วาสนาบันดาลรัก 319 แผนการ

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 319 แผนการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซูหันเป็นขุนนางมากความสามารถคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่มีอำนาจในการบริหารมานับสิบปี มิต้องพูดถึงลูกศิษย์ของเขา นั่นยอมมีมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดาขุนนางที่สิ้นชีพไปนั้นก็มีเขานั้นแลที่ผู้คนต่างพูดถึงมากที่สุด

 

 

แต่ในใจของคนเหล่านี้ก็เริ่มตำหนิอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทนั้นจะไม่มา

 

 

หรือก่อนหน้านี้ที่บอกว่าองค์รัชทายาทล้มป่วยนั้นจะมิใช่เพราะทำให้จักรพรรดิทรงรังเกียจแต่ทรงป่วยจริงๆ

 

 

หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่ารัชทายาทเองก็ยังพอมีความหวังอยู่ อย่างน้อยเขาก็เป็นบุตรคนโต ทั้งยังครองตำแหน่งรัชทายาทมานับสิบปี

 

 

ซูหยานั้นร้องไห้จนแทบจะเป็นลมไปแล้ว พระราชนัดดาที่ยังไม่ถึงไม่ถึงสิบปีดีก็เอาแต่เกาติดนางด้ายท่าทีมึนงง

 

 

สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างเอ่ยเตือนสติ “ไท่จื่อเฟยอย่าได้เศร้าโศกไปเลย หากท่านเสียใจจนล้มป่วยไป ผู้ใดจะดูแลบุตรท่านเล่า”

 

 

ไท่จื่อเฟยมองบุตรตนคราหนึ่ง เสียงสะอื้นจึงแผ่วลง แต่เมื่อเห็นเมี่ยวที่นั่งอยู่ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายแล้วก็ต้องก้มหน้าลงปิดบังความแค้นในดวงตาตน

 

 

นางคิดถึงวาจาที่ตนบังเอิญไปได้ยินเข้าวันนั้น ไท่จื่อกับท่านพ่อคิดจะก่อกบฏ!

 

 

นางรู้ว่าบิดาและไท่จื่อต้องการปิดบังนาง ดังนั้นแม้นนางจะตกใจแต่ก็ยังแสร้งไม่รู้ต่อไป

 

 

ทว่าเหตุสังหารที่เกิดขึ้นนอกเมืองนั้นบิดาเป็นผู้จัดฉากขึ้น แล้วเหตุผู้ที่ตายถึงเป็นบิดาของนางเล่า

 

 

ยังมีไท่จื่ออีกคน ตั้งแต่วันนั้นนางก็ไม่เห็นเขาอีกเลย!

 

 

มิต้องถามให้มากความก็รู้แล้วว่าการกบฏครั้งนี้นั้นล้มเหลว

 

 

วันนั้นนางมิอาจสงบใจได้เลยทั้งวันจึงส่งคนสนิทไปคอยสังเกตที่หน้าประตูวังก็เห็นว่ามีเกี้ยวอ่อนถูกหามออกมาจากวัง และมุ่งตรงไปที่จวนกั๋วกง คนที่อยู่ในเกี้ยวนั้นก็คือหลัวเทียนเฉิงที่ถูกฝ่าบาทสั่งกักบริเวณนั้นเอง!

 

 

ถึงขั้นนี้แล้วนางยังมีอันใดไม่เข้าใจอีกเรา ผู้ที่ทำให้ไท่จื่อต้องพ่ายแพ้คงเป็นเขาอย่างแน่นอน!

 

 

ไท่จื่อเฟยคิดไม่ตกว่าในเมื่อไท่จื่อทำการกบฏล้มเหลว แต่เหตุใดฝ่าบาทก็ยังไม่มีราชการจัดการกับนาง ทั้งยังอนุญาตให้นางมาร่วมพิธีศพบิดาอีก

 

 

กระทั่งมาถึงจวนรองเสนาบดี นางจึงนึกถึงวาจาที่บิดาเคยพูดกับนางในความทรงจำ จึงหาเบาะแสของห้องลับจนพบ และได้อ่านจดหมายลับจึงเข้าใจทันที

 

 

บิดาบอกว่ามีเพียงการก่อกบฏล้มเหลวเท่านั้นนางจึงจะมีโอกาสได้เห็นจดหมายฉบับนี้

 

 

ฝ่าบาทมิประสงค์ให้มีการทำสงคราม ทรงต้องการรักษาความสงบไว้ เรื่องที่ไท่จื่อก่อกบฏจะถูกปิดไว้ นางและบุตรจะไม่มีอันตรายถึงชีวิตในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ และการมาร่วมพิธีศพในครั้งนี้เป็นเพียงโอกาสเดียวที่นางจะได้ออกจากวัง คาดว่าเมื่อกลับไปถึงวังแล้วก็จะถูกกักบริเวณกลายๆ ทันที

 

 

ส่วนบุตรของนางนั้น…

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้มือไท่จื่อเฟยก็สั่นระริกขึ้นมา บิดาของเขาคิดก่อนกบฏ ภายภาคหน้ามีหรือที่ฝ่าบาทจะไว้ชีวิตเขา!

 

 

รุ่ยเกอของนาง…

 

 

ไท่จื่อเฟยยน้ำตานองหน้าขึ้นมาอีกครา เมื่อคิดถึงบิดาก็รู้สึกเจ็บปวดปานจะขาดใจ

 

 

บนโลกนี้มีเพียงแค่บิดาที่คิดจะปกป้องนาง บิดาได้หาเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายรุ่ยเกอมาเลี้ยงไว้ในจวนนานแล้ว และบอกนางว่าหากภารกิจล้มเหลวก็ให้อาศัยโอกาสนี้สับเปลี่ยนตัวเด็กน้อยเสีย

 

 

ไท่จื่อเฟยชำเลืองมองเด็กน้อยที่มีท่าทีเหม่อลอยนั้นคราหนึ่ง

 

 

บิดาช่างคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ ทั้งยังหาเด็กที่หน้าตาคล้ายรุ่ยเกออีกด้วย แค่เด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น นางเพียงแต่งตัวให้เสียหน่อย หากมิสังเกตอย่างละเอียดก็ย่อมมองไม่ออกว่าตัวจริงหรือปลอม

 

 

บิดากำชับหนักหนาว่า เด็กผู้นี้จักต้องไม่มีชีวิตกลับไปอยู่ในวังกับนาง

 

 

มีเพียงการตายของเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้นที่จะทำให้ตัดปัญหาที่จะถูกจับได้ว่ามีการสับเปลี่ยนตัว นางสตรีผู้อ่อนแอที่ไร้บิดา สามีและบุตรนั้นแลจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในที่คับแคบเช่นนั้นต่อไปได้

 

 

จะให้เด็กผู้นี้ตายด้วยวิธีใดนั้นนางคิดไว้นานแล้ว แต่หลัวซื่อจื่อทำให้ความฝันงดงามที่จะได้เป็นหวงโฮ่วของนางต้องสลายนั้นก็ช่างเถิด แต่ทำให้นางและบุตรชายแท้ๆ ต้องแยกจากกัน ชีวิตนี้ยากจะได้พบกันอีก ความแค้นอันยิ่งใหญ่นี้นางกลับไร้หนทางที่จะสลายมันไปได้

 

 

ต่างกล่าวกันว่าคุณชายผู้สืบทอดรักฮูหยินตนยิ่ง ฮูหยินซื่อจื่อแต่งเข้าไปได้ปีกว่าแล้วแต่กลับยังไม่ตั้งครรภ์เสียที เขาไม่เพียงไม่ตำหนิฮูหยินตนแต่กลับไล่สาวใช้ทงฝังออกจากเรือนเพื่อนางอีก

 

 

ได้ยินมาว่ามีสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งที่มีใจรักลึกซึ้งต่อซื่อจื่อยิ่งจึงมิยอมแต่งออกไป ซื่อจื่อจึงให้สตรีผู้นั้นไปเป็นแม่ชีเสียเลย

 

 

แม้นพวกนางจะเป็นภรรยาเอก แต่ก็มีความเป็นศัตรูคู่แค้นกับสาวใช้ทงฝังเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นบุรุษผู้หนึ่งยอมทำถึงเพียงนี้เพื่อภรรยาตนก็อดที่จะอิจฉาริษยามิได้

 

 

เจ้าทำลายชีวิตข้า เช่นนั้นข้าก็ทำลายหัวใจเจ้าเสีย!

 

 

ไท่จื่อเฟยชำเลืองมองใบหน้าเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วรอยยิ้มที่แฝงประกายเย็นเยียบนั้นก็พาดผ่านดวงตาไป

 

 

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดขอบตา หยุดร้องไห้แล้วหันไปกำชับนางกำนัลว่า “รีบไปเปลี่ยนชาร้อนให้บรรดาฮูหยินเร็วเข้า”

 

 

แล้วหันไปมองบุตรชายข้างกายด้วยสายตาอ่อนโยน “คอแห้งแล้วกระมัง เดื่มน้ำผลซิ่งสักหน่อยดีหรือไม่”

 

 

เด็กน้อยพยักหน้าโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด

 

 

บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ

 

 

ต่างกล่าวกันว่าความสัมพันธ์ของเชื้อพระวงศ์นั้นเปราะบางยิ่ง แต่เกรงว่าความผูกพันที่พระราชนัดดาน้อยมีต่อตาของตนจะลึกซึ้งยิ่ง อายุยังน้อยแท้ๆ ก็เสียใจมากจนมิยอมพูดจาแล้ว

 

 

ชั่วครู่นางกำนัลหลายคนก็ยกชามาเปลี่ยนและยกน้ำผลซิ่งสีเหลืองส้มมาให้พระราชนัดดาด้วยเช่นกัน

 

 

เมื่อสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้เอ่ยคำไว้อาลัยจบก็ถูกเชิญไปที่ห้องอาหาร เมื่อคนมาเบียดเสียดกันภายในห้องก็ยากจะหลีกเลี่ยงความร้อน ยิ่งคอยพูดคุยเป็นเพื่อนไท่จื่อเฟย คอก็ยิ่งแห้ง เมื่อเห็นคนยกชาเข้ามาใหม่ก็รีบยกขึ้นจิบทันที

 

 

เจินเมี่ยวนึกถึงคำกำชับของหลัวเทียนเฉิงจึงมิได้ดื่มเลย

 

 

ไท่จื่อเฟยลอบมองถ้วยชาที่เจินเมี่ยววางลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนั้นแล้วก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างไรสุ้มเสียง

 

 

คนฉลาดย่อมต้องถูกความฉลาดทำให้พลาดพลั้งกระมัง นางได้จุดกลิ่นหอมชนิดหนึ่งขึ้นในห้องนี้ กลิ่นหมอนั้นบางเบายิ่งคล้ายดอกไม้หอมเท่านั้น เมื่ออยู่ในห้องนี้นานเข้าก็จะรู้สึกปวดท้อง ทว่าหากได้ดื่มชาร้อนๆ ก็จะช่วยแก้อาการนั้นได้ แต่นางกลับมิดื่ม นั้นก็เท่ากับรนหาที่ตายแล้ว

 

 

“พระราชนัดดาก็เหนื่อยแล้ว ในห้องนี้อากาศออกจะอับไปสักหน่อย เจ้าพาเขาไปเดินเล่นรับลมในสวนสักครู่เถิด”

 

 

นางกำนัลกลุ่มหนึ่งจึงพาพระราชนัดดาไป

 

 

ครั้นผ่านไปครู่หนึ่งเจินเมี่ยวก็รู้สึกไม่สบายท้องขึ้นมา เดิมคิดว่าจะอดกลั้นไว้ก่อน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ไท่จื่อเฟย ข้าอยากจะไปเปลี่ยนอาภรณ์สักหน่อย”

 

 

การเอ่ยว่าไปเปลี่ยนอาภรณ์นั้นก็คือคำพูดอ้อมๆ ว่าจะไปปลดทุกข์นั้นเอง ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจทั้งสิ้น

 

 

ไท่จื่อเฟยรีบพยักหน้าทันทีแล้วเอ่ยกำชับนางกำนัลข้างกายด้วยเสียงแหบพร่า “พาเซี่ยนจู่ไปที”

 

 

แต่กลับมีคนอีกผู้หนึ่งยืนขึ้นบอกว่า “ข้าก็อยากจะไปเปลี่ยนอาภรณ์เช่นกัน”

 

 

เจินเมี่ยวมองดูคราหนึ่งก็เห็นว่าเป็นจังเฉาหวาหลานสาวของรองราชเลขาฝ่ายขวาแห่งกรมขุนนาง

 

 

นางเป็นคนชอบพูดคุย หากพูดมิน่าฟังหน่อยก็คือเป็นคนปากเปราะ แต่แน่นอนว่าย่อมมิได้เกินไปอันใดนัก บางคนยังชอบที่นางพูดจาขบขันอีกด้วย นับว่าเป็นเสน่ห์ที่มิได้มีพิษภัยอันใด ปีที่แล้วนางแต่งเข้าจวนหย่งจยาโหวไปเป็นพี่สะใภ้ของหยางชิงสหายสนิทของนางเอง

 

 

หยางเหลียนน้องสาวของหยางชิงนั้นเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงฟังโหรวจึงมิใคร่ชอบใจในตัวเจินเมี่ยวนัก เจินเมี่ยวเองก็มิได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อหยางชิงและจังเฉาหวาอย่างแน่นอน

 

 

แต่การไปสุขานั้นมิจับเป็นต้องเดินจับมือเข้าไปด้วยกันเสียหน่อย ต่างคนต่างไปจะได้มิต้องไปขวางหูขวางตากัน

 

 

คนทั้งสองต่างพาสาวใช้ของตนไปด้วยโดยมีนางกำนัลเดินนำพาไป

 

 

สถานที่ประกอบพิธีนั้นอยู่ด้านหน้า ห้องรับรองที่บรรดาสตรีทั้งหลายอยู่กันนั้นก็อยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากห้องปลดทุกข์ที่สตรีใช้ร่วมกันโดยเฉพาะอยู่พอสมควร

 

 

“เซี่ยนจู่ เดินข้ามสะพานไปก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวปวดท้องอยู่จึงคร้านจะตอบได้แต่เดินจากไปอย่างรีบร้อน

 

 

จังเฉาหวาเดินค่อนข้างช้าจึงทิ้งห่างอยู่ด้านหลังระยะหนึ่งเลย

 

 

เมื่อขึ้นสะพานไปยังไม่ถึงครึ่งทาง นางก็เห็นพระราชนัดดาถือบุปผาช่อหนึ่งไว้ในมือแล้ววิ่งเข้ามา บ่าวไพร่ที่วิ่งตามหลังมากลุ่มหนึ่งนั้นต่างก็ร้องขึ้นด้วยความหวั่นใจ “พระราชนัดดา ช้าหน่อยเพคะ”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็หลบไปอีกทาง แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดพระราชนัดดาจึงได้พุ่งมายังฝั่งที่นางยืนอยู่

 

 

นางยื่นมือออกไปหวังประคองแต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า พระราชนัดดาได้ตกลงไปในแม่น้ำแล้ว

 

 

“แย่แล้ว พระราชนัดดาถูกเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนตกน้ำไปแล้ว!”

 

 

บรรดาบ่าวไพร่ที่ตามมาด้านหลังต่างก็ตกใจร้องเสียงดัง

 

 

จากเหตุการณ์ที่พลิกผันไปอย่างรวดเร็วนี้กลับทำให้เจินเมี่ยวสามารถสะกดกลั้นปวดท้องของตนไว้ได้ นางเก็บมือตนแล้วเอ่ยกำชับกับเชวี่ยเอ๋อร์ว่า “รีบลงไปช่วยพระราชนัดดาเร็ว”

 

 

เชวี่ยเอ๋อร์ว่ายน้ำเก่งยิ่ง นางรับคำแล้วกระโดดลงไปทันที นางว่ายน้ำพลิ้วไหวประหนึ่งมัจฉาเลยทีเดียว ไม่นานก็พาพระราชนัดดาขึ้นฝั่งมาได้

 

 

แต่ที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งคือ เวลาเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นพระราชนัดดากลับสิ้นลมเสียแล้ว!

 

 

ครานี้คนทั้งหลายต่างตกใจกันใหญ่

 

 

ที่นี่ห่างจากห้องรับรองไม่ไกลนัก เสียงร้องโวยวายของบ่าวไพร่ก่อนหน้านี้ได้ลอยไปถึงที่นั่นแล้ว ครั้นไท่จื่อเฟยรีบพาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายออกมาดูว่าเกิดอันใดขึ้นก็เห็นพระราชนัดดานอนนิ่งอยู่บนพื้น นางเซถลาเข้าไปหาทันทีแล้วผลักเอาเจินเมี่ยวที่เข้าไปดูอาการเช่นกันออกมา

 

 

แม่นมที่นั่งคุกเข่าร่ำไห้อยู่บนพื้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พระราชนัดดาเก็บบุปผามาบอกว่าจะนำไปให้ไท่จื่อเย ท่านจะได้ดีใจ จึงรีบวิ่งกลับมาอย่างอดรนทนไม่ไหว ผู้ใดจะทราบว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่กลับเข้ามาตรงหน้าพอดี ทั้งเดินเร็วยิ่งเกรงว่าคงจะชนพระราชนัดดาเข้าให้ถึงได้ตกลงไปเช่นนั้น”

 

 

นางพูดพลางตบหน้าตนโดยแรงคราหนึ่ง “เป็นเพราะบ่าวมิดูแลพระราชนัดดาให้ดี บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!”

 

 

เสียงตบหน้านั้นคล้ายตบเข้าไปถึงใจของทุกคน บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างหันมามองเจินเมี่ยวด้วยสายตาแปลกประหลาด

 

 

ต่อให้ไร้เจตนาที่จะชนแต่พระราชนัดดากลับต้องตายไป ต่อให้เป็นเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร นางคงมิอาจหนีความผิดไปได้ แม้แต่จวนเจิ้นกั๋วกงก็มิอาจปกป้องนางได้แน่!

 

 

ไท่จื่อเฟยกระโจนเข้าไปหาบุตรตน เมื่อเห็นสองตาเขาปิดแล้ว ทั้งยังไม่หายใจ ก็แอบโล่งอกอยู่เงียบๆ

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กผู้นี้จะถูกช่วยขึ้นมาเร็วเพียงนี้

 

 

น่าแค้นสาวใช้ข้างกายเจียหมิงเซี่ยนจู่นัก คิดไม่ถึงว่าจะว่ายน้ำเก่งเพียงนี้ หากให้คนที่ดูแลบุตรนางลงไปช่วยด้วยการปล่อยทิ้งไว้สักครู่ เช่นนั้นการตายนี้ก็จะสมจริงอย่างยิ่ง

 

 

ดีที่นางได้ใส่ยากระตุ้นระบบโลหิตลงไปในน้ำผลซิ่งแล้ว ขอเพียงแต่เขาตกใจและร่างกายได้รับความเย็นหรือร้อนอย่างที่สุด หัวใจก็จะหยุดเต้นและตายทันที

 

 

“เจียหมิงเซี่ยนจู่ พวกนางพูดจริงหรือไม่” ไท่จื่อเฟยมองเจินเมี่ยวด้วยสายตาแค้นเคือง

 

 

ความแค้นนี้มิได้เป็นการเสแสร้งแต่อย่างไร และในสายตาของคนทั้งหลายก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลยิ่ง ไม่ว่าบุตรของผู้ใดถูกทำร้ายจนตาย อาจจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นมารดาก็ต้องแค้นเคืองจนแทบจะกินคนผู้นั้นทั้งเป็นได้เลย

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มเข้าใจแล้วว่าตนกำลังตกลงไปในบ่วงกับดักนั้นเสียแล้ว

 

 

วาจาที่เอ่ยของบ่าวไพร่พวกนั้นมิต้องไปพูดถึงแล้ว แต่แผนการทั้งหมดย่อมมาจากคำสั่งของเจ้านายมากว่า ส่วนจังเฉาหวาที่เดินตามมาอยู่ด้านหลังนั้นทิ้งระยะจากนางไปพอสมควร ทั้งตอนที่เด็กน้อยวิ่งมานางก็บังเขาไว้ได้พอดี ในชั่วขณะที่เด็กน้อยตกน้ำนั้น สำหรับจังเฉาหวานั้นอาจพูดได้ว่ามองไม่เห็นไม่ถนัดเลยทีเดียว

 

 

บวกกับจังเฉาหวาที่มิเคยมีความรู้สึกดีอันใดกับนางมาก่อน คนเราก็ย่อมต้องพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนมากที่สุดตามสัญชาตญาณนั้นแล บอกกับวาจาของบ่าวไพร่ทุกคนที่ต่างกล่าวว่าเช่นนั้น จังเฉาหวาเองก็ถูกบดบังสายตาจึงมองไม่ถนัด เวลานี้แม้แต่ดวงตาก็สามารถหลอกคนได้

 

 

เจินเมี่ยวไม่เชื่อเช่นกันว่าเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้เด็กน้อยจะถึงกับตายได้ เกรงว่าเขาจะตายเพราะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจนทำให้เกิดการตายปลอมๆ นี่ขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือเพื่อเด็กน้อยที่น่าต้องตายไปทั้งที่ยังเยาว์วัยอยู่แท้ๆ ผู้นี้ นางก็ต้องพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ เจินเมี่ยวดึงไท่จื่อเฟยออกมาแล้วทำการผายปอดให้เด็กน้อยผู้นั้น

 

 

“บ่าวไพร่ รีบจับนางออกมาเร็ว เจียหมิงเซี่ยนจู่เสียสติไปแล้ว” ไท่จื่อเฟยตะโกนเสียงเข้มขึ้นมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด