วาสนาบันดาลรัก 439 วันคล้ายวันเกิดของพระชายาอานจวิ้นอ๋อง

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 439 วันคล้ายวันเกิดของพระชายาอานจวิ้นอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่นานก็ล่วงเข้าสู่เหมันต์ และเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระชายาอานจวิ้นอ๋องพอดี เจินเมี่ยวจับเทียบเชิญนั้นแน่นพลางถอนหายใจออกมา

 

 

อากาศหนาวเช่นนี้นางอยากจะกินหม้อไฟอยู่เรือนมากกว่า ผู้ใดอยากจะออกไปร่วมงานเลี้ยงเล่า แม้อาหารต่างๆ มากมายในงานเลี้ยงจะรสชาติไม่เลวเลย แต่เมื่อใส่ปากไปกลับเย็นชืดไปหมด ไหนเลยจะสู้อยู่เรือนตนได้ แค่หั่นเต้าหู้สีขาวเนียนเป็นแผ่นบางๆ แล้วจุ่มลงไปในหม้อที่เดือดปุดๆ ยกขึ้นจิ้มกับน้ำจิ้มกิน มันอุ่นร้อนจากข้างในไปจนถึงข้างนอกเลยทีเดียว

 

 

“ให้เด็กทั้งสองอยู่ที่นี่เถิด อากาศหนาวยิ่ง” หลัวเทียนเฉิงมีภารกิจที่ต้องทำจึงเอ่ยกำชับก่อนออกจากเรือน

 

 

“ทราบแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องมองใบหน้าขาวเนียนของเจินเมี่ยวแล้วทอดถอนใจอยู่ในอก เขายกมือขึ้นเก็บปอยผมทัดที่หลังหูให้นาง ในแววตามีความกังวลพาดผ่านไป

 

 

“เป็นอันใดหรือ” ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน เมื่ออีกฝ่ายมีบางอย่างผิดแปลกไปก็ย่อมสัมผัสได้ไม่มากก็น้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงไม่ตอบนาง เพียงปรบมือคราหนึ่ง สาวใช้ผู้หนึ่งจึงเดินก้มหน้าเข้ามา

 

 

เจินเมี่ยวมองเขาด้วยความแปลกใจ

 

 

“นางชื่อเหยาหง เจ้าไปงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ให้นางกับชิงไต้ไปด้วยเถิด”

 

 

“คารวะต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ” เหยาหงย่อกายคารวะอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่าง หน้าตาธรรมดายิ่ง แม้แต่เสียงก็ไม่มีอันใดพิเศษเฉพาะเลย

 

 

“มิต้องมากพิธีแล้ว” เจินเมี่ยวเกิดสงสัยขึ้นในใจจึงโบกมือให้นางออกไปแล้วหันมองหลัวเทียนเฉิง “ซื่อจื่อ จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวไปนั่งแล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าจำเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูได้หรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

“ตอนนั้นตัดสินว่าเป็นความละโมบของกรมพระคลัง หลังจากกลับมาเมืองหลวงข้าจึงสืบเรื่องนั้นต่อ ไม่นานมานี้ได้เบาะแสบางอย่างมา คล้ายว่าจะเป็นฝีมือของอานจวิ้นอ๋อง”

 

 

“อานจวิ้นอ๋อง?” เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “หรือเพราะคนเสเพลผู้นั้นเที่ยวกินเล่นจนผลาญเงินหมดไปแล้ว ถึงได้คิดเล่นงานกองทัพเช่นนี้”

 

 

หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเล่าความคิดของตนให้เจินเมี่ยวฟังว่า “ข้ากลัวแต่ว่าเขาจะมีความคิดอื่นเสียมากกว่า”

 

 

“ความคิดอื่นหรือ” เจินเมี่ยวอึ้งไป เมื่อเริ่มจะเข้าใจนางพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเกี่ยวพันกันไปไกลนักจึงออกจะรับไม่ได้อยู่สักหน่อย

 

 

“คนเช่นเขาน่ะหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ใช่ คนเช่นเขานั่นแล”

 

 

ยามที่คนทั้งหลายกำลังคิดว่าอานจวิ้นอ๋องเป็นคนเช่นนั้นอยู่ ความจริงเขามิได้เป็นอย่างที่แสดงออกเลย และใจของเขาก็ใหญ่อย่างไม่ธรรมดาทีเดียว

 

 

เดิมเขามิเคยคิดสงสัยอานจวิ้นอ๋องเลยแต่เพราะเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูนั้นมิเคยเกิดขึ้นในชาติก่อนเลย เขาจึงตัดสินใจสืบหาเบาะแสอีกครั้งหลังจากพิจารณาอยู่นาน

 

 

เมื่อเรื่องเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนชาติก่อน อย่างไรก็ต้องมีคนทำให้มันเกิดขึ้น เขาจึงนึกถึงอานจวิ้นอ๋องที่เดิมควรจะตายไปนานแล้ว

 

 

หรืออาจเป็นเพราะจวินเฮ่ามาเมืองหลวงเร็วกว่ากำหนด อานจวิ้นอ๋องจึงตกเป็นจุดสนใจของเขาไปด้วย ทั้งยังมักปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญเสมอๆ

 

 

หากคคนเรามีแผนการ ต่อให้ปกติจะรอบคอบเพียงใดก็มักจะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

 

 

“เจ้าไปปรากฏตัวสักครู่ก็พอแล้วหาข้ออ้างกลับมาเสีย ข้ากลัวว่าครานี้คงเกิดเรื่องแน่”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวลุกขึ้น “สายแล้ว ท่านรีบไปเถิด ไม่ต้องห่วงข้า ข้ารับมือได้”

 

 

นางหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ใส่ให้เขา หลัวเทียนเฉิงผูกเชือกพลางเอ่ยว่า “วางใจได้ อย่างไรเจ้าก็ต้องปลอดภัย”

 

 

หลังจากเขาไปแล้ว เจินเมี่ยวก็ไปที่ห้องด้านข้าง

 

 

“ท่านแม่” เสียงเกอเห็นมารดาเดินเข้ามาก็เดินเข้าไปยื่นมือขึ้นหวังให้นางอุ้มตน

 

 

อี้เกอเห็นแล้วก็ร้อนใจ เขายังเดินได้ไม่คล่องเท่าพี่ชายจึงใช้เท้าและมือคลานไปหานางแทน แต่ความเร็วกลับไม่ด้อยไปกว่าเสียงเกอเลย

 

 

เขายังคงไม่ค่อยพูดจา เพียงขยับกายเข้าหาอ้อมอกของเจินเมี่ยวแล้วเบียดเสียงเกอออกไป

 

 

เสียงเกอเบ้ปากจะร้องไห้ แต่คิดไม่ถึงว่าอี้เกอกลับหันมาแล้วหอมแก้มเขาคราหนึ่ง เขาจึงไม่ร้องไห้แล้ว

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับพูดไม่ออก นางยกมือขึ้นกอดทั้งสองแล้วหอมแก้มพวกเขาก่อนเอ่ยว่า “เสียงเกอกับอี้เกออย่าดื้อล่ะ เดี๋ยวแม่กลับมาจะทำของอร่อยๆ ให้พวกเจ้ากิน”

 

 

เสียงเกอพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนอี้เกอนั้นยิ้มจนแทบไม่เห็นตา เขาปรบมือด้วยความดีใจยิ่ง

 

 

เจินเมี่ยวคิดอยู่เงียบๆ ว่าผู้ใดว่าอี้เกอไม่รู้ประสาเล่า เจ้าเด็กอ้วนนี้เข้าใจอันใดได้ดีทีเดียว ความกังวลก่อนหน้านี้ของนางช่างไร้ความหมายจริงๆ

 

 

ส่วนเรื่องที่เขาคิดถึงแต่การกินนั้น เหอะๆ อย่างไรจวนกั๋วกงก็เป็นตระกูลใหญ่ร่ำรวย เขาไม่จำเป็นต้องเก่งกาจโดดเด่นอันใดก็มีกินไปจนตาย

 

 

เมื่อกำชับสาวใช้ทั้งหลายให้ดูแลเด็กน้อยทั้งสองอย่างดีแล้ว เจินเมี่ยวก็พาชิงไต้และเหยาหงออกไปทันที

 

 

ระหว่างทางบังเอิญพบเข้ากับรถม้าของฉงสี่เซี่ยนจู่ นางจึงปีนเข้ามาในรถม้าเจินเมี่ยวอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

 

 

กล่าวไปแล้วฉงสี่เซี่ยนจู่ก็อายุมากกว่าเจินเมี่ยวอยู่สักหน่อย ทว่ายามนี้กลับยังคงไม่ออกเรือน คล้ายมีความสุขยิ่งที่เป็นเช่นนี้ แต่ที่แปลกคือเจาอวิ๋นจั่งกงจู่กลับปล่อยตามใจนาง

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่หยิบขนมชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากินแล้วยิ้มพลางว่า “จยาหมิง อยู่กับเจ้านั้นสบายใจที่สุดจริงๆ ระยะนี้ผู้ใดเห็นข้าก็มักจะเป็นห่วงกับชีวิตบั้นปลายของข้าอยู่เสมอ”

 

 

“ข้าก็เป็นห่วงเช่นกัน” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ยื่นมือออกมาหยิกแก้มนางแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ชูสยาเขียนจดหมายมาหาเจ้าแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “ท่านก็ได้รับแล้วหรือ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ พริบตานางก็มีบุตรชายเสียแล้วทั้งยังเป็นหวงโฮ่วที่ใหญ่ที่สุดเสียด้วย”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ทั้งสองก็หันไปสบตากันแล้วหัวเราะออกมา

 

 

หมานเหว่ยไม่เหมือนกับต้าโจว ภรรยาทั้งหลายในพระบรมวงศานุวงศ์นั้นยากจะแบ่งว่าผู้ใดใหญ่กว่าผู้ใด แต่ในจดหมายของชูสยานั้นนางได้เขียนเอาไว้ว่า “ไม่มีอันใดยากเลย แค่เขี่ยพวกที่คิดจะปีนป่ายขึ้นมาเหล่านั้นให้ตกลงไปก็ไม่มีผู้ใดแย่งชิงกับข้าแล้ว”

 

 

คนทั้งสองลงจากรถม้าด้วยกันก็ถูกเชิญให้เข้าไปในจวน

 

 

เมื่อถึงห้องรับรองเจินเมี่ยวจึงเห็นว่าพระชายาหย่งอ๋องมิได้มาด้วย หลังจากทักทายกับคนคุ้นเคยเรียบร้อยแล้วนางกับฉงสี่เซี่ยนจู่ก็หาที่นั่งในมุมมุมหนึ่ง

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่กวาดตามองคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “องค์หญิงฟางโหรวก็มาด้วย”

 

 

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว

 

 

องค์หญิงฟางโหรวอยู่ในช่วงเจริญวัย ตอนนี้นางได้กลายเป็นสาวน้อยผู้แสนงดงามไปเสียแล้ว ได้ยินข่าวแว่วมาว่าเจาเฟิงตี้จะให้นางหมั้นหมายกับเจี่ยงเฉินบัณฑิตผู้สอบได้อันดับสาม แน่นอนว่าเรื่องนี้มิได้มีการพูดกันอย่างเปิดเผย แต่แค่ได้ยินเช่นนี้ก็มากพอจะทำให้คนขัดใจยิ่งแล้ว

 

 

“ญาติผู้พี่ เหตุใดจึงมาหลบที่นี่เล่า” องค์หญิงฟางโหรวเดินเข้ามา นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูกทันที

 

 

“เดิมก็นั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยเสียงเรียบ

 

 

“โอ๊ย นั่งตรงนี้มันไกลเกินไป พี่สะใภ้สิบสามเชิญคุณชายจวินมาด้วย ประเดี๋ยวคงฟังเสียงดนตรีไม่ถนัดแน่”

 

 

“องค์หญิงก็ทราบดีว่าข้าชอบเดิมหมากรุกเท่านั้น เรื่องฟังเพลงบรรเลงอันใดมิสำคัญหรอก”

 

 

“ตามใจท่านเถิด” องค์หญิงฟางโหรวถูกหักหน้าเช่นนั้นก็เดินกระทืบเท้าออกไป ก่อนไปยังหันมาถลึงตาให้เจินเมี่ยวด้วย

 

 

คนทั้งสองไม่ไยดีอันใด ยังคงสนทนากันต่อไป

 

 

งานเลี้ยงฉลองดำเนินไปครึ่งทางแล้ว เจินเมี่ยวจึงเอ่ยอ้างว่าจะไปห้องปลดทุกข์ นางหยิบแป้งประทินผิวที่เตรียมไว้ออกมาทาหน้าให้ขาวซีด แล้วใช้คันฉ่องขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาส่องดูอยู่เป็นนาน เมื่อมั่นใจว่าเหมือนคนไม่สบายแล้วจึงกลับไปเอ่ยขออภัยกับพระชายาอานจวิ้นอ๋อง “อาจเพราะระหว่างทางมีลมพัดแรง จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก คงต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”

 

 

พระชายาอานจวิ้นอ๋องเห็นท่าทางของนางแล้วก็มิกล้าเอ่ยรั้งจึงเพียงพูดว่า “ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าเอง”

 

 

“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไปส่งจยาหมิงเอง” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยขึ้น

 

 

ทั้งสองออกจากห้องรับรองไป ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้ก็บังเอิญพบเข้ากับจวินเฮ่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด