วาสนาบันดาลรัก 293 โกรธแค้น

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 293 โกรธแค้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แขวนคอตาย? ช่วยทันหรือไม่?”

 

 

ไป่หลิงเห็นแววตาของเจินเมี่ยวแปลกไปก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา แต่ยังคงพูดตามความจริงว่า “ไม่เจ้าค่ะ ตอนที่พบนั้นศพก็แข็งทื่อไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวพลันตัวเย็นเฉียบขึ้นมาทันใด ใบหน้าขาวซีดอย่างที่สุด ต่อมาจึงหน้าแดงก่ำขึ้น

 

 

ในใจนางนั้นทั้งโมโหทั้งแค้นเคือง ทั้งมีความเสียใจอย่างยากจะบรรยาย

 

 

เจินเมี่ยวโกรธที่เวินยาฉีมิเคยคิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด นางตายไปเช่นนี้ย่อมต้องเกิดสถานการณ์อันยากลำบากขึ้นแน่ ที่เสียใจคืออย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าปีเท่านั้น ดั่งเช่นคนที่เรามิชอบหน้า ย่อมไม่อยากพูดจา ไม่อยากพบหน้ากระทั่งไม่อยากคบค้ากับเขา แต่หากบอกว่าอยากให้เขาตาย นั้นย่อมมิใช่

 

 

“ไปจวนเจี้ยนอานปั๋ว!” เจินเมี่ยวเก็บจดหมายที่อ่านยังมิทันจบนั้นยัดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วรีบเดินทาง

 

 

ครั้นถึงเรือนหน้าก็ร้องบอกปั้นซย่าว่า “ปั้นซย่า เจ้าไปที่ศาลาว่าการบอกกับซื่อจื่อว่า คุณหนูเวินจวนเจี้ยนอานปั๋วสิ้นแล้ว”

 

 

“ขอรับ” ปั้นซย่ารีบจูงม้าออกไปทันที

 

 

เจินเมี่ยวขึ้นรถม้าอีกครา จื่อซูและชิงไต้คอยติดตามอยู่ซ้ายขวา

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ท่านทำใจให้สบาย ทุกอย่างรอถึงจวนปั๋วค่อยว่ากล่าวเถิด” จื่อซูเอ่ยเตือนขึ้นเมื่อเห็นมือสองข้างของเจินเมี่ยวจิกลงไปยังเบาะรองนั่งอย่างไม่รู้ตัว เส้นโลหิตหลังมือต่างปูดโปนขึ้นมา

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มขืน “ข้าห่วงท่านแม่มากกว่า”

 

 

นางไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าตอนนี้นางเวินจะเป็นเช่นไรบ้าง

 

 

ไม่ว่าใครก็ตามที่หลานสาวตระกูลมารดามาพักอาศัยจวนตนแต่สุดท้ายกลับแขวนคอตาย ต่อให้มิชิดเชื้อกับตระกูลมารดาสักเท่าใดก็ย่อมต้องรู้สึกอับอายอย่างที่สุดจนมิกล้าพบหน้าผู้คนได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงนางเวินที่รักเอ็นดูเวินยาฉีด้วยใจจริงเลย

 

 

เจินเมี่ยวแหวกผ้าม่านออกแล้วเอ่ยเร่ง “เร็วกว่านี้อีกหน่อย”

 

 

ครั้นผู้บังคับรถม้าได้ยินก็ยกแส้ขึ้นหวดบนร่างอาชา รถม้าจึงทะยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่

 

 

ไม่ไกลออกไปนักมีคนสองคนที่กำลังควบอาชาอยู่นั้นพลันกระตุกเชือกหยุดอาชาตนทันใด

 

 

บุรุษหนุ่มผู้สวมชุดน้ำตาลแดงมีสีหน้าไม่พอใจ “ตระกูลใดกันถึงได้เหิมเกริมเช่นนี้ ขับรถม้าเร็วเช่นนี้ไม่กลัวจะชนคนบาดเจ็บหรือไร ทั้งยังต้องให้ท่าน…องค์ชายหกหลีกทางให้อีก”

 

 

แววขบคิดล้ำลึกปรากฏวูบขึ้นในดวงตาขององค์ชายหก

 

 

โดยทั่วไปแล้วบุรุษเดินทางมักขี่ม้า หากนั่งรถม้ามักเป็นสตรี

 

 

สัญลักษณ์บนรถม้านั้นเขาเห็นผ่านตาไปครู่หนึ่งคล้ายจะเป็นของจวนกั๋วกง เหตุใดจึงเร่งรีบไปยังทิศทางนั้นเล่า

 

 

ชื่อเสียงขององค์ชายหกในเรื่องกระทำการตามใจไร้กฎเกณฑ์นั้นกระฉ่อนไปทั่ว แต่ความจริงกลับเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง เมื่อเห็นรถม้ามุ่งไปทิศทางนั้นก็คิดเชื่อมโยงไปถึงสตรีจวนกั๋วกงคนใดที่จะมุ่งหน้าไปทางนั้นได้ ฉับพลันก็คาดเดาได้ทันทีว่าผู้ใดที่นั่งอยู่ในรถม้า

 

 

ที่แท้ก็เป็นเจียหมิง นางรีบกลับจวนตระกูลมารดาไปไยกัน?

 

 

องค์ชายหกในยามนี้ย่อมไม่ทราบว่าคุณหนูซึ่งเป็นญาติของจวนปั๋วนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่กลับเกิดความคิดอยากจะไปสืบเสาะต้นเหตุขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

 

“ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปจวนเจี้ยนอานปั๋วสักครา”

 

 

“จวนเจี้ยนอานปั๋ว?” เซียวอู๋ซังคุณชายผู้สืบทอดจวนหย่วนเวยโหวพลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงเผยยิ้มยียวนอย่างที่สุดออกมา “องค์ชายหก พระองค์คิดถึงพี่สะใภ้น้อยแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

จวนหย่วนเวยโหวมีความดีความชอบยิ่ง บรรดาศักดิ์ที่มีมิได้ด้อยไปกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเลย กล่าวกันตามจริงแล้ว องค์ชายที่ไร้ที่พึ่งพิงนั้นยังไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับคุณชายผู้สืบทอดจวนโหวด้วยซ้ำ

 

 

แต่ก็มิทราบด้วยเหตุใด เซียวอู๋ซังกลับถูกชะตากับองค์ชายหกมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วจึงประกาศตนเป็นสหายเล่าเรียนของเขา ไม่ทราบว่าทำให้องค์ชายหลายพระองค์และคนอื่นๆ ต้องทอดถอนใจด้วยความเสียดายมากมายเท่าใด

 

 

และด้วยเหตุนี้เององค์ชายหกจึงมิได้เห็นเซียวอู๋ซังเป็นเพียงสหายเล่าเรียนเท่านั้น แต่คนทั้งสองยังปฏิบัติต่อกันอย่างสหายรู้ใจ

 

 

เจินจิ้งเป็นอนุที่กลับไปดูแลบำรุงครรภ์ที่จวนบิดาตน หลังจากที่เซียวอู๋ซังทราบก็ลอบยิ้มกับตนเองอยู่นาน ในใจก็กล่าวว่าองค์ชายหกใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ ดูท่าคงมิได้แค่ชมชอบธรรมดาเสียแล้ว มิน่าเล่าตอนไปที่เป่ยเหอจึงได้พานางไปด้วย

 

 

ได้ยินวาจาหยอกล้อของเซียวอู๋ซัง องค์ชายหกก็ยิ้มพลางเอ่ยดุว่า “พูดจาเหลวไหล!”

 

 

“พูดจาเหลวไหล? เหลวไหลหรือ?” เซียวอู๋ซังเหล่ตาจ้อง “องค์ชายหก พระองค์ก็ต้องระวังไว้บ้างเช่นกัน อย่าได้ให้ขุนนางหลวงคนได้รู้เข้าเล่า”

 

 

แม้นองค์ชายหกจะยังไม่มีพระชายาแต่หากโปรดปรานอนุคนหนึ่งอย่างออกหน้าออกตาเกินไป ในสายตาของขุนนางหลวงคร่ำครึย่อมมีแต่คำตำหนิด่าว่าเท่านั้นแล้ว

 

 

องค์ชายหกยกแส้หวดม้าฟาดใส่เซียวอู๋ซังเบาๆ คราหนึ่ง แล้วเอ่ยด่าว่า “เจ้านั้นแลที่นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน”

 

 

ตามด้วยการตบหลังม้าคราหนึ่ง “เอาล่ะ ข้าไปก่อนแล้ว เจ้าก็ระวังปากตนให้ดีแล้วกัน”

 

 

แม้นองค์ชายหกจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ในใจกลับมิได้ไยดีอันใด

 

 

ในวังที่อันตรายมากด้วยเล่ห์กล หากเขามิทำตัวไม่ได้ความ องค์ชายที่ไม่มีมารดาคอยปกป้องเช่นเขา เกรงว่าต้นหญ้าในสุสานตนคงสูงท่วมหัวไปแล้ว ไหนเลยจะอยู่มาจนเติบใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้ได้

 

 

ครั้นเห็นองค์ชายหกควบม้าฝุ่นตลบจากไป เซียวอู๋ซังก็ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ ผู้กล้ามิอาจผ่านด่านหญิงงามได้จริงๆ เหตุใดหญิงงามที่ทำให้ข้ามิอาจผ่านด่านไปได้นั้น ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า?”

 

 

เมื่อรถม้าหยุดที่หน้าประตูจวนเจี้ยนอานปั๋ว เจินเมี่ยวก็ยกกระโปรงกระโดดลงทันทีโดยมิรอให้ผู้ใดมาประคอง

 

 

ขณะกำลังจะเดินเข้าไป พลันได้ยินเสียงฝีเท้ามาดังลอยมา นางจึงหันหลังกลับไปมอง หลัวเทียนเฉิงก็ได้มาหยุดตรงหน้านางแล้ว

 

 

เขากระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วแล้วดึงเจินเมี่ยวเข้ามากอดก่อนตบหลังนางแผ่วเบาคราหนึ่งโดยมิสนใจสายตาผู้ใด “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทั้งคน”

 

 

ชั่วขณะนั้นเองที่ขอบตาเจินเมี่ยวพลันแดงเรื่อขึ้นมา จึงมิกล้าเงยหน้าขึ้นได้แต่พยักหน้าหงึกหงักคราหนึ่ง

 

 

คนทั้งสองไปที่เรือนหนิงโซ่วก่อน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วดูซูบลงไปหลายส่วน เจินเมี่ยวเห็นแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงจึงร้องเรียกท่านย่าคำหนึ่ง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ไปดูมารดาเจ้าเถิด คราแรกที่ทราบเรื่องก็หมดสติไป ครู่ใหญ่จึงฟื้นขึ้นมา พี่รองของเจ้าอายุครรภ์มากแล้วจึงมิได้ส่งสารไปแจ้งนาง”

 

 

กล่าวจบก็หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจต่อนางเวินขึ้นมาหลายส่วน

 

 

หากเรื่องการตายของคุณหนูผู้เป็นญาติที่มาพักอาศัยที่จวนแพร่ออกไป จวนปั๋วย่อมไม่มีชื่อเสียงใดๆ ให้นับหน้าถือตาอีกแล้ว อย่างอื่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ที่น่าสงสารคือปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์ ขออย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ กับงานมงคลของพวกนางเลย

 

 

“ท่านย่า เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สบายใจเช่นกัน เจินเมี่ยวก็ยื่นมือออกไปกุมมือฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเขย่าเบาๆ “ท่านย่า รอข้าไปเยี่ยมท่านแม่ก่อนแล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “ไปเถิด เด็กดี”

 

 

ครั้นเจินเมี่ยวถึงสวนเหอเฟิงก็เห็นนางเวินนอนพิงหมอนข้างด้วยใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ท่าทีเหม่อลอย คิดไม่ถึงว่าจากกันแค่เพียงครู่เดียวมารดากลับดูแก่ขึ้นไปนับสิบปี

 

 

แต่ที่ยากจะพบเห็นได้นั้นกลับมีนายท่านสามสกุลเจินนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

 

 

เจินเมี่ยวรีบเดินเข้าไปนั่งลงแอบอิงตรงเข่าของนางเวินแล้วเงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว”

 

 

นัยน์ตานางเวินเคลื่อนลงมองเจินเมี่ยวแต่กลับไม่มีความรู้สึกใดๆ อยู่ในนั้น นางเพียงพึมพำว่า “ข้ากลัวว่านางเกิดเรื่องจึงส่งคนไปคอยเฝ้าไว้ นางบอกว่าจะไปห้องอาบน้ำ แค่เพียงครู่เดียว แค่ครู่เดียวเท่านั้น นางก็แขวนคอ…อยู่ในห้องอาบน้ำแล้ว”

 

 

นางเวินพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา เจินเมี่ยวยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นใจ นางมองนายท่านสามสกุลเจิน “ท่านพ่อ ท่านแม่เป็นเช่นนี้มาตลอดเลยหรือ?”

 

 

นายท่านสามสกุลเจินพยักหน้า “ตั้งแต่เห็นศพญาติผู้น้องของเจ้า แม่เจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านหมอบอกว่านางสะเทือนใจมาก”

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงบีบมือนางไว้ “อย่าร้อนใจไปเลย หมอหลวงอู๋เชี่ยวชาญเรื่องนี้ยิ่ง ข้าจะไปเชิญเขามาเอง”

 

 

ความจริงแล้วหากผู้ใดมีสิทธิ์เชิญหมอหลวงก็แค่ให้ผู้ดูแลจวนที่เชื่อถือได้ไปเชิญมาก็พอ แต่วันนี้หมอหลวงอู๋ไปเข้าเวรในวังหลวง หากคิดจะเชิญเขาออกมาจากวังนั้นจึงมิใช่เรื่องง่ายนัก

 

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมิจำเป็นต้องนำมาสาธยายแล้ว

 

 

ยามนี้เจินเมี่ยวจิตใจสับสนวุ่นวายยิ่งย่อมมิคิดอันใดให้มากความก็พยักหน้ารับทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพนายท่านสามสกุลเจิน “ท่านพ่อตา ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

 

 

นายท่านสามสกุลเจินรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้รับการใส่ใจเช่นนี้ จึงเอ่ยออกไปว่า “อืมๆ รีบไปเถิด”

 

 

ที่ผ่านมาบุตรเขยคนนี้เย็นชาต่อเขาอยู่เสมอ แม้นจะมิเคยเสียมารยาทกับเขา แต่หากมิใช่คนโง่ก็ย่อมรับรู้ได้

 

 

ทำอย่างไรในเมื่อบุตรเคยผู้นี้ช่างสูงศักดิ์นัก เขาเองก็ไร้หนทางทำอันใดได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนั้นมุมปากก็หยักยกขึ้นเล็กน้อย

 

 

พ่อตาท่านนี้ทำตัวเหลวไหลมาแต่ไหนแต่ไรทำให้แม่ยายเขาต้องทุกข์ใจ เจี๋ยวเจี่ยวก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เขาจึงคร้านจะปั้นหน้ากับพ่อตาผู้นี้เป็นธรรมดา แค่มิทำให้เจี๋ยวเจี่ยวต้องอับอายขายหน้าก็พอแล้ว

 

 

วันนี้เห็นเขามาเฝ้าท่านแม่ยายอยู่ในห้องนี้ด้วย นับว่ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง วันนี้จึงเก็บท่าทีเฉยเมยที่มักแสดงออกไว้

 

 

หลังจากที่หลัวเทียนเฉิงจากไปได้ไม่นาน สตรีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือยกถาดใบหนึ่งมาด้วย

 

 

เจินเมี่ยวเหลือบสายตาขึ้นมอง ที่แท้ก็เป็นลี่อี๋เหนียง เบื้องลึกนัยน์ตาเผยแววหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดานั้นเฉยชาต่อกันมาตลอด เวลาส่วนใหญ่ของนายท่านสามสกุลเจินมักพักผ่อนอยู่กับลี่อี๋เหนียง หรือไม่ก็ห้องตำรา ทั้งที่นางเวินเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเท่านั้น

 

 

“เจ้ามาได้อย่างไร?” นายท่านสามสกุลเจินเอ่ยถาม

 

 

“ข้าต้มโจ๊กมาให้ไท่ไท่เจ้าค่ะ”

 

 

“ไท่ไท่ไม่ค่อยสบาย เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

 

 

ลี่อี๋เหนียงกัดริมฝีปากตนเอ่ยรับคำด้วยเสียงอ่อนโยน แต่สายตากลับมองนายท่านสามสกุลเจินอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วจึงจากไป

 

 

ไม่ทราบเพราะอยู่ต่อหน้าบุตรสาวหรือไม่ นายท่านสามสกุลเจินถึงไม่มองลี่อี๋เหนียงแม้เพียงสักนิด แต่กลับลูบจมูกตนด้วยท่าทีประหม่า แล้วเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อใดบุตรเขยจึงจะเชิญหมอหลวงออกมาได้”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนขึ้นมาก “น่าจะใกล้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ครั้นเห็นสายตาที่นายท่านสกุลสามมองนางเวินนั้นมีความห่วงใหญ่อยู่หลายส่วน เจินเมี่ยวจึงคิดบางอย่างขึ้นได้ นางลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก่อน ข้าจะไปถามท่านป้าว่าต้องจัดการเรื่องของญาติผู้น้องเช่นใดบ้าง”

 

 

ท่านแม่พบกับเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ หากท่านพ่อเกิดสงสารเห็นใจ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะกลับมาคืนดีกันอีกครา ซึ่งนางก็มิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องขัดตาอันใด

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวเดินออกไปก็เรียกจิ่นผิงสาวใช้ใหญ่คนสนิทของนางเวินมาสอบถามเรื่องของเวินยาฉีอย่างละเอียด

 

 

จิ่นผิงบอกว่า “ไท่ไท่กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับคุณหนูเวิน จึงสั่งให้พวกเราตามติดทุกฝีก้าว กระทั่ง…”

 

 

“ถึงขั้นนี้แล้ว มีอันใดก็พูดมาเถิด”

 

 

“คุณหนูเวินเอาแต่ตำหนิต่อว่ากูไหน่ไหน่สาม กระทั่งด่าว่าสาปแช่งไม่เหลือชิ้นดี” จิ่นผิงมองหน้าเจินเมี่ยว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ผ่านไปไม่นานเรือนเซี่ยเยียนก็ให้คนนำผ้าปักที่ปักเสร็จเพียงครึ่งหนึ่งมามอบให้ทั้งนำวาจาของกูไหน่ไหน่สามมาด้วย”

 

 

“วาจาอันใด?” เจินเมี่ยวกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

 

“กูไหน่ไหน่สามบอกว่า…คิดว่าต่อไปคุณหนูเวินคงมิไปเย็บปักกับนางแล้ว ของพวกนี้ก็เก็บไว้เองเถิด”

 

 

“หลังจากนั้นเล่า?”

 

 

“แล้วคุณหนูเวินก็หยุดด่าว่านางแต่เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบแทน พวกเราคิดว่าคุณหนูเวินคิดได้แล้ว ภายหลังคุณหนูเวินบอกว่าอยากไปอาบน้ำ พวกเราบ่าวไพร่จึงมิสะดวกตามไป แต่เมื่อเข้าไปอยู่พักใหญ่ก็มิเห็นคุณหนูเวินออกมา พวกบ่าวรู้สึกไม่ชอบกลจึงบุกเข้าไปด้านใน สุดท้ายพบคุณหนูเวินห้อยอยู่บนขื่อ เมื่อเอาคนลงมาก็พบว่าสิ้นใจแล้ว”

 

 

“เจินจิ้ง”

 

 

เจินเมี่ยวกัดฟันพึมพำสองคำนี้ออกมา โทสะลูกหนึ่งปะทุขึ้นบนศีรษะ

 

 

คนหัวใจอสรพิษก็เป็นเช่นนี้กระมัง

 

 

เจินเมี่ยวมิพูดอันใดให้มากความอีก นางพาจื่อซูและชิงไต้ไปที่เรือนเซี่ยเยียนทันที จิ่นผิงเห็นท่าทีมิชอบกลจึงรีบไปรายงานฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยง

 

 

นางเจี่ยงได้ฟังก็ลอบเอ่ยในใจว่าแย่แล้ว เกิดเรื่องย่ำแย่ขึ้นในจวนเช่นนี้เกรงว่าคงเป็นฝีมือการชักนำของเจินจิ้งสตรีเลวทรามนั้นแล้ว แต่อย่างไรนางก็กำลังตั้งครรภ์พระราชนัดดาอยู่ หากนางเป็นอันใดขึ้นมาคงร้ายแรงถึงชีวิตเป็นแน่!

 

 

นางเจี่ยงจึงพาคนติดตามไปด้วยตนเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด