บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 174 ฟางเจิ้งลงมือ

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 174 ฟางเจิ้งลงมือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้เองหลิวอวิ๋นซูเพิ่งตั้งสติได้ เหมือนว่าตนจะไม่ได้ทำอะไรเลย

“เสี่ยวหลิว เด็กคนนี้ป่วยหนักมาก ถ้าไม่มีใครสัมผัสจุดอ่อนในจิตใจเธอก็จะเหม่อลอย แต่ถ้ามีคนสัมผัสจะอยากฆ่าตัวตายทันที การสะกดจิตระยะสั้นรักษาไม่ได้ บางทีการสะกดจิตระดับลึกอาจจะมีผล แต่ก็ต้องใช้เวลา…” ต่งเยวี่ยหรูจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วจึงพูดกับหลิวอวิ๋นซู

หลิวอวิ๋นซูยิ้มแห้ง “ป้าต่ง ป้าก็เห็นแล้วนี่ว่าเพื่อผมไม่กินอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจถึงแก่ชีวิตนะครับ แล้ว…ให้น้ำเกลือแทนไปก่อนไม่ได้หรือครับ?”

ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้า “นั่นเป็นเรื่องที่เธอต้องคิด ป้ามาได้แค่ครั้งนี้ วันนี้ต้องรีบกลับ อย่างมากสุดป้าจะเจียดเวลามาให้…เฮ้อ…เด็กน่าสงสาร”

ตอนนี้เองฟางอวิ๋นจิ้งถูกมัดไว้กับเตียง ไม่ขยับอีก

ทุกคนได้ยินคำพูดต่งเยวี่ยหรู ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว

ทันใดนั้นเองจ้าวต้าถงกล่าว “ใช่ ไต้ซือบอกว่าพอวางยันต์แล้วจะต้องบอกเขา ฉันยังไม่ได้บอกเลยนี่…”

“เอาล่ะ นายอย่าก่อเรื่องเพิ่มได้ไหม นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังมาไต้ซือๆ ยันต์วิญญาณนู่นนี่นั่นอีก สมองมีปัญหารึไง?” หลิวอวิ๋นซูไม่พอใจ

จ้าวต้าถงมองค้อนหลิวอวิ๋นซูแวบหนึ่ง “นายมันขยะ ไอ้คนที่ตกใจทำอะไรไม่ถูกเมื่อกี้ก็นายไม่ใช่เหรอ? ยังมีหน้ามาสอนฉันอีก? อีกอย่างนะ นายเชิญผู้เชี่ยวชาญมาได้คนเดียวแต่ห้ามฉันเชิญไต้ซือ? จะบอกให้นะ ไต้ซือเก่งมาก”

หลิวอวิ๋นซูยังอยากพูดบางอย่าง แต่ต่งเยวี่ยหรูชิงพูดก่อน “เขาอยากลองก็ให้เขาลอง ไม่ว่ายังไงก็มีเจตนาดี” คำพูดดูน่าฟัง แต่เป็นใครก็ฟังออกว่าต่งเยวี่ยหรูไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาเชื่อไต้ซือ แล้วจะเชิญผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอมาทำไม?

จ้าวต้าถงหน้าแดง รีบขอโทษขอโพย “ผู้เชี่ยวชาญครับ คือผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่…คุณดู…เฮ้อผมมันโง่ที่สุด”

“เอาล่ะ ฉันต้องบินตอนบ่ายนะ ขอพักผ่อนก่อน พวกเธอต่อแล้วกัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าไต้ซือคนนี้จะทำยังไง ทำพิธีระยะไกลได้เหรอ? ฉันจะบอกเธอให้นะ ความจริงพุทธศาสนาก็ดี ลัทธิเต๋าก็ดี ถ้าจะบอกว่าพวกเขามีอภินิหาร สู้บอกว่าพวกเขาเข้าใจจิตวิทยาไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเจอกันตัวต่อตัว ฉันเชื่อว่าไต้ซือแห่งพุทธจะเชื่อมต่อถึงจิตใจได้จริงๆ ช่วยให้คนตระหนัก แต่ระยะไกลแบบนี้…” ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าเบาๆ ความหมายชัดเจนมากว่าแกถูกหลอก!

เห็นดังนั้น แม้ทุกคนจะซาบซึ้งใจต่งเยวี่ยหรู แต่จ้าวต้าถง หม่าเจวียน หูหานสามคนเคยเห็นความเก่งกาจของฟางเจิ้งมาแล้ว ในใจเคารพฟางเจิ้งจริงๆ ดังนั้นเลยได้แต่กลั้นความไม่พอใจไว้ หวังอยู่เงียบๆ ว่าครั้งนี้ฟางเจิ้งอย่าเทพวกเขา! กู้หน้าให้พวกเขา…แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วรักษาระยะไกล? เป็นไปได้เหรอ?

ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังทำอะไรอยู่?

“แบ่งอาตมาสักหน่อยเถอะ อย่าขี้เหนียวนักได้ไหม? แค่กินเมล็ดสนสองเมล็ดเอง…” ฟางเจิ้งเงยหน้ามองกระรอกบนต้นไม้ กำลังหลอกล่อปากเปียกปากแฉะ…พูดโน้มน้าว

หมาป่าเดียวดายข้างๆ แหงนหน้าขึ้น อ้าปากเล็กน้อย ลิ้นห้อยออกมาข้างนอก ทำหน้าตะกละ อยู่กับฟางเจิ้งมานาน เจ้านี่ไม่มีคราบหมาป่าโหดในตอนแรกมานานแล้ว แต่กลายเป็นหมาขี้เกียจแถมตะกละ

บนต้นโพธิ์ กระรอกวางเมล็ดสนยี่สิบกว่าเมล็ดหนึ่งแถวบนกิ่งไม้ สะบัดหางไปมาพลางร้องจี๊ดๆ

“นายจะตุนไว้หน้าหนาวทำไม? ถ้านายยังอ้วนแบบนี้ต่อไป จากนี้จะหากระรอกตัวเมียมาสืบตระกูลยากนะ!” ฟางเจิ้งหลอกล่อต่อ

กระรอกเอียงหัวตรึกตรอง…

ฟางเจิ้งแอบเตะหมาป่าเดียวดายทีหนึ่ง หมาป่าพลันวิ่งไปอีกด้านอย่างรู้ใจ เห่าเสียงดังทีหนึ่ง!

เดิมทีกระรอกกลัวหมาป่า ปกติอยู่กับหมาป่าจนชินแล้วเลยไม่กลัว ทว่าก็ยังมีความกลัวโดยธรรมชาติอยู่ พอเหม่อ เสียงหมาป่าดังขึ้นอย่างฉับพลัน มันตกใจจนตัวสั่น หันหน้าไปมองหมาป่าเดียวดาย!

ตอนบรรยายช้าแต่ความจริงรวดเร็ว ฟางเจิ้งตบฝ่ามือเข้าไปยังลำต้นโพธิ์!

ปัง!

ลำต้นสั่นไหว!

กระรอกรีบนอนหมอบ กอดลำต้นไว้แน่น เจ้าตัวเล็กเป็นเศรษฐีขี้เหนียว รีบหันไปมองเมล็ดสนของตน ทว่าสมบัติบนลำต้นเหลือเพียงสองเมล็ด! แล้วที่เหลือล่ะ?

กระรอกกระดกก้นมองลงไป เห็นหัวโล้นกับก้นอ้วนใหญ่แกว่งหางวิ่งไปที่หลังลานวัด

กระรอกโกรธพลางร้องจี๊ดๆ ใหญ่ กระโดดลงจากต้นโพธิ์ไล่ตามไป

แต่ฟางเจิ้งวิ่งไปพลาง บีบเปลือกเมล็ดสนไปพลาง กินอย่างมีความสุข แถมยังโยนให้หมาป่าเดียวดายอีกเมล็ด เจ้าสารเลวสองตัวนี้ยิ้มกริ่ม กระรอกตามมาข้างหลัง โมโหจนกระโดดไปมาไม่หยุด สุดท้ายตามฟางเจิ้งทัน ดึงหูเขาไว้ จนกระทั่งฟางเจิ้งขอให้ยกโทษมันถึงหันไปเล่นงานหมาป่าเดียวดาย

หมาป่าเดียวดายไม่ใช่ฟางเจิ้ง มันวิ่งหนีไปแล้ว กระรอกตามไม่ทัน! ได้แต่อัดตรงประตูไว้อย่างโมโห ชูกรงเล็บโบกไปมาด้วยมาดว่าถ้านายกล้ากลับมาฉันจะต่อยนายให้ตายไอ้ห่านรก!

