(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! 34

Now you are reading (WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! Chapter 34 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลูกน้อง(เบ๊)

 

สามเดือนแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา

 

มันผ่านไปเพียงพริบตาจนผมพึ่งสังเกตว่า-

 

-นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?

 

ผมกำลังไตร่ตรองว่าสถานที่นี้แปลกแค่ไหนเมื่อผมพักผ่อนในหอพักของตัวเอง

 

“…ชั้นประถมศึกษามันง่ายเกินไป ผมไม่จำเป็นต้องส่งเงินบริจาคมาด้วยซ้ำ …ไม่สิมันแค่ช่วยให้ผมจะไม่ตกเป็นเป้าของศาสตราจารย์จอห์นแค่นั้นเหรอ?”

 

เขาเป็นครูที่เข้มงวด แต่เขาไม่เคยโกรธหรือดุผมเลย

 

นอกจากนั้น เขาก็แค่ปฏิบัติกับผมเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ

 

ตื่นเช้า ออกกำลังกายเบาๆ เรียน ฝึกศิลปะการป้องกันตัว แล้วกลับมานอนหอในตอนกลางคืน

 

คนอื่นๆ ยังคงบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว มันง่ายมากจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลก

 

อย่างแรกเลย การเรียนในชั้นเรียนเป็นเรื่องง่ายมาก ผมได้ศึกษาหัวข้อเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วในแคปซูลการศึกษา

 

ในขณะที่การฝึกทางกายภาพก็เหมือนกับการยืดเส้นยืดสาย ซึ่งร่างกายที่แข็งแกร่งของผมมันยังไม่ทันรู้สึกเหนื่อยหรืออะไรเลย

 

—ผมไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้

 

“นี้มันง่ายเกินไป…จนผมคิดว่านี่จะไม่เป็นไรจริงๆเรอะ?”

 

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะลอร์ดที่ชั่วร้ายที่ร่างกายจะถูกฝึกฝนจนแข็งแกร่ง

 

‘ความรุนแรงนั้นไม่มีประโยชน์’

 

‘คุณแค่มีการศึกษาที่ดีเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในสังคม’

 

เรื่องราวดังกล่าวมันก็แค่เรื่องโกหก

 

แน่นอน ความรุนแรงอาจถือได้ว่าไร้ประโยชน์ในสังคมปกติ  

 

แต่ผมได้เรียนรู้ว่า ความรุงแรงมีความสำคัญเพียงใดในชีวิตก่อนหน้านี้

 

คนเลวใช้ความรุนแรง ในขณะที่คนดีทำได้เพียงแค่เกรงกลัวพวกเขา

 

ความรุนแรงเป็นอำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง

 

เพราะผมฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแบบนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มีหวังความสามารถของผมได้ขึ้นสนิมแน่ๆ

 

“ไม่ดี. นี้ไม่ดี ผมคิดว่าพวกเขาจะเริ่มการฝึกจริงๆจังๆหลังจากผ่านมาสามเดือน แต่ไม่มีวี่แววของการเปลี่ยนแปลงเลย”

 

ตอนแรกผมคิดว่าพวกเขากำลังรอให้เราคุ้นเคยกับการฝึก แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อหาของการฝึกดังกล่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

 

ปริมาณการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงระดับเส้นผมบางๆ

 

ผมควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?

 

ทันใดนั้นผมก็ได้รับการติดต่อจากที่บ้าน

 

ผู้ที่โทรมาคือไบรอัน

 

…ทำไมถึงไม่ใช่อามากิกันนะ?

 

ขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงและรับสาย สิ่งที่ปรากฏเป็นภาพของไบรอันที่กำลังร้องไห้เหมือนปกติ

 

“ท่านเลียม ท่านสัญญากับกระผมว่าจะโทรกลับมาที่บ้านเป็นประจำนี่นา!”

 

เขาไม่โอเวอร์แอคติ้งเกินไปหน่อยเหรอ?

 

“อย่าร้องไห้เพียงเพราะผมลืมติดต่อคุณตามกำหนด… หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”

 

“ไม่ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีที่นี่ กระผมแค่เป็นห่วงคุณมากกว่า”

 

เขาไม่เชื่อใจผมเหรอ?  

 

“ผมก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

 

“เป็นเรื่องที่ดีที่ได้ยินแบบนั้นครับ โอ้ และหัวหน้าสาวใช้ก็แสดงความกังวลมาครับ คุณช่วยบอกกระผมได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเจ้าชายวอลเลซในตอนนี้เป็นอย่างไร?”

 

“วอลเลซ? อ่อ…ผู้ชายคนนั้น ผมคิดว่าเราเข้ากันได้ดี”

 

“…ฮะ?”

 

ไบรอันตกตะลึง

 

เจ้าชายวอลเลซมีภูมิหลังที่ค่อนข้างลำบาก

 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนพยายามรักษาระยะห่างจากเขาเสมอ แต่เมื่อมองดูเขา ผู้คนก็ยังหลีกเลี่ยงเขาอยู่ดีเพราะปัญหาด้านบุคลิกภาพ

 

◇ ◇ ◇

 

วันรุ่งขึ้นในโรงอาหาร

 

ในที่สุดปีแรกก็เริ่มชินกับชีวิตในโรงเรียนประถม

 

ในโรงอาหาร ทุกคนเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม

 

โดยส่วนตัว ผมยังคงอยู่กับเคิร์ต สหายผู้ชั่วร้าย

 

“ไบรอันโทรหาผมตลอดเวลาและไม่หยุดถามซักทีว่าชีวิตในโรงเรียนเป็นอย่างไร”

 

“เขาเป็นพ่อบ้านของคุณไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับเขาที่คอยตรวจสอบคุณเป็นประจำ”

 

“ผมไม่มีอะไรจะพูดน่ะสิ ชีวิตที่นี่น่าเบื่อมาก สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่สามารถพูดได้คือการที่ยังไม่พบวิธีที่จะแอบออกไปจากที่นี่”

 

ผมได้ตรวจสอบกำแพงสูงที่สร้างขึ้นรอบๆ บริเวณโรงเรียนโดยหวังว่าจะหาทางออกไปเล่นในเมืองได้

 

ถ้าผมต้องการออกไปเล่นข้างนอกในช่วงวันหยุด จำเป็นต้องมีเส้นทางหลบหนี

 

นี่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยเพียงแค่ติดสินบนคนเฝ้าประตู แต่ผมกำลังมองหาเส้นทางหลบหนีเพราะผมมีเวลาว่างมากเกินไป

 

“เลียม… ฉันมองไม่ออกจริงๆว่าคุณเป็นคนจริงจังหรือไม่จริงจังกันแน่”

 

“ถ้าคุณมองแต่ภายนอก ผมก็จริงจังพอๆ กับคุณนั่นแหละ”

 

“…งั้นเหรอ”

 

จากคำชมเพียงเล็กน้อย ลอร์ดผู้ชั่วร้ายที่จริงจังอย่างเคิร์ทก็ดูจะเขินอายนิดหน่อย

 

ผมหันกลับไปทานอาหาร

 

รายการเมนูส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟในโรงอาหารเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

 

รสชาติก็ไม่เลว ผมค่อนข้างชอบมัน

 

แต่มันเจ็บปวดถ้าเทียบกับมื้ออาหารสุดหรูที่ผมเคยทานทุกวันที่บ้าน

 

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะอื่น

 

-มันคือวอลเลซ

 

“เฮ้ ท่านหญิง ทำไมเราไม่กินข้าวด้วยกันล่ะ”

 

เขายิ้มขณะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะที่กลุ่มเด็กผู้หญิงนั่งอยู่และนั่งลงไป

 

“ มีบ้านใดที่กำลังมองหาลูกเขยเพื่อเป็นเจ้าบ้านหรือไม่? หรือมีใครในพวกคุณที่แยกตัวจากบ้านพ่อแม่เพื่อเป็นอิสระและมองหาเจ้าบ่าวบ้างไหม?”

 

สายตาของสาวๆ หรี่ตามองไปยังวอลเลซอย่างรังเกียจ

 

“ฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของบ้าน”

 

“พี่ชายของฉันเป็นทายาทของบ้านฉัน”

 

“ฉันกำลังจะไปหาน้องชายคนเล็กเร็วๆ นี้”

 

ผู้หญิงคนที่สาม… ดูเหมือนเรื่องนั้นมันคนละเรื่องไม่ใช่เรอะ?

 

แต่ดูเหมือนวอลเลซจะยอมรับคำอธิบายของพวกเขา

 

“โอ้ น่าเสียดายจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย”

 

หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วก็ออกไปคุยกับผู้หญิงคนต่อไปที่เขาเห็น

 

“คุณที่อยู่ตรงนั้น! ครอบครัวของคุณคิดอย่างไรกับการมีลูกเขย”

 

เมื่อมองไปที่วอลเลซ ผมก็อดคิดไม่ได้-

 

“–เขาดูไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิด”

 

วอลเลซผู้ซึ่งทำลายภาพลักษณ์เจ้าชายของผมไปอย่างสิ้นเชิง ยังคงพยายามไปจีบเด็กผู้หญิงต่อไป

 

เขากำลังคุยกับเด็กผู้หญิงจากอาคารเรียนหลังแรก

 

“เจ้าชายวอลเลซก็มีเรื่องยุ่งยากของตัวเองเช่นกัน”

 

“เรื่องมันเป็นยังไง?”

 

เคิร์ทอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับเส้นทางที่เหลืออยู่ของเจ้าชายที่เป็นส่วนเกิน

 

“พูดตามตรง เจ้าชายทั้งหมดหลังจากอันดับที่ร้อยดูเหมือนจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนั้น ตอนอายุยังน้อยพวกเขายังได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม แต่หลังจากนั้นฉันได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายยิ่งกว่าขุนนางระดับต่ำซะอีก”

 

“พวกเจ้าชายก็ดูลำบากเหมือนกัน”

 

“พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแต่งงานในบ้านหลังอื่น ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกบังคับให้เป็นข้าราชการหรือทหาร บางคนมีงานทำในสาขาอื่น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายวอลเลซจะไม่ใช่คนแบบนั้น”

 

มีเจ้าชายมากมายที่ลดบทบาทตัวเองเป็นหลายอาชีพ เช่นศิลปิน

 

แต่วอลเลซเลือกความเป็นอิสระ

 

“ดูเหมือนเขาจะอยากเป็นนายของตัวเอง”

 

“การพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องยากรึไง? เขาแค่ให้จักรวรรดิสนับสนุนเขาจนกว่าจะถึงตอนนั้นไม่ได้เหรอ?”

 

“ความเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา ยิ่งกว่านั้นสำหรับคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเขา เขาทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ และเจ้าชายวอลเลซก็เข้าใจเรื่องนั้นดี”

 

– นี่เป็นเรื่องที่เจ้าชายจักรวรรดิต้องเจองั้นเหรอ?

 

เพื่อให้ได้อิสรภาพ เขาจึงจีบเด็กผู้หญิงไปทั่ว ผมทำได้แค่หัวเราะกับเรื่องนั้น

 

เมื่อผมมองไปที่วอลเลซ เขากำลังหยิบถาดออกมา ผมคิดว่าเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้เช่นกัน  

 

เห็นได้ชัดว่ามีเด็กผู้หญิงสองสามคนได้รับการทาบทามจากเขาสองถึงสามครั้ง และพวกเขาก็เริ่มมีปัญหามากขึ้นว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร

 

ผมจึงเรียกวอลเลซที่กำลังไหล่ตกอยู่

 

“เฮ้ วอลเลซ มานี่หน่อย”

 

วอลเลซหันมามองมาทางผมก่อนจะพูด

 

“คุณต้องการอะไร? ฉันไม่มีงานอดิเรกจีบผู้ชายหรอกนะ”

 

จากความคิดเห็นนั้น ใบหน้าของเคิร์ทดูแดงก่ำเล็กน้อย

 

เขาดูหงุดหงิด

 

“เลียม คุณเรียกเขามาทำไม?”

 

ผมหัวเราะเมื่อตอบเคิร์ตที่กำลังหมดความอดทน

 

“เพราะเขาดูน่าสนใจ… เฮ้ วอลเลซ ฟังนะ ผมไม่สนใจร่างกายของคุณหรอก”

 

วอลเลซที่ดูไม่เต็มใจ ก็เดินมาที่โต๊ะของเรา

 

“คุณค่อนข้างหยาบคาย ผมคิดว่าคุณเป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่ปากคุณเสียนิดหน่อย”

 

ผู้ชายคนนี้เป็นคนงี่เง่า

 

เหมือนเขาจะคิดจริงๆว่าเราเป็นนักเรียนตัวอย่าง

 

เคิร์ทเป็นคนจริงจัง ดังนั้นบางทีเขาอาจจะใช่

 

“อย่างน้อยเราก็ดีกว่าคนที่ล้มเหลวในการไล่ตามกระโปรงสาวๆ”

 

“เอ่อ… ไอ้บ้าเอ้ย!”

 

วอลเลซขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้

 

“หุบปากไปเลย… ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่ออนาคตของฉัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันทุ่มเทอย่างหนักแม้จะต้องอับอายก็ตาม”

 

“คุณดูพยายามมาก เหมือนกำลังสนุกเลยนี่?”

 

“…ย้อนกลับไปในวังชั้นใน มีโอกาสไม่มากนักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง อย่างมากที่สุดก็คงมีแม่และสาวใช้ หรือนางสนมของพ่อฉัน ที่เหลือเป็นพี่สาวที่เกี่ยวพันธ์ทางสายเลือด”

 

ดูเหมือนเขาจะผ่านอะไรมามากมาย

 

แต่เคิร์ทก็นึกขึ้นได้

 

“หืม… แต่ก็มีพวกสาวใช้นี่?”

 

เมื่อเขาพูดอย่างนั้น วอลเลซก็ตอบ

 

“…พวกเขารับใช้แม่ ไม่ใช่ฉัน แม่ของฉันก็ไม่อนุญาตให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา”

 

“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

เมื่อผมถาม วอลเลซตะโกนว่า “แน่นอน ฉันต้องได้รับอิสระ!”

 

แม้ว่าสายตารอบๆตัวจะเริ่มจับจ้องมาที่เรา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

 

ขณะเดียวกันโรเซตต้าก็เดินผ่านพวกเราไป

 

อย่างไรก็ตาม วอลเลซไม่ได้แม้แต่จะมองไปทางเธอ

 

“หืม? คุณจะไม่จีบโรเซตต้าดูหน่อยเหรอ?”

 

สำหรับคำถามของผม วอลเลซก็ทำหน้าจริงจัง

 

“- ผู้หญิงคนนั้น…ฉันไม่คิดว่าเธอสามารถเลี้ยงดูฉันได้”

 

…ผู้ชายคนนี้ สามารถพูดคำแบบนั้นอย่างมั่นใจได้อย่างไร?

 

“อย่างแรก เป้าหมายของฉันคือการเป็นอิสระ”

 

“ทำไมถึงเป็นอิสระ”

 

วอลเลซดูเหมือนจะต้องการเป็นคนที่พึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์

 

“อาจจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือระดับจังหวัดก็ได้ แต่ฉันอยากอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง คุณอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่การมีสถานะเป็นเจ้าชายนั้นไม่สะดวกจริงๆ”

 

“คุณไม่สามารถเรียกตัวเองว่าอิสระได้หรอกนะ หากคุณพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ได้สถานะนั้น”

 

“ฉันรู้น่า! แต่นั่นเป็นทางเลือกเดียวของฉันที่นี่ ถ้าฉันพยายามจะเป็นนายทหารหรือทหาร สิ่งที่รอฉันอยู่ก็คือชีวิตแห่งการเข่นฆ่า มันไม่ใช่แนวฉันเลย”

 

เคิร์ททำหน้างงๆ ว่าไม่รู้จะพูดอะไร

 

“ฉันเดาว่าฝ่าบาทมีปัญหาพอสมควร”

 

“ถูกต้อง…คุณอยากเป็นผู้อุปถัมภ์ฉันไหมล่ะ?”

 

“โว้ๆ นั่นมันมากเกินไป… ขอโทษนะ แต่ฉันจะต้องปฏิเสธ”

 

“ทำไมล่ะ?!”

 

เคิร์ทไม่ใช่คนดี ที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายที่ไร้ประโยชน์

 

อย่างไรก็ตามเขาเป็นเจ้าชายที่น่าสนใจจริงๆ

 

การต่อสู้ดิ้นรนของเขาในการพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องที่น่าขบขันในการชม

 

ผมเรียกวอลเลซ

 

“ทำไมคุณไม่เข้าร่วมบ้านขุนนางเล็กๆหรือราชการล่ะ?”

 

เขาดูกังวลใจ  

 

“โดยส่วนตัวแล้ว ฉันก็โอเคกับเรื่องนั้น แต่ฉันยังเป็นเจ้าชายอยู่ พระราชวังไม่อนุญาตให้ฉันทำอย่างนั้นนี่สิ พวกเขาต้องการให้ฉันเข้าสู่บ้านที่อย่างน้อยก็มียศบารอนหรือสูงกว่า ไม่อย่างงั้นพระราชวังจะไม่อนุญาต”

 

ด้วยตัวเลือกแบบนั้น มันก็เข้าทางผมพอดี

 

นี่มันน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของคุณเอง”

 

“เลียม?!”

 

เคิร์ตพยายามจะหยุดผม แต่ผมไม่สนใจเขาและพูดกับวอลเลซ

 

“บ้านเคานต์เบนฟิลด์จะอุปถัมภ์คุณ คุณจะปกครองเหนือเขตแดนบางส่วน ผมจะให้อิสระแก่คุณเอง”

 

วอลเลซตะลึงงัน ยืนขึ้นและจัดเครื่องแบบของเขา

 

“ขอบคุณมาก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันเป็นหนี้คุณแล้ว!”

 

วอลเลซที่ชูแขนสองข้างและตะโกนเสียงดัง เขาดูงี่เง่าจริงๆ

 

คนตลกอย่างเขาดูแล้วน่าสนใจจริงๆ

 

“เลียม คุณต้องคิดให้รอบคอบ การเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

เคิร์ทพยายามเกลี้ยกล่อมผม แต่ผมไม่สามารถเอาคำพูดที่พูดไปแล้วกลับคืนมาได้

 

ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกเห็นใจหรือประทับใจในความพยายามของเขา

 

ผมแค่อยากช่วยเขาเพราะเขาน่าสนใจ

 

เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เจ้าชายของจักรวรรดิจะเป็นลูกน้องของผม

 

นั่นก็ดูน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ผมในฐานะเคานต์ คำพูดของผมคือการตัดสินใจของบ้านแบนฟิลด์ ดังนั้นมันไม่ใช่ปัญหา”

 

“ไม่ แต่-!”

 

ผมหันไปหาวอลเลซที่ดูกังวล

 

“ผมรักษาสัญญาเสมอ ผมจะสนับสนุนความเป็นอิสระของคุณ คุณโอเคกับการเป็นลูกน้องของผมไหมล่ะ?”

 

“น- แน่นอน! อะไรก็ดีกว่าชีวิตคับแคบที่ฉันเคยอยู่แบบในวังชั้นใน! ในฐานะขุนนาง จะเป็นขุนนางผู้น้อยก็ไม่เป็นไร! ฉันแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง”

 

ง่ายดายเช่นนี้เอง

 

“ให้ผมจัดการเอง ผมจะเตรียมอาณาเขตให้คุณหลังจากการฝึกของเราสิ้นสุดลง”

 

เคิร์ทดูประหลาดใจขณะจับใบหน้าด้วยมือขวา

 

“เลียม ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ”

 

ทั้งหมดที่ผมทำคือช่วยเจ้าชายคนเดียวให้พึ่งพาตนเองได้

 

เคิร์ท คุณกังวลเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว

 

◇ ◇ ◇

 

เมืองหลวงของจักรวรรดิ

 

ข่าวลือเกี่ยวกับวอลเลซมาถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ในวัง

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้นำเสนอรายงานแก่เขา

 

“เคานท์ แบนฟิลด์ตั้งตนเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

“..ว่าไงนะ?”

 

รัฐมนตรีหยุดมือไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดได้

 

“ท่านเคานท์ได้ประกาศว่าเขาจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

เขาละทิ้งสถานะของเขาในฐานะเจ้าชาย

 

ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการสละสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์

 

เลียมสาบานว่าจะสนับสนุนความเป็นอิสระของวอลเลซในอนาคต

 

การที่เลียมเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขานั้นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่วอลเลซจะตอบแทนอะไรเลียมได้

 

เพราะแบบนั้นจึงไม่มีขุนนางคนไหนคิดจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของวอลเลซ

 

“ความตั้งใจของเคานต์คืออะไรกันแน่?”

 

“แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งนี้จะทำให้เจ้าชายองค์หนึ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างปลอดภัย”

 

“การเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาควรจะทำได้ด้วยการสนับสนุนจากเคานต์ ดูแล้วคงไม่น่ามีปัญหาอะไรในอนาคต แต่ว่าเลียมทำไปเพื่ออะไรล่ะ?”

 

นายกรัฐมนตรีกำลังอ่านเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเกินไป

 

นี่เป็นผลมาจากการประเมินเลียมไว้สูงในมุมมองของเขา

 

(ถ้าไม่นับตัวเคานท์เอง บ้านเบนฟิลด์ยังขึ้นชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจ เขาทำอย่างนี้เพื่อแสดงว่าเขามีส่วนสนับสนุนจักรวรรดิรึเปล่านะ)

 

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกสนับสนุนวอลเลซ บุคคลที่ไม่ใช่ทั้งยาพิษหรือยารักษาโรค?

 

หากเป็นแบบนั้น นายกรัฐมนตรีก็เห็นแล้วว่าเลียมจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้นี่เอง

 

(ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเขียนทับความอัปยศที่กินเวลาถึงสองชั่วอายุคน แต่นี่อาจเป็นขั้นตอนแรกในการได้รับความไว้วางใจจากสังคมชั้นสูง)

 

ถ้าวอลเลซสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างปลอดภัย เลียมจะทำให้บ้านเบนฟิลด์ถูกมองว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นในหมู่ขุนนาง

 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านั่นคือเหตุผล และตื่นเต้นรอผลที่ไม่คาดคิดนี้

 

———

 

ไบรอัน (´;ω;`) “มันเจ็บปวด ลอร์ดเลียมแอบกลายเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายโดยไม่ปรึกษาเรานั้น…มันเจ็บปวด ท่านเลียม! โปรดปรึกษาความคิดเห็นของเราก่อนที่จะทำสิ่งนี้ด้วย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! 34

Now you are reading (WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! Chapter 34 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลูกน้อง(เบ๊)

 

สามเดือนแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา

 

มันผ่านไปเพียงพริบตาจนผมพึ่งสังเกตว่า-

 

-นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?

 

ผมกำลังไตร่ตรองว่าสถานที่นี้แปลกแค่ไหนเมื่อผมพักผ่อนในหอพักของตัวเอง

 

“…ชั้นประถมศึกษามันง่ายเกินไป ผมไม่จำเป็นต้องส่งเงินบริจาคมาด้วยซ้ำ …ไม่สิมันแค่ช่วยให้ผมจะไม่ตกเป็นเป้าของศาสตราจารย์จอห์นแค่นั้นเหรอ?”

 

เขาเป็นครูที่เข้มงวด แต่เขาไม่เคยโกรธหรือดุผมเลย

 

นอกจากนั้น เขาก็แค่ปฏิบัติกับผมเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ

 

ตื่นเช้า ออกกำลังกายเบาๆ เรียน ฝึกศิลปะการป้องกันตัว แล้วกลับมานอนหอในตอนกลางคืน

 

คนอื่นๆ ยังคงบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว มันง่ายมากจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลก

 

อย่างแรกเลย การเรียนในชั้นเรียนเป็นเรื่องง่ายมาก ผมได้ศึกษาหัวข้อเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วในแคปซูลการศึกษา

 

ในขณะที่การฝึกทางกายภาพก็เหมือนกับการยืดเส้นยืดสาย ซึ่งร่างกายที่แข็งแกร่งของผมมันยังไม่ทันรู้สึกเหนื่อยหรืออะไรเลย

 

—ผมไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้

 

“นี้มันง่ายเกินไป…จนผมคิดว่านี่จะไม่เป็นไรจริงๆเรอะ?”

 

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะลอร์ดที่ชั่วร้ายที่ร่างกายจะถูกฝึกฝนจนแข็งแกร่ง

 

‘ความรุนแรงนั้นไม่มีประโยชน์’

 

‘คุณแค่มีการศึกษาที่ดีเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในสังคม’

 

เรื่องราวดังกล่าวมันก็แค่เรื่องโกหก

 

แน่นอน ความรุนแรงอาจถือได้ว่าไร้ประโยชน์ในสังคมปกติ  

 

แต่ผมได้เรียนรู้ว่า ความรุงแรงมีความสำคัญเพียงใดในชีวิตก่อนหน้านี้

 

คนเลวใช้ความรุนแรง ในขณะที่คนดีทำได้เพียงแค่เกรงกลัวพวกเขา

 

ความรุนแรงเป็นอำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง

 

เพราะผมฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแบบนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มีหวังความสามารถของผมได้ขึ้นสนิมแน่ๆ

 

“ไม่ดี. นี้ไม่ดี ผมคิดว่าพวกเขาจะเริ่มการฝึกจริงๆจังๆหลังจากผ่านมาสามเดือน แต่ไม่มีวี่แววของการเปลี่ยนแปลงเลย”

 

ตอนแรกผมคิดว่าพวกเขากำลังรอให้เราคุ้นเคยกับการฝึก แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อหาของการฝึกดังกล่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

 

ปริมาณการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงระดับเส้นผมบางๆ

 

ผมควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?

 

ทันใดนั้นผมก็ได้รับการติดต่อจากที่บ้าน

 

ผู้ที่โทรมาคือไบรอัน

 

…ทำไมถึงไม่ใช่อามากิกันนะ?

 

ขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงและรับสาย สิ่งที่ปรากฏเป็นภาพของไบรอันที่กำลังร้องไห้เหมือนปกติ

 

“ท่านเลียม ท่านสัญญากับกระผมว่าจะโทรกลับมาที่บ้านเป็นประจำนี่นา!”

 

เขาไม่โอเวอร์แอคติ้งเกินไปหน่อยเหรอ?

 

“อย่าร้องไห้เพียงเพราะผมลืมติดต่อคุณตามกำหนด… หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”

 

“ไม่ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีที่นี่ กระผมแค่เป็นห่วงคุณมากกว่า”

 

เขาไม่เชื่อใจผมเหรอ?  

 

“ผมก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

 

“เป็นเรื่องที่ดีที่ได้ยินแบบนั้นครับ โอ้ และหัวหน้าสาวใช้ก็แสดงความกังวลมาครับ คุณช่วยบอกกระผมได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเจ้าชายวอลเลซในตอนนี้เป็นอย่างไร?”

 

“วอลเลซ? อ่อ…ผู้ชายคนนั้น ผมคิดว่าเราเข้ากันได้ดี”

 

“…ฮะ?”

 

ไบรอันตกตะลึง

 

เจ้าชายวอลเลซมีภูมิหลังที่ค่อนข้างลำบาก

 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนพยายามรักษาระยะห่างจากเขาเสมอ แต่เมื่อมองดูเขา ผู้คนก็ยังหลีกเลี่ยงเขาอยู่ดีเพราะปัญหาด้านบุคลิกภาพ

 

◇ ◇ ◇

 

วันรุ่งขึ้นในโรงอาหาร

 

ในที่สุดปีแรกก็เริ่มชินกับชีวิตในโรงเรียนประถม

 

ในโรงอาหาร ทุกคนเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม

 

โดยส่วนตัว ผมยังคงอยู่กับเคิร์ต สหายผู้ชั่วร้าย

 

“ไบรอันโทรหาผมตลอดเวลาและไม่หยุดถามซักทีว่าชีวิตในโรงเรียนเป็นอย่างไร”

 

“เขาเป็นพ่อบ้านของคุณไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับเขาที่คอยตรวจสอบคุณเป็นประจำ”

 

“ผมไม่มีอะไรจะพูดน่ะสิ ชีวิตที่นี่น่าเบื่อมาก สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่สามารถพูดได้คือการที่ยังไม่พบวิธีที่จะแอบออกไปจากที่นี่”

 

ผมได้ตรวจสอบกำแพงสูงที่สร้างขึ้นรอบๆ บริเวณโรงเรียนโดยหวังว่าจะหาทางออกไปเล่นในเมืองได้

 

ถ้าผมต้องการออกไปเล่นข้างนอกในช่วงวันหยุด จำเป็นต้องมีเส้นทางหลบหนี

 

นี่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยเพียงแค่ติดสินบนคนเฝ้าประตู แต่ผมกำลังมองหาเส้นทางหลบหนีเพราะผมมีเวลาว่างมากเกินไป

 

“เลียม… ฉันมองไม่ออกจริงๆว่าคุณเป็นคนจริงจังหรือไม่จริงจังกันแน่”

 

“ถ้าคุณมองแต่ภายนอก ผมก็จริงจังพอๆ กับคุณนั่นแหละ”

 

“…งั้นเหรอ”

 

จากคำชมเพียงเล็กน้อย ลอร์ดผู้ชั่วร้ายที่จริงจังอย่างเคิร์ทก็ดูจะเขินอายนิดหน่อย

 

ผมหันกลับไปทานอาหาร

 

รายการเมนูส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟในโรงอาหารเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

 

รสชาติก็ไม่เลว ผมค่อนข้างชอบมัน

 

แต่มันเจ็บปวดถ้าเทียบกับมื้ออาหารสุดหรูที่ผมเคยทานทุกวันที่บ้าน

 

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะอื่น

 

-มันคือวอลเลซ

 

“เฮ้ ท่านหญิง ทำไมเราไม่กินข้าวด้วยกันล่ะ”

 

เขายิ้มขณะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะที่กลุ่มเด็กผู้หญิงนั่งอยู่และนั่งลงไป

 

“ มีบ้านใดที่กำลังมองหาลูกเขยเพื่อเป็นเจ้าบ้านหรือไม่? หรือมีใครในพวกคุณที่แยกตัวจากบ้านพ่อแม่เพื่อเป็นอิสระและมองหาเจ้าบ่าวบ้างไหม?”

 

สายตาของสาวๆ หรี่ตามองไปยังวอลเลซอย่างรังเกียจ

 

“ฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของบ้าน”

 

“พี่ชายของฉันเป็นทายาทของบ้านฉัน”

 

“ฉันกำลังจะไปหาน้องชายคนเล็กเร็วๆ นี้”

 

ผู้หญิงคนที่สาม… ดูเหมือนเรื่องนั้นมันคนละเรื่องไม่ใช่เรอะ?

 

แต่ดูเหมือนวอลเลซจะยอมรับคำอธิบายของพวกเขา

 

“โอ้ น่าเสียดายจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย”

 

หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วก็ออกไปคุยกับผู้หญิงคนต่อไปที่เขาเห็น

 

“คุณที่อยู่ตรงนั้น! ครอบครัวของคุณคิดอย่างไรกับการมีลูกเขย”

 

เมื่อมองไปที่วอลเลซ ผมก็อดคิดไม่ได้-

 

“–เขาดูไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิด”

 

วอลเลซผู้ซึ่งทำลายภาพลักษณ์เจ้าชายของผมไปอย่างสิ้นเชิง ยังคงพยายามไปจีบเด็กผู้หญิงต่อไป

 

เขากำลังคุยกับเด็กผู้หญิงจากอาคารเรียนหลังแรก

 

“เจ้าชายวอลเลซก็มีเรื่องยุ่งยากของตัวเองเช่นกัน”

 

“เรื่องมันเป็นยังไง?”

 

เคิร์ทอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับเส้นทางที่เหลืออยู่ของเจ้าชายที่เป็นส่วนเกิน

 

“พูดตามตรง เจ้าชายทั้งหมดหลังจากอันดับที่ร้อยดูเหมือนจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนั้น ตอนอายุยังน้อยพวกเขายังได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม แต่หลังจากนั้นฉันได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายยิ่งกว่าขุนนางระดับต่ำซะอีก”

 

“พวกเจ้าชายก็ดูลำบากเหมือนกัน”

 

“พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแต่งงานในบ้านหลังอื่น ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกบังคับให้เป็นข้าราชการหรือทหาร บางคนมีงานทำในสาขาอื่น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายวอลเลซจะไม่ใช่คนแบบนั้น”

 

มีเจ้าชายมากมายที่ลดบทบาทตัวเองเป็นหลายอาชีพ เช่นศิลปิน

 

แต่วอลเลซเลือกความเป็นอิสระ

 

“ดูเหมือนเขาจะอยากเป็นนายของตัวเอง”

 

“การพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องยากรึไง? เขาแค่ให้จักรวรรดิสนับสนุนเขาจนกว่าจะถึงตอนนั้นไม่ได้เหรอ?”

 

“ความเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา ยิ่งกว่านั้นสำหรับคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเขา เขาทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ และเจ้าชายวอลเลซก็เข้าใจเรื่องนั้นดี”

 

– นี่เป็นเรื่องที่เจ้าชายจักรวรรดิต้องเจองั้นเหรอ?

 

เพื่อให้ได้อิสรภาพ เขาจึงจีบเด็กผู้หญิงไปทั่ว ผมทำได้แค่หัวเราะกับเรื่องนั้น

 

เมื่อผมมองไปที่วอลเลซ เขากำลังหยิบถาดออกมา ผมคิดว่าเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้เช่นกัน  

 

เห็นได้ชัดว่ามีเด็กผู้หญิงสองสามคนได้รับการทาบทามจากเขาสองถึงสามครั้ง และพวกเขาก็เริ่มมีปัญหามากขึ้นว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร

 

ผมจึงเรียกวอลเลซที่กำลังไหล่ตกอยู่

 

“เฮ้ วอลเลซ มานี่หน่อย”

 

วอลเลซหันมามองมาทางผมก่อนจะพูด

 

“คุณต้องการอะไร? ฉันไม่มีงานอดิเรกจีบผู้ชายหรอกนะ”

 

จากความคิดเห็นนั้น ใบหน้าของเคิร์ทดูแดงก่ำเล็กน้อย

 

เขาดูหงุดหงิด

 

“เลียม คุณเรียกเขามาทำไม?”

 

ผมหัวเราะเมื่อตอบเคิร์ตที่กำลังหมดความอดทน

 

“เพราะเขาดูน่าสนใจ… เฮ้ วอลเลซ ฟังนะ ผมไม่สนใจร่างกายของคุณหรอก”

 

วอลเลซที่ดูไม่เต็มใจ ก็เดินมาที่โต๊ะของเรา

 

“คุณค่อนข้างหยาบคาย ผมคิดว่าคุณเป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่ปากคุณเสียนิดหน่อย”

 

ผู้ชายคนนี้เป็นคนงี่เง่า

 

เหมือนเขาจะคิดจริงๆว่าเราเป็นนักเรียนตัวอย่าง

 

เคิร์ทเป็นคนจริงจัง ดังนั้นบางทีเขาอาจจะใช่

 

“อย่างน้อยเราก็ดีกว่าคนที่ล้มเหลวในการไล่ตามกระโปรงสาวๆ”

 

“เอ่อ… ไอ้บ้าเอ้ย!”

 

วอลเลซขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้

 

“หุบปากไปเลย… ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่ออนาคตของฉัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันทุ่มเทอย่างหนักแม้จะต้องอับอายก็ตาม”

 

“คุณดูพยายามมาก เหมือนกำลังสนุกเลยนี่?”

 

“…ย้อนกลับไปในวังชั้นใน มีโอกาสไม่มากนักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง อย่างมากที่สุดก็คงมีแม่และสาวใช้ หรือนางสนมของพ่อฉัน ที่เหลือเป็นพี่สาวที่เกี่ยวพันธ์ทางสายเลือด”

 

ดูเหมือนเขาจะผ่านอะไรมามากมาย

 

แต่เคิร์ทก็นึกขึ้นได้

 

“หืม… แต่ก็มีพวกสาวใช้นี่?”

 

เมื่อเขาพูดอย่างนั้น วอลเลซก็ตอบ

 

“…พวกเขารับใช้แม่ ไม่ใช่ฉัน แม่ของฉันก็ไม่อนุญาตให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา”

 

“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

เมื่อผมถาม วอลเลซตะโกนว่า “แน่นอน ฉันต้องได้รับอิสระ!”

 

แม้ว่าสายตารอบๆตัวจะเริ่มจับจ้องมาที่เรา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

 

ขณะเดียวกันโรเซตต้าก็เดินผ่านพวกเราไป

 

อย่างไรก็ตาม วอลเลซไม่ได้แม้แต่จะมองไปทางเธอ

 

“หืม? คุณจะไม่จีบโรเซตต้าดูหน่อยเหรอ?”

 

สำหรับคำถามของผม วอลเลซก็ทำหน้าจริงจัง

 

“- ผู้หญิงคนนั้น…ฉันไม่คิดว่าเธอสามารถเลี้ยงดูฉันได้”

 

…ผู้ชายคนนี้ สามารถพูดคำแบบนั้นอย่างมั่นใจได้อย่างไร?

 

“อย่างแรก เป้าหมายของฉันคือการเป็นอิสระ”

 

“ทำไมถึงเป็นอิสระ”

 

วอลเลซดูเหมือนจะต้องการเป็นคนที่พึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์

 

“อาจจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือระดับจังหวัดก็ได้ แต่ฉันอยากอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง คุณอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่การมีสถานะเป็นเจ้าชายนั้นไม่สะดวกจริงๆ”

 

“คุณไม่สามารถเรียกตัวเองว่าอิสระได้หรอกนะ หากคุณพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ได้สถานะนั้น”

 

“ฉันรู้น่า! แต่นั่นเป็นทางเลือกเดียวของฉันที่นี่ ถ้าฉันพยายามจะเป็นนายทหารหรือทหาร สิ่งที่รอฉันอยู่ก็คือชีวิตแห่งการเข่นฆ่า มันไม่ใช่แนวฉันเลย”

 

เคิร์ททำหน้างงๆ ว่าไม่รู้จะพูดอะไร

 

“ฉันเดาว่าฝ่าบาทมีปัญหาพอสมควร”

 

“ถูกต้อง…คุณอยากเป็นผู้อุปถัมภ์ฉันไหมล่ะ?”

 

“โว้ๆ นั่นมันมากเกินไป… ขอโทษนะ แต่ฉันจะต้องปฏิเสธ”

 

“ทำไมล่ะ?!”

 

เคิร์ทไม่ใช่คนดี ที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายที่ไร้ประโยชน์

 

อย่างไรก็ตามเขาเป็นเจ้าชายที่น่าสนใจจริงๆ

 

การต่อสู้ดิ้นรนของเขาในการพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องที่น่าขบขันในการชม

 

ผมเรียกวอลเลซ

 

“ทำไมคุณไม่เข้าร่วมบ้านขุนนางเล็กๆหรือราชการล่ะ?”

 

เขาดูกังวลใจ  

 

“โดยส่วนตัวแล้ว ฉันก็โอเคกับเรื่องนั้น แต่ฉันยังเป็นเจ้าชายอยู่ พระราชวังไม่อนุญาตให้ฉันทำอย่างนั้นนี่สิ พวกเขาต้องการให้ฉันเข้าสู่บ้านที่อย่างน้อยก็มียศบารอนหรือสูงกว่า ไม่อย่างงั้นพระราชวังจะไม่อนุญาต”

 

ด้วยตัวเลือกแบบนั้น มันก็เข้าทางผมพอดี

 

นี่มันน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของคุณเอง”

 

“เลียม?!”

 

เคิร์ตพยายามจะหยุดผม แต่ผมไม่สนใจเขาและพูดกับวอลเลซ

 

“บ้านเคานต์เบนฟิลด์จะอุปถัมภ์คุณ คุณจะปกครองเหนือเขตแดนบางส่วน ผมจะให้อิสระแก่คุณเอง”

 

วอลเลซตะลึงงัน ยืนขึ้นและจัดเครื่องแบบของเขา

 

“ขอบคุณมาก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันเป็นหนี้คุณแล้ว!”

 

วอลเลซที่ชูแขนสองข้างและตะโกนเสียงดัง เขาดูงี่เง่าจริงๆ

 

คนตลกอย่างเขาดูแล้วน่าสนใจจริงๆ

 

“เลียม คุณต้องคิดให้รอบคอบ การเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

เคิร์ทพยายามเกลี้ยกล่อมผม แต่ผมไม่สามารถเอาคำพูดที่พูดไปแล้วกลับคืนมาได้

 

ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกเห็นใจหรือประทับใจในความพยายามของเขา

 

ผมแค่อยากช่วยเขาเพราะเขาน่าสนใจ

 

เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เจ้าชายของจักรวรรดิจะเป็นลูกน้องของผม

 

นั่นก็ดูน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ผมในฐานะเคานต์ คำพูดของผมคือการตัดสินใจของบ้านแบนฟิลด์ ดังนั้นมันไม่ใช่ปัญหา”

 

“ไม่ แต่-!”

 

ผมหันไปหาวอลเลซที่ดูกังวล

 

“ผมรักษาสัญญาเสมอ ผมจะสนับสนุนความเป็นอิสระของคุณ คุณโอเคกับการเป็นลูกน้องของผมไหมล่ะ?”

 

“น- แน่นอน! อะไรก็ดีกว่าชีวิตคับแคบที่ฉันเคยอยู่แบบในวังชั้นใน! ในฐานะขุนนาง จะเป็นขุนนางผู้น้อยก็ไม่เป็นไร! ฉันแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง”

 

ง่ายดายเช่นนี้เอง

 

“ให้ผมจัดการเอง ผมจะเตรียมอาณาเขตให้คุณหลังจากการฝึกของเราสิ้นสุดลง”

 

เคิร์ทดูประหลาดใจขณะจับใบหน้าด้วยมือขวา

 

“เลียม ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ”

 

ทั้งหมดที่ผมทำคือช่วยเจ้าชายคนเดียวให้พึ่งพาตนเองได้

 

เคิร์ท คุณกังวลเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว

 

◇ ◇ ◇

 

เมืองหลวงของจักรวรรดิ

 

ข่าวลือเกี่ยวกับวอลเลซมาถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ในวัง

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้นำเสนอรายงานแก่เขา

 

“เคานท์ แบนฟิลด์ตั้งตนเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

“..ว่าไงนะ?”

 

รัฐมนตรีหยุดมือไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดได้

 

“ท่านเคานท์ได้ประกาศว่าเขาจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

เขาละทิ้งสถานะของเขาในฐานะเจ้าชาย

 

ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการสละสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์

 

เลียมสาบานว่าจะสนับสนุนความเป็นอิสระของวอลเลซในอนาคต

 

การที่เลียมเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขานั้นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่วอลเลซจะตอบแทนอะไรเลียมได้

 

เพราะแบบนั้นจึงไม่มีขุนนางคนไหนคิดจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของวอลเลซ

 

“ความตั้งใจของเคานต์คืออะไรกันแน่?”

 

“แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งนี้จะทำให้เจ้าชายองค์หนึ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างปลอดภัย”

 

“การเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาควรจะทำได้ด้วยการสนับสนุนจากเคานต์ ดูแล้วคงไม่น่ามีปัญหาอะไรในอนาคต แต่ว่าเลียมทำไปเพื่ออะไรล่ะ?”

 

นายกรัฐมนตรีกำลังอ่านเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเกินไป

 

นี่เป็นผลมาจากการประเมินเลียมไว้สูงในมุมมองของเขา

 

(ถ้าไม่นับตัวเคานท์เอง บ้านเบนฟิลด์ยังขึ้นชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจ เขาทำอย่างนี้เพื่อแสดงว่าเขามีส่วนสนับสนุนจักรวรรดิรึเปล่านะ)

 

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกสนับสนุนวอลเลซ บุคคลที่ไม่ใช่ทั้งยาพิษหรือยารักษาโรค?

 

หากเป็นแบบนั้น นายกรัฐมนตรีก็เห็นแล้วว่าเลียมจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้นี่เอง

 

(ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเขียนทับความอัปยศที่กินเวลาถึงสองชั่วอายุคน แต่นี่อาจเป็นขั้นตอนแรกในการได้รับความไว้วางใจจากสังคมชั้นสูง)

 

ถ้าวอลเลซสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างปลอดภัย เลียมจะทำให้บ้านเบนฟิลด์ถูกมองว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นในหมู่ขุนนาง

 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านั่นคือเหตุผล และตื่นเต้นรอผลที่ไม่คาดคิดนี้

 

———

 

ไบรอัน (´;ω;`) “มันเจ็บปวด ลอร์ดเลียมแอบกลายเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายโดยไม่ปรึกษาเรานั้น…มันเจ็บปวด ท่านเลียม! โปรดปรึกษาความคิดเห็นของเราก่อนที่จะทำสิ่งนี้ด้วย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+