เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 866 ไม่งั้นคุณก็ฆ่าผมไปเลยสิ

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 866 ไม่งั้นคุณก็ฆ่าผมไปเลยสิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่ขับรถออกมาจากคฤหาสน์หลังนี้แล้ว พลันมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งช่วงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า จนแสงสีทองทอแสงใกล้โพล้เพล้เต็มที เหลือแค่ลูกไฟก้อนกลมริมขอบฟ้า ที่จะใกล้จะตกดินอยู่รอมร่อ

ซูย้าวเอนหลังพิงเบาะหลัง พลันหันข้างมองถนนที่อยู่ด้านนอกกระจกรถ ดูจากสภาพแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ในประเทศอย่างแน่นอน เป็นสไตล์ความแปลกใหม่ พลันเกิดความรู้สึกไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็เข้าใจทันที

แต่มันคือที่ไหน ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่แน่ชัดมากนัก

ทว่าสามารถเห็นป้ายโฆษณาต่างๆ นานาเต็มไปทั่ว พร้อมทั้งเครื่องประทินผิวแบรนด์ดังทุกแบรนด์ ทว่ายังไม่สามารถแน่ชัดได้ว่าที่นี่คือที่ใด สิ่งเดียวที่สามารถแน่ชัดได้นั้น ที่นี่สอดคล้องกับขั้นตอนและวิธีการของอานเจียเย้นเป็นอย่างมาก

เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้ว่าอยากจะเจอหน้าใครสักคนอีกครั้ง เขาก็จงใจใช้ไม้อ่อนก่อน โดยการให้อีกฝ่ายนั้นไร้เรี่ยวแรงไปสักหลายวันก่อน หรือว่าสิบกว่าวันก็ว่ากันไป บ้างก็อาจจะนานกว่านั้นอยู่หน่อย เพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ และสงบจิตใจลง เพื่อให้อีกฝ่ายขจัดความโกรธ รวมถึงคลายอารมณ์โกรธออกไปก่อน

แม้ว่าจะเป็นที่มีลักษณะนิสัยเป็นเอกลักษณ์ก็ตาม บุคคลที่มีหลักการต่างๆ เมื่อมาอยู่ใกล้ตัวอานเจียเย้นแล้ว พลันกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเขาได้อย่างง่ายดาย

เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

ฉะนั้น ซูย้าวจึงยอมรับได้ง่ายมาก กับสิ่งเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

รถแล่นอยู่ในเมืองนานมาก สุดท้ายก็ขึ้นทางด่วน และใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และขับมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กอันเงียบสงบ

บ้านสีเบจแต่ละหลัง เมื่อมองไปราวกับตนเองอยู่ในสรวงสวรรค์ บวกกับวิวทิวทัศน์ที่มีภูเขาเขียวชอุ่มแม่น้ำสีเขียวมรกต ยิ่งทำให้มนุษย์มีความรู้สึกต้องมนต์จนเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์จริงๆ

วิวทิวทัศน์อันไร้ข้อเปรียบเทียบเช่นนี้ ซึ่งสะท้อนรสนิยมของอานเจียเย้น ถ้าให้เขาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ซูย้าวเชื่ออย่างไม่ข้อกังขาสักนิด

แต่สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงเลยสักนิดก็คือ รถยนต์ไม่ได้จอด นั่นก็หมายความว่าเป้าหมาย มันไม่ใช่ที่นี่นะสิ

รถยนต์ค่อยๆ ทะยานต่อไป สุดท้าย จึงจอดลง บริเวณภูเขาหิมะที่อยู่ไม่ไกลนัก

ซึ่งทัศนียภาพแตกต่างกับในเมืองเล็กๆ เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ในเมืองนั้นต้นไม้นานาพันธุ์เขียวขจี ราวกับแดนสวรรค์ ส่วนที่นี่กลับเป็นมีแต่หิมะปกคลุมไปทั่ว จนขาวโพลนทุกหย่อมหญ้า

อาจจะเป็นเพราะเหตุจากการผลัดเปลี่ยนของสองฤดูกาล จนทำให้ที่นี่กลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์อันสวยงามตระการตาที่อยู่ในใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย ราวกับเป็นมุมหนึ่งของดินแดนสวรรค์ เป็นดินแดนอันงดงามเพียงถูกเทพเจ้าลืมเลือนไปเท่านั้นเอง

หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พลันมีผู้ชายเป็นคนเปิดประตูรถเบาะหลังให้เธอ หลังจากรอให้ซูย้าวลงจากรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น จึงมีคนเอาเสื้อโค๊ตขนเป็ดของสุภาพสตรีพาดลงบนไหล่เธอ และพูดว่า “เพราะการเดินทางด้านหน้าไม่เหมาะสมในการขับรถเข้าไป รบกวนคุณหนูต้องเดินเท้าเอง ขออภัยด้วยครับ”

ซูย้าวไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร นั่งรถมานานขนาดนี้แล้ว เธอเองก็เมื่อยเต็มทน เดินสักหน่อย ก็ถือว่าไม่เลวนะ

เธอเดินเท้าขึ้นเขา กับคนเหล่านี้ ตอนถึงยอดเขานั้น ใช้เวลาสี่สิบนาทีได้

ในที่สุดก็ปีนมาถึงยอดเขา พลันเห็นบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งขนาดไม่ถือว่าใหญ่มากนัก เข้ากระบอกตา

สีแสงจันทร์นวลผ่องอันเงียบสงบ ท่ามกลางหิมะสีขาว เป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กเพียงหลังเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทที่อยู่ในเทพนิยาย แต่กลับไม่มีความรู้สึกโอ่อ่าและแปลกตา เป็นเพียงบ้านอันแสนธรรมดาเท่านั้นเอง ราวกับให้ความรู้สึกแสนธรรมดาเช่นนั้น ทว่าเมื่อพิจารณามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กลับไม่ถือว่าธรรมดาเลยสักนิด

ผู้ชายกลุ่มนั้นเดินนำหน้าไปยังประตูบ้าน และคนที่เป็นหัวหน้านั้นโค้งตัวให้ซูย้าวด้วยความเคารพ พลันมองไปทางประตูบ้าน และใช้มือแสดงท่า ‘เรียนเชิญ’

ซูย้าวพลันสูดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งก้าวเท้าพลันผลักประตูบ้านและเดินเข้าไป

เมื่อเดินผ่านทางเข้าบ้านแคบ ๆ มาแล้ว จึงเดินเข้าห้องรับแขก ซึ่งการก่อสร้างไม่มีอะไรแตกต่างไปจากห้องอื่นๆ เลย สิ่งที่ไม่เหมือนก็คือ ภายในห้องรับแขกของที่นี่นั้น นอกจากมีสิ่งของจำพวกโทรทัศน์โซฟาแล้ว ยังมีเตาพิงไฟขนาดใหญ่มหึมา มีกองไฟคุกรุ่นอยู่บ้าง แต่ไร้ควัน ทว่าช่างอบอุ่นเหลือเกิน

ส่วนแสงในห้องมืดสลัว ราวกับมีคนจงใจปรับให้เป็นเช่นนั้น มันมืดมัว จนครึ้มอยู่บ้าง

บนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก และอยู่ด้านหลังของซูย้าว มีคนนั่งอยู่หนึ่งคน

เธอไม่จำเป็นต้องเขยิบมองใกล้ ๆ แค่รูปร่างก็จดจำได้ ว่าคืออานเจียเย้นนั่นเอง

ซูย้าวเดินเข้าไปหา และเดินอ้อมไปอยู่ฝั่งตรงข้ามของผู้ชาย พลันถอดเสื้อโค๊ตขนเป็ดออก จากนั้นจึงนั่งลงด้านข้าง  จนได้รับความอบอุ่นขึ้นมาในชั่วพริบตา จนทำให้เธออดใจไม่ไหวจนหลับตาลง

“ไม่ได้ไปรับคุณด้วยตัวเอง แถมยังให้คุณต้องเดือดร้อนอยู่ไม่น้อยตลอดการเดินทาง คงบ่นผมอยู่ไม่น้อยใช่ไหม?” อานเจียเย้นเอ่ยปากพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ สำเนียงของคนอังกฤษ และพูดภาษาอังกฤษตามสำเนียงอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ซูย้าวเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่พูดภาษาจีนกลางแทน “จะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?”

อานเจียเย้นหัวเราะทันที จนร่างกายเคลื่อนไหว พลันช้อนสายตามองเธอ “เดือดร้อนไปด้วย ขอโทษนะ”

“ยังมีอีกไหม?” ซูย้าวถามกลับ แสดงสีหน้าอันเฉยเมยปรากฏบนใบหน้าจนเห็นอย่างชัดเจน ไม่มีความรู้สึกอื่นปรากฏให้เห็น สำหรับเขาแล้ว ราวกับเหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก มีทั้งความเหินห่าง ความเย็นชาเช่นนั้นให้เห็น

อานเจียเย้นขมวดคิ้วหากันเล็กน้อย “ดูจากสภาพแล้ว คุณหลงรักเขาจริงๆ แล้วสิ และในใจไม่รู้สึกสนใจผมแล้วจริงๆ ด้วย”

ซูย้าวไม่ได้พูดอะไรต่อ และเบนสายตาแทน พลันหยิบกาชาอุ่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ และจัดการรินน้ำหนึ่งแก้ว และค่อยๆ จิบ

“หรือจะพูดว่า เริ่มกลับไปหลงรักเขาซ้ำอีกครั้งแล้วดีนะ?” น้ำเสียงอันเฉยเมยของเขา มีการพูดหยอกล้อออกมาด้วย

ซูย้าวจิบชาร้อนไปสองอึก เพื่อให้ร่างกายอันหนาวเหน็บได้อุ่นขึ้นมาบ้าง พลันพูดอีกครั้ง “ถือว่าเริ่มใหม่แหละ หรือว่ารักมาตลอดก็ได้”

ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กที่แสนโง่เขลา หรือความโกรธเกลียดเพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณหลังหย่าร้างกันแล้ว และยังมีความคับข้องใจก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เธอก็ยังหลงรักลี่เฉินซี ตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้

อานเจียเย้นพยักหน้าเล็กน้อย “ดังนั้น การเดิมพันระหว่างพวกเรา มันก็ไม่สำเร็จไปตั้งแต่แรกแล้ว”

“ใช่ ไม่สำเร็จ” ซูย้าวตอบกลับ น้ำเสียงปกติไร้ความรู้สึกใดเจือปน “แต่สัญญาการเดิมพันที่พูดถึง คุณไม่เคยรักษาสัญญามาก่อนเลย ใช่ไหม?”

มุมปากอานเจียเย้นกระตุกขึ้น และยิ้มออกมา ขาเรียวสองนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม “ตอนที่คุณกำลังฟื้นความจำนั้น แต่กลับปิดบังผม แถมยังเริ่มตั้งใจมาเดิมพันกับผม การเดิมพันนี้ มันก็แค่คำพูดลอย ๆ เท่านั้นเอง”

“เรื่องนี้เอง…”

ซูย้าวลากเสียงยาวเล็กน้อย พลันช้อนตามองเขา “งั้นตอนนี้คุณวางแผนจะทำอะไร? ผลักฉันออกไป แล้วให้ตกเป็นเป้าล่อต่อไปเหรอ หรือว่าอยากจะฆ่าปิดปากฉัน เพื่อระบายความโกรธแค้นที่อันแน่นอยู่ในใจเหรอ?”

“คุณ?” อานเจียเย้นลังเลอยู่สักพัก พลันคลายหัวคิ้วอย่างสนใจ นัยน์ตาสีอำพันอันลึกล้ำ แคบลงเรื่อย ๆ “ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายแกเลยสักครั้ง เรื่องนี้ คุณย่อมรู้ดี”

ดังนั้นจึงผลักเธอออกไปเป็นเป้าล่อ นั่นเป็นแค่วิธีการบางอย่างเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

ตอนที่เพ้ยหยู่เจี๋ยเพิ่งเสียชีวิตในตอนแรกนั้น ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ คงไม่มีทางรักษาชีวิตซูย้าวเอาไว้ได้ หลังจากเพ้ยหยู่เจี๋ยเสียชีวิตลงแล้ว แต่อานเจียเย้นอำนาจยังสั่นคลอนอยู่ตลอด จึงต้องจัดการและเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมายนัก จึงไม่มีวิธีในการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ในขณะนั้น

อีกอย่าง การตกเป้าล่อ เป็นแพะรับบาปก็ดีนะ แม้ว่าหลักการจะเหมือนกันก็ตาม แต่สิ่งที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนนั้น มันยังคงสร้างใหม่ ต้องใช้เวลาและพลังงานทั้งสิ้น

ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบ การลบเลือนทุกอย่างมันอาจจับร่องรอยได้ เช่นนั้นก็ถูกคนอื่นโยนเป็นแพะรับบาปแทน และมันจะมีค่าอะไรเล่า?

ส่วนเรื่องจะกำจัดเธอนั้นเหรอ?

ไม่เคยคิดมาก่อนเลย รวมถึงตอนนี้ด้วย

ถ้าเขาอยากจะทำร้ายเธอจริงๆ งั้นซูย้าวก็เหมือนเทพเจ้าแมวแล้วแหละ มีเก้าชีวิตเกรงว่ายังไม่พอด้วยซ้ำ

“แต่แกก็ยังแตะต้องลูกชายฉัน!” ซูย้าวเริ่มพูดขึ้นเสียง และระเบิดอารมณ์โกรธเคืองที่ซ่อนอยู่ และจับที่วางมือบนโซฟาเอาไว้แน่นด้วยความโกรธเคือง “เขายังเด็กขนาดนั้น ปีนี้ยังไม่ถึงแปดขวบเลย แต่กลับมาตายอย่างอนาถในมือของแก!”

“อานเจียเย้น ฉันเคยพูดแล้วใช่ไหม ไม่ว่าแกอยากจะทำอะไร ก็พุ่งเป้ามาที่ฉันนี้ แม้ว่าจะส่งฉันไปอยู่ในคุกจริงๆ ก็ตาม หรือว่าจะให้ฉันตายโดยไม่มีที่ฝังศพ ฉันก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่อย่าไปแตะต้องลูกของฉัน!”

นี่คือขีดจำกัดของซูย้าว และเป็นเส้นตายอีกด้วย แต่เขาก็ไม่ฟังและไม่เชื่อ และอยากจะทำตามใจให้ได้โดยไม่สนใจอะไรเลย!

อานเจียเย้นหัวเราะลั่น พลางขยับมือเล็กน้อยเพื่อหยิบปืนออกจากกระเป๋าเสื้อสูท และจัดการหันกระบอกปืนและหมุนลูกโม่ จึงโยนปืนให้ซูย้าวทันที

ซูย้าวรับเอาไว้ตามสัญชาตญาณทันที และฟังคำพูดของชายคนนั้น “มาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็ฆ่าฉันเถอะ!”

สีหน้าของเขาแสดงกิริยาเช่นเดิม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด และไม่มีสีหน้าหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกสักนิด กระทั่งความวิตกกังวลสักนิด ก็ไม่เคยมี เขาแค่เอนหลังพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน พลันเหลือบมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง “คุณคือคนที่ผมสั่งสอนมากับมือ แม้ว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันถือว่าไม่นานมากนัก แต่คุณเป็นผู้หญิงคนเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมพอใจมากจริงๆ”

“และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีความรู้สึกอยากเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิต และเป็นผู้หญิงที่อยากใช้ชีวิตด้วย ไม่สนว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ สิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดนั้น ก็เพื่อคุณทั้งสิ้น แต่วิธีการมันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่ในความจริงมันก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ผมยกอำนาจในมือให้คุณ ฆ่าผมสิ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันสักที”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 866 ไม่งั้นคุณก็ฆ่าผมไปเลยสิ

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 866 ไม่งั้นคุณก็ฆ่าผมไปเลยสิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่ขับรถออกมาจากคฤหาสน์หลังนี้แล้ว พลันมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งช่วงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า จนแสงสีทองทอแสงใกล้โพล้เพล้เต็มที เหลือแค่ลูกไฟก้อนกลมริมขอบฟ้า ที่จะใกล้จะตกดินอยู่รอมร่อ

ซูย้าวเอนหลังพิงเบาะหลัง พลันหันข้างมองถนนที่อยู่ด้านนอกกระจกรถ ดูจากสภาพแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ในประเทศอย่างแน่นอน เป็นสไตล์ความแปลกใหม่ พลันเกิดความรู้สึกไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็เข้าใจทันที

แต่มันคือที่ไหน ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่แน่ชัดมากนัก

ทว่าสามารถเห็นป้ายโฆษณาต่างๆ นานาเต็มไปทั่ว พร้อมทั้งเครื่องประทินผิวแบรนด์ดังทุกแบรนด์ ทว่ายังไม่สามารถแน่ชัดได้ว่าที่นี่คือที่ใด สิ่งเดียวที่สามารถแน่ชัดได้นั้น ที่นี่สอดคล้องกับขั้นตอนและวิธีการของอานเจียเย้นเป็นอย่างมาก

เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้ว่าอยากจะเจอหน้าใครสักคนอีกครั้ง เขาก็จงใจใช้ไม้อ่อนก่อน โดยการให้อีกฝ่ายนั้นไร้เรี่ยวแรงไปสักหลายวันก่อน หรือว่าสิบกว่าวันก็ว่ากันไป บ้างก็อาจจะนานกว่านั้นอยู่หน่อย เพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ และสงบจิตใจลง เพื่อให้อีกฝ่ายขจัดความโกรธ รวมถึงคลายอารมณ์โกรธออกไปก่อน

แม้ว่าจะเป็นที่มีลักษณะนิสัยเป็นเอกลักษณ์ก็ตาม บุคคลที่มีหลักการต่างๆ เมื่อมาอยู่ใกล้ตัวอานเจียเย้นแล้ว พลันกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเขาได้อย่างง่ายดาย

เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

ฉะนั้น ซูย้าวจึงยอมรับได้ง่ายมาก กับสิ่งเหล่านั้นที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

รถแล่นอยู่ในเมืองนานมาก สุดท้ายก็ขึ้นทางด่วน และใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และขับมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กอันเงียบสงบ

บ้านสีเบจแต่ละหลัง เมื่อมองไปราวกับตนเองอยู่ในสรวงสวรรค์ บวกกับวิวทิวทัศน์ที่มีภูเขาเขียวชอุ่มแม่น้ำสีเขียวมรกต ยิ่งทำให้มนุษย์มีความรู้สึกต้องมนต์จนเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์จริงๆ

วิวทิวทัศน์อันไร้ข้อเปรียบเทียบเช่นนี้ ซึ่งสะท้อนรสนิยมของอานเจียเย้น ถ้าให้เขาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ซูย้าวเชื่ออย่างไม่ข้อกังขาสักนิด

แต่สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงเลยสักนิดก็คือ รถยนต์ไม่ได้จอด นั่นก็หมายความว่าเป้าหมาย มันไม่ใช่ที่นี่นะสิ

รถยนต์ค่อยๆ ทะยานต่อไป สุดท้าย จึงจอดลง บริเวณภูเขาหิมะที่อยู่ไม่ไกลนัก

ซึ่งทัศนียภาพแตกต่างกับในเมืองเล็กๆ เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ในเมืองนั้นต้นไม้นานาพันธุ์เขียวขจี ราวกับแดนสวรรค์ ส่วนที่นี่กลับเป็นมีแต่หิมะปกคลุมไปทั่ว จนขาวโพลนทุกหย่อมหญ้า

อาจจะเป็นเพราะเหตุจากการผลัดเปลี่ยนของสองฤดูกาล จนทำให้ที่นี่กลายเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์อันสวยงามตระการตาที่อยู่ในใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย ราวกับเป็นมุมหนึ่งของดินแดนสวรรค์ เป็นดินแดนอันงดงามเพียงถูกเทพเจ้าลืมเลือนไปเท่านั้นเอง

หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พลันมีผู้ชายเป็นคนเปิดประตูรถเบาะหลังให้เธอ หลังจากรอให้ซูย้าวลงจากรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น จึงมีคนเอาเสื้อโค๊ตขนเป็ดของสุภาพสตรีพาดลงบนไหล่เธอ และพูดว่า “เพราะการเดินทางด้านหน้าไม่เหมาะสมในการขับรถเข้าไป รบกวนคุณหนูต้องเดินเท้าเอง ขออภัยด้วยครับ”

ซูย้าวไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร นั่งรถมานานขนาดนี้แล้ว เธอเองก็เมื่อยเต็มทน เดินสักหน่อย ก็ถือว่าไม่เลวนะ

เธอเดินเท้าขึ้นเขา กับคนเหล่านี้ ตอนถึงยอดเขานั้น ใช้เวลาสี่สิบนาทีได้

ในที่สุดก็ปีนมาถึงยอดเขา พลันเห็นบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งขนาดไม่ถือว่าใหญ่มากนัก เข้ากระบอกตา

สีแสงจันทร์นวลผ่องอันเงียบสงบ ท่ามกลางหิมะสีขาว เป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กเพียงหลังเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทที่อยู่ในเทพนิยาย แต่กลับไม่มีความรู้สึกโอ่อ่าและแปลกตา เป็นเพียงบ้านอันแสนธรรมดาเท่านั้นเอง ราวกับให้ความรู้สึกแสนธรรมดาเช่นนั้น ทว่าเมื่อพิจารณามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กลับไม่ถือว่าธรรมดาเลยสักนิด

ผู้ชายกลุ่มนั้นเดินนำหน้าไปยังประตูบ้าน และคนที่เป็นหัวหน้านั้นโค้งตัวให้ซูย้าวด้วยความเคารพ พลันมองไปทางประตูบ้าน และใช้มือแสดงท่า ‘เรียนเชิญ’

ซูย้าวพลันสูดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งก้าวเท้าพลันผลักประตูบ้านและเดินเข้าไป

เมื่อเดินผ่านทางเข้าบ้านแคบ ๆ มาแล้ว จึงเดินเข้าห้องรับแขก ซึ่งการก่อสร้างไม่มีอะไรแตกต่างไปจากห้องอื่นๆ เลย สิ่งที่ไม่เหมือนก็คือ ภายในห้องรับแขกของที่นี่นั้น นอกจากมีสิ่งของจำพวกโทรทัศน์โซฟาแล้ว ยังมีเตาพิงไฟขนาดใหญ่มหึมา มีกองไฟคุกรุ่นอยู่บ้าง แต่ไร้ควัน ทว่าช่างอบอุ่นเหลือเกิน

ส่วนแสงในห้องมืดสลัว ราวกับมีคนจงใจปรับให้เป็นเช่นนั้น มันมืดมัว จนครึ้มอยู่บ้าง

บนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก และอยู่ด้านหลังของซูย้าว มีคนนั่งอยู่หนึ่งคน

เธอไม่จำเป็นต้องเขยิบมองใกล้ ๆ แค่รูปร่างก็จดจำได้ ว่าคืออานเจียเย้นนั่นเอง

ซูย้าวเดินเข้าไปหา และเดินอ้อมไปอยู่ฝั่งตรงข้ามของผู้ชาย พลันถอดเสื้อโค๊ตขนเป็ดออก จากนั้นจึงนั่งลงด้านข้าง  จนได้รับความอบอุ่นขึ้นมาในชั่วพริบตา จนทำให้เธออดใจไม่ไหวจนหลับตาลง

“ไม่ได้ไปรับคุณด้วยตัวเอง แถมยังให้คุณต้องเดือดร้อนอยู่ไม่น้อยตลอดการเดินทาง คงบ่นผมอยู่ไม่น้อยใช่ไหม?” อานเจียเย้นเอ่ยปากพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ สำเนียงของคนอังกฤษ และพูดภาษาอังกฤษตามสำเนียงอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ซูย้าวเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ แต่พูดภาษาจีนกลางแทน “จะกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?”

อานเจียเย้นหัวเราะทันที จนร่างกายเคลื่อนไหว พลันช้อนสายตามองเธอ “เดือดร้อนไปด้วย ขอโทษนะ”

“ยังมีอีกไหม?” ซูย้าวถามกลับ แสดงสีหน้าอันเฉยเมยปรากฏบนใบหน้าจนเห็นอย่างชัดเจน ไม่มีความรู้สึกอื่นปรากฏให้เห็น สำหรับเขาแล้ว ราวกับเหมือนคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก มีทั้งความเหินห่าง ความเย็นชาเช่นนั้นให้เห็น

อานเจียเย้นขมวดคิ้วหากันเล็กน้อย “ดูจากสภาพแล้ว คุณหลงรักเขาจริงๆ แล้วสิ และในใจไม่รู้สึกสนใจผมแล้วจริงๆ ด้วย”

ซูย้าวไม่ได้พูดอะไรต่อ และเบนสายตาแทน พลันหยิบกาชาอุ่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ และจัดการรินน้ำหนึ่งแก้ว และค่อยๆ จิบ

“หรือจะพูดว่า เริ่มกลับไปหลงรักเขาซ้ำอีกครั้งแล้วดีนะ?” น้ำเสียงอันเฉยเมยของเขา มีการพูดหยอกล้อออกมาด้วย

ซูย้าวจิบชาร้อนไปสองอึก เพื่อให้ร่างกายอันหนาวเหน็บได้อุ่นขึ้นมาบ้าง พลันพูดอีกครั้ง “ถือว่าเริ่มใหม่แหละ หรือว่ารักมาตลอดก็ได้”

ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กที่แสนโง่เขลา หรือความโกรธเกลียดเพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณหลังหย่าร้างกันแล้ว และยังมีความคับข้องใจก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เธอก็ยังหลงรักลี่เฉินซี ตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้

อานเจียเย้นพยักหน้าเล็กน้อย “ดังนั้น การเดิมพันระหว่างพวกเรา มันก็ไม่สำเร็จไปตั้งแต่แรกแล้ว”

“ใช่ ไม่สำเร็จ” ซูย้าวตอบกลับ น้ำเสียงปกติไร้ความรู้สึกใดเจือปน “แต่สัญญาการเดิมพันที่พูดถึง คุณไม่เคยรักษาสัญญามาก่อนเลย ใช่ไหม?”

มุมปากอานเจียเย้นกระตุกขึ้น และยิ้มออกมา ขาเรียวสองนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม “ตอนที่คุณกำลังฟื้นความจำนั้น แต่กลับปิดบังผม แถมยังเริ่มตั้งใจมาเดิมพันกับผม การเดิมพันนี้ มันก็แค่คำพูดลอย ๆ เท่านั้นเอง”

“เรื่องนี้เอง…”

ซูย้าวลากเสียงยาวเล็กน้อย พลันช้อนตามองเขา “งั้นตอนนี้คุณวางแผนจะทำอะไร? ผลักฉันออกไป แล้วให้ตกเป็นเป้าล่อต่อไปเหรอ หรือว่าอยากจะฆ่าปิดปากฉัน เพื่อระบายความโกรธแค้นที่อันแน่นอยู่ในใจเหรอ?”

“คุณ?” อานเจียเย้นลังเลอยู่สักพัก พลันคลายหัวคิ้วอย่างสนใจ นัยน์ตาสีอำพันอันลึกล้ำ แคบลงเรื่อย ๆ “ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายแกเลยสักครั้ง เรื่องนี้ คุณย่อมรู้ดี”

ดังนั้นจึงผลักเธอออกไปเป็นเป้าล่อ นั่นเป็นแค่วิธีการบางอย่างเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

ตอนที่เพ้ยหยู่เจี๋ยเพิ่งเสียชีวิตในตอนแรกนั้น ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ คงไม่มีทางรักษาชีวิตซูย้าวเอาไว้ได้ หลังจากเพ้ยหยู่เจี๋ยเสียชีวิตลงแล้ว แต่อานเจียเย้นอำนาจยังสั่นคลอนอยู่ตลอด จึงต้องจัดการและเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมายนัก จึงไม่มีวิธีในการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ในขณะนั้น

อีกอย่าง การตกเป้าล่อ เป็นแพะรับบาปก็ดีนะ แม้ว่าหลักการจะเหมือนกันก็ตาม แต่สิ่งที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนนั้น มันยังคงสร้างใหม่ ต้องใช้เวลาและพลังงานทั้งสิ้น

ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบ การลบเลือนทุกอย่างมันอาจจับร่องรอยได้ เช่นนั้นก็ถูกคนอื่นโยนเป็นแพะรับบาปแทน และมันจะมีค่าอะไรเล่า?

ส่วนเรื่องจะกำจัดเธอนั้นเหรอ?

ไม่เคยคิดมาก่อนเลย รวมถึงตอนนี้ด้วย

ถ้าเขาอยากจะทำร้ายเธอจริงๆ งั้นซูย้าวก็เหมือนเทพเจ้าแมวแล้วแหละ มีเก้าชีวิตเกรงว่ายังไม่พอด้วยซ้ำ

“แต่แกก็ยังแตะต้องลูกชายฉัน!” ซูย้าวเริ่มพูดขึ้นเสียง และระเบิดอารมณ์โกรธเคืองที่ซ่อนอยู่ และจับที่วางมือบนโซฟาเอาไว้แน่นด้วยความโกรธเคือง “เขายังเด็กขนาดนั้น ปีนี้ยังไม่ถึงแปดขวบเลย แต่กลับมาตายอย่างอนาถในมือของแก!”

“อานเจียเย้น ฉันเคยพูดแล้วใช่ไหม ไม่ว่าแกอยากจะทำอะไร ก็พุ่งเป้ามาที่ฉันนี้ แม้ว่าจะส่งฉันไปอยู่ในคุกจริงๆ ก็ตาม หรือว่าจะให้ฉันตายโดยไม่มีที่ฝังศพ ฉันก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่อย่าไปแตะต้องลูกของฉัน!”

นี่คือขีดจำกัดของซูย้าว และเป็นเส้นตายอีกด้วย แต่เขาก็ไม่ฟังและไม่เชื่อ และอยากจะทำตามใจให้ได้โดยไม่สนใจอะไรเลย!

อานเจียเย้นหัวเราะลั่น พลางขยับมือเล็กน้อยเพื่อหยิบปืนออกจากกระเป๋าเสื้อสูท และจัดการหันกระบอกปืนและหมุนลูกโม่ จึงโยนปืนให้ซูย้าวทันที

ซูย้าวรับเอาไว้ตามสัญชาตญาณทันที และฟังคำพูดของชายคนนั้น “มาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็ฆ่าฉันเถอะ!”

สีหน้าของเขาแสดงกิริยาเช่นเดิม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด และไม่มีสีหน้าหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกสักนิด กระทั่งความวิตกกังวลสักนิด ก็ไม่เคยมี เขาแค่เอนหลังพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน พลันเหลือบมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง “คุณคือคนที่ผมสั่งสอนมากับมือ แม้ว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันถือว่าไม่นานมากนัก แต่คุณเป็นผู้หญิงคนเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมพอใจมากจริงๆ”

“และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีความรู้สึกอยากเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิต และเป็นผู้หญิงที่อยากใช้ชีวิตด้วย ไม่สนว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ สิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดนั้น ก็เพื่อคุณทั้งสิ้น แต่วิธีการมันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่ในความจริงมันก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ผมยกอำนาจในมือให้คุณ ฆ่าผมสิ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันสักที”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+