เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 873 อย่าคาดหวังให้ผมตายเลย จะได้ไหม?

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 873 อย่าคาดหวังให้ผมตายเลย จะได้ไหม? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อานเจียเย้นแสยะยิ้มความเย็นชาออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน พลันเลิกคิ้วมองมาทางเธอ “ตอนนี้เริ่มหวังรอวันให้ผมตายไปให้สิ้นซากแล้วใช่มั้ยเนี่ย?”

ซูย้าวไม่ได้พูดอะไรต่อ พลันหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “มนุษย์เราไม่ว่าช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องตาย แค่รอเวลาจะไปช้าหรือไปเร็วเท่านั้นเอง”

อานเจียเย้นเอนหลังพิงมาทางโซฟา แววตาลึกซึ้งจ้องมองเพดานอันงดงามวิจิตรอยู่สักพัก และไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ทำอะไร

ส่วนซูย้าวแนบพิงหน้าต่างจรดพื้นอยู่เงียบๆ พลันมองตึกสูงที่อยู่ด้านนอก รถยนต์คลาคล่ำไม่ขาดสาย ราวกับกำลังชื่นชมทัศนียภาพ และเหมือนไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ซึ่งเวลาที่ซูย้าวคิดว่าควรจะออกไปดีหรือไม่ หรือว่าจะทำอะไรดีนั้น พลันมีเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยของชายหนึ่งที่อยู่ด้านข้างดังขึ้นมา

“ถ้าเป็นไปได้ อย่าหวังให้ผมรีบตายไปเร็วๆ แบบนี้ จะได้มั้ย?”

“ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณจริงๆ เลย รวมถึงตอนนี้ด้วย ส่วนเรื่องลูกของคุณ ผมจะอธิบายให้คุณฟังหลังจากนี้เอง”

ซูย้าวได้ยินเสียงพลันหันตัวทันที ด้วยดวงตาอันเย็นชาและเฉยเมย ไร้ความรู้สึก “อานเจียเย้น คุณอย่าทำแบบนี้!”

“ในความคิดของฉันนั้น คุณไม่ใช่แบบนี้ และก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะทำเพื่ออะไร ที่ให้ตัวเองเป็นประเภทคอยพะเน้าพอนอเอาใจคนอื่น”

ในความทรงจำของเธอนั้น อานเจียเย้นทำตัวสูงส่งเหนือการคาดเดา ระดับความอันตรายของเขา ทิ้งระยะห่างอยู่เหนือลี่เฉินซีไปหลายชั้น การซ่อนเร้นความลับและจับจุดไม่ได้ จนไม่สามารถหาคำไหนมาพรรณนาให้ใกล้เคียงได้เลย เขาซึ่งเหมือนเงาที่อยู่ปกคลุมในหมอกควันหนาอยู่ตลอดเวลา มีอิทธิพลจากบารมีต่างๆ จากหลายสถานะที่เป็นอยู่ อำนาจบารมีที่อันมหาศาลที่ปกคลุมอยู่เบื้องหลัง ท่ามกลางในสิ่งที่เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ว่าได้เอนเอียงไปตั้งนานแล้ว

สิ่งที่ซูย้าวไม่อยากเผชิญหน้าที่สุด ไม่ใช่ความเย็นชาอันโหดเหี้ยมของเขา และไม่ใช่เขาลงมือไม่หยุดหย่อน แต่กลับเป็นเขาที่อยู่ในลักษณะแบบนี้ โดยการใช้น้ำเสียงอ่อนโยน คำพูดที่พูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้!

ดูเหมือนความเสน่หา และราวกับซาบซึ้งกินใจ แต่เธอไม่อยากรับเอาไว้ แต่กลับมิสามารถควบคุมความนึกคิดที่เขาได้ช่วยเธอเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายต่อนักแล้ว และเคยให้ชีวิตที่แสนวิเศษกับเธอ ให้อิสรภาพ ปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตในแบบของตนเองต้องการ ในระยะเวลาอันแสนพิเศษเช่นนั้น

ไม่ใช่ลูกสาวนอกสมรสของตระกูลซู และไม่ใช่คนใบ้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว ไม่มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่เคยผ่านมา และไม่มีการหวนนึกถึงลูกๆ เหมือนเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง และยังอิสรเสรีในการคิดจะทำอะไรก็ได้

พอฟังดูราวกับเป็นเรื่องแสนธรรมดามาก อิสรเสรี น่าจะเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาที่สุด ในโลกใบนี้แล้ว แต่กลับเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยที่สุดแทน

เรื่องในวัยเด็ก เป็นช่วงวัยที่บรรลุตามความฝันได้ง่ายที่สุด แต่เด็กทุกคนกลับไม่เห็นค่าหรือเพลิดเพลินไปกับมัน แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น ความวุ่นวายภายในครอบครัว ความรู้อันแตกต่าง ความรับผิดชอบที่มีต่อเด็ก เรื่องงานและเรื่องยิบย่อยเป็นต้น จนทำให้คำว่า “อิสรเสรี” คำนี้ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน!

“ฉันไม่ได้รักคุณ และไม่เคยรักคุณมาก่อนเลย อาจจะเคยขอบคุณ คุณมากมาก่อน แต่ก็เป็นคำว่าเคยเท่านั้น อานเจียเย้น ฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคุณสักเท่าไหร่ และไม่อยากที่จะเป็นคุณ กระทั่งตอนนี้ สิ่งเดียวที่ฉันคิดก็คือ ต้องการหลุดออกจากคุณ แล้วฆ่าคุณไปเลย คนประเภทนี้ คุณคิดว่าคุ้มค่าพอให้คุณคอยห่วงหาอาทรอยู่ไหมล่ะ?”

ซูย้าวยอมรับว่า อารมณ์ของเธอในเวลานี้เตลิดไปไกลเกินเหตุ และต้องการใช้คำรุนแรงเช่นนี้คอยกระตุ้น เพื่อเป็นการบีบให้เขาโกรธจนยอมลงมือ ขอแค่ทำเช่นนี้ เขาจะยอมวางมือในที่สุด ส่วนทางฝั่งของลี่เฉินซี ก็จะมีหนทางโอกาสรอดพ้นโทษ!

เธอเดินสาวเท้าไปทางด้านหน้า พลันก้มหลุบตามองชายคนนั้น สายตาอันเย็นชาและหนาวเหน็บ “หรือไม่ก็ฆ่าฉันซะ หรือไม่ก็รอวันที่ฉันจะฆ่าคุณในตอนหลัง นี่คือผลลัพธ์ระหว่างคุณกับฉัน”

อานเจียเย้นจดจ้องมองเธอ นัยน์ตาเลือนรางสับสนเล็กน้อย พลันสูดหายใจเข้าเล็กน้อย แค่กลับไม่พูดอะไรออกมา แค่ยิ้มออกมาแค่รอยยิ้มบางๆ แต่กลับไร้ความหมายอย่างชัดเจน จากนั้นจึงลุกขึ้นจากข้างตัวเธอ และสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก

เมื่อประตูห้องทำงานเปิดและปิดลง เขาเดินออกไปอย่างไร้เสียงตีกลับมา

ซูย้าวยื่นนิ่งเหมือนรากงอกอยู่กับที่ พลันมือที่ไร้การช่วยเหลือค่อยๆ กำหมัดแน่น จนกลายเป็นกำปั้น เธอไร้หนทางในการกระแทกแดกดันอานเจียเย้น ส่วนทางฝั่งลี่เฉินซีนั้น ยังคงถูกเขาบีบ ตกลงว่าต้องทำอย่างไรดี?!

แท้จริงแล้ว ในความเป็นจริงนั้นลี่เฉินซีไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของเขาคนเดียว ยังมีเจียงจี้เซิงกับลู่ส้าวหลิง

เนื่องจากลี่เฉินซีได้รับคลิปวิดีโอของมารดา จึงรีบเดินทางมายังหมู่เกาะเพื่อทำธุรกิจในเวลานั้นทันที เจียงจี้เซิงกับลู่ส้าวหลิงก็ได้รับคลิปที่แตกกันอย่างไปเช่นกัน

คนหนึ่งคือของโม่หว่านหว่าน อีกคนคือเซียวไน่

เมื่อดูจากคลิปวิดีโอแล้ว ทั้งสองคนน่าจะถูกจับแยกออกจากกัน ไม่ได้ถูกขังรวมกัน โม่หว่านหว่านถูกจองจำในกรงเหล็กขนาดใหญ่ราวกับขังสัตว์ และใส่เสื้อผ้าบางๆ นอนขดหัวอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่ามีน้ำเย็นๆ มาจากทางไหน เพราะสาดไร้ความเมตตาปรานีมาทางเธอ

เสียงน้ำเย็นซู่ซ่ากระทบใส่ จนทำให้โม่หว่านหว่านอยากหลบหลีกแต่ไร้วิธี สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ การหลับตาเพื่อรับเคราะห์นั้นเอาไว้

ส่วนเซียวไน่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันออกไป เธอนอนโรยแรงอยู่บนโซฟา บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน เสื้อผ้าดูเรียบร้อย ร่างกายไร้ซึ่งการผูกมัด แต่ทว่ากลับไม่มีการขยับเขยื้อน ราวกับนอนหลับ แต่ยังหายใจเป็นจังหวะเช่นเดิม

และสิ่งที่ทำให้คนเราไม่อยากจะเชื่อก็คือ แขนของเซียวไน่ที่พาดกับขอบโซฟา พลันมียางอะไรบางอย่างที่พันแขนเอาไว้ พลันปรากฏให้เห็นเส้นเลือดจนเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่หลายเส้น หนึ่งในเส้นเลือดนั้น มีการปักเข็มฉีดยาเอาไว้อยู่ตลอด

แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายาได้ฉีดเข้าเส้นเลือดไปแล้ว มิเช่นนั้นลักษณะของเซียวไน่ คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

แต่เป็นยาอะไร เจียงจี้เซิงไม่ต้องคิดก็สามารถคาดเดาได้ทันที!

หญิงสาวทั้งสองคน ตกอยู่ในสภาพที่แตกต่างกัน และตกอยู่ในอันตรายทั้งสิ้น

ลู่ส้าวหลิงกับเจียงจี้เซิงต่างได้รับคำสั่งที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับการทำธุรกิจ เฉกเช่นลี่เฉินซีทำก่อนหน้านี้ โดยการให้ละติจูดตำแหน่งมา และมีคนเข้ามาต้อนรับ จากนั้นจึงมีการทำธุรกิจอันลึกลับจัดเป็นฉากเหมือนกับคนอื่นเช่นเดียวกัน

ทั้งสามคน ต่างสวมบทบาทเป็น joke กันทั้งสิ้น แต่เรื่องรายละเอียดว่าใครเป็น joke ตัวจริง นั่นเป็นเรื่องของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเขามาตรวจสอบแล้วดำเนินการ แต่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ชื่อพร้อมทั้งรูปถ่ายของทั้งสามคน ต่างอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมายคดีนี้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว

คดีนี้ถือเป็นคดีร้ายแรง ทั้งสองคนต่างอยู่ในฐานะที่แตกต่างกัน หนึ่งในสามคนอาจจะเป็นตัวจริง ใครสักคนอาจจะถูกคนจงใจวางแผนใส่ร้าย แต่รายละเอียดเป็นเช่นไร จำต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้แน่ชัด

ส่วนอานเจียเย้น จะปล่อยเวลาให้พวกเขาไปได้ยังไงกัน?!

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ลี่เฉินซีจึงเดินทางออกมาจากหมู่เกาะ และเดินทางมาถึงเมืองฟิลโร่แล้ว เป็นเมืองท้องถิ่นเล็กๆ ที่มีลักษณะพิเศษมีความแปลกใหม่ หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว เขาก็ไม่ได้พบกันคนที่เข้ามาคอยรอรับตนเอง พลันโทรศัพท์หาอานเจียเย้นด้วยความสงสัยทันที

“ฉันมาถึงแล้ว คนของนายล่ะ?” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นเฉียบซึ่งๆ หน้า น้ำเสียงแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

ทว่าอานเจียเย้นกลับไม่รีบร้อน ได้แต่พูดว่า “รอเดี๋ยว”

จากนั้น เขาจึงวางสายทันที ทว่าลี่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จึงไม่รู้ว่ามีคนเดินมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

ครั้งนี้ทำให้เขาเกินคาด เพราะว่าแต่ก่อนเป็นคนแปลกหน้าที่คอยมาต้อนรับตนเองเสมอ ครั้งนี้กลายเป็นคนคุ้นเคยเสียนี่

หลี่สวี่ตง ผู้ชายที่เป็นผู้ช่วยและบอดี้การ์ดให้ซูย้าวก่อนหน้านี้ และด้วยความคุ้นเคยจนเรียกจนติดปากว่าอาตง

ไม่ใช่แค่คนเดียว เขายังพามาอีกคน นั่นก็คือเซียวหยาง

ซูย้าวเคยมีโอกาสได้เจอเด็กหนุ่มโดยบังเอิญ และเคยให้ทุนทรัพย์ช่วยเหลือโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แถมยังช่วยจ่ายเงินกู้ยืมค่าเทอม และเป็นคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีมาก

“คุณลี่ครับ พวกเรามารอรับคุณครับ รบกวนเดินตามพวกเรามาครับ” หลี่สวี่ตงพูดไป พร้อมทั้งเดินนำลี่เฉินซีออกจากสนามบิน จากนั้นบริเวณข้างทางมีรถจอดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากทั้งสามคนขึ้นรถแล้ว เครื่องยนต์มุ่งหน้าเดินทาง ไปยังทิศทางใดทางหนึ่ง

รถยนต์โลดแล่นหลายชั่วโมง จนสุดท้ายมาจอดตรงบริเวณใต้ตึกร้างเก่าคร่ำครึ รถยนต์อันแสนหรูหรา ทางเข้าออกของที่นี่ ซึ่งสามารถขับเข้าออกได้อยู่บ้าง แต่ในขณะนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

ลี่เฉินซีคิดว่าคงเป็นสถานที่ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของทำธุรกิจจำพวกนั้นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว เขาถึงจับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“ครั้งนี้มันไม่ใช่การทำธุรกิจนะครับ คุณลี่ครับ คุณไม่ต้องคิดอะไรให้มาก” อาตงพูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเชิญลี่เฉินซีให้ขึ้นตึก

ภายในตึกแห่งนี้อีเหละเขละขละไปทั่ว แถมยังสกปรกมาก และรกรุงรังมาก บริเวณบนกำแพง ต่างพ่นสีกราฟิกในแบบต่างๆ อีกทั้งขยะและสิ่งสกปรกกับขยะกลาดเกลื่อนทั่วพื้น ถือว่าแย่จนเข้าขั้นหนักมาก

ห้องที่อยู่ชั้นบน ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง เป็นจำพวกห้องที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว และมีกล้องบันทึกวิดีโอที่ได้จัดเตรียมไว้พร้อมที่อยู่ในระยะไกลติดตั้งไว้นานแล้ว ส่วนทางนี้ มีโต๊ะตัวหนึ่งวางเอาไว้ บนโต๊ะได้วางสิ่งของต่างๆ ไว้แล้วทุกอย่าง มีมีดเอย ขวานก็มี แถมยังมีสิ่งของจำพวกเชือกอะไรอีกหลายชนิด

บริเวณด้านข้างมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่จัดวางอยู่ ภายในใส่น้ำเต็ม กำแพงอีกฝั่งมีวงแหวนขนาดใหญ่วางอยู่ มีโซ่ตรวนพาดอยู่ในนั้น แต่ด้านล่างกลับไม่ได้เชื่อมต่อกับสิ่งใด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ 873 อย่าคาดหวังให้ผมตายเลย จะได้ไหม?

Now you are reading เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ Chapter 873 อย่าคาดหวังให้ผมตายเลย จะได้ไหม? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อานเจียเย้นแสยะยิ้มความเย็นชาออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน พลันเลิกคิ้วมองมาทางเธอ “ตอนนี้เริ่มหวังรอวันให้ผมตายไปให้สิ้นซากแล้วใช่มั้ยเนี่ย?”

ซูย้าวไม่ได้พูดอะไรต่อ พลันหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “มนุษย์เราไม่ว่าช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องตาย แค่รอเวลาจะไปช้าหรือไปเร็วเท่านั้นเอง”

อานเจียเย้นเอนหลังพิงมาทางโซฟา แววตาลึกซึ้งจ้องมองเพดานอันงดงามวิจิตรอยู่สักพัก และไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ทำอะไร

ส่วนซูย้าวแนบพิงหน้าต่างจรดพื้นอยู่เงียบๆ พลันมองตึกสูงที่อยู่ด้านนอก รถยนต์คลาคล่ำไม่ขาดสาย ราวกับกำลังชื่นชมทัศนียภาพ และเหมือนไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ซึ่งเวลาที่ซูย้าวคิดว่าควรจะออกไปดีหรือไม่ หรือว่าจะทำอะไรดีนั้น พลันมีเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยของชายหนึ่งที่อยู่ด้านข้างดังขึ้นมา

“ถ้าเป็นไปได้ อย่าหวังให้ผมรีบตายไปเร็วๆ แบบนี้ จะได้มั้ย?”

“ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณจริงๆ เลย รวมถึงตอนนี้ด้วย ส่วนเรื่องลูกของคุณ ผมจะอธิบายให้คุณฟังหลังจากนี้เอง”

ซูย้าวได้ยินเสียงพลันหันตัวทันที ด้วยดวงตาอันเย็นชาและเฉยเมย ไร้ความรู้สึก “อานเจียเย้น คุณอย่าทำแบบนี้!”

“ในความคิดของฉันนั้น คุณไม่ใช่แบบนี้ และก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะทำเพื่ออะไร ที่ให้ตัวเองเป็นประเภทคอยพะเน้าพอนอเอาใจคนอื่น”

ในความทรงจำของเธอนั้น อานเจียเย้นทำตัวสูงส่งเหนือการคาดเดา ระดับความอันตรายของเขา ทิ้งระยะห่างอยู่เหนือลี่เฉินซีไปหลายชั้น การซ่อนเร้นความลับและจับจุดไม่ได้ จนไม่สามารถหาคำไหนมาพรรณนาให้ใกล้เคียงได้เลย เขาซึ่งเหมือนเงาที่อยู่ปกคลุมในหมอกควันหนาอยู่ตลอดเวลา มีอิทธิพลจากบารมีต่างๆ จากหลายสถานะที่เป็นอยู่ อำนาจบารมีที่อันมหาศาลที่ปกคลุมอยู่เบื้องหลัง ท่ามกลางในสิ่งที่เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ว่าได้เอนเอียงไปตั้งนานแล้ว

สิ่งที่ซูย้าวไม่อยากเผชิญหน้าที่สุด ไม่ใช่ความเย็นชาอันโหดเหี้ยมของเขา และไม่ใช่เขาลงมือไม่หยุดหย่อน แต่กลับเป็นเขาที่อยู่ในลักษณะแบบนี้ โดยการใช้น้ำเสียงอ่อนโยน คำพูดที่พูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้!

ดูเหมือนความเสน่หา และราวกับซาบซึ้งกินใจ แต่เธอไม่อยากรับเอาไว้ แต่กลับมิสามารถควบคุมความนึกคิดที่เขาได้ช่วยเธอเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายต่อนักแล้ว และเคยให้ชีวิตที่แสนวิเศษกับเธอ ให้อิสรภาพ ปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตในแบบของตนเองต้องการ ในระยะเวลาอันแสนพิเศษเช่นนั้น

ไม่ใช่ลูกสาวนอกสมรสของตระกูลซู และไม่ใช่คนใบ้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว ไม่มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่เคยผ่านมา และไม่มีการหวนนึกถึงลูกๆ เหมือนเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง และยังอิสรเสรีในการคิดจะทำอะไรก็ได้

พอฟังดูราวกับเป็นเรื่องแสนธรรมดามาก อิสรเสรี น่าจะเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาที่สุด ในโลกใบนี้แล้ว แต่กลับเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยที่สุดแทน

เรื่องในวัยเด็ก เป็นช่วงวัยที่บรรลุตามความฝันได้ง่ายที่สุด แต่เด็กทุกคนกลับไม่เห็นค่าหรือเพลิดเพลินไปกับมัน แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น ความวุ่นวายภายในครอบครัว ความรู้อันแตกต่าง ความรับผิดชอบที่มีต่อเด็ก เรื่องงานและเรื่องยิบย่อยเป็นต้น จนทำให้คำว่า “อิสรเสรี” คำนี้ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน!

“ฉันไม่ได้รักคุณ และไม่เคยรักคุณมาก่อนเลย อาจจะเคยขอบคุณ คุณมากมาก่อน แต่ก็เป็นคำว่าเคยเท่านั้น อานเจียเย้น ฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคุณสักเท่าไหร่ และไม่อยากที่จะเป็นคุณ กระทั่งตอนนี้ สิ่งเดียวที่ฉันคิดก็คือ ต้องการหลุดออกจากคุณ แล้วฆ่าคุณไปเลย คนประเภทนี้ คุณคิดว่าคุ้มค่าพอให้คุณคอยห่วงหาอาทรอยู่ไหมล่ะ?”

ซูย้าวยอมรับว่า อารมณ์ของเธอในเวลานี้เตลิดไปไกลเกินเหตุ และต้องการใช้คำรุนแรงเช่นนี้คอยกระตุ้น เพื่อเป็นการบีบให้เขาโกรธจนยอมลงมือ ขอแค่ทำเช่นนี้ เขาจะยอมวางมือในที่สุด ส่วนทางฝั่งของลี่เฉินซี ก็จะมีหนทางโอกาสรอดพ้นโทษ!

เธอเดินสาวเท้าไปทางด้านหน้า พลันก้มหลุบตามองชายคนนั้น สายตาอันเย็นชาและหนาวเหน็บ “หรือไม่ก็ฆ่าฉันซะ หรือไม่ก็รอวันที่ฉันจะฆ่าคุณในตอนหลัง นี่คือผลลัพธ์ระหว่างคุณกับฉัน”

อานเจียเย้นจดจ้องมองเธอ นัยน์ตาเลือนรางสับสนเล็กน้อย พลันสูดหายใจเข้าเล็กน้อย แค่กลับไม่พูดอะไรออกมา แค่ยิ้มออกมาแค่รอยยิ้มบางๆ แต่กลับไร้ความหมายอย่างชัดเจน จากนั้นจึงลุกขึ้นจากข้างตัวเธอ และสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก

เมื่อประตูห้องทำงานเปิดและปิดลง เขาเดินออกไปอย่างไร้เสียงตีกลับมา

ซูย้าวยื่นนิ่งเหมือนรากงอกอยู่กับที่ พลันมือที่ไร้การช่วยเหลือค่อยๆ กำหมัดแน่น จนกลายเป็นกำปั้น เธอไร้หนทางในการกระแทกแดกดันอานเจียเย้น ส่วนทางฝั่งลี่เฉินซีนั้น ยังคงถูกเขาบีบ ตกลงว่าต้องทำอย่างไรดี?!

แท้จริงแล้ว ในความเป็นจริงนั้นลี่เฉินซีไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของเขาคนเดียว ยังมีเจียงจี้เซิงกับลู่ส้าวหลิง

เนื่องจากลี่เฉินซีได้รับคลิปวิดีโอของมารดา จึงรีบเดินทางมายังหมู่เกาะเพื่อทำธุรกิจในเวลานั้นทันที เจียงจี้เซิงกับลู่ส้าวหลิงก็ได้รับคลิปที่แตกกันอย่างไปเช่นกัน

คนหนึ่งคือของโม่หว่านหว่าน อีกคนคือเซียวไน่

เมื่อดูจากคลิปวิดีโอแล้ว ทั้งสองคนน่าจะถูกจับแยกออกจากกัน ไม่ได้ถูกขังรวมกัน โม่หว่านหว่านถูกจองจำในกรงเหล็กขนาดใหญ่ราวกับขังสัตว์ และใส่เสื้อผ้าบางๆ นอนขดหัวอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่ามีน้ำเย็นๆ มาจากทางไหน เพราะสาดไร้ความเมตตาปรานีมาทางเธอ

เสียงน้ำเย็นซู่ซ่ากระทบใส่ จนทำให้โม่หว่านหว่านอยากหลบหลีกแต่ไร้วิธี สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ การหลับตาเพื่อรับเคราะห์นั้นเอาไว้

ส่วนเซียวไน่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันออกไป เธอนอนโรยแรงอยู่บนโซฟา บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน เสื้อผ้าดูเรียบร้อย ร่างกายไร้ซึ่งการผูกมัด แต่ทว่ากลับไม่มีการขยับเขยื้อน ราวกับนอนหลับ แต่ยังหายใจเป็นจังหวะเช่นเดิม

และสิ่งที่ทำให้คนเราไม่อยากจะเชื่อก็คือ แขนของเซียวไน่ที่พาดกับขอบโซฟา พลันมียางอะไรบางอย่างที่พันแขนเอาไว้ พลันปรากฏให้เห็นเส้นเลือดจนเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่หลายเส้น หนึ่งในเส้นเลือดนั้น มีการปักเข็มฉีดยาเอาไว้อยู่ตลอด

แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายาได้ฉีดเข้าเส้นเลือดไปแล้ว มิเช่นนั้นลักษณะของเซียวไน่ คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

แต่เป็นยาอะไร เจียงจี้เซิงไม่ต้องคิดก็สามารถคาดเดาได้ทันที!

หญิงสาวทั้งสองคน ตกอยู่ในสภาพที่แตกต่างกัน และตกอยู่ในอันตรายทั้งสิ้น

ลู่ส้าวหลิงกับเจียงจี้เซิงต่างได้รับคำสั่งที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับการทำธุรกิจ เฉกเช่นลี่เฉินซีทำก่อนหน้านี้ โดยการให้ละติจูดตำแหน่งมา และมีคนเข้ามาต้อนรับ จากนั้นจึงมีการทำธุรกิจอันลึกลับจัดเป็นฉากเหมือนกับคนอื่นเช่นเดียวกัน

ทั้งสามคน ต่างสวมบทบาทเป็น joke กันทั้งสิ้น แต่เรื่องรายละเอียดว่าใครเป็น joke ตัวจริง นั่นเป็นเรื่องของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเขามาตรวจสอบแล้วดำเนินการ แต่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ชื่อพร้อมทั้งรูปถ่ายของทั้งสามคน ต่างอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมายคดีนี้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว

คดีนี้ถือเป็นคดีร้ายแรง ทั้งสองคนต่างอยู่ในฐานะที่แตกต่างกัน หนึ่งในสามคนอาจจะเป็นตัวจริง ใครสักคนอาจจะถูกคนจงใจวางแผนใส่ร้าย แต่รายละเอียดเป็นเช่นไร จำต้องใช้เวลาในการตรวจสอบให้แน่ชัด

ส่วนอานเจียเย้น จะปล่อยเวลาให้พวกเขาไปได้ยังไงกัน?!

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ลี่เฉินซีจึงเดินทางออกมาจากหมู่เกาะ และเดินทางมาถึงเมืองฟิลโร่แล้ว เป็นเมืองท้องถิ่นเล็กๆ ที่มีลักษณะพิเศษมีความแปลกใหม่ หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว เขาก็ไม่ได้พบกันคนที่เข้ามาคอยรอรับตนเอง พลันโทรศัพท์หาอานเจียเย้นด้วยความสงสัยทันที

“ฉันมาถึงแล้ว คนของนายล่ะ?” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นเฉียบซึ่งๆ หน้า น้ำเสียงแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

ทว่าอานเจียเย้นกลับไม่รีบร้อน ได้แต่พูดว่า “รอเดี๋ยว”

จากนั้น เขาจึงวางสายทันที ทว่าลี่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จึงไม่รู้ว่ามีคนเดินมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

ครั้งนี้ทำให้เขาเกินคาด เพราะว่าแต่ก่อนเป็นคนแปลกหน้าที่คอยมาต้อนรับตนเองเสมอ ครั้งนี้กลายเป็นคนคุ้นเคยเสียนี่

หลี่สวี่ตง ผู้ชายที่เป็นผู้ช่วยและบอดี้การ์ดให้ซูย้าวก่อนหน้านี้ และด้วยความคุ้นเคยจนเรียกจนติดปากว่าอาตง

ไม่ใช่แค่คนเดียว เขายังพามาอีกคน นั่นก็คือเซียวหยาง

ซูย้าวเคยมีโอกาสได้เจอเด็กหนุ่มโดยบังเอิญ และเคยให้ทุนทรัพย์ช่วยเหลือโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แถมยังช่วยจ่ายเงินกู้ยืมค่าเทอม และเป็นคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีมาก

“คุณลี่ครับ พวกเรามารอรับคุณครับ รบกวนเดินตามพวกเรามาครับ” หลี่สวี่ตงพูดไป พร้อมทั้งเดินนำลี่เฉินซีออกจากสนามบิน จากนั้นบริเวณข้างทางมีรถจอดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากทั้งสามคนขึ้นรถแล้ว เครื่องยนต์มุ่งหน้าเดินทาง ไปยังทิศทางใดทางหนึ่ง

รถยนต์โลดแล่นหลายชั่วโมง จนสุดท้ายมาจอดตรงบริเวณใต้ตึกร้างเก่าคร่ำครึ รถยนต์อันแสนหรูหรา ทางเข้าออกของที่นี่ ซึ่งสามารถขับเข้าออกได้อยู่บ้าง แต่ในขณะนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

ลี่เฉินซีคิดว่าคงเป็นสถานที่ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของทำธุรกิจจำพวกนั้นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว เขาถึงจับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“ครั้งนี้มันไม่ใช่การทำธุรกิจนะครับ คุณลี่ครับ คุณไม่ต้องคิดอะไรให้มาก” อาตงพูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเชิญลี่เฉินซีให้ขึ้นตึก

ภายในตึกแห่งนี้อีเหละเขละขละไปทั่ว แถมยังสกปรกมาก และรกรุงรังมาก บริเวณบนกำแพง ต่างพ่นสีกราฟิกในแบบต่างๆ อีกทั้งขยะและสิ่งสกปรกกับขยะกลาดเกลื่อนทั่วพื้น ถือว่าแย่จนเข้าขั้นหนักมาก

ห้องที่อยู่ชั้นบน ไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง เป็นจำพวกห้องที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว และมีกล้องบันทึกวิดีโอที่ได้จัดเตรียมไว้พร้อมที่อยู่ในระยะไกลติดตั้งไว้นานแล้ว ส่วนทางนี้ มีโต๊ะตัวหนึ่งวางเอาไว้ บนโต๊ะได้วางสิ่งของต่างๆ ไว้แล้วทุกอย่าง มีมีดเอย ขวานก็มี แถมยังมีสิ่งของจำพวกเชือกอะไรอีกหลายชนิด

บริเวณด้านข้างมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่จัดวางอยู่ ภายในใส่น้ำเต็ม กำแพงอีกฝั่งมีวงแหวนขนาดใหญ่วางอยู่ มีโซ่ตรวนพาดอยู่ในนั้น แต่ด้านล่างกลับไม่ได้เชื่อมต่อกับสิ่งใด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+