Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]บทที่ 610 เคียงข้างทุกสถานการณ์

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter บทที่ 610 เคียงข้างทุกสถานการณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 610 เคียงข้างทุกสถานการณ์

บทที่ 610 เคียงข้างทุกสถานการณ์

ภายในย่านเมืองเก่า เมืองเฉิงไห่

รถสีดำคันเก่าค่อย ๆ ขับผ่านไปอย่างเชื่องช้าด้วยความเร็วคงที่ ถึงแม้ว่ารถคันนี้จะดูเก่า แต่มันก็สะอาดและไร้ตำหนิ ทำให้รู้สึกว่าผู้ขับรถคันนี้ดูเป็นคนใจเย็นและค่อนข้างมีความสุขุมพอตัว

สิ่งที่ดูเตะตาคงจะเป็นป้ายทะเบียนรถที่เป็นสีเดียวกับตัวรถ คนเดินถนนทั่วไปคงจะให้ความสนใจเพียงเล็กน้อย แต่หากเป็นผู้มีอำนาจผ่านทางมา คนเหล่านั้นจะหลบทางให้ทันที และอาจเดินตามอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ และรอจนกระทั่งรถคันนั้นหยุดลง จากนั้นพวกเขาจะเดินเข้าไปหาคนมีฐานะเหล่านั้นและกุอ้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง ทั้งข้อแก้ตัวหรือพรหมลิขิตใด ๆ

ทว่าน่าเสียดายที่ภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ แทบไม่ค่อยมีผู้ทรงอิทธิพลโผล่มาเลย

“เสี่ยวหลิว พวกเราเข้ามาที่เขตเมืองเก่านี่สองครั้งแล้วนะ”

กระจกฝั่งคนนั่งข้างคนขับของรถสีดำคันนั้นไม่ได้ปิดสนิท ทำให้คนอื่นมองเห็นว่ามีคนเพียงสองคนอยู่ในรถคันนั้น ชายชราที่สวมสูทซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา

“ใช่ครับ ท่านกรรมาธิการจาง พวกเราต้องผ่านทางนี้เพื่อไปที่นั่นเท่านั้นครับ”

คนขับรถที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวหลิวนั้น เป็นคนหนุ่ม สวมชุดสูทและรองเท้าหนังสีดำ เขากำลังขับรถด้วยใบหน้าจริงจังและตอบโดยไม่หันมามอง

“ในความคิดของนาย เมืองเก่าแห่งนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีที่แล้วบ้างหรือเปล่า?”

กรรมาธิการจางยกแก้วชาขึ้นมา เป่าเบา ๆ ก่อนจะจิบแล้วถามต่อ ด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นของเขา ทำให้บทสนทนาในเวลานี้ค่อนข้างเรื่อยเปื่อย

“เขตเมืองเก่าของเมืองเฉิงไห่วุ่นวายมากจนกลายเป็นภาพจำของผู้คนไปแล้วล่ะครับ ผู้อยู่อาศัยในละแวกนี้ต่างยึดครองถนนด้วยแผงลอยเรียงราย ไหนจะจักรยานยนต์และจักรยานสามล้อที่ขี่ไปมาโดยไม่เคารพกฎจราจรอีก แล้วก็ยังมีคนเดินเท้าที่ไม่ดูตาม้าตาเรืออีก การที่เราติดอยู่ตรงนี้ร่วมครึ่งชั่วโมงก็คงไม่น่าแปลกใจหรอกครับ”

ทักษะการขับรถของเสี่ยวหลิวนั้นถือว่านิ่งและมั่นคงมาก จนกรรมาธิการจางที่จิบชาอยู่ ยังไม่รู้สึกเลยว่าผิวน้ำชาของเขาสั่นสะเทือน

จากนั้นเสี่ยวหลิวก็หันออกไปมองด้านนอกรถ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “ตอนนี้มีคนมาจัดระเบียบเมืองนี้ใหม่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ ผู้สัญจรไปมา หรือแผงลอยต่าง ๆ ล้วนอยู่ภายใต้กฎที่ตั้งร่วมกัน เพราะอย่างนั้นภาพความวุ่นวายที่เคยมีก็เลยไม่ค่อยได้เห็นแล้ว”

“แล้วนายคิดว่ามันเป็นเพราะกฎใหม่นั่นรึเปล่า?” กรรมาธิการจางวางถ้วยชาลงแล้วถามอีกครั้ง

“มันน่าจะเป็นเพราะ…โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพครับ” ครั้งนี้ ชายหนุ่มต้องคิดถึง 2-3 วินาทีเลยถึงจะตอบกลับมา

“ใช่แล้ว เพราะโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้น ทำให้พวกเดนสังคมทั้งหลายถูกกำจัดออกไป สังคมของเราก็เลยดูมีอารยธรรมขึ้น นายว่าอย่างนั้นไหม?”

ชายชราดูจะซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งเอาไว้ในคำพูดของเขา ก่อนจะถามต่อว่า “นายคิดว่านี่เป็นหัวใจหลักของโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพหรือเปล่า?”

เห็นได้ชัดเลยว่าเสี่ยวหลิวกำลังลังเล เขาใช้เวลาเกือบครึ่งนาทีกว่าจะตอบกลับไป “นี่เป็น…แค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมคิดว่าหัวใจหลักของอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้นดูคล้ายกับกฎแห่งป่าที่ว่ามีเพียงผู้ที่อยู่รอดและเหมาะสมเท่านั้น จึงจะสามารถอยู่รอดในสังคมมนุษย์ในอนาคตได้”

“นายกำลังหมายถึง ‘ธรรมชาติคัดสรร’ อย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆ ใช่ ถึงคำคำนี้จะสุดโต่งไปหน่อย แต่ก็อธิบายได้ดี ถูกต้อง ตามนั้นแหละ จุดประสงค์ที่แท้จริงของโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้นเกี่ยวข้องกับการเติบใหญ่ของสังคมมนุษย์ โลกที่กำลังพัฒนาและการกำจัด!”

กรรมาธิการจางหัวเราะออกมาทันใด และดูเหมือนจะจบลงเสียที เมื่อเขาพูดเสริมพร้อมกับถอนหายใจว่า “ยังไงก็เถอะ สิ่งนี้ไม่อาจจะนำไปใช้จริงได้หรอก”

เสี่ยวหลิวไม่ได้ตอบรับอะไรในตอนนี้ เพราะกรรมาธิการจางเองก็ไม่ได้ถามเขาเช่นกัน และคำสี่คำอย่างโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพก็ยังเป็นสิ่งที่เกินระดับความเข้าใจของเขาในตอนนี้มากนัก

“เดิมที โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้นกำลังดำเนินการไปได้ด้วยดี และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับมนุษยชาติทุกคน รวมถึงสังคมและโลกด้วย ทว่า หากในวันหนึ่ง โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนี้หลุดออกจากการควบคุมของพวกเราละก็…”

ชายชรามองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับเขากำลังพูดกับตนเอง ทว่าคำพูดนั้นกลับผ่านเข้าหูของเสี่ยวหลิว จนเขารู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้แต่รถที่ขับอยู่นี้ก็ยังมีอาการวิ่งไม่ตรงเส้นทางอยู่ครู่หนึ่ง

ไม่นานนัก รถสีดำคันนี้ก็ขับเข้าไปในเขตอุทยานหลินไห่ที่อยู่บริเวณชานเมือง เขาขับวกไปวนมาอยู่ภายในนั้นก่อนที่จะค่อย ๆ หยุดลงที่หน้าคฤหาสน์หลินไห่

“ท่านกรรมาธิการจางครับ ที่พวกเรามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อเยี่ยมเยียนหัวหน้าคนก่อนใช่ไหมครับ?”

เสี่ยวหลิวเปิดประตูรถให้ชายชราจาง ขณะมองไปยังคฤหาสน์หลินไห่ที่อยู่ข้าง ๆ และอดที่จะถามออกมาไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าเป้าหมายในการเดินทางในครั้งนี้คืออะไร แต่คฤหาสน์ที่หรูหราเสมือนว่าเป็นคฤหาสน์สำหรับผู้มีชื่อเสียงมาก่อน มันก็อดทำให้เขาคิดเช่นนั้นไม่ได้

“เปล่า ครั้งนี้ พวกเราเดินทางมาเยี่ยมผู้หญิงที่สวยที่สุด และมีชื่อเสียงในเขตฮัวเซียภายในโลกแห่งเกมกันน่ะ เธอน่าจะอ่อนกว่านายไม่กี่ปี แต่ก็อย่าได้ดูหมิ่นเธอเพียงเพราะเป็นผู้หญิงเชียว อันที่จริง ฉันก็ติดต่อเธอผ่านเกมนั้นมานานแล้วเหมือนกัน ไว้รู้จักเธอเมื่อไหร่ นายคงจะรู้เองว่าเธอควบคุมอะไรอยู่บ้าง เอาล่ะ! กดกริ่งซะ”

หลังจากที่ออกมาจากรถแล้ว กรรมาธิการจางก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมา โดยเห็นได้จากน้ำเสียงที่เจือแววหยอกล้อเล็กน้อย

เสี่ยวหลิวงุนงงเล็กน้อย เพราะเขาเดาไม่ออกว่าครั้งนี้พวกตนมาเยี่ยมใคร ดังนั้นเขาจึงรีบเดินไปยังหน้าคฤหาสน์และกดกริ่งเรียกตามที่ชายชราบอก

ไม่นานนัก ทั้งสองก็ได้เข้าไปภายในคฤหาสน์หลังโตนี้ ขณะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและเฝ้ารออย่างสงบ หลังจากเค่อเค่อเสิร์ฟน้ำชาให้แล้ว หลิวเฉียงเหว่ยจึงเดินลงมาจากบันไดด้วยท่าทางที่งดงาม

“ฮะ ๆๆ ท่านหัวหน้าหลิวยังคงงดงามไม่เปลี่ยนเลยนะครับ ทุกคนต่างพูดกันว่าท่านเป็นถึงเทพธิดาอันดับ 1 แห่งเขตฮัวเซีย ผมช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้มีโอกาสพบกับท่านในวันนี้ ต้องยอมรับเลยว่าท่านงดงามสมชื่อจริง ๆ!”

เมื่อกรรมาธิการจางเห็นเทพธิดาผู้เลอโฉมมาถึงแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นและกล่าวทักทายด้วยถ้อยคำสุภาพทันที

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางขวามือก็ทำตามแบบเดียวกัน เพียงแค่ได้พบเจอหลิวเฉียงเหว่ยเป็นครั้งแรก เขาก็สูญเสียความคิดทั้งหมดไปเสียแล้ว หากจะบอกว่าเธองดงามเกินกว่าจะใช้สิ่งที่อยู่บนโลกนี้มาเปรียบเทียบก็คงจะไม่โอเวอร์เกินไปนัก

เมื่อเสี่ยวหลิวตระหนักได้ว่ากำลังทำตัวเสียมารยาท เขาก็รีบเบนสายตาไปทางอื่น และไม่กล้ามองหน้าหลิวเฉียงเหว่ยตรง ๆ

ขณะเดียวกัน ความตกตะลึงก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นภายในใจของเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาอย่างเสี่ยวหลิวจะมานั่งอยู่ ณ ที่นี้ แต่เพราะเมื่อครู่นี้ กรรมาธิการจางกล่าวว่าเธอคือสตรีที่งดงามที่สุดในเขตฮัวเซีย หลังจากที่ตระหนักได้แล้ว เสี่ยวหลิวก็พอจะเดาชื่อและตัวตนของเธอขึ้นมาได้

เธอคือหัวหน้ากิลด์มิดซัมเมอร์! หัวหน้าสัมพันธมิตรแดนใต้! หนึ่งในตัวตนระดับสูงในโลกของเดอะมิธ! และคงจะไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่า เธอคือผู้ปกครองแผ่นดินในเกมแห่งนั้นเกินครึ่ง!

เสี่ยวหลิวยังคงรู้สึกตื่นตระหนก เพราะไม่คาดคิดเลยว่าบุคคลที่พวกเขามาเยี่ยมในวันนี้จะเป็นคนใหญ่คนโตขนาดนั้น

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกรรมธิการจางถึงบอกให้เขาอย่าดูถูกแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงตั้งแต่ก่อนจะเข้าประตูมา

ความจริงที่พุ่งเข้าปะทะหน้านี้ทำให้เสี่ยวหลิวทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ พลางคิดว่า ภายในประเทศนี้ คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเธอคนนี้หรอก

“ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าที่มากันในวันนี้ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?”

ชุดเดรสสีขาวราวกับหิมะกับใบหน้าที่ปราศจากการแต่งแต้มของหลิวเฉียงเหว่ย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็ไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาในวัยแรกแย้ม ผู้หลุดออกจากห้วงแห่งโลกีย์ ดูเป็นคนละชนชั้นกับชายทั้งสองโดยสิ้นเชิง เธอจึงไม่ได้แสดงความใกล้ชิดใด ๆ เพียงแค่น้ำเสียงและสายตาที่เยือกเย็น ราวกับดอกกล้วยไม้ที่เติบโตขึ้นบนหุบเขา ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ หลังจากสั่งให้หนิงเค่อเค่อกลับไป เธอจึงค่อยถามขึ้นมา

“ท่านหัวหน้าหลิวช่างให้เกียรติเราจริง ๆ ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอกครับ เพียงแค่อยากคุยกับคุณเท่านั้นเอง”

เมื่อเห็นว่าหลิวเฉียงเหว่ยนั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว กรรมาธิการจางก็กระชับเสื้อสูทของตัวเอง พลางหัวเราะก่อนจะพูดกับเธอผู้เป็นหัวหน้ามิดซัมเมอร์โดยไม่ลืมที่จะเรียก ‘ท่านหัวหน้า’ นำหน้าชื่อด้วย

“คุยงั้นเหรอคะ?” หลิวเฉียงเหว่ยดูสับสนเล็กน้อย ขณะสงสัยว่าชายชราผู้นี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

หญิงสาวออกจากระบบชั่วคราวหลังจากที่ได้รับเรื่องมา สิ่งที่รู้ก็มีเพียงแค่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงสกุลจางมาเข้าพบ แต่ไม่รู้ว่ามาด้วยจุดประสงค์อะไร

และกรรมาธิการจางผู้นี้ก็ทำตัวสมกับเป็นคนเฒ่าคนแก่จริง ๆ ราวกับเขามาที่นี่เพียงเพื่อพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว

แม้ว่าในตอนแรกจะเริ่มคุยด้วยเรื่องโลกเดอะมิธ สลับมาเป็นอาณาจักรแห่งทวยเทพ แต่สุดท้ายกลับวกมาที่เรื่องครอบครัวเสียเฉย ๆ

“ท่านหัวหน้าหลิวครับ ผมได้ยินมาว่าท่านมีลูกพี่ลูกน้องเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเซียที่ชื่อว่าซื่อเยี่ยจิ้งใช่ไหมครับ? แถมเธอคนนี้ยังเป็นผู้เล่นระดับพระเจ้าที่มีชื่อเสียงในเขตฮัวเซียของพวกเราอีก” ชายชราถามขึ้นมาทันใด

“ใช่ค่ะ ท่านกรรมาธิการจาง คุณมาที่นี่เพราะเสี่ยวจิ้งเหรอคะ? ตอนนี้เธออยู่ด้านบน ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะไปเรียกเธอลงมาให้นะคะ”

หลิวเฉียงเหว่ยประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากที่ได้พูดคุยกันมาพักใหญ่ เธอถึงได้รู้ตำแหน่งของชายชราผู้นี้

“ขอรบกวนด้วยนะครับ” กรรมาธิการจางตอบ

“พี่หลิว ใครน่ะ?” ไม่นานนัก ซื่อเยี่ยจิ้งที่อยู่ในชุดอยู่บ้านสบาย ๆ ที่ค่อนข้างรุ่มร่ามและปกปิดร่างกายของเธอเอาไว้อย่างดี แต่ไม่สามารถบดบังความงามของผิวที่โผล่ออกมากับใบหน้าที่สวยงามได้ ประกอบกับบรรยากาศของคฤหาสน์แห่งนี้ทำให้เธอดูเปล่งประกายราวกับนางฟ้าอีกองค์หนึ่ง หลังจากใจเย็นลงแล้ว หญิงสาวก็มองไปยังกรรมาธิการจางกับผู้ติดตามก่อนจะหันไปถามหลิวเฉียงเหว่ย

หลิวเฉียงเหว่ยเพียงแค่ส่งข้อความไปบอกให้เธอลงมาด้านล่างเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามีใครบางคนอยากเจอ เพราะแม้แต่ตัวหลิวเฉียงเหว่ยเองก็ไม่รู้ว่าทำไมกรรมาธิการจางถึงมาหาพวกตนในวันนี้

“สวัสดีครับคุณซื่อ ผมแซ่จาง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการของสถาบันวิจัยกลาง” กรรมาธิการจางลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวคร่าว ๆ

สถาบันวิจัยกลาง?

น้ำหนักของชื่อนี้ไม่เบาทีเดียว เพราะศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เทคโนโลยีล้ำยุคมากมายได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ และชานัวก็เป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงเหล่าปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถเติบโตได้เองและกลายเป็นหนึ่งในอิทธิพลหลักของโลกก็ถูกสร้างขึ้นจากสถาบันแห่งนี้เช่นกัน

“สวัสดีค่ะ ฉันได้ยินมาจากพี่หลิวว่าพวกคุณมาหาฉันเหรอคะ?” ซื่อเยี่ยจิ้งในตอนนี้เป็นผู้เล่นระดับพระเจ้า และเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในเขตฮัวเซีย ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเจอกับคนใหญ่คนโต ทัศนคติและท่าทางของเธอก็ยังคงหนักแน่นและเงียบสงบ เพียงไม่นาน เธอก็ใจเย็นลงและนั่งลงข้าง ๆ หลิวเฉียงเหว่ยก่อนจะถามกลับไปอย่างสบาย ๆ

“ผมอยากจะรู้ว่าคุณซื่อพอจะรู้จักกับคนที่ชื่อฉู่เทียนหนานหรือเปล่าครับ?” กรรมาธิการจางนั่งลงและถามออกมา

“ฉู่เทียนหนานเหรอ? ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะเป็นเด็กอัจฉริยะของมหาลัยฉันนะคะ เขาเป็นชายที่แข็งแรงมาก แก่กว่าฉันไม่กี่ปี แต่น่าจะใกล้เรียนจบปริญญาเอกในเทอมนี้แล้ว พวกเราเคยเจอกันบ้างตอนที่เขายังเรียนอยู่ในมหาลัยค่ะ”

ซื่อเยี่ยจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ เธอยังจำคนที่เป็นตำนานของมหาวิทยาลัยเซียคนนั้นได้

“ใช่ครับ ตอนนี้ ฉู่เทียนหนานได้เข้าร่วมกับสถาบันวิจัยกลางของพวกเราและดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยที่สำคัญชิ้นหนึ่งอยู่” ชายชราพูดต่อ เขาแสดงความชื่นชมออกมาผ่านน้ำเสียง “และโครงการที่ว่านั่นก็คือ สิ่งที่ผมได้เสนอกับท่านหัวหน้าหลิวไปก่อนหน้า…การยับยั้งชานัว และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพ เมื่อใดก็ตามที่โครงการนี้สำเร็จ พวกเราจะสามารถยับยั้งไม่ให้อาณาจักรแห่งทวยเทพหลุดออกจากการควบคุมได้และทำให้มนุษย์ทั้งโลกเกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าฉู่เทียนหนานจะยังหนุ่ม แต่เขาก็มีความสามารถมากพอที่จะเป็นหัวหน้าโครงการนี้ได้”

“สมกับที่เป็นอัจฉริยะจากมหาวิทยาลัยเซียนะคะ”

ซื่อเยี่ยจิ้งแสดงความภาคภูมิใจในตัวศิษย์เก่าคนนี้ ซึ่งนาน ๆ ทีจะได้เห็นเธอมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพก่อนหน้านี้ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของเธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงอิทธิพลของอาณาจักรแห่งทวยเทพเช่นกัน

ทว่าเมื่อกรรมาธิการจางมองไปยังซื่อเยี่ยจิ้งที่แสดงความภาคภูมิใจออกมา เขาก็พยักหน้า ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาทว่าไม่ได้พูดอะไรต่อ

“เดี๋ยวสิ ว่าแต่เรื่องนี้มันทำให้พวกคุณมาหาฉันถึงนี่เลยเหรอคะ?” หญิงสาวตระหนักได้ถึงความผิดปกติ เมื่อได้สติแล้วจึงเอ่ยถามกลับด้วยความประหลาดใจ

“ตามที่ว่ามานั่นแหละครับ ฉู่เทียนหนานคิดถึงคุณซื่อในฐานะเพื่อนสาวในมหาวิทยาลัยอยู่ตลอด ดังนั้นเพื่อทำให้เขาทำงานวิจัยได้อย่างเต็มที่ พวกเราจึงอยากขอให้คุณซื่ออยู่เคียงข้างเขาจนกว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไป… เพราะอย่างนั้น ช่วยหยุดเรียนแล้วไปยังสถาบันวิจัยกลางเพื่อมอบความรักให้กับฉู่เทียนหนานด้วยเถอะครับ แน่นอนว่าเรื่องมหาวิทยาลัย เดี๋ยวผมจะช่วยพูดให้ และจะจัดการเรื่องรับปริญญาบัตรระดับสูงกว่าปริญญาตรีให้เลย”

ชายชรารับรู้ได้ว่ามันถึงจังหวะสำคัญแล้ว เขาจึงได้เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา

นี่มัน…ขอแต่งงานเรอะ?

เมื่อถ้อยคำนั้นหลุดออกมา สองสาวงามทั้งหลิวเฉียงเหว่ยและซื่อเยี่ยจิ้งต่างแข็งทื่อพร้อมกันโดยไม่ทันตั้งตัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด