังมีพลังศิลาสะกดวิญญาณอีก คิดดูแล้ว เจ้ารับพลังของข้าได้โดยไม่มีปัญหาแน่นอน”

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พลังส่งต่อให้เมื่อใดก็ได้ ทว่ายังมีบางเรื่องที่ข้าต้องรอให้มันคลี่คลายก่อนถึงจะจากไปพร้อมกับท่านได้”

การไปที่แท่นดวงวิญญาณครั้งนี้อันตรายมากอย่างแน่นอน เยี่ยโยวเหยาดึงมือของซูจิ่นซีด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ซูจิ่นซีหันกลับไปส่งสายตาปลอบโยนให้เยี่ยโยวเหยา “วางใจเถิด! ”

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย

“ตกลง! ” อวิ๋นอี้กล่าว “รอมานานถึงเพียงนี้แล้ว รออีกสักประเดี๋ยวคงไม่เป็นอันใด”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากัน ด้านข้างก็มีเสียงร้องครวญดังขึ้น

ซูจิ่นซีเพิ่งเห็นว่าอวิ๋นอี้พาจิ้นอี้เฉินมาด้วย

จิ้นอี้เฉินถูกผนึกปากจึงไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ ทว่าเมื่อสบตากับซูจิ่นซี ดวงตาของเขากลับดุดันรุนแรงขึ้นเล็กน้อยราวกับมีเรื่องต้องการจะพูด

ซูจิ่นซีเหลือบมองอวิ๋นอี้ อวิ๋นอี้จึงคลายผนึกให้จิ้นอี้เฉิน

จิ้นอี้เฉินจ้องซูจิ่นซีด้วยสีหน้าเคียดแค้น “ซูจิ่นซี สตรีผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ บุรุษแต่ละคนล้วนอุทิศตนเพื่อเจ้า คนแรกก็คุณชายจิ่ว ถัดมาก็เยี่ยโยวเหยา ตอนนี้ท่านพญายมก็เป็นไปกับเขาด้วย… ”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ไม่รอให้ซูจิ่นซีทำอันใด เยี่ยโยวเหยาก็ใช้เท้าเตะบนร่างของจิ้นอี้เฉินอย่างรุนแรง

เยี่ยโยวเหยาใช้พลังสิบส่วนเตะจิ้นอี้เฉินอยู่สักพักจนเขาหายใจไม่ออก ทำได้เพียงกอดร่างไว้แล้วกลิ้งไปทั่ว

ซูจิ่นซีค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าและกระชากคอเสื้อจิ้นอี้เฉิน

“จิ้นอี้เฉิน ราชครูใหญ่แห่งแคว้นไหวเจียง ทายาทของสกุลเสวียนหยวน… เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ระหว่างเจ้าและข้าก็มีบรรพบุรุษร่วมกันเช่นกัน

ในปีนั้น เป็นเจ้าที่ทรยศสกุลเสวียนหยวน ทำให้สกุลเกาของข้าถูกทำลาย ทั้งยังผูกความแค้นบัญชีเลือดกับสกุลฝูแห่งราชวงศ์ต้าฉินใช่หรือไม่? ”

จิ้นอี้เฉินมองซูจิ่นซีด้วยสีหน้ายากที่จะเชื่อ ทว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเยาะ “ซูจิ่นซี วิธีการของเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ! ”

ซูจิ่นซีก็ยิ้มเยาะเช่นกัน “สกุลเกาของข้ารับผิดแทนพวกเจ้ามานานหลายปีแล้ว หากเจ้าไม่ทราบในจุดนี้ จะเป็นราชครูได้อย่างไร? ” นางพูดพลางฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของจิ้นอี้เฉินออกทันที เผยให้เห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา

แสงที่ลอดเข้ามาจากทางหน้าต่างสว่างจนแสบตาเล็กน้อย จิ้นอี้เฉินป้องดวงตาทั้งสองด้วยความรู้สึกไม่สบายตานัก

ซูจิ่นซีบีบคางและบังคับให้เขามองตนเอง “พูดมา เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับจิ่วหรงและเผ่าสมุนไพรกันแน่? ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด