บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 277 อยากกินเนื้อ?

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 277 อยากกินเนื้อ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟางเจิ้งทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนแบบนี้ ด้วยความที่ไม่สนใจปล่อยให้ฟางเจิ้งเกเรมาหลายปี พอโตขึ้นก็ยังเอาแต่พ่นคำเหลวไหล ด่าทอคำหยาบ ถึงจะเข้าใจหลักปรัชญาและหลักการการเป็นคนบ้าง แต่เขาก็ยังเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ได้รับการศึกษาระดับสูง ต่อให้หลวงจีนหนึ่งนิ้วทำมากกว่านี้ หวังให้เขาตระหนักด้วยตัวเอง แล้วจะตระหนักได้สักเท่าไร? ส่วนที่ชื่นชมก็เพราะว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วให้วัยเด็กที่สนุกกับเขา อีกทั้งจิตใจดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็ยังเป็นเขา ยังคงเป็นฟางเจิ้ง!

ต่อให้ระบบโผล่มาอย่างกะทันหัน พันธนาการจำกัดเขา แต่ไม่นานก็กลายเป็นเฉยชา ด่าคนไม่ได้? ถึงฟางเจิ้งจะยังอารมณ์ร้อนเป็นบางครั้ง แต่การไม่ด่าคนเหมือนจะไม่ส่งผลถึงชีวิตเขา ส่วนการวางมาดไต้ซือต่อหน้าคนนั้น สำหรับเขาแล้วนั่นคือวิชาบังคับ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งเป็นไต้ซือที่ดี สั่งสมบุญกุศลเยอะๆ เพื่อจะได้สึกในเร็ววัน!

ฟางเจิ้งนึกถึงตัวเอง ก่อนมองเด็กแดงอีกครั้ง เขายิ่งมั่นใจทิศทางการสอนของตนมากกว่าเดิม เด็กแดงตอนนี้ร้ายกว่าเขาในตอนแรกอีก ดังนั้นจะต้องขัดเกลาอย่างเหมาะสม ทั้งยังต้องบังคับกดความคิดที่ว่าใครพูดไม่เข้าหูต้องฆ่าคนนั้นทิ้งลง จากนั้นค่อยๆ โน้มน้าว ใช้การกระทำและวาจาทำให้อีกฝ่ายตระหนัก ที่เหลือก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะตระหนักได้มากเท่าไร ตระหนักเร็วก็หลุดพ้นเร็ว ตระหนักช้าก็ฝังศพให้ฟางเจิ้งด้วยแล้วกัน…

พูดตามจริงคือฟางเจิ้งไม่มั่นใจเท่าไรจริงๆ ว่าจะกล่อมเกลาเด็กแดงที่โหดเหี้ยมคนนี้ได้…

มื้อกลางวัน เด็กแดงไม่กินเลย เอาแต่นั่งเหม่อ

“จิ้งซิน ทำไมไม่กินข้าว?” ฟางเจิ้งถาม

เด็กแดงเท้าคาง มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส “กินพอแล้ว ถึงจะไม่อ้วกก็เถอะ แต่ว่า…ข้าเบื่อพวกมันแล้ว ไม่เข้าใจพวกเจ้าจริงๆ กินของพวกนี้ทุกวันไม่เลี่ยนบ้างรึ ข้าวขาวผักเปื่อยยุ่ยพวกนี้จะไปอร่อยสู้เนื้อได้อย่างไร อาจารย์ ข้าเห็นนักบวชบนเขาคุนหลุนกินเนื้อได้ เหตุใดท่านถึงกินเนื้อไม่ได้? เจ้าคงไม่ได้ถูกปีศาจเฒ่านั่น…”

ฟางเจิ้ง “หืม?!”

เด็กแดงรีบเปลี่ยนคำทันที “ถูกพระโพธิสัตว์หลอกเอานะ?”

หมาป่าเดียวดายได้ยินดังว่าก็แอบมองฟางเจิ้ง ถึงข้าวผลึกจะอร่อย แต่หมาป่าเดียวดายก็ยังเป็นหมาป่า ยังมีความคิดถึงเนื้ออยู่นิดๆ

ฟางเจิ้งรู้ว่าหมาป่าเดียวดายต้องเคยคิดถึงปัญหานี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าถามเท่านั้น ในเมื่อวันนี้เด็กแดงเข้าประเด็น เขาจะไม่ถือสาตอบให้

ฟางเจิ้งวางตะเกียบลง นั่งตัวตรง “พวกนายรู้ไหมว่าทำไมนักบวชถึงไม่กินเนื้อ?”

เด็กแดงมองบน “ถ้ารู้จะถามเจ้าทำไม?”

ฟางเจิ้งไม่สนใจเด็กแดง แต่มองหมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอก เจ้าสามตัวนี้ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ฟางเจิ้งถึงเอ่ยต่อ “พุทธคัมภีร์ศีลเขียนไว้ให้เข้าใจมากกว่า พุทธศาสนาไม่มีกฎห้ามกินเจ แต่ห้ามกิน ‘อาหารคาว’ อาหารคาวที่ว่าไม่ใช่ความหมายในสมัยนี้ที่หมายถึงอาหารพวกสัตว์อย่างเช่นนกเป็ดปลาเนื้อ อาหารคาวที่พวกเราพูดถึงอยู่ตอนนี้เรียกว่า ‘กลิ่นคาว’ คำว่าอาหารคาวในพุทธคัมภีร์ไม่อ่านว่า ‘ฮุน’ แต่อ่านว่า ‘ซวิน’ ซึ่งมีความหมายว่ารมควัน หมายถึงผักสดที่มีกลิ่นควัน ดังนั้นอาหารคาวคืออะไรก็ตามที่มีกลิ่นเหม็นของผักสด พรหมชาลสูตรกล่าวไว้อย่างละเอียดว่า ‘พุทธสาวกห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดฉุนห้าอย่าง กระเทียม หอม หอมปรัง ผักกุยไช่ มหาหิงคุ์ นี่คืออาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดฉุนห้าอย่าง’ อาหารคาวก็คือผักห้าชนิดนี้ จำเอาไว้ อาหารรสเผ็ดฉุนห้าอย่างไม่ได้หมายถึงแค่ผักห้าชนิดนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงผักที่มีรสเผ็ดทั้งหมด ดังนั้นแล้ว แค่เป็นผักที่กระตุ้นความเผ็ดก็กินไม่ได้

คำว่าอาหารคาว (荤) เริ่มเขียนอักษรข้างบนจากคำว่าพืช (草) ไม่ได้เริ่มเขียนคำว่าเนื้อ(肉)จากด้านข้าง มันอธิบายความหมายดั้งเดิมในตัวคำว่าอาหารคาวแล้ว นั่นคือพืชไม่ใช่สัตว์ ดังนั้นนักบวชช่วงแรกถึงอนุญาตให้กินเนื้อได้ แต่ว่ามักจะมีข้อยกเว้น

เมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปีก่อน ถึงสมัยพระเจ้าเหลียงอู่เซียวเหยี่ยนแห่งราชวงศ์หนานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

เดิมทีเซียวเหยี่ยนเป็นพุทธศาสนิกชน เขาเชื่อพุทธถึงขั้นไหน? พูดได้ว่าเขาคิดหาทุกวิถีทางเพื่อออกบวช ไม่ต้องการอะไรในใต้หล้า ไม่ต้องการนางสนมสวยงาม ขอแค่ออกบวช ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ กระทั่งเรียกตัวเองว่า ‘ทาสพระรัตนตรัย’ และที่ยิ่งกว่านั้นคือเขามอบตัวให้กับวัดเพื่อเป็นนักบวชอย่างสงบ และก็เป็นวัดถงไท่ในตอนนั้น

ช่วยไม่ได้ สมัยนั้นคนที่ดูแลใต้หล้ามีเพียงจักรพรรดิ ไม่มีรองจักรพรรดิคอยจัดการข้าศึกยามจักรพรรดิสวดมนต์ เวลานั้นทั้งแคว้นปั่นป่วน เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างจนปัญญา ประชุมเล็กใหญ่กันนับครั้งไม่ถ้วน คิดไปคิดมา สุดท้ายคิดหาทางออกวิธีหนึ่ง นั่นคือไถ่ตัวจักรพรรดิ!

ฉะนั้นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงนำเงินส่งไปให้วัดถงไท่เพื่อไถ่จักรพรรดิเซียวเหยี่ยนคืนมา ทว่าจักรพรรดิท่านนี้เป็นดอกไม้งามน่าอัศจรรย์ เจ้าไถ่ตัวข้า? เช่นนั้นข้าจะสละตัวเองอีก! ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เล่นกับเขาด้วย ถ้าท่านสละตัวเองข้าก็จะไถ่ตัวอีก! ถึงอย่างไรเงินก็เป็นของแคว้น!

เป็นอย่างนี้ไป เป็นการเอาเปรียบวัดถงไถ่ วัดถงไท่เห็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง! ตอนนี้จักรพรรดิเชื่อพุทธศาสนา ขืนยอมแลกตัวจักรพรรดิด้วย ถ้าเขาไม่พอใจที่เห็นแก่เงินของเขา ไม่แน่อาจจะประหารพวกเขาได้ ด้วยความจำใจเซียวเหยี่ยนเลยได้เป็นนักบวช ใครก็ทำอะไรไม่ได้

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าเซียวเหยี่ยนมีความลุ่มหลงในพระธรรมขนาดไหน ต่อมาเขาได้อ่านจากในตำราว่าห้ามฆ่า เขาเลยตรึกตรอง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แค่ห้ามฆ่าอย่างเดียวไม่ได้ ไม่มีการค้าขายก็ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีคนกิน ใครจะฆ่า? ดังนั้นเขาจึงประกาศห้ามนักบวชในใต้หล้ากินเนื้อ ขณะเดียวกันก็ยกกฎนี้ขึ้นไปถึงบรรพบุรุษเทพเจ้าฟ้าดิน แต่ละองค์ต้องปฏิบัติตามแบบนักบวช พูดได้ว่าการเซ่นไหว้ฟ้าดิน เทพเจ้าและบรรพบุรุษนับจากนี้ไปจะไม่ใช่หัวหมูสามหัวแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นหัวหมูและเนื้อหมูที่ทำจากแป้ง

จากตอนนั้นมามีก็มีกนักบวชห้ามกินเนื้อ ทว่าราชวงศ์ใต้อยู่มาหลายปี ทั้งยังไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งแคว้น แรงผลกระทบจึงห่างไกลจากระดับไปถึงชนรุ่นหลัง

แต่ว่าต่อมาตอนที่จิวหมัวหลัวเซินแปลพุทธคัมภีร์ได้ใส่การห้ามกินเนื้อเข้าไปในข้อห้ามพระโพธิสัตว์ด้วย อีกทั้งข้อห้ามพระโพธิสัตว์เดิมได้หายสาบสูญไปนานแล้ว ชนรุ่นหลังจึงเห็นข้อห้ามพระโพธิสัตว์ที่จิวหมัวหลัวเซินแปลกันทั้งหมด แน่นอนว่าต้องเห็นข้อห้ามกินเนื้อ แต่ก็เพียงแค่ส่งเสริมเท่านั้น ไม่ใช่กฎบังคับ ถึงยังไงจิวหมัวหลัวเซินก็ยังแต่งงานมีลูก แต่ถึงกระนั้นกลับเป็นการเริ่มต้นป่าวประกาศครั้งใหญ่ แถมยังส่งผลกว้างมากด้วย

นักบวชกินเนื้อไม่ได้กลายเป็นกฎบังคับคือสมัยราชวงศ์ถังช่วงนิกายธยานะรุ่งเรืองสุดขีด ในศีลพุทธป่ายจ้างของนิกายธยานะมีกฎเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามนักบวชกินเนื้อ แต่ตอนเริ่มจะกำชับที่นักบวชยุทธ์ ต่อมานักบวชทุกรูปต้องทำตาม

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ นักบวชกินเนื้อได้หรือไม่จะปฏิบัติตามสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

พุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนิกายมหายานกับหินยาน นิกายมหายานคือจิตใจคำนึงคน ใช้การคำนึงตนเองเป็นวิธีการคำนึงถึงคนอื่น ดังนั้นจึงกินเนื้ออะไรไม่ได้เลย และนี่ก็เป็นทฤษฎีของเซียวเหยี่ยน ไม่กิน ก็ไม่มีการฆ่า

แต่นิกายหินยานขอให้คำนึงตัวเองไม่คำนึงถึงคนอื่น อนุญาตให้กิน ‘เนื้อบริสุทธิ์’ ได้สามอย่าง ‘สามเนื้อบริสุทธิ์’ หนึ่งคือมองไม่เห็นผู้ฆ่าเขา สองไม่รู้ผู้ฆ่าเพื่อเรา สามไม่สงสัยผู้ฆ่าเพื่อเรา

สำหรับคำว่า ‘ผู้ป่วยภิกษุ’ เมื่อนักบวชป่วย ก็ให้ดำเนินตามแนวทางมนุษยธรรม ดูแลเป็นพิเศษ จะกินเนื้ออะไรก็ได้ ตอนนี้นักบวชในประเทศอย่างเช่น อินเดียและศรีลังกา นักบวชจากชนเผ่ากลุ่มน้อยอย่างมองโกล ทิเบตหรือเผ่าไตในจีนล้วนอนุญาตให้กินเนื้อได้”

“อาจารย์ ฉันเข้าใจแล้ว พวกเราเป็นพุทธสาวกนิกายมหายานใช่ไหม? พวกเราต้องพาคนข้ามฟาก เลยกินเนื้อไม่ได้ใช่ไหม!” กระรอกยกกรงเล็บขึ้นถามเป็นคนแรก

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ 277 อยากกินเนื้อ?

Now you are reading บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ Chapter 277 อยากกินเนื้อ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟางเจิ้งทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนแบบนี้ ด้วยความที่ไม่สนใจปล่อยให้ฟางเจิ้งเกเรมาหลายปี พอโตขึ้นก็ยังเอาแต่พ่นคำเหลวไหล ด่าทอคำหยาบ ถึงจะเข้าใจหลักปรัชญาและหลักการการเป็นคนบ้าง แต่เขาก็ยังเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ได้รับการศึกษาระดับสูง ต่อให้หลวงจีนหนึ่งนิ้วทำมากกว่านี้ หวังให้เขาตระหนักด้วยตัวเอง แล้วจะตระหนักได้สักเท่าไร? ส่วนที่ชื่นชมก็เพราะว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วให้วัยเด็กที่สนุกกับเขา อีกทั้งจิตใจดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็ยังเป็นเขา ยังคงเป็นฟางเจิ้ง!

ต่อให้ระบบโผล่มาอย่างกะทันหัน พันธนาการจำกัดเขา แต่ไม่นานก็กลายเป็นเฉยชา ด่าคนไม่ได้? ถึงฟางเจิ้งจะยังอารมณ์ร้อนเป็นบางครั้ง แต่การไม่ด่าคนเหมือนจะไม่ส่งผลถึงชีวิตเขา ส่วนการวางมาดไต้ซือต่อหน้าคนนั้น สำหรับเขาแล้วนั่นคือวิชาบังคับ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งเป็นไต้ซือที่ดี สั่งสมบุญกุศลเยอะๆ เพื่อจะได้สึกในเร็ววัน!

ฟางเจิ้งนึกถึงตัวเอง ก่อนมองเด็กแดงอีกครั้ง เขายิ่งมั่นใจทิศทางการสอนของตนมากกว่าเดิม เด็กแดงตอนนี้ร้ายกว่าเขาในตอนแรกอีก ดังนั้นจะต้องขัดเกลาอย่างเหมาะสม ทั้งยังต้องบังคับกดความคิดที่ว่าใครพูดไม่เข้าหูต้องฆ่าคนนั้นทิ้งลง จากนั้นค่อยๆ โน้มน้าว ใช้การกระทำและวาจาทำให้อีกฝ่ายตระหนัก ที่เหลือก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะตระหนักได้มากเท่าไร ตระหนักเร็วก็หลุดพ้นเร็ว ตระหนักช้าก็ฝังศพให้ฟางเจิ้งด้วยแล้วกัน…

พูดตามจริงคือฟางเจิ้งไม่มั่นใจเท่าไรจริงๆ ว่าจะกล่อมเกลาเด็กแดงที่โหดเหี้ยมคนนี้ได้…

มื้อกลางวัน เด็กแดงไม่กินเลย เอาแต่นั่งเหม่อ

“จิ้งซิน ทำไมไม่กินข้าว?” ฟางเจิ้งถาม

เด็กแดงเท้าคาง มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส “กินพอแล้ว ถึงจะไม่อ้วกก็เถอะ แต่ว่า…ข้าเบื่อพวกมันแล้ว ไม่เข้าใจพวกเจ้าจริงๆ กินของพวกนี้ทุกวันไม่เลี่ยนบ้างรึ ข้าวขาวผักเปื่อยยุ่ยพวกนี้จะไปอร่อยสู้เนื้อได้อย่างไร อาจารย์ ข้าเห็นนักบวชบนเขาคุนหลุนกินเนื้อได้ เหตุใดท่านถึงกินเนื้อไม่ได้? เจ้าคงไม่ได้ถูกปีศาจเฒ่านั่น…”

ฟางเจิ้ง “หืม?!”

เด็กแดงรีบเปลี่ยนคำทันที “ถูกพระโพธิสัตว์หลอกเอานะ?”

หมาป่าเดียวดายได้ยินดังว่าก็แอบมองฟางเจิ้ง ถึงข้าวผลึกจะอร่อย แต่หมาป่าเดียวดายก็ยังเป็นหมาป่า ยังมีความคิดถึงเนื้ออยู่นิดๆ

ฟางเจิ้งรู้ว่าหมาป่าเดียวดายต้องเคยคิดถึงปัญหานี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าถามเท่านั้น ในเมื่อวันนี้เด็กแดงเข้าประเด็น เขาจะไม่ถือสาตอบให้

ฟางเจิ้งวางตะเกียบลง นั่งตัวตรง “พวกนายรู้ไหมว่าทำไมนักบวชถึงไม่กินเนื้อ?”

เด็กแดงมองบน “ถ้ารู้จะถามเจ้าทำไม?”

ฟางเจิ้งไม่สนใจเด็กแดง แต่มองหมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอก เจ้าสามตัวนี้ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ฟางเจิ้งถึงเอ่ยต่อ “พุทธคัมภีร์ศีลเขียนไว้ให้เข้าใจมากกว่า พุทธศาสนาไม่มีกฎห้ามกินเจ แต่ห้ามกิน ‘อาหารคาว’ อาหารคาวที่ว่าไม่ใช่ความหมายในสมัยนี้ที่หมายถึงอาหารพวกสัตว์อย่างเช่นนกเป็ดปลาเนื้อ อาหารคาวที่พวกเราพูดถึงอยู่ตอนนี้เรียกว่า ‘กลิ่นคาว’ คำว่าอาหารคาวในพุทธคัมภีร์ไม่อ่านว่า ‘ฮุน’ แต่อ่านว่า ‘ซวิน’ ซึ่งมีความหมายว่ารมควัน หมายถึงผักสดที่มีกลิ่นควัน ดังนั้นอาหารคาวคืออะไรก็ตามที่มีกลิ่นเหม็นของผักสด พรหมชาลสูตรกล่าวไว้อย่างละเอียดว่า ‘พุทธสาวกห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดฉุนห้าอย่าง กระเทียม หอม หอมปรัง ผักกุยไช่ มหาหิงคุ์ นี่คืออาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดฉุนห้าอย่าง’ อาหารคาวก็คือผักห้าชนิดนี้ จำเอาไว้ อาหารรสเผ็ดฉุนห้าอย่างไม่ได้หมายถึงแค่ผักห้าชนิดนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงผักที่มีรสเผ็ดทั้งหมด ดังนั้นแล้ว แค่เป็นผักที่กระตุ้นความเผ็ดก็กินไม่ได้

คำว่าอาหารคาว (荤) เริ่มเขียนอักษรข้างบนจากคำว่าพืช (草) ไม่ได้เริ่มเขียนคำว่าเนื้อ(肉)จากด้านข้าง มันอธิบายความหมายดั้งเดิมในตัวคำว่าอาหารคาวแล้ว นั่นคือพืชไม่ใช่สัตว์ ดังนั้นนักบวชช่วงแรกถึงอนุญาตให้กินเนื้อได้ แต่ว่ามักจะมีข้อยกเว้น

เมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปีก่อน ถึงสมัยพระเจ้าเหลียงอู่เซียวเหยี่ยนแห่งราชวงศ์หนานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

เดิมทีเซียวเหยี่ยนเป็นพุทธศาสนิกชน เขาเชื่อพุทธถึงขั้นไหน? พูดได้ว่าเขาคิดหาทุกวิถีทางเพื่อออกบวช ไม่ต้องการอะไรในใต้หล้า ไม่ต้องการนางสนมสวยงาม ขอแค่ออกบวช ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ กระทั่งเรียกตัวเองว่า ‘ทาสพระรัตนตรัย’ และที่ยิ่งกว่านั้นคือเขามอบตัวให้กับวัดเพื่อเป็นนักบวชอย่างสงบ และก็เป็นวัดถงไท่ในตอนนั้น

ช่วยไม่ได้ สมัยนั้นคนที่ดูแลใต้หล้ามีเพียงจักรพรรดิ ไม่มีรองจักรพรรดิคอยจัดการข้าศึกยามจักรพรรดิสวดมนต์ เวลานั้นทั้งแคว้นปั่นป่วน เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างจนปัญญา ประชุมเล็กใหญ่กันนับครั้งไม่ถ้วน คิดไปคิดมา สุดท้ายคิดหาทางออกวิธีหนึ่ง นั่นคือไถ่ตัวจักรพรรดิ!

ฉะนั้นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงนำเงินส่งไปให้วัดถงไท่เพื่อไถ่จักรพรรดิเซียวเหยี่ยนคืนมา ทว่าจักรพรรดิท่านนี้เป็นดอกไม้งามน่าอัศจรรย์ เจ้าไถ่ตัวข้า? เช่นนั้นข้าจะสละตัวเองอีก! ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เล่นกับเขาด้วย ถ้าท่านสละตัวเองข้าก็จะไถ่ตัวอีก! ถึงอย่างไรเงินก็เป็นของแคว้น!

เป็นอย่างนี้ไป เป็นการเอาเปรียบวัดถงไถ่ วัดถงไท่เห็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง! ตอนนี้จักรพรรดิเชื่อพุทธศาสนา ขืนยอมแลกตัวจักรพรรดิด้วย ถ้าเขาไม่พอใจที่เห็นแก่เงินของเขา ไม่แน่อาจจะประหารพวกเขาได้ ด้วยความจำใจเซียวเหยี่ยนเลยได้เป็นนักบวช ใครก็ทำอะไรไม่ได้

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าเซียวเหยี่ยนมีความลุ่มหลงในพระธรรมขนาดไหน ต่อมาเขาได้อ่านจากในตำราว่าห้ามฆ่า เขาเลยตรึกตรอง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แค่ห้ามฆ่าอย่างเดียวไม่ได้ ไม่มีการค้าขายก็ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีคนกิน ใครจะฆ่า? ดังนั้นเขาจึงประกาศห้ามนักบวชในใต้หล้ากินเนื้อ ขณะเดียวกันก็ยกกฎนี้ขึ้นไปถึงบรรพบุรุษเทพเจ้าฟ้าดิน แต่ละองค์ต้องปฏิบัติตามแบบนักบวช พูดได้ว่าการเซ่นไหว้ฟ้าดิน เทพเจ้าและบรรพบุรุษนับจากนี้ไปจะไม่ใช่หัวหมูสามหัวแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นหัวหมูและเนื้อหมูที่ทำจากแป้ง

จากตอนนั้นมามีก็มีกนักบวชห้ามกินเนื้อ ทว่าราชวงศ์ใต้อยู่มาหลายปี ทั้งยังไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งแคว้น แรงผลกระทบจึงห่างไกลจากระดับไปถึงชนรุ่นหลัง

แต่ว่าต่อมาตอนที่จิวหมัวหลัวเซินแปลพุทธคัมภีร์ได้ใส่การห้ามกินเนื้อเข้าไปในข้อห้ามพระโพธิสัตว์ด้วย อีกทั้งข้อห้ามพระโพธิสัตว์เดิมได้หายสาบสูญไปนานแล้ว ชนรุ่นหลังจึงเห็นข้อห้ามพระโพธิสัตว์ที่จิวหมัวหลัวเซินแปลกันทั้งหมด แน่นอนว่าต้องเห็นข้อห้ามกินเนื้อ แต่ก็เพียงแค่ส่งเสริมเท่านั้น ไม่ใช่กฎบังคับ ถึงยังไงจิวหมัวหลัวเซินก็ยังแต่งงานมีลูก แต่ถึงกระนั้นกลับเป็นการเริ่มต้นป่าวประกาศครั้งใหญ่ แถมยังส่งผลกว้างมากด้วย

นักบวชกินเนื้อไม่ได้กลายเป็นกฎบังคับคือสมัยราชวงศ์ถังช่วงนิกายธยานะรุ่งเรืองสุดขีด ในศีลพุทธป่ายจ้างของนิกายธยานะมีกฎเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามนักบวชกินเนื้อ แต่ตอนเริ่มจะกำชับที่นักบวชยุทธ์ ต่อมานักบวชทุกรูปต้องทำตาม

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ นักบวชกินเนื้อได้หรือไม่จะปฏิบัติตามสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

พุทธศาสนาแบ่งออกเป็นนิกายมหายานกับหินยาน นิกายมหายานคือจิตใจคำนึงคน ใช้การคำนึงตนเองเป็นวิธีการคำนึงถึงคนอื่น ดังนั้นจึงกินเนื้ออะไรไม่ได้เลย และนี่ก็เป็นทฤษฎีของเซียวเหยี่ยน ไม่กิน ก็ไม่มีการฆ่า

แต่นิกายหินยานขอให้คำนึงตัวเองไม่คำนึงถึงคนอื่น อนุญาตให้กิน ‘เนื้อบริสุทธิ์’ ได้สามอย่าง ‘สามเนื้อบริสุทธิ์’ หนึ่งคือมองไม่เห็นผู้ฆ่าเขา สองไม่รู้ผู้ฆ่าเพื่อเรา สามไม่สงสัยผู้ฆ่าเพื่อเรา

สำหรับคำว่า ‘ผู้ป่วยภิกษุ’ เมื่อนักบวชป่วย ก็ให้ดำเนินตามแนวทางมนุษยธรรม ดูแลเป็นพิเศษ จะกินเนื้ออะไรก็ได้ ตอนนี้นักบวชในประเทศอย่างเช่น อินเดียและศรีลังกา นักบวชจากชนเผ่ากลุ่มน้อยอย่างมองโกล ทิเบตหรือเผ่าไตในจีนล้วนอนุญาตให้กินเนื้อได้”

“อาจารย์ ฉันเข้าใจแล้ว พวกเราเป็นพุทธสาวกนิกายมหายานใช่ไหม? พวกเราต้องพาคนข้ามฟาก เลยกินเนื้อไม่ได้ใช่ไหม!” กระรอกยกกรงเล็บขึ้นถามเป็นคนแรก

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+