ส่วนหมาป่าเดียวดายที่ได้ประโยชน์ไปแล้ว วิ่งหนีหายไป…

ระหว่างที่เจ้าสองตัวนี้ทะเลาะกัน ฟางเจิ้งหยิบมือถือขึ้นมา มีข้อความเข้า พอเปิดอ่านก็เป็นของจ้าวต้าถง

ดูเวลาแล้วเพิ่งส่งมาเมื่อหลายนาทีก่อน เลยตอบกลับเป็นเสียงไป “อมิตาพุทธ ให้สีกานอนลง เอายันต์ไว้ใต้หมอน ที่เหลืออาตมาจัดการเอง”

ทางด้านจ้าวต้าถงรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นฟางเจิ้งตอบกลับจึงเปิดฟังทันที

พอได้ยินฟางเจิ้งพูดแบบนี้ ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าเบาๆ “ฟังจากเสียงไต้ซือแล้วเหมือนยังหนุ่มมากเลยนะ”

หูหานตอบกลับโดยไม่รู้ตัว “ไต้ซืออายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยครับ”

ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าอีกครั้ง เห็นได้ว่าไม่ได้หวังอะไรกับฟางเจิ้งเลย ถึงไต้ซือแห่งพุทธจะชำนาญด้านการเชื่อมต่อจิตใจ แต่นั่นคือพระอาจารย์ที่มีธรรมะลึกซึ้ง! พระอาจารย์แบบนี้ ถ้าไม่บำเพ็ญเพียรทุกคืนวันเป็นเวลาสิบยี่สิบปีไม่มีทางบรรลุระดับสูงแบบนั้น เณรน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจะเป็นพระอาจารย์? ไม่มีทาง เธอมองพวกวัยรุ่นตรงหน้าอีกครั้งพลางคิดในใจ ‘นักศึกษาสมัยนี้ใสซื่อหลอกง่ายที่สุดเลย มีโอกาสสูงที่ต้องจ่ายเงินเอายันต์วิญญาณนี่มา ช่างเถอะ ไม่เห็นฮวงโหไม่ตายใจ ฉันเห็นพวกเขามาถึงฮวงโหแล้ว ค่อยพูดกับพวกเขาดีๆ ละกัน คราวหลังจะได้ไม่ถูกหลอกอีก…แล้วก็หลวงจีนนั่น จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย! หลอกลวงกันเกินไป หลอกกระทั่งนักศึกษา! ทำให้เสียชื่อเสียงพุทธศาสนา น่ารังเกียจจริงๆ!’

จ้าวต้าถงตรวจดูว่ายันต์ยังอยู่ดีแล้วจึงรีบตอบกลับ “ไต้ซือ เรียบร้อยแล้วครับ ต้องให้พวกเราหลบไหมครับ?”

ฟางเจิ้งขบคิด ตอนใช้อภินิหารก็ไม่เห็นมีอะไรโผล่มา แน่นอนว่าไม่ต้องหลบ จึงตอบไปว่า “ไม่ต้อง”

พูดจบ ฟางเจิ้งนั่งใต้ต้นโพธิ์ สวดอมิตาพุทธเงียบๆ ประนมสองมือ รวมสมาธิเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนจิตใจ เขาสัมผัสถึงการขานรับจากไกลๆ ก่อนขยายความคิดไปตามการขานรับนั้น

โครม!

เกิดเสียงดังสนั่น!

ฟางเจิ้งรู้สึกว่าความมืดมิดรอบตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ มาปรากฏอยู่กลางเมืองแปลกตา!

ตึกสูงใหญ่เจริญรุ่งเรือง ข้างหลังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นักศึกษสัญจรไปมาเป็นกลุ่ม ตรงหน้าเป็นถนนสายหนึ่ง บนถนนมีรถเล็กรถใหญ่แล่นผ่าน…

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 174 ฟางเจิ้งลงมือ

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 174 ฟางเจิ้งลงมือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนนี้เองหลิวอวิ๋นซูเพิ่งตั้งสติได้ เหมือนว่าตนจะไม่ได้ทำอะไรเลย

“เสี่ยวหลิว เด็กคนนี้ป่วยหนักมาก ถ้าไม่มีใครสัมผัสจุดอ่อนในจิตใจเธอก็จะเหม่อลอย แต่ถ้ามีคนสัมผัสจะอยากฆ่าตัวตายทันที การสะกดจิตระยะสั้นรักษาไม่ได้ บางทีการสะกดจิตระดับลึกอาจจะมีผล แต่ก็ต้องใช้เวลา…” ต่งเยวี่ยหรูจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วจึงพูดกับหลิวอวิ๋นซู

หลิวอวิ๋นซูยิ้มแห้ง “ป้าต่ง ป้าก็เห็นแล้วนี่ว่าเพื่อผมไม่กินอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจถึงแก่ชีวิตนะครับ แล้ว…ให้น้ำเกลือแทนไปก่อนไม่ได้หรือครับ?”

ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้า “นั่นเป็นเรื่องที่เธอต้องคิด ป้ามาได้แค่ครั้งนี้ วันนี้ต้องรีบกลับ อย่างมากสุดป้าจะเจียดเวลามาให้…เฮ้อ…เด็กน่าสงสาร”

ตอนนี้เองฟางอวิ๋นจิ้งถูกมัดไว้กับเตียง ไม่ขยับอีก

ทุกคนได้ยินคำพูดต่งเยวี่ยหรู ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว

ทันใดนั้นเองจ้าวต้าถงกล่าว “ใช่ ไต้ซือบอกว่าพอวางยันต์แล้วจะต้องบอกเขา ฉันยังไม่ได้บอกเลยนี่…”

“เอาล่ะ นายอย่าก่อเรื่องเพิ่มได้ไหม นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังมาไต้ซือๆ ยันต์วิญญาณนู่นนี่นั่นอีก สมองมีปัญหารึไง?” หลิวอวิ๋นซูไม่พอใจ

จ้าวต้าถงมองค้อนหลิวอวิ๋นซูแวบหนึ่ง “นายมันขยะ ไอ้คนที่ตกใจทำอะไรไม่ถูกเมื่อกี้ก็นายไม่ใช่เหรอ? ยังมีหน้ามาสอนฉันอีก? อีกอย่างนะ นายเชิญผู้เชี่ยวชาญมาได้คนเดียวแต่ห้ามฉันเชิญไต้ซือ? จะบอกให้นะ ไต้ซือเก่งมาก”

หลิวอวิ๋นซูยังอยากพูดบางอย่าง แต่ต่งเยวี่ยหรูชิงพูดก่อน “เขาอยากลองก็ให้เขาลอง ไม่ว่ายังไงก็มีเจตนาดี” คำพูดดูน่าฟัง แต่เป็นใครก็ฟังออกว่าต่งเยวี่ยหรูไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาเชื่อไต้ซือ แล้วจะเชิญผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอมาทำไม?

จ้าวต้าถงหน้าแดง รีบขอโทษขอโพย “ผู้เชี่ยวชาญครับ คือผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่…คุณดู…เฮ้อผมมันโง่ที่สุด”

“เอาล่ะ ฉันต้องบินตอนบ่ายนะ ขอพักผ่อนก่อน พวกเธอต่อแล้วกัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าไต้ซือคนนี้จะทำยังไง ทำพิธีระยะไกลได้เหรอ? ฉันจะบอกเธอให้นะ ความจริงพุทธศาสนาก็ดี ลัทธิเต๋าก็ดี ถ้าจะบอกว่าพวกเขามีอภินิหาร สู้บอกว่าพวกเขาเข้าใจจิตวิทยาไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเจอกันตัวต่อตัว ฉันเชื่อว่าไต้ซือแห่งพุทธจะเชื่อมต่อถึงจิตใจได้จริงๆ ช่วยให้คนตระหนัก แต่ระยะไกลแบบนี้…” ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าเบาๆ ความหมายชัดเจนมากว่าแกถูกหลอก!

เห็นดังนั้น แม้ทุกคนจะซาบซึ้งใจต่งเยวี่ยหรู แต่จ้าวต้าถง หม่าเจวียน หูหานสามคนเคยเห็นความเก่งกาจของฟางเจิ้งมาแล้ว ในใจเคารพฟางเจิ้งจริงๆ ดังนั้นเลยได้แต่กลั้นความไม่พอใจไว้ หวังอยู่เงียบๆ ว่าครั้งนี้ฟางเจิ้งอย่าเทพวกเขา! กู้หน้าให้พวกเขา…แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วรักษาระยะไกล? เป็นไปได้เหรอ?

ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังทำอะไรอยู่?

“แบ่งอาตมาสักหน่อยเถอะ อย่าขี้เหนียวนักได้ไหม? แค่กินเมล็ดสนสองเมล็ดเอง…” ฟางเจิ้งเงยหน้ามองกระรอกบนต้นไม้ กำลังหลอกล่อปากเปียกปากแฉะ…พูดโน้มน้าว

หมาป่าเดียวดายข้างๆ แหงนหน้าขึ้น อ้าปากเล็กน้อย ลิ้นห้อยออกมาข้างนอก ทำหน้าตะกละ อยู่กับฟางเจิ้งมานาน เจ้านี่ไม่มีคราบหมาป่าโหดในตอนแรกมานานแล้ว แต่กลายเป็นหมาขี้เกียจแถมตะกละ

บนต้นโพธิ์ กระรอกวางเมล็ดสนยี่สิบกว่าเมล็ดหนึ่งแถวบนกิ่งไม้ สะบัดหางไปมาพลางร้องจี๊ดๆ

“นายจะตุนไว้หน้าหนาวทำไม? ถ้านายยังอ้วนแบบนี้ต่อไป จากนี้จะหากระรอกตัวเมียมาสืบตระกูลยากนะ!” ฟางเจิ้งหลอกล่อต่อ

กระรอกเอียงหัวตรึกตรอง…

ฟางเจิ้งแอบเตะหมาป่าเดียวดายทีหนึ่ง หมาป่าพลันวิ่งไปอีกด้านอย่างรู้ใจ เห่าเสียงดังทีหนึ่ง!

เดิมทีกระรอกกลัวหมาป่า ปกติอยู่กับหมาป่าจนชินแล้วเลยไม่กลัว ทว่าก็ยังมีความกลัวโดยธรรมชาติอยู่ พอเหม่อ เสียงหมาป่าดังขึ้นอย่างฉับพลัน มันตกใจจนตัวสั่น หันหน้าไปมองหมาป่าเดียวดาย!

ตอนบรรยายช้าแต่ความจริงรวดเร็ว ฟางเจิ้งตบฝ่ามือเข้าไปยังลำต้นโพธิ์!

ปัง!

ลำต้นสั่นไหว!

กระรอกรีบนอนหมอบ กอดลำต้นไว้แน่น เจ้าตัวเล็กเป็นเศรษฐีขี้เหนียว รีบหันไปมองเมล็ดสนของตน ทว่าสมบัติบนลำต้นเหลือเพียงสองเมล็ด! แล้วที่เหลือล่ะ?

กระรอกกระดกก้นมองลงไป เห็นหัวโล้นกับก้นอ้วนใหญ่แกว่งหางวิ่งไปที่หลังลานวัด

กระรอกโกรธพลางร้องจี๊ดๆ ใหญ่ กระโดดลงจากต้นโพธิ์ไล่ตามไป

แต่ฟางเจิ้งวิ่งไปพลาง บีบเปลือกเมล็ดสนไปพลาง กินอย่างมีความสุข แถมยังโยนให้หมาป่าเดียวดายอีกเมล็ด เจ้าสารเลวสองตัวนี้ยิ้มกริ่ม กระรอกตามมาข้างหลัง โมโหจนกระโดดไปมาไม่หยุด สุดท้ายตามฟางเจิ้งทัน ดึงหูเขาไว้ จนกระทั่งฟางเจิ้งขอให้ยกโทษมันถึงหันไปเล่นงานหมาป่าเดียวดาย

หมาป่าเดียวดายไม่ใช่ฟางเจิ้ง มันวิ่งหนีไปแล้ว กระรอกตามไม่ทัน! ได้แต่อัดตรงประตูไว้อย่างโมโห ชูกรงเล็บโบกไปมาด้วยมาดว่าถ้านายกล้ากลับมาฉันจะต่อยนายให้ตายไอ้ห่านรก!

ส่วนหมาป่าเดียวดายที่ได้ประโยชน์ไปแล้ว วิ่งหนีหายไป…

ระหว่างที่เจ้าสองตัวนี้ทะเลาะกัน ฟางเจิ้งหยิบมือถือขึ้นมา มีข้อความเข้า พอเปิดอ่านก็เป็นของจ้าวต้าถง

ดูเวลาแล้วเพิ่งส่งมาเมื่อหลายนาทีก่อน เลยตอบกลับเป็นเสียงไป “อมิตาพุทธ ให้สีกานอนลง เอายันต์ไว้ใต้หมอน ที่เหลืออาตมาจัดการเอง”

ทางด้านจ้าวต้าถงรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นฟางเจิ้งตอบกลับจึงเปิดฟังทันที

พอได้ยินฟางเจิ้งพูดแบบนี้ ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าเบาๆ “ฟังจากเสียงไต้ซือแล้วเหมือนยังหนุ่มมากเลยนะ”

หูหานตอบกลับโดยไม่รู้ตัว “ไต้ซืออายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยครับ”

ต่งเยวี่ยหรูส่ายหน้าอีกครั้ง เห็นได้ว่าไม่ได้หวังอะไรกับฟางเจิ้งเลย ถึงไต้ซือแห่งพุทธจะชำนาญด้านการเชื่อมต่อจิตใจ แต่นั่นคือพระอาจารย์ที่มีธรรมะลึกซึ้ง! พระอาจารย์แบบนี้ ถ้าไม่บำเพ็ญเพียรทุกคืนวันเป็นเวลาสิบยี่สิบปีไม่มีทางบรรลุระดับสูงแบบนั้น เณรน้อยที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจะเป็นพระอาจารย์? ไม่มีทาง เธอมองพวกวัยรุ่นตรงหน้าอีกครั้งพลางคิดในใจ ‘นักศึกษาสมัยนี้ใสซื่อหลอกง่ายที่สุดเลย มีโอกาสสูงที่ต้องจ่ายเงินเอายันต์วิญญาณนี่มา ช่างเถอะ ไม่เห็นฮวงโหไม่ตายใจ ฉันเห็นพวกเขามาถึงฮวงโหแล้ว ค่อยพูดกับพวกเขาดีๆ ละกัน คราวหลังจะได้ไม่ถูกหลอกอีก…แล้วก็หลวงจีนนั่น จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย! หลอกลวงกันเกินไป หลอกกระทั่งนักศึกษา! ทำให้เสียชื่อเสียงพุทธศาสนา น่ารังเกียจจริงๆ!’

จ้าวต้าถงตรวจดูว่ายันต์ยังอยู่ดีแล้วจึงรีบตอบกลับ “ไต้ซือ เรียบร้อยแล้วครับ ต้องให้พวกเราหลบไหมครับ?”

ฟางเจิ้งขบคิด ตอนใช้อภินิหารก็ไม่เห็นมีอะไรโผล่มา แน่นอนว่าไม่ต้องหลบ จึงตอบไปว่า “ไม่ต้อง”

พูดจบ ฟางเจิ้งนั่งใต้ต้นโพธิ์ สวดอมิตาพุทธเงียบๆ ประนมสองมือ รวมสมาธิเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนจิตใจ เขาสัมผัสถึงการขานรับจากไกลๆ ก่อนขยายความคิดไปตามการขานรับนั้น

โครม!

เกิดเสียงดังสนั่น!

ฟางเจิ้งรู้สึกว่าความมืดมิดรอบตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ มาปรากฏอยู่กลางเมืองแปลกตา!

ตึกสูงใหญ่เจริญรุ่งเรือง ข้างหลังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นักศึกษสัญจรไปมาเป็นกลุ่ม ตรงหน้าเป็นถนนสายหนึ่ง บนถนนมีรถเล็กรถใหญ่แล่นผ่าน…

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+