วาสนาบันดาลรัก 289 เทศกาลโคมไฟ

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 289 เทศกาลโคมไฟ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

เจินเมี่ยวได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา ครั้นคิดถึงเสี่ยวฉานที่ถูกไล่ออกไปแล้วก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยปลอบอยู่หลายคำแล้วพาเจี้ยงจูไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

เรือนชิงเฟิงพลันขาดสาวใช้ไปคนหนึ่ง แม้นคนทั้งหลายจะไม่พูดสิ่งใดแต่ก็ซุบซิบอยู่ในใจโดยเฉพาะจื่อซู ในที่สุดวันนี้นางก็ทนไม่ได้แล้วจึงเข้าไปคุกเข่าขอรับผิด “ต้าไหน่ไหน่ ขอท่านโปรดลงโทษบ่าวด้วย”

 

 

เวลานี้ภายในห้องยังมีไป๋เสาและไป่หลิงคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ เจินเมี่ยวส่งสัญญาณให้ไป่หลิงไปประคองจื่อซูให้ลุกขึ้น แล้วเอ่ยว่า “นักปราชญ์ครุ่นคิดนับพันครั้งยังพลาดพลั้ง ครานี้ซื่อจื่อต้องใช้องครักษ์ลับไปสืบประวัติเจี้ยงจูถึงได้รู้ว่านางมีบางอย่างผิดปกติ เรื่องนี่จะโทษเจ้าได้อย่างไร”

 

 

จื่อซูมีสีหน้ารู้สึกผิดยิ่ง “ทว่าหากตอนนั้นบ่าวมิเลือกเจี้ยงจูเข้ามาก็คงไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น”

 

 

เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “ทองแท้อย่างไรก็ย่อมส่องประกาย”

 

 

ด้วยรูปโฉมและความสามารถของเจี้ยงจู ในเมื่อนางแฝงตัวเข้ามาในสวนเฉินเซียงได้ คนมีความสามารถไม่ช้าก็เร็วจักต้องโดดเด่นขึ้นมาแน่ ส่วนคนที่จะดึงนางขึ้นมานั้นหากมิใช่จื่อซูก็อาจจะเป็นไป๋เสา หรืออาจเป็นตัวนางเองด้วยซ้ำ

 

 

ดังนั้นการสืบพบว่าเจี้ยงจูมีใจอันไม่บริสุทธิ์ แม้นจะทำให้นางตกใจและโกรธเคืองแต่ก็มิได้เสียใจอันใดปานนั้น เมื่อลองตรองดูก็พบว่าเพราะเจี้ยงจูผู้นั้นแม้นจะมากความสามารถ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตั้งแต่พบหน้านางตนก็มิได้ถูกชะตาอันใดหนักหนา เมื่อมิได้ใส่ใจกับคนผู้หนึ่งสักเท่าใดก็ย่อมมิอาจพูดได้ว่าเสียใจถึงเพียงนั้น

 

 

เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “รีบลุกขึ้นเถิด หากจื่อซูรู้สึกผิดต่อข้า ต่อไปก็ตั้งใจทำงานให้มากขึ้นก็พอ มิใช่เพราะใกล้จะออกเรือนแล้วจึงเอาแต่คิดถึงวันแต่งงาน”

 

 

วาจานี้ทำให้จื่อซูหน้าแดงไปหมดแต่กลับเขินอายจนมิกล้าพูดอันใดสักคำ

 

 

เจินเมี่ยวกวาดตามองพวกนางที่อยู่ภายในห้องคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความจริงข้ากลับดีใจด้วยซ้ำที่คนผู้นั้นมิใช่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง สืบรู้ความเร็วเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่ดียิ่ง”

 

 

คนทั้งสามพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมา

 

 

โดยเฉพาะไป๋เสาที่หลังจากเสียโฉมแล้วนั้นก็คิดได้หลายอย่าง นางรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ของนางมีบางอย่างพิเศษอย่างที่สตรีธรรมดาทั่วไปไม่มี

 

 

หากเป็นผู้อื่นพบเจอเรื่องเช่นนี้คิดว่าคงเสียใจและโกรธแค้นผู้ที่หักหลังตน แต่คุณหนูกลับมองไปในด้านดี จิตใจกว้างขวางมิคิดเล็กคิดน้อยจึงมิแปลกที่จะมีความสุขมากล้นเช่นนี้

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ในเมื่อเจี้ยงจูไม่อยู่แล้ว ตำแหน่งที่ว่างก็จักต้องรีบหาคนมาแทน ผู้อื่นได้มิคอยจ้องจนเกิดทำการไม่ดีอันใดขึ้น” ไป๋เสาเอ่ยเตือน

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ไป่หลิง สาวใช้น้อยที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดเรือนที่เราพบวันนั้นชื่ออันใดหรือ นางดูฉลาดพูดจาฉะฉานยิ่ง”

 

 

ไป่หลิงรีบตอบว่า “บ่าวได้ไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ นางชื่อว่ามู่จือ”

 

 

“เลือกนางแล้วกัน”

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ เราควรตรวจสอบให้ละเอียดอีกสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” เพราะเรื่องของเจี้ยงจูทำให้ไป่หลิงรู้สึกมิใคร่วางใจนัก

 

 

เจินเมี่ยวคลี่ยิ้มคราหนึ่ง “มิต้อง ทุกคนที่มาพร้อมกับนางนั้นซื่อจื่อเป็นผู้คัดเลือกเข้ามาทั้งสิ้น”

 

 

ตั้งแต่นั้นสาวใช้ทำความสะอาดเรือนที่ชื่อว่ามู่จือก็กลายเป็นสาวใช้ขั้นสามของเรือนชิงเฟิง มีหน้าที่ดูแลจิ่นเหยียนและไป๋เสวี่ยโดยเฉพาะ

 

 

การไปมาหาสู่ในช่วงเทศกาลวันตรุษของปีนี้นั้นมิใคร่คึกคักนัก ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนอวยพรกันในเทศกาลวันตรุษนั้นนอกจากสหายสนิทแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก ด้วยกลัวว่าความครื้นเครงนี้จะเป็นที่ขุ่นเคืองพระเนตรของเบื้องบนเข้าทำให้หลายวันมานี้จวนกั๋วกงค่อนข้างเงียบสงบ ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับสืบเรื่องที่น่าสนใจบางอย่างมาได้

 

 

เจี้ยงจูผู้นั้นไม่เพียงมีความสัมพันธ์กับเผ่าเย่ว์อี๋แต่นางยังถูกนายท่านรองสกุลหลัวซื้อตัวไว้ตั้งแต่เจินเมี่ยวยังมิเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้

 

 

เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้วหลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าอารองของเขามีโชคมาจากที่ใด เกลือเป็นหนอนที่อารองวางไว้กลับเป็นคนที่ผู้คนที่ถูกฝึกมาอย่างดีจากผู้ที่คิดจะครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ นี้เท่ากับการจ่ายเงินซื้อหัวไชเท้าแต่กลับได้โสมมาโดยแท้

 

 

เพียงแต่ยามนี้ทั้งที่สืบไปถึงเงาของเผ่าเย่ว์อี๋และอำนาจที่ซ่อนอยู่ของรัชทายาทที่ถูกปลดตำแหน่งไปในยุคสมัยก่อนว่ามีความเกี่ยวข้องกันแล้วแท้ๆ แต่เมื่อมาถึงจุดสำคัญคราใด เบาะแสก็มักจะหายไปทำให้ต้องตกอยู่ในเมฆหมอกอันหนาทึบไม่มีวันสิ้นสุด

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้ว่าอำนาจที่แฝงอยู่นั้นซ่อนตัวมาได้จนถึงวันนี้นั้นใช้เวลามานับสิบยี่สิบปี ย่อมไม่มีทางกระชากมันออกมาได้ในเวลาแค่สั้นๆ เขาเองมิได้ร้อนใจอันใดแต่ก็สั่งให้คนของเขาไปสืบประวัติคนในตระกูลของสาวใช้เจินเมี่ยวถึงสามชั่วโคตรจึงวางใจได้

 

 

หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิใช่หน่วยงานธรรมดาทั่วไป องครักษ์ที่ออกหน้านั้นก็แล้วไปเถิด แต่องครักษ์นั้นเป็นดั่งพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิ กระทั่งตอนนี้ผู้ที่ทราบเรื่ององครักษ์ลับนั้นก็มีไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ลับเหล่านี้

 

 

ที่หลัวเทียนเฉิงยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นอยู่ทุกวันนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องขององครักษ์ลับนี้แล

 

 

องครักษ์ลับที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศของแผ่นดินต่างนำข้อมูลเล็กน้อยดุจเกล็ดหิมะรายงานต่อเขา แต่องครักษ์ลับทั้งหลายต่างรายงานแต่ส่วนของตน พวกเขานั้นมิได้รู้ฐานะของกันและกัน เมื่อองครักษ์ทุกคนต่างส่งข้อมูลที่ตนหามาได้ให้หลัวเทียนเฉิงเพียงผู้เดียว เขาก็ต้องมาอ่านและวิเคราะห์จำแนกข้อมูลเองแล้วค่อยทูลข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อองค์จักรพรรดิ

 

 

ตั้งแต่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นของเจินเมี่ยว ครั้นมีเวลาว่างจากงานหลัวเทียนเฉิงก็มักจะอดยิ้มโง่งมออกมามิได้ ใจของเขาเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่นางผู้นั้น เมื่อเวลาเย็นย่ำในวันเทศกาลโคมไฟเขาก็กลับจวนอย่างมิอาจอดรนทนได้อีกต่อไป

 

 

“หา พาข้าไปดูโคมไฟหรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “งานเทศกาลโคมไฟที่ทางการจัดมิใช่ถูกยกเลิกแล้วหรอกหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบไล้ปลายจมูกโด่งเชิดนั้นของนางอย่างสนิทสนม “เป็นเทศกาลโคมไฟที่ชาวบ้านจัดขึ้นเอง มีเสน่ห์แปลกตายิ่ง อยากไปดูสักหน่อยหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หากท่านไปด้วยก็ย่อมต้องอยากไป”

 

 

วาจาเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หลัวเทียนเฉิงเบิกบานใจยิ่งนัก เขาเผยยิ้มอันโง่งมออกมาโดยมิสนว่าอาหลวนและไป๋เสาก็อยู่ที่นี่ด้วย

 

 

ครั้นจิ่งเกอทราบเรื่องก็งอแงจะตามไปด้วยให้ได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงนั้นยากนักจะได้อยู่กับภรรยาตามลำพังเช่นนี้ ไหนเลยจะยอมเอาให้เขาไปด้วย พูดไปพูดมาสุดท้ายเจินเมี่ยวจึงสัญญากับเขาว่าจะเอาโคมที่สวยที่สุดมาฝากเขาและให้เขาเรียกท่านแม่ได้หนึ่งวัน เด็กน้อยผู้นั้นจึงยอมสงบลงได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงพาเจินเมี่ยวออกไปครานี้มิได้เอาสาวใช้ไปด้วยสักคน

 

 

โคมไฟหลากหลายรูปแบบส่องสว่างไปทั่วเมืองดุจยามทิวา ทุกที่เต็มไปด้วยต้นอวี้ซู่อิ๋นฮวา[1] โคมไฟห้อยแขวนเต็มต้นไม้ไปหมด มีหนุ่มสาวเดินชี้ชวนกันมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนับไม่ถ้วน

 

 

เทศกาลตวนอู่ เทศกาลชีซีและเทศกาลโคมไฟล้วนเป็นวันที่บรรดาหญิงสาวชมชอบมากที่สุด

 

 

เจินเมี่ยวเห็นหลายคนกำลังผลักโคมเจดีย์แก้วที่มีขนาดสูงสามเมตรอยู่ โคมนั้นสว่างเจิดจ้ายิ่งจึงเดินเข้าไปอย่างเหม่อลอย เมื่อหันหลังกลับมากลับถูกดึงรั้งไปคราหนึ่ง

 

 

ครั้นเมื่อมีสติคืนมาจึงหันไปมองหลัวเทียนเฉิงก็เห็นเขาเม้มริมฝีปากแน่นพลางเอ่ยว่า “ระวังผู้อื่นชนเจ้าเข้า”

 

 

เจินเมี่ยวจึงหันไปมองด้านหลังตามสัญชาตญาณก็เห็นบุรุษหนุ่มแต่งกายอย่างบัณฑิตยืนอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งยังมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม เห็นชัดว่าเมื่อครู่นางเกือบจะชนเข้ากับคนผู้นี้แต่ถูกหลัวเทียนเฉิงดึงไว้ได้ทันเวลา

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นบัณฑิตผู้นั้นมองภรรยาตนแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ในเทศกาลเช่นนี้เขามิอาจเข้าไปทำร้ายชกต่อยผู้อื่นเพียงเพราะเขามองภรรยาตนได้ จึงทำเพียงรั้งเจินเมี่ยวมาไว้ข้างกายตนด้วยใบหน้าขมวดเคร่ง แล้วเลือกหน้ากากลิงอันหนึ่งให้นางใส่ไว้

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “เหตุใดจึงเป็นลิงเล่า?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงถลึงตาใส่ “เจ้าอยากจะให้หน้ากากฉางเอ๋อร์ให้คนหันมามองหรืออย่างไร?”

 

 

เจินเมี่ยวจึงยอมใส่หน้ากากลิงนั้นอย่างว่าง่ายแล้วปล่อยให้เขาเดินจูงมือชมโคมไฟสวยงามแปลกตาหลากหลายนับพันนั้นเรื่อยๆ พลันก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียก “ดอกไม้ไฟ…”

 

 

ครานี้เองคนทั้งหลายจึงพุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เจินเมี่ยวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในทิศทางเดียวกันเช่นกัน ครั้นได้ยินเสียงปัง ดอกไม้ไฟอันสวยงามดวงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

 

ดอกไม้ไฟนั้นงามเหลือเกิน แสงของมันสาดส่องท้องฟ้าไปมากกว่าครึ่ง คนทั้งหลายต่างจ้องมองมันนิ่งอย่างลืมหายใจ

 

 

เจินเมี่ยวพลันรู้สึกใบหน้าเบาโล่ง ลมเย็นพัดเข้ามาปะทะหน้า ไม่รู้ว่าหลัวเทียนเฉิงปลดนางกากนางลงครึ่งหนึ่งแล้วประทับจุมพิตลงไปบนหน้าผากของนางแผ่วเบา

 

 

ผู้คนที่อยู่ด้านหลังมากมายดุจคลื่นทะเล ดอกไม้ไฟดวงใหญ่กระจ่างสว่างจ้าอย่างถึงที่สุดแล้วสลายตัวกลายเป็นดาวตกดวงน้อยและค่อยๆ สลายหายไป คนตรงหน้านั้นหล่อเหลาเหนือกว่าผู้ใด ในดวงตาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันอ่อนโยนที่มองได้เพียงแต่นางเท่านั้น

 

 

ช่วงเวลานี้เองที่เจินเมี่ยวพลันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ในยุคสมัยอันแปลกหน้านี้ ตนกลับได้พบคนผู้นี้

 

 

คล้ายว่านอกจากการดูแลทะนุถนอมไว้ นางก็คิดสิ่งอื่นไม่ออกอีกเลย

 

 

กลุ่มคนกลับมาเดินกันพลุกพล่านอีกครา หลัวเทียนเฉิงจึงดึงหน้ากากลงให้นางอีกครา ในขณะกำลังเดินจูงนางเดินไปตรงหน้าก็พลันหยุดชะงัก

 

 

“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวมองตามสายตาของเขาไปก็เห็นเจินปิงและเจินอวี้ที่มีท่าทีร้อนรนคล้ายกำลังหาสิ่งใดอยู่

 

 

เจินเมี่ยวถอดหน้ากากลิงออก แล้วกวักมือเรียก “น้องห้า น้องหก พวกเจ้าก็มาเที่ยวเทศกาลโคมไฟด้วยหรือ เกิดอันใดขึ้นหรือไม่?”

 

 

เมื่อเจินปิงและเจินอวี้พบเจินเมี่ยวเข้าอย่างกะทันหันก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที พวกนางพาบ่าวไพร่วิ่งเข้ามาหาเจินเมี่ยวทันที

 

 

เจินอวี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองโดยมิสนหลัวเทียนเฉิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย “พี่สี่ ญาติผู้น้องของท่านโวยวายจะตามเรามาเทศกาลโคมไฟให้ได้ แต่พริบตาเดียวนางก็หายตัวไปเสียแล้ว!”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ต้นอวี้ซู่อิ๋นฮวา เป็นดอกเบญจมาศชนิดหนึ่ง มีดอกสีชมพูอ่อนๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด