วาสนาบันดาลรัก 246 เสียใจ

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 246 เสียใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนที่เข้ามาในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินล้วนเป็นคนเรียบง่าย มิชอบโอ้อวด

 

 

ใต้เท้าหัวหน้าผู้บัญชาการผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งทั้งอายุยังน้อยของพวกเขา ปกติแม้นอยู่ในศาลาว่าการก็มิใครจะพบเจอตัวได้เท่าใดนัก ทว่าวันนี้มิเพียงปรากฏตัวตั้งแต่เช้าแต่ยังเดินตั้งแต่ในศาลาว่าการไปจนถึงหน้าประตูใหญ่อยู่หลายรอบดั่งต้องการแสดงตัวต่อผู้คนกระนั้น

 

 

หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด แต่ใต้เท้าที่มุมปากมักมีรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้คนคาดเดามิได้ผู้นี้กลับมีสีหน้าลุ่มลึกดุจสายน้ำ คล้ายหากเผลอแตะต้องก็จะตกลงไปในธารน้ำแข็งก็มิปาน

 

 

ท่าทีเช่นนี้นั้นน้อยนักที่จะได้พบเห็น ไม่ทราบว่าพบเจอเรื่องหนักหนาอันใดกันแน่

 

 

แต่มีคนผู้หนึ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดินั้นคล้ายว่าใต้เท้าผู้นี้จะได้สร้างความบาดหมางกับรัชทายาท จึงได้แต่คิดถึงเรื่องของรัชทายาทกลับไปกลับมา

 

 

“ใต้เท้า นี่เป็นข่าวจากทางเหนือขอรับ” ผู้บัญชาการกู่หมิงเดินเข้ามาส่งกล่องใบเล็กให้กับหลัวเทียนเฉิง

 

 

หลัวเทียนเฉิงรับมา ท่าทีสงบนิ่งทั้งเงียบขรึม “ลำบากท่านแล้ว”

 

 

กู่หมิงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ในที่สุดก็กดโทสะที่มิอยากยอมรับนั้นเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้า วันนี้เที่ยงให้ข้าเรียกเหล่าพี่น้องเราไปฉลองร่วมกันสักหน่อยดีหรือไม่?”

 

 

หน่วยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงหนึ่งปี ตำแหน่งต่างๆ ยังไม่ลงตัวนัก ผู้บัญชาการสูงสุดคือแม่ทัพโอวหยาง

 

 

ด้วยอายุของแม่ทัพใหญ่โอวหยางก็เหมาะสมยิ่งที่จะเชิญมาอยู่ในตำแหน่งสูงสุดนี้ แต่หากคิดจะให้เขาลงมือจัดการหน่วยองครักษ์จริงๆ คาดว่าจักรพรรดิคงมิใคร่ทรงพอพระทัยนัก

 

 

อย่าได้มองว่าผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินคือแม่ทัพใหญ่ บุคคลที่มีอำนาจจริงๆคือผู้บัญชาการสองท่านนี้ต่างหาก

 

 

แรกเริ่มนั้นตำแหน่งหัวหน้าบัญชาการยังว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง กู่หมิงย่อมต้องเล็งตำแหน่งนี้ไว้เป็นธรรมดาจึงมีการแข่งขันกับหลัวเทียนเฉิงอยู่ในที ทว่ายามนี้เขาโดดเด่นยิ่งหากยังมิยอมรับอีก ก็มิต่างอันใดกับผู้มีตาแต่ไร้แวว

 

 

อายุสามสิบแต่กลับได้เป็นถึงผู้บัญชาการก็นับว่าเป็นผู้มีความสามารถยิ่งแล้ว เหตุใดต้องมากลัดกลุ้มเพียงเพราะเรื่องนี้ด้วยเล่า?

