วาสนาบันดาลรัก 208

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 208 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลัวเทียนเฉิงหมุนกายกลับไปอย่างรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “อาหู่ โลกภายนอกมิได้ดีอย่างที่เจ้าคิดดอก”

 

 

อาหู่เก็บข้าวของอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เขานำมาเพียงห่อสัมภาระเล็กๆ ห่อหนึ่งเท่านั้น ดูเผินๆคล้ายสัมภาระห่อเสื้อผ้าไปอาบน้ำเท่านั้น เมื่ออาหู่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้ามิเคยไปข้างนอกนั้นเลย จึงมิเคยคิดว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“เจ้ากลับไปตอนนี้ยังทัน หากตามเรามาอาจจะพบกับอันตรายก็เป็นได้” หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง เหตุใดจึงต้องมาพบกับคนโง่งมที่พูดอย่างไรก็มินำพาถึงเพียงนี้

 

 

อาหู่ตบหน้าอกตนคราหนึ่ง “แม้นหมีตาบอดข้าก็มิกลัว!”

 

 

ต่อมากลับทำหน้าตาสลด “พวกเจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้า มิอาจกลับคำรู้หรือไม่!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอยากจะชกปากตนเองเหลือเกิน

 

 

ก่อนจากมาเขานำเงินไปให้จำนวนหนึ่งแล้วกล่าวตามมารยาทว่าหากวันหน้ามีโอกาสจักต้องตอบแทนแน่ แต่เจ้าคนโง่งมนี้กลับตอบว่าบุญคุณนั้นตอบแทนได้เดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ตามพวกเขามา

 

 

“ได้ แต่ต่อไปน้องชายห้ามเสียใจภายหลังและอย่าได้กล่าวตำหนิเราสองคนก็พอ” หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวเดินต่อไปข้างหน้าโดยอันใดให้มากความอีก

 

 

เจินเมี่ยวแบกสัมภาระรูปร่างยาวเดินตามไป

 

 

คนทั้งสามเดินอยู่บนเขาอยู่เป็นนาน กระทั่งฟ้าใกล้มืดจึงมองเห็นวัดร้างแห่งหนึ่ง

 

 

“คืนนี้พักที่นี่แล้วกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกับเจินเมี่ยว

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

ตอนที่คนทั้งสามเดินเข้าไป กลับพบว่าด้านในวัดร้างนั้นมีคนนับสิบคนอยู่ในนั้น

 

 

คนพวกนั้นสภาพดูอเนจอนาถยิ่ง ต่างนอนกันอย่างสะเปะสะปะ เมื่อได้ยินเสียงจึงหันไปมองด้วยความตกใจ ครั้นเห็นบุรุษสอง สตรีหนึ่ง ทั้งอายุยังน้อยก็ลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก

 

 

เมื่ออีกฝ่ายยึดพื้นที่ไว้ก่อนแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงโค้งศีรษะให้ด้วยรอยยิ้มตามมารยาทพื้นฐานถือเป็นการทักทาย แล้วจึงค่อยเลือกนั่งลงที่มุมหนึ่งในวัดร้างนั้น

 

 

เขาวางสัมภาระที่แบกมาทั้งสองห่อวางลงบนพื้นแล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “อดทนอีกหน่อยเถิด หากพบหมู่บ้านแล้วเราค่อยซื้อรถวัวลาก”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็เบื่อหน่ายขึ้นมาอีก หมู่บ้านนั้นเล็กเกินไปจริงๆ ทั้งหมู่บ้านอย่าว่าแต่วัวสักตัวเลย แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่มี!

 

 

เมื่อได้ยินคำว่าซื้อรถวัวลาก คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างหันไปสบตากันตามสัญชาตญาณ เพราะอยู่ห่างไกลกันพอสมควร พวกเขาจึงเอ่ยซุบซิบเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินหรือไม่ ซื้อรถวัวลากได้ ดูท่าคงมีเงินไม่น้อย!”

 

 

บางคนจึงเกิดความคิดขึ้นมา “พี่ใหญ่ ครั้งนี้พวกเราทำงานผิดพลาด กลับไปก็ยังไม่ทราบว่าจะพูดกับนายท่านตระกูลตงอย่างไร หรือว่า…”

 

 

“ดูการแต่งตัวของพวกเขาแล้วก็มิได้ร่ำรวยปานนั้น หากคิดจะใช้พวกเขาไปชดเชยความเสียหายทั้งหมดนั้นเลิกคิดได้เลย แต่แม่นางน้อยผู้นั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่ งามเหลือเกิน หากยกให้เป็นอนุคนที่แปดของนายท่านตระกูลตง ไม่แน่ว่านายท่านอาจดีใจจนยกโทษให้เราทั้งหมดเลยก็ได้”

 

 

เสียงเคร้งดังขึ้น

 

 

คนทั้งหลายหันไปมองตามเสียงก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ในกลุ่มบุรุษสองสตรีหนึ่งนั้นหยิบหม้อใบเล็กออกมาทิ้งลงบนพื้น

 

 

บุรุษหล่อเหล่าผู้นั้นคล้ายทราบว่าเสียงเอะอะนี้รบกวนคนฝั่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วยิ้มให้

 

 

คนทั้งหลายนั้นรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด

 

 

คนผู้หนึ่งพึมพำขึ้นว่า “มิใช่ว่าคนผู้นั้นได้ยินพวกเราพูดคุยกันแล้วหรือ?”

 

 

มีคนแย้งขึ้นว่า “ไกลเพียงนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร!”

 

 

คนผู้หนึ่งจึงเอ่ยอย่างระแวดระวังว่า “เราเลิกพูดกันเถิด รอให้พวกเขาหลับ เราค่อยลงมือ จะได้ไม่มีอันใดผิดพลาด”

 

 

คนทั้งหลายจึงหยุดพพูดคุยกันทันใด

 

 

หลัวเทียนเฉิงก่อไฟตั้งหม้ออย่างคล่องแคล่ว เจินเมี่ยวหยิบเนื้อกระต่ายที่จัดการทำความสะอาดตั้งแต่อยู่ริมแม่น้ำนั้นออกมาหั่นเป็นแผ่นๆ ลงไปในหม้อ แล้วค่อยหยิบแผ่นแป้งที่อบเสร็จแล้วมาปิ้งอีกครั้ง

 

 

กลิ่นหอมของเนื้อและแผ่นแป้งตลบอบอวลขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำมันจากเนื้อหยดลงบนกองไฟเสียงดังซู่ๆ

 

 

เจินเมี่ยวขยับเข้าไปถามว่า “เป็นอันใด หรือคนฝั่งนั้นพูดอันใดให้ท่านไม่ชอบใจ?”

 

 

คนทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ หากอีกฝ่ายมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป เจินเมี่ยวไหนเลยจะสัมผัสมิได้

 

 

“มิได้ว่าอันใด”

 

 

“ไม่มี?” เจินเมี่ยวไม่เชื่อ “ไม่มีแล้วท่านจะโยนหม้อจนเกือบแตกด้วยเหตุใด? ทำเอาข้ากลัวว่าจะไม่มีข้าวกินเสียแล้วรู้หรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “พวกเขาบอกว่า รอให้เราหลับแล้วจะขโมยเงินและลักพาตัวเจ้าไป”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วนางก็ปิ้งแผ่นแป้งต่อไป “แผ่นแป้งนี้หากปิ้งสักหน่อยจะอร่อยกว่าอบธรรมดาเสียอีก”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าแปลกใจยิ่ง

 

 

เขารู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือวาจาเมื่อครู่มิได้ทำให้นางกังวลเท่ากับการพลิกขนมแผ่นแป้งเลย?

 

 

ช่างมิให้โอกาสผู้อื่นได้ปลอบเลยรู้หรือไม่!

 

 

เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าสามีผู้ยิ่งใหญ่กำลังคิดสิ่งใด นางหยิบถุงใบเล็กจากเอวเปิดเอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาเปิดแล้วเทสิ่งที่อยู่ในนั้นลงบนเนื้อ

 

 

“สิ่งนี้กินได้หรือ?” เพราะความแปลกใจนี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงลืมสิ่งที่กำลังคิดเมื่อครู่ไปทันที

 

 

ภายใต้เปลวไฟที่ส่องสะท้อนนี้ทำให้แก้มของเจินเมี่ยวแดงปลั่งไปหมด นางยิ่งหางตาหยักโค้ง “สิ่งนี้เรียกว่าจือหราน[1] เป็นเครื่องปรุงที่ดีมากยิ่งรู้หรือไม่ หากโรยใส่แผ่นแป้งไส้เนื้อนี้เล็กน้อยมันก็จะอร่อยยิ่งขึ้น ความจริงมันเหมาะใส่เนื้อย่างมากกว่า แต่เราเดินทางมานานเพียงนี้ การดื่มน้ำแกงนั้นจะเหมาะกว่า พรุ่งนี้ท่านไปล่าไก่ป่าสักตัวเถิด เราค่อยกินไก่ย่างกัน”

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ช่วงเวลาอันเคราะห์ร้ายนี้กลับยังมีอันใดดีๆ บ้าง นางเห็นว่าในบ้านของอาหู่นั้นมีจือหรานตากแห้งอยู่ แต่ท่านน้าไม่รู้ว่ากินได้ นางจึงบอกเคล็ดลับไปว่าหากปวดท้องให้ผัดกิน

 

 

อาหู่ขยับใกล้เข้ามา เจินเมี่ยวจึงส่งแป้งแผ่นไส้เนื้อที่ปิ้งเสร็จแล้วให้เขา

 

 

อาหู่ประคองแผ่นแป้งไส้เนื้อไว้แล้วกัดกินคำใหญ่อย่างไม่กลัวร้อนแม้แต่น้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยจึงชำเลืองมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่ง

 

 

ช่างไม่มีจิตสำนึกบ้างเลยหรือ? ให้อาหารที่เพิ่งปิ้งเสร็จนั้นแก่ชายอื่นมิให้สามีตน

 

 

เจินเมี่ยวหยิบไม้ไผ่ที่เหลาจนกลายเป็นตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาคนน้ำแกงเนื้อกระต่าย แล้วเอ่ยอธิบายว่า “ท่านต้องบำรุงร่างกายอีกสักหน่อย ดื่มน้ำแกงก่อนดีต่อร่างกายยิ่ง”

 

 

เมื่อเห็นคนฝั่งนั้นกินอาหารกันอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะกลิ่นเนื้อที่ผสมผสานกับกลิ่นจือหรานที่หอมเป็นพิเศษนั้นมันต่างมุดเข้าไปในรู้จมูกของคนทั้งหลายอย่างซุกซน

 

 

หอมเหลือเกิน ช่างทำให้คนอดใจไว้ไม่ไหวเสียจริงๆ!

 

 

หลายคนนั้นมองหน้ากัน แล้วเดินเข้าไปหาทันที

 

 

คนที่เป็นหัวหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “น้องชาย การใช้ชีวิตนอกเรือนนั้นไม่ง่ายเลย พวกพี่ชายขอกินด้วยสักหน่อยจะได้หรือไม่?”

 

 

เห็นหรือไม่ว่าพวกเขามีนับสิบแต่อีกฝ่ายมีเพียงสามคนเท่านั้น

 

 

แม่นางน้อยนั้นมิต้องพูดถึงเลย ส่วนอีกสองคนหรือ ผู้หนึ่งเป็นบุรุษหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง แค่มองก็รู้ทันทีว่าอ่อนแอจนมิอาจต้านลมไหว ส่วนอีกคนแม้นจะบึกบึนแต่จากท่าทางแล้วดูจะเป็นคนด้อยสติปัญญาอยู่สักหน่อย ทั้งอายุก็ยังน้อยเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มิจำเป็นต้องนับรวมเขาเลยด้วยซ้ำ

 

 

หากคนทั้งสามนี้ไม่โง่คงไม่มีทางปฏิเสธคำขอของพวกเขาแน่นอน

 

 

“ไม่ได้” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

เพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะปฏิเสธ เมื่อได้ยินสองคำนี้ คนที่เป็นหัวหน้านั้นแทบจะนั่งลงหยิบอาหารขึ้นกินเองแล้ว

 

 

แต่คนอื่นอีกหลายคนกลับเข้าใจ สีหน้าจึงเปลี่ยนสีทันทีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ช่างไร้น้ำใจสิ้นดี คนที่บ้านเจ้ารู้หรือไม่?”

 

 

คนที่เป็นหัวหน้ามีสติกลับคืนมาแล้วจึงส่งสัญญาณให้คนทั้งหลายเงียบเสียก่อน สายตานั้นมองตกไปที่หลัวเทียนเฉิง “น้องชายบอกว่าไม่ได้หรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหันไปถามเจินเมี่ยวว่า “ข้าพูดเบาไปหรือ?”

 

 

“ไม่” เจินเมี่ยวส่งถ้วยน้ำแกงเนื้อกระต่ายให้เขา “เลิกพูดเถิด กินก่อน กำลังร้อนๆ”

 

 

คนที่เป็นหัวหน้าหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “เหตุใดน้องชายจึงไร้ไมตรีเช่นนี้ ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านผู้ใดก็ล้วนพบความลำบากด้วยกันทั้งสิ้น”

 

 

หลัวเทียนเฉิงซดน้ำแกงร้อนคำหนึ่งแล้วรู้สึกสบายท้องขึ้นมา อารมณ์จึงดีไม่น้อย

 

 

ภรรยาเขาพูดถูก ดื่มน้ำแกงก่อนค่อยกินเนื้อ ช่างดีจริงๆ

 

 

เมื่ออารมณ์ดีจึงมิถือสาที่จะอธิบายให้เขาฟังเล็กน้อย “อ้อ ข้ามิใช่ไร้ไมตรี เพียงแต่เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านบอกว่าจะขโมยเงินและลักพาภรรยาข้าไป จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย”

 

 

“เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร!” คนทั้งหลายต่างตกใจยกใหญ่

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองอย่างแปลกใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ย่อมต้องใช้หูฟัง”

 

 

“เจ้าหนุ่ม​ แกล้งพวกเราหรือ​เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าเราไม่ไว้หน้าแล้วกัน ” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยหน้าตาเ**้ยมเกรียม​ แล้วล้วงมีดออกมาทันที

 

 

เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง​ “ท่านพี่​ ท่านบอกว่า​ราษฎร​ทั่วไปมิพกมีดเพราะจะถูกมือปราบจับมิใช่หรือ!”

 

 

หากมิเป็นเช่นนั้น​ นางจะห่อพันมีดตัดฟืนที่ซื้อมาจากบ้านหมู่บ้านท่านน้าอย่างยากลำบากด้วยเหตุใดกัน ส่วนดาบยาวที่ค้นจากองครักษ์ตัวปลอมผู้นั้น​ พวกเขาได้ขุดหลุมฝังไปนานแล้วเพราะมันเป็นอาวุธของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจึงไม่อยากพกไว้ให้เกิดความยุ่งยากใดๆ ขึ้น

 

 

“หึๆๆ แม่นางน้อยเจ้าช่างไร้เดียงสานัก​ พวกเราหลายคนเหมือนเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือ? ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออก? “

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง​ “ข้าดูออกแล้ว​ ท่านพี่​ ท่าท่านคงต้องออกแรงสักหน่อยก่อนกินข้าวแล้ว​ ข้าจะเฝ้าน้ำแกงเนื้อกระต่ายและแผ่นแป้งไส้เนื้อนี้ไว้อย่างดี​ ท่านวางใจได้”

 

 

“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ” หลัวเทียนเฉิงทะยานเข้าไป​ใกล้​ พริบตาก็เตะคนสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้นั้นกระเด็นออกไป

 

 

แย่แล้ว​ เจอยอดฝีมือเข้าแล้ว!

 

 

คนเหล่านี้รู้วิชาต่อสู้อยู่บ้าง​ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็​ต่างล้วงเอาอาวุธ แสดงความโหดเ**้ยมของตนออกมา​ แล้วพุ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงแม้นเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บแต่การต่อกรกับคนเหล่านี้กลับมิได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด

 

 

บุรุษสองคนที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักส่งสายตาให้กันแล้วแอบย่องไปทางเจินเมี่ยว

 

 

ขอเพียงจับภรรยาของเขาไว้ เขามีหรือจะไม่ยอมจำนน!

 

 

เสียงการต่อสู้นั้นปิดกั้นเสียงจากภายนอกไว้จนหมด บุรุษสองคนจูงมาเดินใกล้เข้ามาหวังหาที่พัก พวกเขาหยุดอยู่หน้าวัดร้าง เมื่อเห็นเหตุการณ์ข้างในนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง

 

 

พวกเขาเห็นบุรุษสองคนเดินเข้าไปล้อมสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง

 

 

ผู้มีใบหน้าดั่งเด็กน้อยอยากจะเข้าไปช่วยอย่างยิ่งแต่กลับถูกบุรุษอีกผู้หนึ่งห้ามไว้

 

 

“อย่าเพิ่งวู่วาม ผู้ใดจะทราบว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นคนเช่นไร ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากล่าวเถิด”

 

 

คนที่เดินนำหน้าพยักหน้าแล้วหยุด เขาล้วงเอามีดบินออกมา

 

 

อาหู่ทั้งหวาดกลัวและตกใจ “พวกท่าน พวกท่านคิดจะทำอันใด? ”

 

 

“รีบหลบไปเสีย แล้วท่านปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!” คนผู้หนึ่งเอ่ยขู่ขวัญ

 

 

เด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบหน้าดูหน้าตาขมขื่นจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาล้วงเอาไม้ง่ามยิงก้อนหินขึ้นมาเล็งใส่คนทั้งสองด้วยมืออันสั่นเทา “อย่าเข้ามาทำร้ายพี่สาวข้าเด็ดขาด มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นข้าจะยิงพวกท่านจริงๆ ด้วย”

 

 

“หึๆ เจ้าเด็กโง่ เจ้ายิงเลย!” หนึ่งในสองคนนั้นทำหน้าล้อเลียนวิ่งเข้ามาหา

 

 

หัวหน้าและพวกของเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว พวกเขาควรรีบจับตัวแม่นางน้อยนี้ไว้เสียดีกว่า

 

 

พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผาก แล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

คนอีกผู้หนึ่งเห็นคนตรงหน้าหยุดนิ่ง จึงไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น เขาอ้อมเข้าไปที่ด้านหลังเจินเมี่ยว แต่ร่างก็ต้องหยุดนิ่งไปโดยพลันเช่นกัน

 

 

มือที่ลูกห่อผ้าของเจินเมี่ยวนิ่งไป นางมองคนทั้งสองที่นอนล้มอยู่บนพื้นอย่างตกตะลึง

 

 

คนทั้งสองมีรูโหว่ที่หน้าผาก โลหิตค่อยๆ ไหลออกมา ครู่เดียวโลหิตก็เปื้อนเต็มหน้าจนมองไม่ออกแล้วว่าเป็นผู้ใด

 

 

เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงที่เอ่ยดูแห้งผากเล็กน้อย “น้องชาย สิ่งนี้ของเจ้าเรียกไม้ง่ามยิงก้อนหินหรือ?”

 

 

นี่มิใช่ปืนที่ใส่เสื้อกั๊กจริงๆ ใช่หรือไม่?

 

 

หลัวเทียนเฉิงจัดการคนทั้งหลายจนเรียบร้อยไปนานแล้ว จึงยืนไพล่หลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง

 

 

อาหู่หน้าซีดขาวไปหมด เขาส่ายศีรษะเป็นระวิง “ข้า ข้าขอร้องพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟัง…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามาตบบ่าอาหู่คราหนึ่ง “น้องชาย ทำได้ไม่เลวเลย”

 

 

แล้วหันหลังกลับไปมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูวัดร้างด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

ผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “ขออภัย เข้าผิดประตูเสียแล้ว…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] จือหราน เป็นพืชชนิดหนึ่ง (เมล็ดคล้ายเปลือกข้าว) ดอกมีลักษณะชมพูแดงหรือขาว รูปร่างเรียวยาว ดอกออกในเดือนเมษายน ผลออกเดือนพฤษภาคม มีกลิ่นหอมเข้มข้น ทั้งยังมีสรรพคุณทาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด