บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 29

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 29 วัดเล็กแขกรังแก
ได้ยินเพียงเสียงโครมดังสนั่น ฟางเจิ้งถึงได้สติกลับมา แต่เจียงถิงกลับตกใจจากท่าทีได้สติของฟางเจิ้ง หลวงจีนที่ก่อนหน้านี้อบอุ่นและนอบน้อม ทำไมครู่ต่อมาถึงค้าง อยู่กับที่ พอได้สติมาแล้วยังใช้ความรุนแรงแบบนี้อีก?
ฟางเจิ้งรู้ว่าทำให้คนตกใจจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ยกฝ่ามือขึ้นโค้งตัว “อุบาสิกา ขอโทษด้วย อาตมาใจไม่อยู่กับตัว”
“เป็นอะไรถิงถิง? หลวงจีนนี่รังแกเธอเหรอ?” ตอนนี้เองเสียงหลูเสียวอ่าดังแว่วมา
ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าพั่งจื่อ โหวจื่อ หลูเสียวอ่าและหร่วนอิ่งเข้าไปในวัดแล้ว เหลือเพียงเจียงถิงที่อยู่ที่นี่ พอได้ยินเสียงดังหลูเสียวอ่าจึงมองมา
เจียงถิงรีบตอบกลับ “ไม่มีอะไร”
“อ่า ไม่มีอะไรก็ดี รีบมาเถอะ ถึงวัดนี่จะเล็ก แต่ก็สะอาดมากนะ” หลูเสียวอ่าว่า
เจียงถิงขานรับ เตรียมจะเดินไป
แม้ฟางเจิ้งจะไม่ชอบโหวจื่อกับพั่งจื่อ แต่ภาพเมื่อครู่สร้างความตกใจมากเกินไปจริงๆ ทั้งยังนองเลือด! ต่อให้สองคนนี้ปากไม่ดีก็ไม่สมควรตาย
พอนึกถึงตรงนี้ฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น “อุบาสิกา ฟังอาตมาสักหน่อยได้ไหม?”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่เชื่อพุทธ” เจียงถิงขอโทษแล้ววิ่งไป คนโง่ก็มองออก ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อพุทธ แต่ไม่เชื่อฟางเจิ้งต่างหาก! มองว่าฟางเจิ้งเป็นคนโกหกจริงๆ

ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เหตุและผลให้ฟ้าลิขิต ทุกคนมีเกิดและตาย ฉันเองก็เปลี่ยนอนาคตไม่ได้ตลอดหรอก” พูดจบฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อเดินไปหลังลาน
แต่ยิ่งฟางเจิ้งไม่อยากสนใจมากเท่าไร ภาพในความคิดเมื่อครู่ยิ่งขยับวูบวาบขึ้นมาไม่หยุด ไม่ว่าจะสวดมนต์หรือเดินเล่นก็ลบภาพนั้นออกจากหัวไม่ได้ โดยเฉพาะจะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าดังมาจากข้างนอกตลอด มันยิ่งทำให้เขานั่งไม่ติดพื้น…
“ถิงถิง เธอบอกว่าเมื่อกี้หลวงจีนนั่นเหมือนเป็นบ้าเหรอ พอเธอเรียกแล้วก็ทุบกำแพงใช่ไหม? ฮ่าๆ ไม่เจ็บรึไง? ฉันได้ยินเสียงแล้วเหมือนกับฟ้าผ่าเลย” หลูเสียวอ่า เม้มปากหัวเราะ
เจียงถิงมองค้อนเธอแวบหนึ่ง “อย่าพูดมั่วหน่า”
“ได้ๆๆ ไม่พูดแล้ว ไป ไปดูประตูเหล็กที่หลวงจีนนั่นทุบกัน เสียงดังขนาดนั้น ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าประตูใหญ่จะเป็นยังไง” หลูเสียวอ่าหัวเราะคิกๆ ก่อนดึงเจียงถิงเดินไปที่ประตู
กลางอุโบสถ พั่งจื่อ โหวจื่อและหร่วนอิ่งกำลังพิจารณาพระโพธิสัตว์กวนอิม กุมารทอง กุมารีหยกแล้วก็เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตู
พั่งจื่อเอ่ยขึ้น “โหวจื่อ นายเคยเห็นเทวรูปที่สมจริงแบบนี้มาก่อนรึเปล่า? พระโพธิสัตว์กวนอิมก็สมจริงอย่างกับคนจริงๆ แล้วนายดูกุมารีหยกนั่นสวยมาก”
“พั่งจื่อ ที่นี่วัดนะ อย่าพูดจาซี้ซั้ว!” หร่วนอิ่งต่อว่า
พั่งจื่อเกาหัวอย่างเก้อเขิน “รู้แล้วๆ อีกอย่างฉันไม่ได้พูดดูหมิ่นพระโพธิสัตว์สักหน่อย แค่พูดความจริงเท่านั้น”
โหวจื่อเสริม “ถูก ฉันไปมาไม่รู้กี่วัดแล้ว เทวรูปสมจริงแบบนี้ยังไม่เคยเห็นจริงๆ อีกอย่างพวกเธอดู เทวรูปพวกนี้ไม่มีฝุ่นเลย”
หร่วนอิ่ง “หลวงจีนนั่นก็สะอาด เดาว่าน่าจะมีนิสัยรักสะอาดจนเกินไป”
โหวจื่อพยักหน้า “เป็นไปได้ แต่ทำความสะอาดวัดจนเอี่ยมอ่องขนาดนี้ ก็ดูเหมือนของจริงเหมือนกันนะ ก็คงต้องใช้ใจแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่หลวงจีนปลอมก็ได้…”
พั่งจื่อ “บ่ะ! ฉันว่าแล้วทำไมรู้สึกว่าที่นี่ขาดอะไรไป พวกเธอเห็นกล่องบริจาคไหม?”
“กล่องบริจาคอะไร?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อตอบ “ก็กล่องบริจาคไว้ใส่เงินที่จะวางไว้หน้าประตูวัดหรือไม่ก็หน้าโต๊ะบูชาไง”
หร่วนอิ่งส่ายหน้า “ไม่เห็นนะ”
โหวจื่อ “ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
“หรือว่าวัดนี้จะไม่เก็บเงินบริจาคธูป?” พั่งจื่อว่า
โหวจื่อหัวเราะ “นายคิดมากไปแล้ว ตรงประตูวัดก็มีป้ายบอกนี่ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีสองร้อย! ราคานี้ไม่ถูกเลยนะ”
“เฮอะ ฉันก็คิดว่าหลวงจีนนี่จะไม่หาประโยชน์ซะอีก ดูแล้วคงเป็นหลวงจีนปลอม” พั่งจื่อเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าร้องด้วยความตกใจ “พั่งจื่อ พี่โหวมานี่เร็ว!”
พั่งจื่อกับโหวจื่อได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าเรียกด้วยความร้อนรนเล็กน้อยจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “แย่แล้ว!”

โหวจื่อวิ่งออกไปข้างนอก พั่งจื่อวิ่งช้า แต่ก็ตะโกนเสียงดัง “ไอ้ลาหัวล้าน ถ้าแกกล้าทำอะไรเสียวอ่าล่ะก็ ฉันจะเผาวัดแกซะ!”
ฟางเจิ้งที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขอยู่หลังวัดได้ยินเสียงตะโกนก็ตกใจสะดุ้ง บ่นในใจ ‘คนพวกนี้ทำอะไรกัน?’
ดังนั้นถึงออกไปดู
โหวจื่อ พั่งจื่อ หร่วนอิ่งวิ่งออกมาจากอุโบสถก็เห็นหลูเสียวอ่ากับเจียงถิงยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ จ้องประตูเหล็กที่เปิดอ้าไว้ครึ่งบาน
เห็นสองคนไม่เป็นไร โหวจื่อกับพั่งจื่อและหร่วนอิ่งถึงถอนหายใจโล่งอก
โหวจื่อ “อะไร? ทำเอาฉันตกใจแทบแย่”
พั่งจื่อ “ใช่…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกนายดูนี่ ประตูเหล็ก!” หลูเสียวอ่าชี้ประตูเหล็ก
สามคนมองไปตามมือหลูเสียวอ่า โหวจื่อพลันสูดลมหายใจหนาวเยือก! บนประตูเหล็กใหญ่สีแดงมีรอยฝ่ามือชัดเจนรอยหนึ่ง! รอยมือนั้นมีลายเส้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง!
“เสียวอ่า เธอชี้รอยมือทำไมเหรอ?” พั่งจื่อถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หลูเสียวอ่ายิ้มเฝื่อน “ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นรอยอยู่แล้วเหมือนกัน ถิงถิงมาอธิบายที”
เจียงถิงเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังว่าจู่ๆ ฟางเจิ้งก็เหมือนปีศาจ ตบมือใส่ประตูเหล็ก จากนั้นก็มีรอยมือนี้ขึ้นมา พั่งจื่อกับหร่วนอิ่งตกใจเหมือนกัน หร่วนอิ่งว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? คนจะมีพละกำลังขนาดนั้นได้ยังไง?”
พั่งจื่อมองบน “พูดอะไรอย่างนั้น? ต่อให้เป็นคนตายก็ไม่มีทางมีกำลังแบบนี้หรอก?”
“พวกเธอสองคนอย่าเพิ่งพูด มันทำให้ฉันกลัวนะ” หลูเสียวอ่าตัวสั่น พูดขึ้นด้วยความกลัว
พั่งจื่อ “ฉันว่านะคงจะมีรอยมืออยู่ก่อนแล้ว แค่ทุกคนไม่เห็นก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่” ตอนนี้เองโหวจื่อที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น
“โหวจื่อ ไม่ใช่อะไร?” พั่งจื่อถาม
โหวจื่อ “ตอนเข้าประตูมาฉันมองประตูนี่อย่างดีแล้ว ยังพูดเล่นอยู่เลยว่ามันหนาดี ถึงฉันจะไม่ใช่คนชกต่อยเก่งอะไร แต่ดูจากสายตาพวกเธอก็น่าจะรู้แล้วว่านี่ มันละเอียดมาก ตอนเข้ามาบนประตูเหล็กไม่มีรอยฝ่ามืออะไรทั้งนั้น! ฉันกล้ารับประกัน อีกอย่างฉันเห็นข้างหลังประตูเหล็กมีรอยฝ่ามือนูนออกมาด้วย ข้างในไม่ได้กลวง แต่เป็นเหล็กกล้า…”
“โหวจื่อ นายหมายความว่าหลวงจีนนั่นตบประตูเหล็กนี่จริงๆ เหรอ?” พั่งจื่อตกใจกลัว จากนั้นก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ถ้าอย่างนั้นที่ฉันตะโกนไป เมื่อกี้นี้ หลวงจีนโหดนั่นจะได้ยินรึเปล่า?”
“พูดอะไรเหรอ?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อพูดเหมือนจะร้องไห้ “คือฉันตะโกนว่าจะเผาวัดน่ะ” พั่งจื่อนึกถึง ความฉุนเฉียวของหลวงจีนนั่น นึกถึงภาพที่อีกฝ่ายตบประตูก็ตัวสั่นเทิ้ม ไม่มีความเหี้ยมโหดเหมือนก่อนหน้าเลย
หร่วนอิ่งยิ้มแห้ง “เมื่อกี้จะได้ยินรึเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องได้ยินแล้วแน่ๆ” พูดจบก็มองไปข้างหลังพั่งจื่อ
พั่งจื่อหมุนตัวกลับเนิบๆ เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มสุภาพ ไม่มีท่าทีโกรธแม้แต่น้อย แต่พั่งจื่อรู้สึกว่ารอยยิ้มอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เป็นรอยยิ้มปลอมๆ ของจิ้งจอก ไม่แน่ว่าในใจอาจกำลังคิดหาโอกาสทุบตีเขาให้ตายอยู่ก็ได้ พั่งจื่อจึงขยับไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 29

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 29 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 29 วัดเล็กแขกรังแก
ได้ยินเพียงเสียงโครมดังสนั่น ฟางเจิ้งถึงได้สติกลับมา แต่เจียงถิงกลับตกใจจากท่าทีได้สติของฟางเจิ้ง หลวงจีนที่ก่อนหน้านี้อบอุ่นและนอบน้อม ทำไมครู่ต่อมาถึงค้าง อยู่กับที่ พอได้สติมาแล้วยังใช้ความรุนแรงแบบนี้อีก?
ฟางเจิ้งรู้ว่าทำให้คนตกใจจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ยกฝ่ามือขึ้นโค้งตัว “อุบาสิกา ขอโทษด้วย อาตมาใจไม่อยู่กับตัว”
“เป็นอะไรถิงถิง? หลวงจีนนี่รังแกเธอเหรอ?” ตอนนี้เองเสียงหลูเสียวอ่าดังแว่วมา
ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าพั่งจื่อ โหวจื่อ หลูเสียวอ่าและหร่วนอิ่งเข้าไปในวัดแล้ว เหลือเพียงเจียงถิงที่อยู่ที่นี่ พอได้ยินเสียงดังหลูเสียวอ่าจึงมองมา
เจียงถิงรีบตอบกลับ “ไม่มีอะไร”
“อ่า ไม่มีอะไรก็ดี รีบมาเถอะ ถึงวัดนี่จะเล็ก แต่ก็สะอาดมากนะ” หลูเสียวอ่าว่า
เจียงถิงขานรับ เตรียมจะเดินไป
แม้ฟางเจิ้งจะไม่ชอบโหวจื่อกับพั่งจื่อ แต่ภาพเมื่อครู่สร้างความตกใจมากเกินไปจริงๆ ทั้งยังนองเลือด! ต่อให้สองคนนี้ปากไม่ดีก็ไม่สมควรตาย
พอนึกถึงตรงนี้ฟางเจิ้งเอ่ยขึ้น “อุบาสิกา ฟังอาตมาสักหน่อยได้ไหม?”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่เชื่อพุทธ” เจียงถิงขอโทษแล้ววิ่งไป คนโง่ก็มองออก ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อพุทธ แต่ไม่เชื่อฟางเจิ้งต่างหาก! มองว่าฟางเจิ้งเป็นคนโกหกจริงๆ

ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อน ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เหตุและผลให้ฟ้าลิขิต ทุกคนมีเกิดและตาย ฉันเองก็เปลี่ยนอนาคตไม่ได้ตลอดหรอก” พูดจบฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อเดินไปหลังลาน
แต่ยิ่งฟางเจิ้งไม่อยากสนใจมากเท่าไร ภาพในความคิดเมื่อครู่ยิ่งขยับวูบวาบขึ้นมาไม่หยุด ไม่ว่าจะสวดมนต์หรือเดินเล่นก็ลบภาพนั้นออกจากหัวไม่ได้ โดยเฉพาะจะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าดังมาจากข้างนอกตลอด มันยิ่งทำให้เขานั่งไม่ติดพื้น…
“ถิงถิง เธอบอกว่าเมื่อกี้หลวงจีนนั่นเหมือนเป็นบ้าเหรอ พอเธอเรียกแล้วก็ทุบกำแพงใช่ไหม? ฮ่าๆ ไม่เจ็บรึไง? ฉันได้ยินเสียงแล้วเหมือนกับฟ้าผ่าเลย” หลูเสียวอ่า เม้มปากหัวเราะ
เจียงถิงมองค้อนเธอแวบหนึ่ง “อย่าพูดมั่วหน่า”
“ได้ๆๆ ไม่พูดแล้ว ไป ไปดูประตูเหล็กที่หลวงจีนนั่นทุบกัน เสียงดังขนาดนั้น ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าประตูใหญ่จะเป็นยังไง” หลูเสียวอ่าหัวเราะคิกๆ ก่อนดึงเจียงถิงเดินไปที่ประตู
กลางอุโบสถ พั่งจื่อ โหวจื่อและหร่วนอิ่งกำลังพิจารณาพระโพธิสัตว์กวนอิม กุมารทอง กุมารีหยกแล้วก็เทวรูปพระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตู
พั่งจื่อเอ่ยขึ้น “โหวจื่อ นายเคยเห็นเทวรูปที่สมจริงแบบนี้มาก่อนรึเปล่า? พระโพธิสัตว์กวนอิมก็สมจริงอย่างกับคนจริงๆ แล้วนายดูกุมารีหยกนั่นสวยมาก”
“พั่งจื่อ ที่นี่วัดนะ อย่าพูดจาซี้ซั้ว!” หร่วนอิ่งต่อว่า
พั่งจื่อเกาหัวอย่างเก้อเขิน “รู้แล้วๆ อีกอย่างฉันไม่ได้พูดดูหมิ่นพระโพธิสัตว์สักหน่อย แค่พูดความจริงเท่านั้น”
โหวจื่อเสริม “ถูก ฉันไปมาไม่รู้กี่วัดแล้ว เทวรูปสมจริงแบบนี้ยังไม่เคยเห็นจริงๆ อีกอย่างพวกเธอดู เทวรูปพวกนี้ไม่มีฝุ่นเลย”
หร่วนอิ่ง “หลวงจีนนั่นก็สะอาด เดาว่าน่าจะมีนิสัยรักสะอาดจนเกินไป”
โหวจื่อพยักหน้า “เป็นไปได้ แต่ทำความสะอาดวัดจนเอี่ยมอ่องขนาดนี้ ก็ดูเหมือนของจริงเหมือนกันนะ ก็คงต้องใช้ใจแล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่หลวงจีนปลอมก็ได้…”
พั่งจื่อ “บ่ะ! ฉันว่าแล้วทำไมรู้สึกว่าที่นี่ขาดอะไรไป พวกเธอเห็นกล่องบริจาคไหม?”
“กล่องบริจาคอะไร?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อตอบ “ก็กล่องบริจาคไว้ใส่เงินที่จะวางไว้หน้าประตูวัดหรือไม่ก็หน้าโต๊ะบูชาไง”
หร่วนอิ่งส่ายหน้า “ไม่เห็นนะ”
โหวจื่อ “ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
“หรือว่าวัดนี้จะไม่เก็บเงินบริจาคธูป?” พั่งจื่อว่า
โหวจื่อหัวเราะ “นายคิดมากไปแล้ว ตรงประตูวัดก็มีป้ายบอกนี่ ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีสองร้อย! ราคานี้ไม่ถูกเลยนะ”
“เฮอะ ฉันก็คิดว่าหลวงจีนนี่จะไม่หาประโยชน์ซะอีก ดูแล้วคงเป็นหลวงจีนปลอม” พั่งจื่อเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าร้องด้วยความตกใจ “พั่งจื่อ พี่โหวมานี่เร็ว!”
พั่งจื่อกับโหวจื่อได้ยินเสียงหลูเสียวอ่าเรียกด้วยความร้อนรนเล็กน้อยจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “แย่แล้ว!”

โหวจื่อวิ่งออกไปข้างนอก พั่งจื่อวิ่งช้า แต่ก็ตะโกนเสียงดัง “ไอ้ลาหัวล้าน ถ้าแกกล้าทำอะไรเสียวอ่าล่ะก็ ฉันจะเผาวัดแกซะ!”
ฟางเจิ้งที่กำลังนั่งไม่เป็นสุขอยู่หลังวัดได้ยินเสียงตะโกนก็ตกใจสะดุ้ง บ่นในใจ ‘คนพวกนี้ทำอะไรกัน?’
ดังนั้นถึงออกไปดู
โหวจื่อ พั่งจื่อ หร่วนอิ่งวิ่งออกมาจากอุโบสถก็เห็นหลูเสียวอ่ากับเจียงถิงยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ จ้องประตูเหล็กที่เปิดอ้าไว้ครึ่งบาน
เห็นสองคนไม่เป็นไร โหวจื่อกับพั่งจื่อและหร่วนอิ่งถึงถอนหายใจโล่งอก
โหวจื่อ “อะไร? ทำเอาฉันตกใจแทบแย่”
พั่งจื่อ “ใช่…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกนายดูนี่ ประตูเหล็ก!” หลูเสียวอ่าชี้ประตูเหล็ก
สามคนมองไปตามมือหลูเสียวอ่า โหวจื่อพลันสูดลมหายใจหนาวเยือก! บนประตูเหล็กใหญ่สีแดงมีรอยฝ่ามือชัดเจนรอยหนึ่ง! รอยมือนั้นมีลายเส้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง!
“เสียวอ่า เธอชี้รอยมือทำไมเหรอ?” พั่งจื่อถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หลูเสียวอ่ายิ้มเฝื่อน “ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นรอยอยู่แล้วเหมือนกัน ถิงถิงมาอธิบายที”
เจียงถิงเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังว่าจู่ๆ ฟางเจิ้งก็เหมือนปีศาจ ตบมือใส่ประตูเหล็ก จากนั้นก็มีรอยมือนี้ขึ้นมา พั่งจื่อกับหร่วนอิ่งตกใจเหมือนกัน หร่วนอิ่งว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? คนจะมีพละกำลังขนาดนั้นได้ยังไง?”
พั่งจื่อมองบน “พูดอะไรอย่างนั้น? ต่อให้เป็นคนตายก็ไม่มีทางมีกำลังแบบนี้หรอก?”
“พวกเธอสองคนอย่าเพิ่งพูด มันทำให้ฉันกลัวนะ” หลูเสียวอ่าตัวสั่น พูดขึ้นด้วยความกลัว
พั่งจื่อ “ฉันว่านะคงจะมีรอยมืออยู่ก่อนแล้ว แค่ทุกคนไม่เห็นก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่” ตอนนี้เองโหวจื่อที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น
“โหวจื่อ ไม่ใช่อะไร?” พั่งจื่อถาม
โหวจื่อ “ตอนเข้าประตูมาฉันมองประตูนี่อย่างดีแล้ว ยังพูดเล่นอยู่เลยว่ามันหนาดี ถึงฉันจะไม่ใช่คนชกต่อยเก่งอะไร แต่ดูจากสายตาพวกเธอก็น่าจะรู้แล้วว่านี่ มันละเอียดมาก ตอนเข้ามาบนประตูเหล็กไม่มีรอยฝ่ามืออะไรทั้งนั้น! ฉันกล้ารับประกัน อีกอย่างฉันเห็นข้างหลังประตูเหล็กมีรอยฝ่ามือนูนออกมาด้วย ข้างในไม่ได้กลวง แต่เป็นเหล็กกล้า…”
“โหวจื่อ นายหมายความว่าหลวงจีนนั่นตบประตูเหล็กนี่จริงๆ เหรอ?” พั่งจื่อตกใจกลัว จากนั้นก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ถ้าอย่างนั้นที่ฉันตะโกนไป เมื่อกี้นี้ หลวงจีนโหดนั่นจะได้ยินรึเปล่า?”
“พูดอะไรเหรอ?” หร่วนอิ่งถาม
พั่งจื่อพูดเหมือนจะร้องไห้ “คือฉันตะโกนว่าจะเผาวัดน่ะ” พั่งจื่อนึกถึง ความฉุนเฉียวของหลวงจีนนั่น นึกถึงภาพที่อีกฝ่ายตบประตูก็ตัวสั่นเทิ้ม ไม่มีความเหี้ยมโหดเหมือนก่อนหน้าเลย
หร่วนอิ่งยิ้มแห้ง “เมื่อกี้จะได้ยินรึเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องได้ยินแล้วแน่ๆ” พูดจบก็มองไปข้างหลังพั่งจื่อ
พั่งจื่อหมุนตัวกลับเนิบๆ เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มสุภาพ ไม่มีท่าทีโกรธแม้แต่น้อย แต่พั่งจื่อรู้สึกว่ารอยยิ้มอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเจตนาร้าย เป็นรอยยิ้มปลอมๆ ของจิ้งจอก ไม่แน่ว่าในใจอาจกำลังคิดหาโอกาสทุบตีเขาให้ตายอยู่ก็ได้ พั่งจื่อจึงขยับไปข้างหลังโดยจิตใต้สำนึก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+