 

 

ก่อนหน้านี้ที่มิเคยเอ่ยถึงเลย แต่วันนี้กับเอ่ยขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าหลัวเทียนเฉิงดูผิดปกติไป

 

 

ระยะก่อนนั้นทุกคนต่างยุ่งอย่างยิ่งไม่มีผู้ใดกินอิ่มนอนเต็มตา แต่ใต้เท้าผู้นี้มิได้นอนทั้งคืนกลับไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า เห็นชัดว่าท่าทีที่ผิดแปลกไปนี้ของเขาจักต้องมิเกี่ยวกับเรื่องงานอย่างแน่นอน

 

 

หากเป็นเรื่องส่วนตัว แม้นมิสะดวกจะพูดแต่อารมณ์ที่มีก็มิจำเป็นต้องปิดบังไว้ แล้วจะมีอันใดดีที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษด้วยกันเท่ากับการดื่มสุราอีกเล่า?

 

 

ตั้งแต่ที่เขากระทำการวู่วามไปเมื่อคืนนี้ หลัวเทียนเฉิงก็นอนแทบไม่หลับ เขาอดทนและแข็งแรงยิ่ง บางคราสะสางงานไม่นอนติดต่อกันสองสามวันก็มี ยามนี้จึงดูไม่ออกว่าอยู่ในภาวะอ่อนเพลีย มีเพียงตนเองที่รู้ว่าคล้ายมีก้อนหินใหญ่กดทับหน้าอกตนไว้ แค่หายใจ ก็รู้สึกปวดหนึบๆ ในหัวใจแล้ว

 

 

เมื่อได้ยินคำเชิญของกู่หมิง หลัวเทียนเฉิงจึงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ดี”

 

 

กู่หมิงผ่อนลมหายใจออกมาทันที ดูท่าเขาคงเลือกโอกาสได้เหมาะสมยิ่ง หากได้นั่งดื่มสุราด้วยกัน การแข่งขันที่มีอยู่ในทีตั้งแต่อดีตนั้นย่อมต้องค่อยๆ มลายหายไป

 

 

เมื่อเขาได้สิ่งที่พอใจแล้วก็มิรบเร้าอันใดหลัวเทียนเฉิงอีก

 

 

หลัวเทียนเฉิงเปิดกล่องใบเล็กนั้น ด้านในมีขี้ผึ้งอยู่สองก้อน เขาหยิบขึ้นมาแล้วออกแรงบีบจนกระดาษที่อยู่ภายในโผล่ออกมา

 

 

เมื่ออ่านข้อความบนกระดาษสองแผ่นนั้นแล้วก็ทิ้งลงไปในเตาไฟที่วางอยู่มุมห้อง

 

 

กระทั่งกระดาษนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน ความรู้สึกอัดอั้นและร้อนรนที่ปนเปกันไปหมดนั้นก็กลับมาอีกครั้ง

 

 

พลันได้ยินเสียงเคาะประตู

 

 

“เข้ามา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

 

 

ตอนที่หนุ่มน้อยผู้นั้นก้าวเข้ามาก็รู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่งคอยตามติดเขา แม้แต่หนังศีรษะก็ยังร้อนผ่าวขึ้นมา

 

 

ความรู้สึกนี้ชัดเจนขึ้นอีกคราเมื่อหลัวเทียนเฉิงเอ่ยปากขึ้น “มีอันใด?”

 

 

หนุ่มน้อยเลียริมฝีปากตนโดยไม่รู้ตัว ในใจก็คิดว่าหากคำตอบของเขาทำให้ใต้เท้าไม่พอใจ เขาคงมิถูกโบยจนตายใช่หรือไม่?

 

 

“ใต้เท้า ด้านนอกมีบ่าวผู้หนึ่งมาขอพบท่านขอรับ บอกว่าเป็นคนของจวนท่านชื่อ ปั้นซย่า…”

 

 

พูดยังมิทันจบเสียง ‘ตึง’ ก็ดังขึ้นทันที เป็นเพราะหลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนรวดเร็วเกินไปทำให้เก้าอี้หงายล้มลง

 

 

“ใต้เท้า…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินออกไปดุจพายุหอบหนึ่งโดยไม่สนเขาสักนิด

 

 

กระทั่งเดินออกจากประตู เมื่อเห็นปั้นซย่าคอยท่าอยู่ หลัวเทียนเฉิงจึงฟื้นคืนท่าทีเดิมแล้วเอ่ยถามเขาว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นที่จวนหรือ?”

 

 

น้ำเสียงตระหนกนั้นทำให้ปั้นซย่าอึ้งไป แล้วมองเขาด้วยความงุนงง

 

 

แววตานี้เองที่ทำให้หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมา ยามนั้นเขาจึงกระแอมไอแผ่วเบาเสียงหนึ่ง พลันก็มิอาจมองเห็นร่องรอยใดๆ จากใบหน้าเขาได้อีก

 

 

“ต้าไหน่ไหน่…ปวดท้อง…” ปั้นซย่าเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก

 

 

“ปวดท้อง?” หลัวเทียนเฉิงซ่อนมือที่กำแน่นของตนไว้ใต้แขนเสื้อ แล้วลอบสูดหายใจเข้าจึงสามารถกลบเกลื่อนท่าทีแปลกประหลาดนั้นไว้ได้ “ต้าไหน่ไหน่ให้เจ้ามาหาข้าหรือ?”

 

 

ตอนที่เอ่ยคำถามนี้ออกไป เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตนกำลังดีใจหรือหวาดกลัวกันแน่

 

 

ปั้นซย่ากลับมิได้ปฏิเสธ “พี่ชิงเกอบอกมาขอรับ”

 

 

เขาคิดในใจว่าเอ่ยเช่นนี้ก็มิผิดกระมัง นี่เป็นสิ่งที่สาวใช้ทึ่มทื่อผู้นั้นพูด แต่หากบอกซื่อจื่อไปตามตรงว่าชิงเกอเป็นคนสั่งให้เขามาเรียกซื่อจื่อให้กลับไปและเขายังมาจริงๆ คาดว่าซื่อจื่อคงเตะเขากระเด็นติดกำแพงเป็นแน่

 

 

“ปวดท้อง เหตุใดจึงมิไปตามหมอ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยความรู้สึกหดหู่ แต่เพื่อปกปิดมัน น้ำเสียงที่เอ่ยจึงยิ่งเย็นชา

 

 

ปั้นซย่าอึ้งงันครู่หนึ่ง พลันเข้าใจความหมายของเขาผิดไป

 

 

เขารู้อยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้ ซื่อจื่อจะกลับจวนได้อย่างไรเล่า

 

 

ซื่อจื่อมีหน้าที่อันสำคัญยิ่ง ว่าไปแล้วแม้นเป็นบุรุษทั่วไปที่มีการงานก็มิยอมละทิ้งหน้าที่ตนเพื่อกลับจวนเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ เช่นภรรยาปวดท้องแน่

 

 

“เช่นนั้น…บ่าวกลับแล้ว ซื่อจื่อทำงานต่อเถิดขอรับ” ปั้นซย่ายิ้มแหย่ๆ แล้วต่อว่าตนเองอีกคราที่ยอมทำตามคำสั่งของสาวใช้ทื่อทึ่มผู้นั้น

 

 

แต่หวังว่าซื่อจื่อจะไม่คิดว่าเขาคือตัวโง่งมก็พอ

 

 

เมื่อเห็นปั้นซย่าหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว หลัวเทียนเฉิงก็ได้แต่อ้าปากเผยอ ร้องไห้โดยไร้น้ำตา

 

 

เจ้าคนโง่งมนั้น เขา เขาไปแล้วจริงๆ มิได้ถามเขาสักคำว่าจะกลับหรือไม่ มิรู้จักถามไถ่ให้เขาตัดสินใจสักนิด!

 

 

หลัวเทียนเฉิงยังคงยืนอยู่เช่นนั้นกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงา จึงตัดใจแล้วเดินเข้าไปในศาลาว่าการ

 

 

คนที่เข้าออกในศาลาว่าการต่างรู้สึกได้ว่าสีหน้าของหัวหน้าพวกเขานั้นมืดดำยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

 

ชิงเกอยืนอยู่หน้าประตูเรือน สายตาสอดส่องไม่หยุด

 

 

เมื่อเห็นปั้นซย่าเดินเข้ามาก็รีบวิ่งออกไปมองซ้ายแลขวา แต่เมื่อไม่พบแม้แต่เงาของหลัวเทียนเฉิง ก็เดินวนไปด้านหลังปั้นซย่าอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

ปั้นซย่าจึงเย้านางว่า “พี่ชิงเกอ มิใช่ทุกคนจะเหมือนท่านที่แม้นมีคนยืนอยู่ด้านหลังก็มิอาจมองเห็นแม้เพียงเส้นผม”

 

 

ชิงเกอขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นเหตุใดจึงมิเห็นซื่อจื่อเล่า?”

 

 

“ซื่อจื่อ?” ปั้นซย่านวดคลึงขมับอยู่หลายครา “พี่ชิงเกอ ข้าถึงบอกว่าท่านอย่าได้ทำลายข้าเลย ซื่อจือจะกลับมาได้อย่างไร ซื่อจื่อไม่ด่าข้าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งแล้ว”

 

 

“เหตุใดซื่อจื่อจึงไม่กลับมา? ต้าไหน่ไหน่ปวดท้องจนร้องไห้แท้ๆ”

 

 

เมื่อคิดถึงต้าไหน่ไหน่ผู้บอบบาง ปั้นซย่าก็มิอยากเอ่ยอันใดที่ทำร้ายจิตใจ ทว่าชิงเกอคอยแต่ซักไซ้ไปมา ในที่สุดก็อดเอ่ยออกมามิได้ว่า “ซื่อจื่อบอกว่า หากป่วยก็ไปเชิญท่านหมอ”

 

 

“เชิญท่านหมอ?” ชิงเกออึ้งงันไป เมื่อมีสติคืนมาจึงเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ฮึ ซื่อจื่อและเจ้าล้วนมิใช่คนดี เสียแรงที่กินซาลาเปาไส้เนื้อของคุณหนูข้าไปมากมายเช่นนั้น!”

 

 

เมื่อเห็นสาวใช้ร่างใหญ่วิ่งจากไปดุจสายลม ปั้นซย่าก็ลูบจมูกตนพลางพร่ำบ่นว่า “ผู้ใดกินไปมากมายเล่า มีแต่ซื่อจื่อต่างหากที่กิน ทุกคราที่ให้ตนก็ให้อย่างจำคล้าย ท่าทีดุจกำลังเฉือนเนื้อตนเองก็มิปาน มีคราหนึ่งทำให้เขาตกใจจนต้องแบ่งคืนกลับไปให้ครึ่งหนึ่ง”

 

 

ชิงเกอเข้าไปในห้องครัวเล็ก

 

 

ท่านย่าเคยสอนข้าทำขนมยัดไส้พุทรา คุณหนูจักต้องชอบเป็นแน่

 

 

เมื่อชิงเกอทำขนมเสร็จก็ล่วงเลยไปถึงยามเที่ยงพอดี

 

 

หิมะหยุดตกแล้ว แต่บนพื้นยังคงขาวโพลน นกกระจอกกระโดดโลดเต้นอยู่บนหิมะคอยหาอาหารกิน

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวประคองท่านพักผ่อนที่เตียงเองเจ้าค่ะ ข้างหน้าต่างนั้นหนาวเกินไป” อาหลวนเอ่ยอย่างระมัดระวัง

 

 

เจินเมี่ยวส่ายศีรษะ “นอนนานเกินไปแล้ว ข้าอยากนั่งสักหน่อย” กล่าวจบก็มองไปที่เหล่านกกระจอกแสนร่าเริงอย่างเหม่อลอย

 

 

นางก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง แม้นภพก่อนจะมิเคยมีคนรัก ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาทำต่อนางเมื่อคืนนี้แล้วก็โกรธแค้นและเสียใจจนต้องหลับตาลง

 

 

ตั้งแต่ที่นางลืมตาขึ้นมาบนสถานที่อันแปลกหน้านี้ก็ถูกคนชั่วช้าผู้นั้นบีบคอเกือบจนเกือบจะตายไปอีกครั้ง เจินเมี่ยวจึงรู้ดีว่าการแต่งงานของพวกเขามาจากสาเหตุที่มิใคร่จะดีนัก เกรงว่าชั่วชีวิตของนางคงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความรัก

 

 

เมื่อครุ่นคิดถึงยุคสมัยนี้แล้ว นางก็ได้แต่ยอมรับ

 

 

มีคนมากมายที่แต่งงานโดยไม่รู้จักกัน นางเองก็มิต่างอันใดกับสตรีเหล่านั้น แล้วมีอันใดที่ไม่ยุติธรรม ขอเพียงเข้าใจและรู้จักนำความรักไปทำในสิ่งที่ชอบก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

 

 

ทว่าเขากลับมิยอมให้โอกาสนางได้แม้เพียงสักเล็กน้อย

 

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมายมาปีกว่านี้แล้ว สำหรับนางอย่างน้อยเขาก็นับว่าเป็นสหายคนหนึ่งได้ มิถูกต้อง…แม้นเป็นคนแปลกหน้าเขาก็มิควรต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้กระมัง

 

 

เห็นชัดว่าก่อนหน้านั้นเขาก็ยังปกติดีทุกอย่าง

 

 

เจินเมี่ยวพลันเจ็บปวดใจขึ้นมาคล้ายมีด้ายเส้นเล็กๆ คอยเกี่ยวดึงหัวใจนางอยู่ตลอดเวลา แม้นมิได้ทำให้มีบาดแผลใหญ่ แต่มันก็เจ็บมากพอจะทำให้คนเหงื่อไหลแตกพลั่กได้

 

 

หากเขามีท่าทีอยากจะฆ่านางให้ตายเช่นเมื่อแรกเริ่มก็แล้วไปเถิด ผู้ใดจะไปคิดแค้นกับสัตว์เดรัจฉานได้เล่า

 

 

ทว่าเหตุใดถึงเลือกทำร้ายนางในขณะที่นางค่อยๆ เห็นเขาเป็นดั่งสหาย กระทั่งเป็นคนที่ชิดใกล้เช่นนี้ด้วยเล่า?

 

 

เจินเมี่ยวสึกสับสนยิ่ง

 

 

นางสับสนอย่างที่สุด สับสนกระทั่งต้องยกความรู้สึกของตนที่มีต่อเขาออกมาสำรวจอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

 

 

มันคือความรักหรือไม่?

 

 

เป็นความรักที่เห็นแต่อีกฝ่ายอยู่ในสายตา ยอมรับทุกอย่างของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด เป็นความรักที่หากมิใช่เขาก็จักไม่มีใครอีกเช่นนั้นหรือไม่?

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า

 

 

นางยอมรับว่าหนึ่งปีกว่าที่อยู่ด้วยกัน เพราะท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของอีกฝ่ายทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่กำลังจะพัฒนาไปนั้นต้องหยุดชะงักลง

 

 

อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขาเกิดจากอันใดกันแน่เล่า?

 

 

อุปนิสัยเดิมก็เป็นเช่นนี้หรือเพราะการแต่งงานครานี้ทำให้รู้สึกยากจะยอมรับได้มาตลอด?

 

 

เจินเมี่ยวคล้ายจะคว้าจับเหตุผลบางอย่างได้แล้ว แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดกลับคล้ายมีเมฆหมอกเข้ามาบัง มองไม่เห็นแม้สิ่งใด

 

 

เวลานี้เองชิงเกอจึงยกขนมไส้พุทราเข้ามา “คุณหนู ลองกินดูเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวมีสติคืนมาแล้วฝืนฉีกยิ้มออกมา “เหตุใดจึงเรียกคุณหนูเล่า หากจื่อซูได้ยินเขา เจ้าต้องถูกเอ็ดเอาแน่”

 

 

“อยากเรียกคุณหนูเจ้าค่ะ” ชิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

 

“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

 

 

ชิงเกอมิใช่คนมากเล่ห์ เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยถามเช่นนี้ก็เอ่ยออกไปด้วยพาซื่อว่า “ซื่อจื่อมิกลับมาดูอาการคุณหนู ทั้งยังบอกว่าหากคุณหนูไม่สบายก็ให้ไปเชิญท่านหมอ บ่าวจึงเรียกคุณหนู ไม่เรียกต้าไหน่ไหน่แล้ว ไม่ให้ท่านเป็นภรรยาของซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด