วาสนาบันดาลรัก 232

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 232 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่สี่ รีบเข้ามาเถิด” มุมปากเจินปิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม ขณะเชื้อเชิญให้เจินเมี่ยวเข้าเรือน

 

 

เจินอวี้ย่อกายเล็กน้อย แล้วเอ่ยทักทายอย่างไม่ชิดเชื้อทั้งไม่ห่างเหิน

 

 

เจินปิงถลึงตาให้นางอย่างจนใจ

 

 

เจ้าเด็กผู้นี้ ทั้งที่ตอนทราบว่าพี่สี่หายตัวไปนั้นร้อนใจไม่น้อย แต่ยามนี้ได้พบตัวคนแล้วกลับเอาแต่วางท่าไม่สนใจ

 

 

สตรีผู้หนึ่งมีท่าทีเฉยชาแต่จิตใจดีนั้นมักมิใคร่เป็นที่ชมชอบของผู้คนสักเท่าใด

 

 

เจินปิงมิเพียงคิดเท่านั้นแต่ยังรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย สามพี่น้องพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจึงข่มกลั้นความเขินอายถามออกไปว่า “พี่สี่ ท่านเคยพบฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่วนเวยโหวซึ่งคุ้นเคยกับไท่เฟยหรือไม่?”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนแห่งหยวนเวยโหวเป็นสหายที่คบกันมายาวนานของเจินไท่เฟย ทั้งยังเคยเป็นประธานหลักในพิธีปักปิ่นของเจินหนิง แต่ตอนนั้นเจินปิงและเจินอวี้ยังเด็กจึงไม่มีโอกาสได้พบ

 

 

ตระกูลหวังถูกใจน้องหก งานหมั้นหมายคล้ายว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้แล้ว

 

 

แต่ว่าทีแม่สามีของน้องหกนั้นคือนางเซียวจากจวนหย่วนเวยโหว เป็นบุตรสาวคนโตของฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่วนเวยโหว

 

 

สตรีผู้หนึ่งออกเรือน นางจะมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่ สามีก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่แม่สามีก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นกัน

 

 

หากสอบถามถึงนางเซียวโดยตรง เจินปิงก็กลัวว่าเจินอวี้จะเขินอายจนโกรธเคืองเอา จึงเอ่ยถามอ้อมไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนมารดาของนางเซียว

 

 

ต่างกล่าวกันว่าดูบุตรต้องดูที่มารดา หากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซุนเป็นคนใจกว้างน่าชิดใกล้ นางเซียวก็คงไม่แตกต่างกันมากสักเท่าใด

 

 

เจินเมี่ยวไหนเลยจะทราบถึงการเอ่ยถามอันแสนอ้อมค้อมนี่ เมื่อได้ฟังจึงเอ่ยว่า “เคยไปงานเลี้ยงฉลองที่จวนหย่วนเวยโหวคราหนึ่ง เคยพบเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนใจดียิ่ง น้องห้าถามเรื่องนี้ไปไยหรือ?”เจินปิงหน้าแดงไปหมด “เพียงแค่แปลกใจว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่สนิทสนมกับไท่เฟยเป็นคนเช่นไรเท่านั้น”

 

 

เมื่อนางปิดบังไว้ก็ยิ่งละอายใจ ใบหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ

 

 

กลับเป็นเจินอวี้เสียมากกว่าที่ทนไม่ไหว เอ่ยออกไปว่า “พี่ห้า ท่านจะระมัดระวังเพียงนี้ไปไยกัน?”หลังจากนั้นจึงอธิบายให้เจินเมี่ยวฟังว่า “ตระกูลหวังคิดจะเกี่ยวดองกับจวนปั๋วของเรา”

 

 

แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

 

 

เจินเมี่ยวจึงมองเจินปิงอย่างจนใจ น้องห้าผู้นี้คิดสิ่งใดละเอียดเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดก็คิดมากไปเสียหมดจะมีความสุขได้อย่างไร จึงเอ่ยเย้าว่า “ที่แท้น้องห้าก็อยากจะสอบถามเรื่องแม่สามีในอนาคต มิน่าเล่าถึงได้เขินอาย”

 

 

ครานี้เจินปิงเขินอายขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางโบกเป็นพัลวันพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้า น้องหกต่างหาก!”

 

 

เจินเมี่ยวมองเจินอวี้ด้วยความตกใจเล็กน้อย

 

 

เจินอวี้ใบหูแดงขึ้นมา แต่กลับเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเอ่ยว่า “เป็นข้าแล้วอย่างไรเล่า สตรีไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องออกเรือน มีอันใดให้เขินอายกัน”

 

 

เมื่อเจ้าตัวมีท่าทีเปิดเผยเช่นนี้ หัวข้อสนทนาจึงมิได้ดูขัดเขินถึงเพียงนั้นแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามไปตามปากว่า “เช่นนั้นงานมงคลของน้องห้าก็ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน?”

 

 

แม้นเจินปิงกับเจินอวี้จะเป็นแฝดกัน แต่ยังคงให้ความสำคัญกับลำดับอายุ อย่างไรก็ไม่มีทางที่เจินอวี้จะหมั้นหมายก่อนพี่สาวได้ นางจึงถามเช่นนี้ออกไป

 

 

“ยังเจ้าค่ะ เพราะข้าแท้ๆ จึงทำให้น้องสาวต้องลำบากไปด้วย” รอยยิ้มที่มุมปากเจินปิงหดหายไปทันที

 

 

ความจริงการพูดคุยเรื่องหมั้นหมายตอนอายุสิบสามนั้นมิใช่ได้ช้าเกินไป ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ จนอายุสิบสี่สิบห้าก็มีอยู่มากมาย เพียงแต่บังเอิญว่าตระกูลหวังถูกใจเจินอวี้เท่านั้น เจินปิงที่เป็นพี่จึงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง

 

 

เจินอวี้หลุดหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยเนิบนาบว่า “พี่ห้า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าระยะนี้ท่านแม่ไปมาหาสู่กับฮูหยินขุนนางสกุลเมิ่งอยู่บ่อยครั้ง”

 

 

“น้องหก!”

 

 

“ดังนั้นถึงบอกว่าท่านมิต้องคิดมาก อีกอย่างเรื่องการแต่งงานก็มิอาจบังคับกันได้ หากตระกูลนั้นรอมิได้ก็แค่ไร้วาสนาต่อกันเท่านั้น เลิกคิดว่าตนเป็นตัวถ่วงเสียที”

 

 

“พอแล้ว เจ้าปากคอเราะราย เลิกพูดได้แล้ว” เจินปิงเอ่ยดุด้วยโทสะ

 

 

อาจเพราะได้พูดคุยถึงความลับที่สุดระหว่างกัน บรรยากาศระหว่างสามพี่น้องจึงดูเป็นกันเองมากขึ้น เจินอวี้พลันกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “พี่สี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ เจินจิ้งกลับมาเยี่ยมจวนด้วย”

 

 

“น้องหก เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าต้องเรียกพี่สาม เจ้าไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ หากผู้อื่นทราบเข้าคงถูกหัวเราะเยาะแน่”

 

 

เจินอวี้แค่นหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง “ข้าไม่มีพี่สามที่หน้าไม่อายจนต้องไปเป็นอนุ!”

 

 

“อ้อ พี่สามกลับมาด้วยหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจขึ้นมา

 

 

ต่อให้ข้าไปอยู่ในตำหนักองค์ชาย แต่อนุก็ยังคงเป็นอนุ หากมิได้เลื่อนขั้นเป็นพระชายารอง ไหนเลยจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ ทั้งหลานอี๋เหนียง มารดาของนางก็มิอยู่แล้ว

 

 

“ใช่ อย่าไปมองว่านางวางท่าชูคอ ข้ามองแค่ครู่เดียวก็ดูออกว่านางภาคภูมิใจในสิ่งใด คล้ายว่าองค์ชายหกทรงโปรดปรานนางมากกระนั้น หึๆ ต่อให้โปรดปรานเท่าใด องค์ชายหกก็มิอาจเสด็จมาเยี่ยมบ้านกับนางได้อยู่ดีมิใช่หรือ?”

 

 

อย่าว่าแต่องค์ชายหกเลย ต่อให้เป็นปุถุชนคนธรรมดา หากบุรุษใดกลับไปเยี่ยมบ้านมารดากับอนุคงได้ถูกคนทั่วหล้าขบขันเป็นแน่

 

 

เจินปิงทอดถอนใจ “น้องหก แต่เจ้าก็มิควรพูดออกไปเช่นนั้น อย่างไรก็เป็นคุณหนูจากจวนเรา หากนางเสียชื่อ เราจะมีเกียรติเหลืออยู่สักเท่าใดเล่า?”

 

 

เจินอวี้พ่นเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา “นางมีอันใดไม่ดีหรือ”

 

 

เพราะนางท่านแม่ถึงกับด่าว่าข้าอยู่เป็นนาน!

 

 

“ท่านแม่ก็ทำเพื่อเจ้า ได้ยินว่าแม้นอนุในตำหนักองค์ชายหกจะมากมาย แต่กลับปฏิบัติต่อพี่สามไม่เหมือนผู้ใด ภายหน้าหากนางมีบุตรก็เป็นเชื้อสายจากจวนปั๋วเรา นางอาจได้เป็นพระชายารองขององค์ชายก็ได้ ถึงยามนั้นทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าเจินเมี่ยว เจินอวี้ก็ยิ่งมิอาจกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้ นางเชิดคางขึ้นเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่พระชายารองเลย ต่อให้เป็นกุ้ยเฟย นางก็มิอาจใส่ชุดสีแดงได้! ถึงตอนนั้นข้าจะใส่ชุดสีแดงทุกวัน ทิ่มแทงให้นางตาบอดไปเลย!”

 

 

เจินปิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นางยื่นมือไปปิดปากเจินอวี้ไว้ “น้องหก เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”

 

 

อำนาจของพระบรมวงศานุวงศ์ในความคิดของเจินเมี่ยวนั้นมิได้ยิ่งใหญ่อันใด แต่ก็ทราบว่าวาจาเช่นนี้มิอาจให้หลุดรอดออกไปได้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “พูดถึงอาภรณ์ กลับมาถึงเมืองหลวงยังไม่มีเวลาไปเดินตลาดเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงผู้คนนิยมลวดลายสีสันใดอยู่หรือ?”

 

 

เจินอวี้เองก็รู้ว่าตนกล่าวล่วงเกินไป จึงมิพูดถึงอีก สามพี่น้องจึงหลบเลี่ยงหัวข้ออันสุ่มเสี่ยงนี้ไปพูดเรื่องเครื่องประดับและอาภรณ์แทน

 

 

แต่ในใจเจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกแปลกใจกับเจตนาการกลับมาที่จวนปั๋วของเจินจิ้งอยู่ตลอด

 

 

คงมิใช่มาเพื่ออวดอ้างตนเท่านั้นกระมัง?

 

 

ผ้าม่านเนื้อละเอียดถูกแหวกออก สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานว่า “คุณหนูห้า คุณหนูหก ฮูหยินบอกว่าหากพวกท่านมีเวลาว่างให้ไปพบด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

“รู้แล้ว” เจินปิงเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

สาวใช้ผู้นั้นลอบมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วถอยออกไป

 

 

เจินเมี่ยวมิอาจอยู่ได้นาน นั่งอีกสักครู่นางก็ขอตัวกลับ

 

 

เจินปิง เจินอวี้จึงไปที่สวนฟางเฟย

 

 

“ท่านแม่เรียกพวกเรามามีเรื่องใดหรือ?”

 

 

นางหลี่สีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดจึงเพิ่งมา?”

 

 

“ท่านแม่ ท่านไม่ทราบหรือว่าพี่สี่อยู่ที่เรือนเรา?” เจินอวี้เอ่ยบ่น

 

 

“พวกเจ้าออกไปให้หมด!” นางหลี่ชี้ไปที่สาวใช้ในห้องทุกคน

 

 

กระทั่งสาวใช้ทั้งหลายย่อกายแล้วเดินออกไป นางหลี่จึงร้องขึ้นด้วยโทสะ “พวกเจ้าสองคนมันโง่งม อยู่กับนางเช่นนั้น หรือเกรงว่าไออัปมงคลของนางจะติดตัวมาไม่มากพอ!”

 

 

“ท่านแม่ ท่านพูดเช่นนี้หมายความอย่างไร?”

 

 

เจินอวี้ฟังแล้วรู้สึกบาดหูยิ่ง ในขณะเดียวกันก็แปลกใจด้วย

 

 

ก่อนหน้านี้ที่พี่สี่มา ท่านแม่ยังเกรงอกเกรงใจนักหนามิใช่หรือ แล้วจู่ๆ เป็นอันใดไป?

 

 

นางหลี่สะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ข้าเห็นว่านางแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ สามียังมีตำแหน่งใหญ่โต พวกเจ้าสองคนจึงพอได้พึ่งใบบุญสักหน่อย แต่นอกจากจะพึ่งไม่ได้แล้วยังทำลายวาสนาผู้อื่นอีก! ”

 

 

สองพี่น้องสบตากันมิเอ่ยวาจา

 

 

นางหลี่ทนไม่ได้จึงเอ่ยออกมาว่า “ตัวโง่งมเช่นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า เรื่องที่คุยกับตระกูลขุนนางสกุลเมิ่งใกล้จะสำเร็จแล้ว ข้ากับเมิ่งฮูหยินยังนัดกันไปไหว้พระที่วัดต้าฝูอีกด้วย ผู้ใดจะคิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันฝ่ายนั้นไม่เพียงไม่พูดจา เมื่อครู่ยังส่งเทียบมาแจ้งว่าเมิ่งฮูหยินไม่สบาย มิอาจไปร่วมไหว้พระได้แล้ว”

 

 

“ไม่ไปก็ไม่ไปสิ” เจินอวี้เอ่ยพึมพำขึ้น

 

 

เจินปิงเม้มปากแน่นมิเอ่ยวาจา

 

 

นางหลี่ตบเจินอวี้ไปฉาดหนึ่ง “เจ้ารู้อันใด นี้เป็นการปฏิเสธทางอ้อม งานมงคลของพี่ห้าเจ้ามันจบแล้ว! เป็นเพราะเจ้าสี่นั้นแลที่ทำลายมัน!”

 

 

“ข้ารู้ จบก็จบสิ หรือเราต้องแบกหน้าไปขอร้องให้ได้ เช่นนั้นต่างหากจึงจะเรียกว่าทำร้ายพี่สาว”

 

 

นางหลี่โมโหจนแทบทนไม่ไหว “เจ้าเด็กคนนี้ช่างพูดง่ายดายนัก บุตรสาวคนโตของขุนนางสกุลเมิ่งเป็นพระชายาขององค์ชายสามทีเดียว นี่เป็นตระกูลที่ดีที่สุดตระกูลหนึ่ง ยามนี้ทุกอย่างพังไปแล้ว จะหากตระกูลที่ดีเช่นนี้ได้อีกก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าใด ถึงตอนนั้นหากตระกูลหวังเกิดคิดเปลี่ยนใจอันใดขึ้นมาอีก ข้าไม่ยอมแน่ จะไม่ละเว้นปีศาจจอมทำลายล้างอย่างเจ้าสี่แน่!”

 

 

“ท่านแม่ น้องสาวพูดถูก จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่วาสนา แล้วเกี่ยวอันใดกับพี่สี่เล่า?”

 

 

นางหลี่โมโหจนต้องกลอกตาไปมา “ยามนี้ในเมืองหลวงต่างลือกันว่า เจ้าสี่มิได้รับความโปรดปรานจากไท่โฮ่วและหวงโฮ่ว เพราะเห็นแก่หน้าของหลัวซื่อจื่อนางจึงมิเป็นอันใด ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสี่ อาจจะถูกผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายโกรธเคืองเอาได้ มิเช่นนั้นจวนขุนนางสกุลเมิ่งคงไม่มาปฏิเสธเราเอายามนี้ ทั้งที่แต่ก่อนก็มิได้มีท่าทีอันใดดอก”

 

 

“หากปฏิเสธเพราะสาเหตุนี้ ก็มิต้องไปเกี่ยวดองอันใดกับพวกเขาแล้ว” เจินอวี้เอ่ยอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน

 

 

แต่เจินปิงกลับก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ เรื่องขุนนางสกุลเมิ่ง ท่านพ่อทราบหรือไม่?”

 

 

นางหลี่ถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หลังจากเกิดเรื่องกับเจ้าสี่ บิดาเจ้าก็รีบตามไปที่เหอเป่ยด้วยความร้อนใจดุจไฟเผา เขาไหนเลยจะมาสนใจเรื่องนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าตระกูลจึงเหมาะสมกับบุตรสาวของเขา”

 

 

ตอนนั้นกำลังจะปรึกษาเรื่องงานหมั้นหมายกับตระกูลหวัง นายท่านรองสกุลหลัวก็รีบออกเดินทางไปก่อน นางหลี่กลับนั่งอยู่บนกองเพลิง อยากจะให้บุตรสาวคนโตได้แต่งงานกับตระกูลที่ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะได้เห็นเสียที

 

 

ไหนเลยจะคิดว่าตั้งแต่นายท่านรองสกุลเจินกลับถึงจวน ก็แทบไม่มาเหยียบเรือนหลังเลย เพราะเขานำคนนอกมาด้วยสองคนจึงกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น กระทั่งตอนนี้นางจึงไม่มีโอกาสบอกเขา

 

 

เจินปิงฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ทันที “ท่านแม่ ลูกเข้าใจว่าท่านพ่อทราบเรื่องนี้แล้ว หากท่านพ่อยังไม่ทราบ ตามความเห็นของลูกแล้ว งานมงคลนี้ไม่เกิดขึ้นนั้นดีกว่า”

 

 

แม้นพี่สามจะเป็นเพียงอนุขององค์ชายหก แต่อย่างไรก็มีความเกี่ยวข้องกับจวนเจี้ยนอานปั๋ว หากยังไปเกี่ยวข้องกับตระกูลขุนนางเมิ่งอีก เช่นนั้นก็ย่อมต้องเกี่ยวดองกับองค์ชายสามด้วย

 

 

แม้นนางจะถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลัง แต่หลักการเหล่านี้นางเข้าใจดี ตระกูลหนึ่งๆ หากเกี่ยวดองกับองค์ชายถึงสองพระองค์ จุดจบย่อมน่าเศร้าและโดดเดี่ยว

 

 

นางคิดว่าบิดาทราบเรื่องนี้จึงมิได้คัดค้าน บางทีอาจมีนัยอันลึกซึ้งที่นางคิดไม่ถึง แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้เป็นท่านแม่กระทำเองโดยพลการ

 

 

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าเช่นใด?”

 

 

นางหลี่ฟังแล้วปวดใจยิ่ง

 

 

อันใดกัน งานมงคลของบุตรสาว นางผู้เป็นมารดามิอาจตัดสินใจได้ มีเพียงบิดาเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินใจได้งั้นหรือ?

 

 

เจินปิงเพียงยิ้ม “ท่านแม่ถามท่านพ่อดูก็จะเข้าใจ”

 

 

เมื่อเห็นว่าบุตรสาวผู้หนึ่งช่างเถียง อีกผู้หนึ่งก็ยากจะคาดเดา นางหลี่จึงปวดใจขึ้นมาคราหนึ่ง นางโมโหจนถามต่อไปไม่ได้แล้ว

 

 

กระทั่งพลบค่ำ นายท่านรองสกุลเจินถึงได้เหยียบย่างไปที่เรือนหลังในที่สุด นางหลี่จึงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาฟัง

 

 

นายท่านรองสกุลเจินฟังแล้ว ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ “ปิงเอ๋อร์พูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”

 

 

สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของเขา

 

 

ทั้งยังมีข่าวลือของเมี่ยวเอ๋อร์ที่ทำให้งานมงคลนี้ถูกล้มเลิกไปโดยปริยาย เขาอยากจะดื่มฉลองสักคราจริงๆ

 

 

ไม่อยากจะคิดจริงๆ ว่าหากนางหลี่ปกปิดเขากระทั่งไม้กลายเป็นเรือ เขาควรจะจัดการอย่างไรดี

 

 

“ท่านพี่ ที่แท้แล้วพวกท่านหมายความว่าเช่นใดกันแน่?”

 

 

นายท่านรองสกุลเจินลอบสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใดดอก ในเมื่อจวนขุนนางสกุลเมิ่งยกเลิกเรื่องนี้แล้ว ย่อมแสดงว่าเขามิใช่คู่ที่ดีต่อกัน มิจำเป็นต้องไปเสียดายอีก”

 

 

หากบอกออกไปตามตรงว่าจำต้องหลีกเลี่ยงการเกี่ยวดองกับองค์ชายสาม ด้วยอุปนิสัยของนางหลี่ก็ยากจะรับรองว่าเรื่องนี้จะไม่เล็ดลอดออกไป ถึงตอนนั้นคงมิอาจหลีกเลี่ยงหายนะได้

 

 

“ฮูหยิน จำไว้ว่าต่อไปเรื่องหมั้นหมายของปิงเอ๋อร์ เจ้าต้องปรึกษากับข้าก่อนรู้หรือไม่”

 

 

เมื่อเห็นนายท่านรองสกุลเจินเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน นางหลี่ก็ฝืนพยักหน้ารับไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด