วาสนาบันดาลรัก 474 สิ่งที่ติดไว้ ต้องใช้คืน

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 474 สิ่งที่ติดไว้ ต้องใช้คืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจินเมี่ยวจ้องหลัวเทียนเฉิงอยู่เช่นนั้น  

 

 

หลัวเทียนเฉิงหุบยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มของนาง “เป็นอะไร ทำไมถึงเหม่อลอยไป แม้ว่าสามีของเจ้าจะหล่อกว่าชาวบ้านเขา แต่เจ้าก็ควรชินได้แล้วกระมัง”  

 

 

“ไม่ชิน” เจินเมี่ยวยิ้มจนตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว นัยน์ตาของนางคล้ายปรากฏประกายดวงดาราระยิบระยับ นางยื่นมือออกมาดันไปที่หน้าอกที่แข็งแกร่งของเขา “เพราะข้าเพิ่งค้นพบว่าท่านหล่อกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”  

 

 

ตอนแรกนางคิดว่าสามีของนางเป็นคนเลวร้าย แต่สุดท้ายกลับพบว่า เขาเป็นคนจิตใจดีแต่ไม่แสดงออกคนหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนี้นับเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก  

 

 

ใบหน้าและหูของหลัวเทียนเฉิงแดงระเรื่อขึ้นมา เขากระแอมคราหนึ่ง “จริงหรือ”  

 

 

“จริงสิ”  

 

 

“แล้วหากเทียบกับ…จวินเฮ่าเล่า”  

 

 

เมื่อเห็นดวงตาเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหวังของหลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา  

 

 

นางคิดว่า เรื่องการเปรียบเทียบว่าใครหล่อกว่ากัน จะมีอยู่แค่ในหนังสือปรัมปราเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่า สามีของนางจะโง่เขลาเช่นนี้!  

 

 

และสิ่งที่คิดไม่ถึงไปมากกว่านั้นคือ บุรุษผู้นี้ช่างดื้อดึงนัก เมื่อเห็นเจินเมี่ยวกลอกตาจึงยื่นมือออกมาโอบเอวของนางแล้วเอาคางเกยบนหัวไหล่ของนางเอาไว้ แล้วเอ่ยเร่งอย่างทนไม่ได้ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว พูดออกมาเร็ว”  

 

 

ลมหายใจอุ่นๆ เคลื่อนผ่านใบหูของนาง ทำเอานางรู้สึกจั๊กจี้ไปถึงหัวใจ  

 

 

เจินเหมี่ยวเหม่อลอย  

 

 

คนที่ออดอ้อนนางเหมือนแมวผู้นี้คือใครกัน เขาไปเรียนวิธีการเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่  

 

 

“พวกท่านมีอะไรให้น่าเปรียบเทียบกัน” เจินเมี่ยวคิดในใจว่า หากพูดถึงความสง่างาม อันที่จริงแล้วจวินเฮ่าชนะเขาอยู่หนึ่งระดับ แต่หากพูดตามความจริงออกไป เจ้าแมวตัวโตนี้จะต้องโกรธจนขนพองแน่ๆ  

 

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลัวเทียนเฉิงไม่พอใจคำตอบนี้ “เจี๋ยวเจี่ยว นี่เจ้ากำลังเลี่ยงคำถามอยู่นี่”  

 

 

เจินเมี่ยวนวดขมับตัวเองแล้วเหล่มองเขา “เช่นนั้น หากเทียบข้ากับเยียนเหนียงบ้างเล่า”  

 

 

“เรื่องนี้…” หลัวเทียนเฉิงบีบหูตัวเองแล้วยิ้มแห้งๆ “ข้าไปห้องอาบน้ำดีกว่า”  

 

 

เจินเมี่ยวเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งกอ่นจะได้สติกลับคืนมา  คนบ้า รู้จักหนีความรับผิดชอบแล้วหรือ!   

 

 

เชอะ นางด้อยกว่าเยียนเหนียงมากขนาดนั้นเชียวหรือ  

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนเรื่องทิ้งไว้ข้างหลัง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปดูลูกชายทั้งสอง  

 

 

เมื่อสองสามีภรรยาปรับความเข้าใจกันแล้ว แน่นอนว่าในคืนนั้นย่อมเป็นคืนที่อบอุ่นสวยงามราวฤดูใบไม้ผลิ  

 

 

เมื่อเสร็จกิจ หลัวเทียนเฉิงที่ร่างกายโซมไปด้วยเหงื่อก็ใช้มือลูบหลังเนียนใสของคนด้านข้างเบาๆ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว คราวหน้า เจ้าต้องเชื่อใจข้ากว่านี้นะ ได้หรือไม่”  

 

 

เจินเมี่ยวกอดแขนของเขาเอาไว้แล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงพูดอู้อี้ว่า “จิ่นหมิง ข้ามีลูกสาวให้ท่านอีกคนดีหรือไม่”  

 

 

คนที่อยู่ด้านข้างนางนิ่งไป กล้ามเนื้อที่แขนของเขาเกร็งแน่น จากนั้นจึงเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่ดี”  

 

 

“จิ่นหมิง?” เจินเมี่ยวแปลกใจ  

 

 

หลัวเทียนเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง “เจี๋ยวเจี่ยว ตอนที่เจ้าคลอดเสียงเกอกับอี้เกอก็ทำเอาข้าสยดสยองแทบแย่ เด็กสองคนก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องมีเพิ่มอีกแล้วกระมัง”  

 

 

เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ค่อยพอใจนักจึงบ่นอู้อี้ว่า “มีเด็กสองคนก็เพียงพอแล้วหมายความว่าอย่างไรกัน หากตอนนั้นเด็กที่คลอดออกมาเป็นผู้หญิงเล่า”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองนางอย่างขบขัน “เรื่องนี้เจ้าก็คิดมากด้วยหรือ ความหมายของข้าคือ พวกเรามีทายาทที่เป็นสายใยระหว่างพวกเราทั้งสองแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อให้เป็นผู้หญิงก็เหมือนกัน วันข้างหน้าหากพวกนางโตขึ้นก็แค่หาสามีให้ ตอนนั้นหากใครกล้ารังแกลูกสาวข้า ข้าไม่มีทางปล่อยไว้อย่างแน่นอน”  

 

 

ในใจของเจินเมี่ยวเกิดความรู้สึกตื้นตัน แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ “จิ่นหมิง ข้าคิดว่า ทุกครอบครัวต่างอยากมีลูกชาย เพราะมีเพียงลูกชายเท่านั้นที่จะสามารถสืบทอดทุกอย่างได้ รวมทั้งตำแหน่งด้วย”  

 

 

เส้นทางโดยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหลัวเทียนเฉิงจะไม่เหมือนคนอื่น และคิดไม่ถึงด้วยว่าตนจะได้รับคำตอบเช่นนี้  

 

 

“ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก บางคนอาจมองทุกอย่างสำคัญ แต่บางคนอาจเห็นว่าไม่สำคัญ” หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางหอมแก้มของนาง “สรุปแล้ว ตอนนี้ถือว่าดีมากอยู่แล้ว หากตั้งครรภ์อีก เจ้าต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ข้าก็ต้องเป็นห่วงเจ้า มีความจำเป็นอะไรหรือ”  

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มหวานระหว่างฟังเขาพูดพลางคิดในใจว่า ยาคุมกำเนิดที่ผู้ชายคนนั้นใช้ จิ่นหมิงเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้ว พรุ่งนี้ลองไปหาดูอีกทีเผื่อจะได้เอามาบดเป็นแป้งข้าวโพด  

 

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาก็เป็นไปอย่างสวยงาม สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเช่นนั้น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเองยังสังเกตเห็นได้  

 

 

หลานกับหลานสะใภ้มีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสุขใจขึ้น เพราะเมื่อเรื่องราวน่าหดหู่ใจของเรือนรองค่อยๆ คลี่คลายลง ร่างกายของนางก็เริ่มดีขึ้น จวนกั๋วกงจึงกลับมามีบรรยากาศที่สงบสุขเหมือนอย่างวันเก่าๆ  

 

 

เมื่อถึงต้นเดือนเก้า ในวันก็ส่งข่าวออกมาว่า ในวันเทศกาลฉงหยางของช่วงต้นเดือนเก้านั้น ไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วจะจัดงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศที่อุทยานในวังหลวง ผู้ที่ได้รับคำเชิญล้วนเป็นตระกูลของท่านโหวหรือไม่ก็ตระกูลของเหล่าขุนนางตำแหน่งน้อยใหญ่ โดยบอกว่าจะต้องพาเด็กสาวที่อายุครบสิบสี่มาร่วมงานด้วย โดยอ้างเหตุผลว่าไท่โฮ่วจะอารมณ์ดีเมื่อเห็นเด็กสาวที่งดงามเฉกเช่นเดียวกับดอกไม้  

 

 

จ้าวไท่โฮ่วกำลังโมโหใส่จ้าวเฟยชุ่ยอยู่ “อายเจียเห็นเด็กสาวแล้วจะอารมณ์ดีงั้นหรือ บ้าจริง ทุกวันนี้อายเจียส่องกระจกก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นเด็กสาวอยู่เลย!”  

 

 

หาว่านางแก่หรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้!  

 

 

คนที่หลักแหลมและมีไหวพริบอย่างจ้าวเฟยชุ่ยเหม่อลอย “เสด็จป้า”  

 

 

นางคิดว่า นางรู้ว่าข้อจำกัดของท่านป้าอยู่ตรงไหน  

 

 

เมื่อจ้าวไท่โฮ่วเห็นท่าทางเช่นนี้ของจ้าวเฟยชุ่ยอารมณ์จึงพลุ่งพล่าน จึงกลอกตาใส่อย่างรวดเร็วพลางเอ่ยว่า “เฟยชุ่ย เจ้าหัดอ่อนโยนกว่านี้ ปากหวานกว่านี้หน่อย อย่าปล่อยให้คนที่ไม่สามารถออกหน้าออกตาพวกนั้นควบคุมฝ่าบาทได้!”  

 

 

ดูสิ นี่คือหลานสาวแท้ๆ ของตน ตนโมโหเช่นนี้ยังไม่รู้จักปลอบอีก เพียงพูดว่า ดูเสด็จป้าสิเหมือนพี่สาวหม่อมฉันไม่มีผิด แค่นี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร  

 

 

นางไม่รู้จักปลอบคนเอาเสียเลย!   

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยเบะปาก “เสด็จป้า ท่านพูดผิดแล้วเพคะ ให้ข้าอ่อนโยนกว่านี้คงน่ารำคาญแย่ ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว ข้าคิดว่าเขาไม่ถูกชะตาก็จะได้ไม่ต้องคอยประจบสอพลอเขา พวกแม่นางจิ้งจอกพวกนั้นมากวนอารมณ์ข้า ข้าก็แค่เดินหนีออกมาก็เท่านั้น”  

 

 

จ้าวไท่โฮ่วอยากจะร้องไห้ นางคงแก่แล้วจริงๆ ตอนนี้หวงโฮ่วมีความคิดเช่นนี้ไปแล้วหรือ  

 

 

เมื่อก่อนนางเองก็เป็นคนใจร้อนโผงผางเช่นกัน ข้อแรกเป็นเพราะนางไม่อาจควบคุมปากของตัวเองได้ ข้อสองเป็นเพราะกลัวว่าจะทำให้เจาเฟิงตี้ไม่ชอบใจ สุดท้ายแม้นางจะพยายามแสร้งอ่อนโยนและวางตัวน่าเกรงขามสลับกันไปมา สุดท้ายนางก็ไม่เข้าตาคนบ้าผู้นั้น แถมทำให้เสน่ห์ของนางต้องสูญเปล่าด้วยความหยิ่งผยองของเขาในตอนนั้น  

 

 

เมื่อคิดทบทวนแล้ว หากนางไม่ได้มาถึงตำแหน่งไท่โฮ่วเช่นทุกวันนี้ แล้วต้องวนเวียนอยู่กับคนบ้าผู้นั้น นางคงอึดอัดใจตายไปแล้ว  

 

 

ตอนนั้นเองที่นางรู้สึกชอบขี้หน้าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองขึ้นมาฉับพลัน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “อย่าโทษเสด็จปู่ของเจ้าเลยที่เป็นคนยกข้อเสนอเรื่องเพิ่มคนในวังหลังขึ้นมาพูด ในวังแห่งนี้ ไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วล้วนเป็นคนตระกูลจ้าว แน่นอนว่าเป็นที่จับจ้องของใครหลายๆ คน”  

 

 

ข้าคิดว่า ฝ่าบาทจะเลือกคนเข้ามากี่คนก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่ามายุ่งกับที่อยู่ของข้าหรือมาขวางหูขวางตานาง  

 

 

 

 

 

จ้าวไท่โฮ่วเหลือบมองนางคราหนึ่ง “เห็นเจ้ามองกาลใกล้เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเป็นหวงโฮ่วได้ จะว่าไปคนพวกนั้นคงจะมาควบคุมเจ้าอีก”  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยได้ยินเช่นนั้นกลับยิ้ม พลางคิดในใจว่า ถึงตอนนั้นนางจะต้องเป็นคนคัดเลือกผู้หญิงพวกนั้นเข้ามาในวัง สาวงามมากมายเช่นนี้จะไม่ต้องใช้เงินได้อย่างไร เงินที่ใช้ในการดูแลสาวงามพวกนี้ไม่ใช้เงินที่มาจากพระคลังหลวง แต่มาจากคลังส่วนตัวของฮ่องเต้  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยคิดอย่างสุขใจเมื่อรู้ว่าเขาต้องเดือดร้อน เลือกคนที่นางถูกชะตาคงทำให้คนไม่เอาไหนผู้นั้นปวดใจแน่นอน  

 

 

แต่ละจวนที่ไม่รู้ความคิดของจ้าวเฟยชุ่ย เมื่อได้ยินว่าในวังหลวงจะมีการจัดงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ ต่างเดาออกว่าไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วต้องการเลือกสนมให้ฮ่องเต้ คนโดยส่วนใหญ่เมื่อได้รับคำเชิญต่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาเพื่อเตรียมลูกสาวบ้านตนเอง ทำเอาผ้าลายที่หายากกับเครื่องประดับสวยงามในเมืองกลายเป็นของที่หาซื้อได้ยาก  

 

 

จวนกั๋วกงเป็นตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าต้องรับคำเชิญนี้  

 

 

นางไช่ที่เพิ่งกล่อมคุณชายแปดหลับไปได้ก็สั่งสาวใช้ว่า “ไปตามคุณหนูสามมา”  

 

 

ไม่นานนัก หลัวจือเจินก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา จากนั้นจึงทำความเคารพ “ท่านแม่”  

 

 

นางไช่ยิ้ม แล้วดึงหลัวจือเจินขึ้นมา “ลูกสาม มานั่งตรงนี้”  

 

 

หลัวจือเจินเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย แล้วนั่งลงใกล้ๆ กับนางไช่ “ท่านแม่เรียกข้ามาด้วยเรื่องใดหรือ”  

 

 

สำหรับนางเถียนแล้ว ในใจของนางทั้งนับถือและเกลียดชังมาตลอด เพียงแต่อารมณ์ความคิดพวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไร นางจึงทำได้เพียงซ่อนมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนาง แน่นอนว่าความกลัวเมื่อลูกสาวของอนุพบแม่บุญธรรมยังลดลงมาก สองแม่ลูกอยู่ด้วยกันก็ถือว่าลงตัวดี  

 

 

“เจ้าคงรู้แล้ว ว่าในวังส่งจดหมายเชิญมาเชิญฮูหยินของพวกเราให้พาลูกสาวไปร่วมงานชมดอกเบญจมาศในเทศกาลฉงหยางด้วย”  

 

 

หลัวจือเจินส่ายหน้า “ลูกไม่รู้เจ้าค่ะ”  

 

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ในปีนั้นที่เกือบจะทำร้ายท่านย่าด้วยบัวลอยน้ำขิง หลัวจือเจินก็อยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมากขึ้น หลายปีที่ผ่านมานี้ นางไม่ออกไปไหนทั้งไกลและใกล้ หากสามารถพูดน้อยๆ ได้ นางก็จะทำ หากไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งในบางเรื่องได้นางก็จะทำ เพราะนางกลัวว่าหากตัวเองทำพลาดไปแม้เพียงครึ่งก้าวอาจจะเป็นความผิดใหญ่หลวงและถูกส่งไปอยู่ในที่ห่างไกลกันดารอย่างพี่สาวคนโตของนาง  

 

 

นางไช่เอ่ยกับนางอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเตรียมตัว ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้วไม่สะดวกออกไปข้างนอก ส่วนตัวข้าก็ไม่มีตำแหน่งอะไร ถึงเวลาพี่สะใภ้จะเป็นคนพาเจ้าไป เมื่อเข้าวังแล้วเจ้าก็อย่าตื่นเต้น ทุกอย่างมีพี่สะใภ้ของเจ้าอยู่ หากไม่เข้าใจอะไรก็ถามนาง เจ้าเข้าใจหรือไม่”  

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง การปฏิบัติกับลูกสาวของอนุ นางเองก็ปฏิบัติกับนางอย่างเช่นคุณชายห้า อายุเท่านี้ต้องออกเรือนแล้ว แต่งตัวให้สวยหน่อย แน่นอนว่าจะต้องไม่โชคร้ายและจะต้องไม่เสียใจ  

 

 

“เข้าวัง?” หลัวจือเจินตกใจ  

 

 

“คุณหนูสามไม่เคยเข้าวังมาก่อนหรือ”  

 

 

หลัวจือเจินส่ายหน้า  

 

 

ท่านย่าไม่ชอบเข้าวังหลวงมากนัก ฐานะของนางเถียนก็ไม่สูงเพียงพอ หากพอมีโอกาสบ้าง พี่ใหญ่ก็จะเป็นคนที่ได้เข้าไป ในบรรดาคุณหนูในจวนมีเพียงพี่รองเท่านั้นที่เข้าวังบ่อยเพราะเป็นเพื่อนองค์หญิง ส่วนนางนั้นเป็นลูกสาวของอนุ แน่นอนว่าโอกาสไม่มีทางมาถึงนาง  

 

 

นางไช่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองพูดผิดไปจึงยกมือปิดปากแล้วหัวเราะ “ข้าเองก็ไม่เคยเข้าวังมาก่อน ดังนั้นคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ยังดีที่พี่สะใภ้ของเจ้าเป็นคนรู้คุณธรรม เจ้าตามนางไปไม่มีทางผิดพลาด”  

 

 

หลัวจือเจินถามออกไปด้วยความสงสัย “ท่านแม่ งานชมดอกเบญจมาศในวังหลวง เหตุใดข้าต้องไปร่วมด้วย”  

 

 

นางไช่หัวเราะ “เด็กโง่ เจ้าอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนจนไม่รู้ข่าวคราวอะไรเลย งามชมดอกไม้ครั้งนี้ อันที่จริงแล้วเป็นงานที่ไท่โฮ่วจะคัดเลือกพระสนมให้ฝ่าบาท นี่เป็นครั้งแรกที่คัดเลือกสาวงามเข้าวังหลัง คนที่เข้าร่วมล้วนเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย ไม่ได้เลือกจากทั่วแผ่นดินเหมือนอย่างแต่ก่อน ขอเพียงในงานชมดอกเบญจมาศ ใครก็ตามที่เข้าตาไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วก็จะได้คัดเลือกเข้าวัง แน่นอนว่าตำแหน่งต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”  

 

 

“ดูตัวพระสนมหรือ” หลัวจือเจินย้อนถาม สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว  

 

 

นางไช่แปลกใจ “คุณหนูสาม เหตุใดสีหน้าจึงไม่สู้ดีเอาเสียเลย ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”  

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ” หลายปีที่ผ่านมานี้ นางถูกเลี้ยงจนเป็นคนเก็บตัว หลัวจือเจินจึงรีบส่ายหน้า มือของนางที่ซ่อนอยู่ในปลายแขนเสื้อกำหมัดแน่น เล็บยาวของนางจิกลงไปกลางฝ่ามือถึงจะบังคับตัวเองไม่ให้เสียอาการได้  

 

 

นางไช่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก  

 

 

หากฮ่องเต้อายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว นางคงไม่เห็นว่าเข้าวังมีข้อดีอะไร แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าสตรีที่ถูกคัดเลือกเข้าวังไปในรอบนี้จะต้องมีอนาคตที่ไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน  

 

 

“หากไม่สบายตรงไหน อย่าปิดบัง หากต้นเหตุของอาการป่วยยังคงอยู่ เช่นเดียวกับพ่อของเจ้า นั่นคงจะไม่ดีแน่”  

 

 

หลัวจือเจินฝืนยิ้ม “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ อ้อ จริงสิ วันนี้ลูกยังไม่ได้ไปหาท่านพ่อเลย ลูกขอตัวไปดูก่อนเจ้าค่ะ”  

 

 

เนื่องจากนายท่ายรองหลัวเป็นผู้ป่วยติดเตียง ห้องที่อยู่ทางด้านตะวันออกไม่เหมาะแก่การเข้าเยี่ยม จึงจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ทางเรือนตะวันตก  

 

 

นางไช่ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปด้วยกันเถิด”  

 

 

เมื่อเดินผ่านห้องโถงเข้าไปสู่ห้องด้านตะวันตก เพียงก้าวเข้าห้องไปก็ได้กลิ่นยาโชยมาผสมกับกลิ่นเหม็นที่ไม่รู้ว่ามาจากอะไร  

 

 

ตอนนี้อากาศยังไม่หนาวมากนัก คนป่วยที่นอนติดเตียงเช่นนี้จะมีบ่าวรับใช้คนใดที่ใส่ใจดูแลบ้าง เพราะทุกคนต่างรู้สึกทนไม่ไหว  

 

 

“ไท่ไท่ คุณหนูสาม” สาวใช้ทั้งสองที่อยู่รับใช้นายท่ายรองหลัวเอ่ยขึ้น พวกนางมีอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด หน้าตาธรรมดา แต่มือเท้าคล่องแคล่ว มองคราเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่คุ้นชินกับการทำงานหนักมาก่อน  

 

 

นางไช่พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน คุณหนูสามมาเจ้าค่ะ”  

 

 

หลัวจือเจินรีบทำความเคารพแล้วรีบเดินเข้าไปเช็ดหน้าให้นายท่านรองหลัว เมื่อเห็นว่านายท่านรองมองหน้านางโดยไม่ว่าอะไรจึงลงมือจัดการจนเสร็จเรียบร้อย แล้วไปยื่นอยู่ด้านข้าง จากนั้นนางไช่จึงเอ่ยว่า “คุณหนูสามลำบากแล้ว คงเหนื่อยแล้วกระมัง กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด เรื่องงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ ข้าไม่ลืม ถึงเวลาจะลองปรึกษากับพี่สะใภ้ของเจ้าดูจะได้หาเสื้อผ้าให้เจ้า”  

 

 

“ข้าทำให้ท่านแม่ต้องลำบากแล้ว” หลัวจือเจินทำความเคารพอย่างว่าง่ายแล้วเดินเข้าไปเพื่อเอ่ยลากับนายท่านรองหลัว  

 

 

นางยืนอยู่ตรงนั้นโดยมองจากมุมที่สูงกว่า ตอนที่ทำความเคารพ นางไช่มองเห็นสีหน้าของนางไม่ถนัด แต่นายท่านรองหลัวกลับมองเห็นอย่างชัดเจน  

 

 

แววตาของนางแทบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และรอยยิ้มเยาะเย้นที่แทบจะมองไม่เห็น  

 

 

นายท่านรองหลัวเมื่อขยับตัวและพูดไม่ได้เช่นนี้ ทำให้การรับรู้ของเขาว่องไวมากขึ้น ตอนนั้นเขาจึงโมโหขึ้นมาราวกับอกจะฉีก  

 

 

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า การมีลูกชายที่ไม่เอาไหนเช่นนั้น จะทำให้ลูกสาวของอนุที่ไม่เคยมีอะไรกับเขามาก่อนถึงขั้นกล้าไม่ไว้หน้าเขา!  

 

 

แต่ต่อให้นายท่านรองหลัวโกรธเพียงใดก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เพียงเขาขยับปากน้ำลายของเขาก็หกเลอะออกมา  

 

 

เมื่อนางไช่เห็นเช่นนั้นจึงเอาผ้าเข้าไปเช็ดให้  

 

 

นายท่านรองหลัวจ้องนางเขม็ง  

 

 

“พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะดูแลนายท่านเอง”  

 

 

เมื่อสาวใช้ทั้งสองตอบรับคำแล้วก็ถอยออกไป  

 

 

นางไช่โยนผ้าทิ้งลงบนเตียงแล้วหัวเราะ “นายท่านมองข้าทำไมหรือ ข้าลืมบอกท่านไปว่าคุณหนูสามกำลังจะเข้าร่วมคัดเลือกพระสนมแล้ว ในฐานะสตรีของจวนเจิ้นกั๋วจะต้องผ่านเข้ารอบได้อย่างแน่นอน นายท่านดีใจหรือไม่”  

 

 

ดวงตาของนายท่านรองหลัวเบิกกว้างขึ้น ราวกับกำลังจะมีไฟลุกออกมา  

 

 

เขากล้ายืนยันได้เลยว่าสตรีผู้นี้ตั้งใจ!  

 

 

นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางกล้าได้อย่างไร  

 

 

นางไช่มองนายท่านรองหลัวอย่างไร้ความรู้สึกและไม่คิดจะเสแสร้งอีกต่อไป จึงแสยะยิ้มออกมา “ที่แท้นายท่านไม่พอใจหรอกหรือ ก็ใช่ ความสนใจของนายท่านไม่เคยสนใจที่นี่อยู่แล้ว!”  

 

 

เขาคิดว่าการที่เขานอนที่ห้องหนังสือเพียงเดือนสองเดือนโดยไม่เข้าไปนอนกับนาง นางจะไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน แต่นางก็แอบไปสืบที่เรือนของเยียนเหนียงก็สามารถสืบรู้เรื่องราวได้แล้ว  

 

 

นางเองก็เป็นคน การเป็นภรรยาคนต่อมานั้นยากอยู่แล้ว เขากลับไม่ให้เกียรตินางและทำเหมือนนางเป็นตัวตลก แล้วจะให้นางเคารพเขาได้อย่างไร  

 

 

“นายท่านคงไม่รู้ว่าหลายวันมานี้ การมีคุณชายแปดมาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้ตัวข้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าแต่ก่อนมากนัก”  

 

 

ริมฝีปากของนายท่านรองหลัวสั่นแต่กลับไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้  

 

 

“อะไรที่ติดค้างเอาไว้ล้วนต้องใช้คืน” นางไช่ยิ้มเมื่อเอ่ยจบแล้วตะโกนว่า “หลิ่วหง หลิ่วลี่ว์ เข้ามาดูแลนายท่านต่อเถิด” เมื่อเอ่ยจบก็อมยิ้มแล้วเดินออกไป  

 

 

หลัวจือเจินเมื่อกลับถึงห้องแล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจออกไปหาเจินเมี่ยว  

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด