วาสนาบันดาลรัก 327 ชื่อเสียงด่างพร้อย

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 327 ชื่อเสียงด่างพร้อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ท่านแม่ ความชมชอบที่น้องสามมีต่อเยียนเหนียงนั้นมิเคยหายไปเลย…”

 

 

“ห๊ะ!” นางเถียนผุดลุกขึ้นทันที เพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนี้ทำให้นางหน้ามืด ร่างโงนเงนไปชั่วขณะ

 

 

คุณชายรองประคองนางเถียนไว้ “ท่านแม่ อย่าเพิ่งกังวลเกินไปประเดี๋ยวจะกระเทือนถึงสุขภาพ”

 

 

นางเถียนยิ้มเศร้าออกมา “เจ้าตัวอัปรีย์นั้นไหนเลยจะไยดีข้าผู้เป็นมารดา!”

 

 

ท่าทีเศร้าอาดูรของนางพลันเปลี่ยนไปดั่งพบเหตุการณ์อันเ**้ยมโหดทารุณ “เช่นนั้นบุตรของเยียนเหนียง…”

 

 

คุณชายรองหลุบม่านตาลง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “คิดว่าน้องสามคงมิกล้าหาญเพียงนั้น…”

 

 

“ไม่ได้ ข้าต้องไปถามเขา!” นางเถียนก้าวเท้าออกไปด้านนอกโดยไม่สนสุขภาพอันไม่เอื้อของตน แต่ก็ถูกคุณชายรองเข้ามาขวางไว้เสียก่อน

 

 

“ท่านแม่ ที่เราทะเลาะกันเมื่อครู่ก็เพราะเรื่องนี้ ท่านก็รู้อุปนิสัยของน้องสามดี หากท่านไปหาเขาแล้วเขาเอ่ยโต้งๆ ออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วจะทำฉันใดเล่า หรือท่านลืมไปแล้วว่าเมื่อต้นปีน้องสามเกือบจะปลิดชีพตนเพราะเรื่องนี้”

 

 

นางเถียนสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่งแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง

 

 

“ท่านแม่…” คุณชายรองนั่งคุกเข่าคอยบีบนวดขาให้นางเถียน “ข้าคิดว่าแม้น้องสามจะมีใจให้เยียนเหนียง แต่คงมิกล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่ อาจเพราะเขาเรียนรู้เรื่องพวกนี้ช้าเกินไป แม้แต่สาวใช้ทงฝังสักคนก็ไม่มี ทำให้ลุ่มหลงเลอะเลือนง่ายๆ เช่นนี้”

 

 

นางเถียนฟังแล้วก็พยักหน้า พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

 

 

เจ้ารองกับเจ้าสามอายุสิบแปดแล้ว เดิมก็เป็นอายุที่เหมาะแก่การแต่งงาน หากมิใช่เพราะครึ่งปีนี้มีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ตระกูลเถียนก็พังทลายทำให้ตระกูลที่เคยทาบทามกันไว้ห่างหายไปไม่ทราบข่าวคราว มิเช่นนั้นงานแต่งของคนทั้งสองคงถูกกำหนดไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

ดูท่านางควรต้องรีบหาภรรยาให้เจ้าสามเสียแล้ว เขาจะได้ตัดใจ

 

 

ส่วนเยียนเหนียงไม่ว่านางจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าสามหรือไม่ก็มิอาจเก็บเด็กผู้นี้ไว้ได้!

 

 

เดิมนางควรขายสตรีแพศยาผู้นี้ไปให้ไกลแสนไกล ทว่าท่านพี่กลับคอยเฝ้าเยียนเหนียงไม่วางตาอยู่ทุกวันประหนึ่งสุนัขเฝ้ากระดูกก็มิปาน ทำให้นางไม่รู้จะลงมืออย่างไร ทั้งตอนนี้เยียนเหนียงยังตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก หากจะขายนางออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็ย่อมไม่มีทางเห็นด้วย

 

 

ทว่านางก็มิอาจพูดกับผู้อื่นได้ความกังวลใจนี้ หากคนอื่นทราบถึงความคิดของเจ้าสาม ชีวิตของบุตรชายตนคงพังทลายไม่เหลือชิ้นดีแน่!

 

 

เมื่อนางเถียนตื่นจากภวังค์นางก็หันไปยิ้มแกนๆ ให้คุณชายรอง “เจ้ารอง เจ้าก็เตือนน้องเจ้าสักหน่อยเถิด แม่กลับเรือนก่อนแล้ว”

 

 

คุณชายรองไปส่งนางเถียนที่หน้าประตู แล้วกลับมานั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง ท่าทีเหม่อลอย

 

 

เด็กในครรภ์ของเยียนเหนียงนั้นมิอาจเก็บไว้ได้จริงๆ แต่เขาไม่อาจเสี่ยงจึงทำแค่อาศัยมารดาให้ช่วยกำจัดเด็กนั่นไปเสีย

 

 

เขาอาจจะดูใจเ**้ยมไปสักหน่อย ทว่าที่เขาต้องการจริงๆ ก็คือเยียนเหนียง ส่วนบุตรนั้นอย่างไรก็ควรจะต้องเกิดกับภรรยาเอก

 

 

อีกอย่างหากเด็กเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเกิดมาแล้วต่อไปทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เขาคงเอาแต่ครุ่นคิดคาดเดาอยู่ตลอดเวลาดั่งกางที่ติดอยู่ในคอหอยก็มิปาน

 

 

คุณชายรองนั่งอยู่นาน จิตใจที่ลังเลนั้นจึงค่อยๆ แน่วแน่ขึ้น

 

 

ครั้นคุณชายสามกลับมาถึงเรือนตนก็พุ่งเข้าไปที่บ่อน้ำทันที เขาชักรอกน้ำเย็นจากบ่อขึ้นมาล้างหน้าตน เมื่อเริ่มมีสติแจ่มชัดขึ้นมาบ้างแล้วก็ยืนตัวตรงขึ้น

 

 

เขาไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำแต่เหตุใดใจดวงนี้ถึงได้ทุกข์ทรมานเช่นนี้เล่า

 

 

คุณชายสามเดินเข้าเรือนไปอย่างไร้จิตวิญญาณ เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วนั่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เมื่อลุกขึ้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัง

 

 

เวลานี้ประตูที่ผ่านไปยังเรือนหลังได้นั้นยังมิได้ลงกลอน คุณชายสามเดินทะลุทางเดินลาดยาวแสนคับแคบกระทั่งถึงเรือนซินหยวน เมื่อถึงหน้าประตูเรือนซินหยวนกลับลังเลขึ้นมา

 

 

แม้เขากับพี่รองจะตัดขาดกันแล้วแต่เมื่อพบท่านแม่แล้วจะพูดอย่างไร หรือจะบอกว่าพี่รองกับเยียนเหนียงมีความสัมพันธ์กัน และเด็กในครรภ์ของนางเป็นบุตรของพี่รองงั้นหรือ

 

 

หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่จะต้องรับไม่ได้แน่ เกรงว่าชีวิตของเยียนเหนียงคงมิอาจรักษาไว้ได้ ส่วนพี่รอง…

 

 

คุณชายสามยิ้มเยาะตน ต่อให้จะแค้นเพียงใดแต่เขาก็เป็นพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกัน ตนไหนเลยจะทนเห็นเขาเสียชื่อเสียง ชีวิตย่อยยับพังทลายได้

 

 

คุณชายสามหมุนกายเดินจากไปไกลขึ้นทุกทีคล้ายวิญญาณเร่ร่อนอันโดดเดี่ยว คิดไม่ถึงว่ากลับเกินถึงเรือนชิงเฟิงโดยไม่รู้ตัว

 

 

“คุณชายสาม?” สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเห็นเข้าก็ตกใจยิ่ง

 

 

คุณชายสามพลันมีสติคืนมา ภายใต้สายตาแปลกใจสงสัยของสาวใช้ เขาเผลอเอ่ยออกไปว่า “ข้ามาหาพี่ใหญ่”

 

 

“คุณชายสามโปรดรอสักครู่” สาวใช้ผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงาน

 

 

ไม่นาน ไป่หลิงก็เดินออกมา นางเชิญคุณชายสามเข้าไปรอที่ห้องโถง

 

 

เมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้องโถง คุณชายสามก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “พี่สะใภ้?” ตามด้วยความลนลาน ครั้นก้มลงมองเสื้อผ้าที่ยังมิทันได้เปลี่ยนของตนจึงยกมือขึ้นจับผมอันยุ่งเหยิงของตนโดยไม่รู้ตัว เขาเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้น “พี่ใหญ่เล่า”

 

 

เจินเมี่ยวสั่งให้อาหลวนไปยกชามา แล้วเอ่ยอธิบายว่า “พี่ใหญ่เจ้ากลับจวนค่ำมาสองวันแล้ว แต่ทุกวันมักกลับมาเวลานี้ อีกสักประเดี๋ยวก็น่าจะถึงแล้ว เจ้านั่งรอสักครู่เถิด”

 

 

สีหน้านางยังคงเรียบเฉยแต่ในใจนั้นรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าคุณชายสามเสียอีก

 

 

เหตุใดสภาพของคุณชายสามประหนึ่งหนีภัยมากระนั้น เขามาที่นี่ในเวลานี้ทำให้นางเข้าใจว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นเสียอีก!

 

 

“ข้ากลับก่อนดีกว่า!” คุณชายสามลุกขึ้นยืนแล้วหมุนกายจากไปทันที

 

 

เขาเดินมาที่นี่เพราะความใจลอย กระทั่งเกิดความคิดที่จะพบหน้าพี่ใหญ่สักครา ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด ทั้งพี่ใหญ่ยังไม่อยู่อีก

 

 

กับพี่สะใภ้ผู้นี้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยด้วยสักนิด

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอันใด เพียงเดินไปส่งคุณชายสามที่หน้าประตู

 

 

กระทั่งคุณชายสามจากไปแล้ว นางมาครุ่นคิดดูจึงกำชับไป่หลิงว่า “พรุ่งนี้เช้าไปสอบถามมาสักหน่อยแล้วกันว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นที่เรือนหน้าหรือไม่”

 

 

ผ่านไปไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็กลับมา เจินเมี่ยวจึงเล่าเรื่องที่คุณชายสามมาหาให้เขาฟัง

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง แล้วจึงเอ่ยกำชับกับนางว่า “ต่อไปเรือนนี้ ไม่อนุญาตให้คนของบ้านรองเข้า”

 

 

เจินเมี่ยวตกใจและสงสัยยิ่ง

 

 

เขาขมวดคิ้วแล้วยื่นมือมาดีดหน้าผากนางคราหนึ่ง “จำไว้ โดยเฉพาะเจ้ารอง เจ้าสาม พวกเขาเป็นบุรุษ หากเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา สาวใช้แค่กลุ่มเดียวไหนเลยจะขวางได้ เจ้ามิใช่ต้องเสียเปรียบแล้วหรอกหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกลังเลเล็กน้อย “เช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ” อย่างไรเสียต่อหน้าก็มิเคยแสดงความขัดแย้งกันเลย

 

 

นางคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นต่อไปหากคุณชายรอง คุณชายสามมาหาท่านตอนที่ท่านไม่อยู่ จะหาข้ออ้างสักอย่างเพื่อให้พวกเขากลับไป หากเป็นอาสะใภ้รอง นางเป็นผู้อาวุโส คงไม่ดีนักหากจะให้นางรออยู่หน้าประตู”

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าไม่พอใจ นางจึงกะพริบตาปริบๆ คราหนึ่ง “ระยะนี้อาสะใภ้รองสุขภาพไม่ค่อยดี วางใจเถิด หากมีเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ คนที่เสียเปรียบยอมไม่ใช่ข้าแน่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

เขากลับลืมไปเสียได้ว่าเจี๋ยวเจี่ยวมิใช่คนที่ชอบแสร้งเป็นคนดีทั้งโอนอ่อนต่อผู้อื่นอันใดเทือกนั้น เรื่องนี้ช่างดีเหลือเกินจริงๆ

 

 

รอกระทั่งเจินเมี่ยวหลับ เขาจึงลูบผมดำขลับที่สยายออกมานั้นของนางพลางครุ่นคิดถึงเจตนาในการมาที่นี่ของคุณชายสาม

 

 

เจ้าเด็กนั้นมาหาเขาด้วยเหตุใด วันนี้มิใช่คึกคักยิ่งแล้วหรอกหรือ

 

 

หรือ…จะสังเกตเห็นเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า หากเป็นเช่นนั้นก็คงมิใช่เจ้าสามแล้วที่มา

 

 

คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดข้อหนึ่ง

 

 

หรือเขาจะมาหาพี่ใหญ่อย่างเขาเพื่อระบาย

 

 

เขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนย่อมต้องเข้าใจดี คนเราเมื่อถึงช่วงเวลาที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดก็มักจะคิดถึงคนคนหนึ่งที่สามารถรับฟังเขาได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันบอกไม่ถูกว่าใจตนนั้นรู้สึกเช่นไรกันแน่

 

 

สุดท้ายจึงแค่นยิ้มเย็นออกมา เรื่องที่ยังมิได้เกิดขึ้นเหล่านั้นก็เป็นเพียงเพราะความเปลี่ยนแปลงของเขามันจึงมิได้เกิดขึ้น มิใช่เพราะสองสามีภรรยาใจเ**้ยมคู่นั้นเกิดสำนึกเสียใจ ดังนั้นเขาไม่ควรละทิ้งการแก้แค้นบ้านรอง ส่วนเจ้าสาม เขาก็จะขอเฝ้าดูอยู่เงียบๆ แล้วกัน

 

 

ราตรีนี้ช่างเหน็บหนาวจันทราโดดเดี่ยว ไม่ทราบว่ามีคนมากเท่าใดที่ยากจะหลับลง

 

 

วันรุ่งขึ้นไป่หลิงก็รีบนำข้อมูลที่ไปสอบถามมารายงานต่อเจินเมี่ยว “ต้าไหน่ไหน่ เขาเล่ากันว่าเมื่อคืนมีคนบุกเข้ามาในเรือนคุณชายรอง แล้ว…แล้ว…”

 

 

“หืม?” เจินเมี่ยวลูบปิ่นลายหงส์คราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไป่หลิง เหตุใดเจ้าจึงพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้เล่า”

 

 

ไป่หลิงเขี่ยเท้าไปมา แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “คนผู้นั้นข่มเหงคุณชายรองเจ้าค่ะ!”

 

 

เชวี่ยเอ๋อร์กำลังยกโจ๊กไป่เหอเข้าได้พอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “บุรุษก็ถูกข่มเหงได้หรือ”

 

 

เรื่องนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อยกระมัง!

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าหนักๆ แล้วกระแอมไอคราหนึ่งภายใต้แววตาสงสัยของบรรดาสาวใช้ “เหลวไหลทั้งเพ!”

 

 

“จริงเจ้าค่ะ คนด้านนอกต่างลือกันไปทั่วว่าตอนนั้นคุณชายสามสวมอาภรณ์ไว้เพียงหมิ่นเหม่ ทั้งยังมีรอยเลือดเต็มกาย แม้แต่…แม้แต่…” ไป่หลิงเขินอายอย่างที่สุด “เฮ้อ วาจานั้นบ่าวพูดออกมาไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวยกโจ๊กไป่เหอขึ้นกินคำหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “หากพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็มิต้องพูดแล้ว”

 

 

ห๊ะ?

 

 

ไป่หลิงสำลักไปเลยทีเดียว แล้วมองเจินเมี่ยวด้วยความเศร้ากึ่งคับแค้นใจ

 

 

ต้าไหน่ไหน่จะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ผู้อื่นจะเขินอายยิ่ง ทว่าเมื่อไปสอบถามข้อมูลที่แปลกจนยากจะจินตนาการได้มาแล้ว หากมิพูดให้หมดคงได้ทำคนอัดอั้นตายแน่!

 

 

นางกระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “บ่าวพูดไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ แต่ในเมื่อต้าไหน่ไหน่ให้บ่าวไปสอบถามข้อมูลมา บ่าวก็จำต้องยอมหน้าหนาเอ่ยมันออกมาแล้วเจ้าค่ะ ข้างนอกต่างลือกันว่ามีคนบุกเข้ามาข่มเหงคุณชายรองจริงๆ หากผู้ใดไม่เชื่อก็ไปดูได้เลยว่าที่บั้นท้ายของคุณชายรองมีปานขนาดเท่าพุทราแดงอยู่หรือไม่!”

 

 

พรืด เจินเมี่ยวพ่นโจ๊กไป่เหอในปากตนออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดีว่า “ไป่หลิง เรื่องนี้ เจ้าไม่พูดก็มิเป็นไรจริงๆ นะ”

 

 

กระทั่งเจินเมี่ยวกินโจ๊กรองท้องเรียบร้อยแล้วจึงรีบไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนอี๋อาน

 

 

เมื่อถึงหน้าประตูก็ได้ยินนางเถียนร่ำไห้พลางเอ่ยฟ้องว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อวานพวกเขาสองพี่น้องดื่มมากไปหน่อยทำให้ลงไม้ลงมือกันขึ้นมา ทว่าผู้ใดจะทราบฟ้ายังไม่ทันสางเลยด้วยซ้ำก็มีข่าวลืออันยากจะทนฟังได้แพร่ออกไป ท่านคิดว่าต่อไปเจ้ารองจะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร จะไปร่ำเรียนได้อย่างไรเจ้าคะ!”

 

 

เมื่อชื่อเสียงด่างพร้อย ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใดคิดว่าก็ยากจะโดดเด่นเหนือบัณฑิตทั้งมวลได้ หากไม่มีความสามารถทั้งยังมีชื่อเสียงเช่นนี้อีกคงไม่มีสิทธิ์กระทั่งเข้าร่วมสอบแล้ว

 

 

“เมื่อวานพวกเขาสองพี่น้องทะเลาะกัน ผู้ที่เห็นเหตุการณ์มีเพียงบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งเท่านั้น ผู้ใดจะทราบว่าจะมีคนกล้าบิดเบือนจนเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่า มิใช่สะใภ้อยากต่อว่า ทว่าหลานสะใภ้อย่างไรก็อายุยังน้อย การดูแลจัดการจวนย่อมมีเผอเรอไปบ้างจึงมิได้กำราบบ่าวไพร่ให้ดี แต่น่าเสียดายที่เจ้ารองต้องมาเสียชื่อเสียงทั้งที่ไม่เป็นความจริง!”

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้ามา นางย่อกายคารวะแล้วรีบเอ่ยขอรับผิดทันที “ท่านย่า อาสะใภ้รองพูดถูกเจ้าค่ะ หลังจากที่ข้าได้ทำหน้าที่ดูแลจวนแล้วก็มิเคยปรับเปลี่ยนบ่าวไพร่ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทั้งในส่วนเรือนหน้าและเรือนหลัง คิดว่าคงถึงเวลาแล้วจริงๆ โชคดีที่อาสะใภ้เอ่ยเตือนเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยคำขอบคุณซ้ำอีกครั้งแต่กลับทำเอานางเถียนสำลักเกือบตาย

 

 

นางบอกว่ามิได้เปลี่ยนบ่าวไพร่ในการปฏิบัติหน้าที่ นั่นมิใช่บอกว่าคนก่อนหน้านี้ที่หน้าจัดไว้ไม่ทำตามหน้าที่ ทั้งเจตนาขัดแข้งขัดขาต้าไหน่ไหน่ในการดูแลจัดการจวนหรอกหรือ

 

 

ความหมายที่ซ่อนอยู่ในวาจานี้ของนางคือต้องการเปลี่ยนบ่าวไพร่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ทั้งในส่วนเรือนหน้าและเรือนหลังงั้นหรือ

 

 

นางดูแลจวนเจิ้นกั๋วกงอันกว้างใหญ่แห่งนี้มานับสิบปีแล้ว ต่างจัดคนแทรกซึมไปในทุกที่ แม้ยามนี้จะมอบอำนาจการดูแลจวนให้เจินเมี่ยวแล้ว แต่ไม่ว่านางจะพูดหรือทำอันใดก็ยังเกิดผลอยู่เช่นเดิม แต่หากเปลี่ยนตำแหน่งการปฏิบัติงานของบ่าวไพร่ขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นภายหน้านางคงยากจะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด