Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] 146 หายนะ กับดักคร่าชีวิต (1)

Now you are reading Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] Chapter 146 หายนะ กับดักคร่าชีวิต (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่ามกลางความกระวนกระวาย ริษยาเคียดแค้น เจี่ยนชิงหวารีบก้าวถอยหลัง ด้วยความที่รีบร้อนถอยหลัง ตอนก้าวออกมาจากห้องหนังสือ เดินเซชนเข้ากับหนีจื่อและชุ่ยจู๋ที่ไปและกลับมาพอดี

“คุณหนู…” ชุ่ยจู๋รีบเดินไปพยุงนาง

เจี่ยนชิงหวาไม่ได้พูดอะไร จับมือชุ่ยจู๋ ออกจากเรือนโดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าว

เมื่อขึ้นไปบนรถม้า เจี่ยนชิงหวาเพียงสั่งให้สารถีขับรถม้าออกไปให้เร็ว

ทว่าสารถีกับมึนงง ตอนมาเขาเห็นดวงหน้าของเจี่ยนชิงหวาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ครุ่นคิดว่าไม่แน่ครานี้อาจจะได้เงินพิเศษมากขึ้น ตอนนี้ ใบหน้าของนางหน้าถมึงทึง เกรงว่าคงจะไม่ได้เงินพิเศษแล้ว เขาจึงฟาดแส้ไปที่ตัวม้าในทันที ไม่สนใจว่ารถม้าจะโยกคลอนหรือไม่ รีบเร่งออกไปจากหมู่บ้านหวังจยาราวกับจะบิน

กล่าวถึงเจี่ยนชิงหวาหลังจากขึ้นรถม้า นางขยี้ผ้าเช็ดหน้าไม่หยุด ดวงหน้าหม่นหมองยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าเป็นคนบีบข้าเอง เดิมทีข้าไม่อยากจัดการเจ้า แต่ว่า เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว พูดให้ร้ายข้าลับหลังท่านอาจารย์ จนทำให้ท่านอาจารย์ไม่แม้แต่จะให้โอกาสข้าพูดจนจบ

ช่างน่าเกลียดชังยิ่งนัก!

ชุ่ยจู่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความหวาดกลัว จะกล้าเข้าไปถามได้อย่างไร กลัวเหลือเกินว่าเจี่ยนชิงหวาจะเอาความโมโหทั้งหมดมาลงที่ตน

……

ขนมที่พวกหยวนหมัวมัวฝึกทำใกล้จะอบเสร็จแล้ว ซีซีเด็กน้อยเฉลียวฉลาดเดินออกมาจากห้องครัว บอกกับมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็คาดว่าคนทั้งสองที่อยู่ในห้องน่าจะพูดคุยกันได้ประมาณหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจส่งเสียงดังเล็กน้อย เดินไปเคาะประตู เพราะถึงอย่างไรวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล

หลังจากซินอี้หมิงและเจี่ยนชิงโยวปลอบโยนกันด้วยความอ่อนโยนนานครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงเคาะประตู จึงลุกขึ้นด้วยความประหม่าเล็กน้อย

มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งเดินเข้าไปด้านใน ซินอี้หมิงก็คำนับขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความหนักแน่น

“ซินอี้หมิงขอบคุณหนิงเหนียงจื่อ”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ขอเพียงวันข้างหน้าท่านดูแลนางให้ดีก็พอแล้ว”

“หนิงเหนียงจื่อวางใจเถอะ ชีวิตนี้ข้าซินอี้หมิงไม่มีวันทำให้นางชอกช้ำ”

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นริมฝีปากของเจี่ยนชิงโยวบวมเล็กน้อย ยิ้มด้วยความเข้าใจ “ขนมของหยวนหมัวมัวใกล้จะเสร็จแล้ว คุณชายซินจะอยู่ชิมสักหน่อยหรือไม่”

ซินอี้หมิงรู้ตัวดี “ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ข้าเองก็สมควรลาแล้ว”

ซินอี้หมิงเดินออกไปจากร้านอาหาร ทว่าหันกลับมามองตลอดเวลา เขามองหน้าต่างบานนั้นบนร้านอาหาร ทุกย่างก้าว ล้วนทำให้เขาไม่หยุดที่จะดีใจ ไม่หยุดที่จะตั้งหน้าตั้งตารอ

“คนไปแล้ว เจ้ายังมองอยู่หรือ” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเจี่ยนชิงโยวยืนอยู่ริมหน้าต่าง ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มแล้วพูดหยอกล้อ

เจี่ยนชิงโยวหันกลับมา มองมั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยความจริงจัง “ขอบคุณ!” เหมือนมีพันหมื่นล้านคำที่ไม่ได้พูดออกมา ความรู้สึกนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประหม่า กำลังจะเดินเข้าบอกไม่เป็นไร ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเดินของหยวนหมัวมัวและสาวใช้ทั้งสองเดินขึ้นชั้นบน

หยวนหมัวมัวขึ้นชั้นบน เดินเข้ามาด้านใน นางเอาแต่สนใจขนมในมือด้วยความดีอกดีใจ ไม่ได้สังเกตเห็นว่านายของตนมีสิ่งใดผิดปกติ “คุณหนูใหญ่ นี่คือขนมที่หมัวมัวทำ คุณหนูลองชิมดูสิเจ้าคะ ชิมดูสิว่ารสชาติอร่อยเหมือนที่หนิงเหนียงจื่อทำหรือไม่”

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม ยื่นมือออกไปหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้น “เช่นนั้นหรือ ข้าจะขอชิมฝีมือของหมัวมัวดูหน่อย”

เจี่ยนชิงโยวยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว ไม่ว่าจะมองสิ่งใดล้วนดีงาม กินสิ่งใดล้วนเลิศรส นางเองก็ยื่นมือไปหยิบหนึ่งชิ้น ชิมเพียงแค่หนึ่งคำก็ชื่นชม “หมัวมัวฝีมือดีจริงๆ”

“รอกลับจวน คุณหนูใหญ่อยากจะทานเมื่อใด อยากจะดูกระบวนการทำขนมเมื่อใดก็ได้เจ้าค่ะ”

……

วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง คือเทศกาลโคมไฟ ซึ่งก็คือวันสำคัญของเมืองเทียนเซียง

วันนี้ เดิมทีเป็นวันหมั้นหมายและแลกสมุดผูกดวงระหว่างจวนเจี่ยนกับตระกูลวั่น ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นวันหมั้นหมายและแลกสมุดผูกดวงระหว่างจวนเจี่ยนกับตระกูลซิน

ใต้เท้าซินคือผู้ว่ามณฑลเทียนเซียง ส่วนตระกูลเจี่ยนคือตระกูลขุนนางที่ใหญ่และเก่าที่สุดของเมืองเทียนเซียน งานใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่ารู้กันโดยทั่ว

มั่วเชียนเสวี่ยได้รับเทียบเชิญตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนบ่ายนางและหนิงเซ่าชิงนั่งรถม้าไปที่เมืองเทียนเซียง แต่ถงจื่อจิ้งดันไม่รู้ความ ดึงดันจะไปดูความครื้นเครง มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจเอาชนะเขาได้ จึงยอมให้เขาไปด้วย แต่ไม่ให้เขาขึ้นรถม้าคันเดียวกัน หากให้นางนั่งอยู่ตรงนั้นมีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็ไม่อาจพูดได้ คอยมองสีหน้าบึ้งตึงของหนิงเซ่าชิงตลอดทาง นางกลัวว่านางจะทนไม่ได้แล้วระเบิดอารมณ์ออกมา

ด้วยเหตุนี้ ถงจื่อจิ้งจึงทำได้เพียงเปลี่ยนไปนั่งรถม้าของตนเอง นั่งอยู่ในรถม้าของตนเองติดตามอยู่ด้านหลังด้วยความน่าสงสาร

ปฏิกิริยาแรกของหนิงเซ่าชิงตอนที่เห็นถงจื่อจิ้งก็คือมองหาจี้ซวี่เหยา

เมื่อไม่เจอจี้ซวี่เหยา ก็ได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยรับปากให้ถงจื่อจิ้งไปด้วย เขาขาดก็แต่ไม่ให้อาซานโยนถงจื่อจิ้งกลับเรือนตระกูลถง พอตอนหลังได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าไม่ให้ถงจื่อจิ้งขึ้นรถม้า สีหน้าของเขาจึงดีขึ้นเล็กน้อย ตอนปิดประตูรถม้าส่งสายตาบอกกับอาซานว่า…เจ้าเข้าใจนะว่าต้องทำเช่นไร

เป็นจริงตามนั้น รถม้าของถงจื่อจิ้งยังออกเดินทางได้ไม่ไกล ไม่รู้เพราะเหตุใดล้อรถม้าจึงหลุดไปหนึ่งล้อ กลิ้งหลุนๆ ลงเนินเขาไป รอให้สารถีประจำตระกูลถงหาล้อเจอ รถม้าคันด้านหน้าวิ่งไปจนไม่เห็นร่องรอยแล้ว

ถงจื่อจิ้งเห็นรถม้าคันด้านหน้าหายไปแล้ว ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มของความเป็นเด็ก พูดเสียงเยือกเย็น “ถงไป่ นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกวันตอนเช้าเจ้าสอนวรยุทธ์ให้ข้า” มีเพียงตนที่แข็งแกร่ง จึงไม่อาจถูกผู้อื่นหลอกลวงอีก

“ขอรับ คุณชาย” ถงไป่คือผู้มีความสามารถโดดเด่นท่ามกลางองครักษ์ในตระกูลถง ตอนที่พ่อบ้านส่งเขามา เคยบอกเอาไว้แล้วว่า หากคุณชายอยากจะฝึกวรยุทธ์ ก็ให้เขาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ไปก่อน

การที่ตระกูลถงยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ได้อาศัยเพียงเงินทอง ชื่อเสียง แต่ยังมีความแข็งแกร่ง ไม่ต้องการวรยุทธ์อันดับหนึ่งในทั่วหล้า อย่างน้อยในช่วงเวลาสำคัญสามารถปกป้องตนเองได้ หากไม่มีความแข็งแกร่งในตนเอง อ่อนนุ่มราวกับดอกฝ้าย แล้วจะอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร แล้วจะเติบโตท่ามกลางความอันตรายได้อย่างไร

“แต่ว่า วันนี้กลับไป เจ้าโบยตัวเองก่อนยี่สิบที” ถงจื่อจิ้งพูดจบ หันหลังกลับขึ้นไปนั่งบนรถม้า “หากคราวหน้ายังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เจ้ากลับค่ายฝึกองครักษ์ตระกูลถงเสีย ให้ถงโส่วฝึกเจ้าใหม่”

“ขอรับ” ทันทีที่ถงไป่ได้ยินคำว่าหากมีคราวหน้า จะให้ตนกลับค่ายฝึกองครักษ์ตระกูลถง ตัวของเขาสั่นเทา ก้มหน้าลงรับโทษ ภายในใจเกิดเริ่มความเคารพและหวาดกลัวถงจื่อจิ้งแล้ว “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณคุณชายที่ลงโทษ”

เวลานี้ เขาเพิ่งเห็นถงจื่อจิ้งเป็นนายที่แท้จริงของตนจากก้นบึ้งของหัวใจ

เมื่อครู่ก้อนหินพุ่งมาจากด้านหน้า เดิมทีเขาสามารถหลบได้ แต่ว่า เขาเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ แล้วปะทะกับมัน ให้ล้อของรถม้าตกเร็วขึ้น มีเพียงเหตุผลข้อเดียว เขาไม่อยากให้คุณชายเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ[1] ของหนิงเซ่าชิง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เขา คิดว่าคุณชายไม่มีทางรู้

แม้นถงจื่อจิ้งจะไม่ได้สนิทสนมกับนายท่านถง แต่ถงจั่นคือใคร เขาคือหลานชายของพ่อบ้านถง คือคนที่จะสืบทอดตำแหน่งพ่อบ้านตระกูลถงตั้งแต่ต้น พ่อบ้านถงย่อมบอกเขาทุกเรื่อง ในเมื่อถงจั่นตัดสินใจแล้วว่าจะจงรักภักดีต่อนาย แน่นอนว่าย่อมวิเคราะห์เรื่องทุกอย่างให้ถงจื่อจิ้งฟัง

มั่วเชียนเสวี่ยเปิดม่าน เห็นล้อรถม้าคันด้านหลังกลิ้งตกลงเขาพอดี

นางกำลังสงสัย นางเคยตรวจดูของที่ตระกูลถงให้ถงจื่อจิ้ง ล้วนเป็นของชั้นดี ล้อรถม้านั่นไม่มีทางกลิ้งตกลงเขาโดยไม่มีสาเหตุแน่นอน

[1] เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ หมายถึง คนผู้หนึ่งมีจิตใจต้องการช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นแต่อีกคนกลับเย็นชาใส่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด