วาสนาบันดาลรัก 220

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 220 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เส้นโลหิตบนขมับนายท่านสี่สกุลหลัวปูดโปนขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด 

 

 

นางหูฝืนหันหน้าหนีไป 

 

 

หลังจากที่มารดาคลอดนาง หลายปีก็ยังไม่มีบุตรชาย นางจึงถูกเลี้ยงมาดุจบุตรชายก็มิปาน กระทั่งอายุสิบต้นๆ บิดาก็เริ่มหาบุตรเขยแต่งเข้าตระกูล ทว่าคนพวกนั้นจะมีอันใดดีได้เล่า! 

 

 

อาจเพราะสวรรค์เมตตานาง เมื่อถึงวัยปักปิ่นมารนางก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลานั้นเป็นช่วงที่นางใช้ชีวิตอย่างสบายใจที่สุด 

 

 

ผู้ใดจะทราบว่ามารดากลับจากไปหลังคลอดน้องชาย หากรอให้พ้นช่วงเวลาไว้ทุกข์ นางก็เป็นสตรีทึนทึกอายุสิบแปดแล้ว 

 

 

บิดาจึงรีบร้อนจะจัดงานมงคลให้กับนาง บางทีอาจเป็นลิขิตสวรรค์ทำให้ได้พบกับเขา 

 

 

เขาทั้งหล่อเหลาสง่างาม นางโตมาถึงเพียงนี้แล้วยังมิเคยเจอผู้ใดเช่นเขาเลย แม้นจำไม่ได้ว่าตนมีที่มาที่ไปอย่างไร ทว่าเขารู้หนังสือ ทั้งยังเป็นวรยุทธ์ แม้นจะไม่มีความทรงจำในอดีตแต่ที่มาก็ย่อมไม่ธรรมดาแน่ 

 

 

นางรู้ในตอนนั้นเองว่า นางไม่มีทางจะปล่อยบุรุษผู้นี้ไป นางไม่มีทางพบผู้ใดที่ดีกว่าเขา และเหมาะสมกว่าเขาอีกแล้ว! 

 

 

ในตอนนั้นนางตัดสินใจลองเสี่ยงสักครั้ง เพื่อให้ได้สามีที่มีความสามารถและรู้จักเอาใจใส่ และในวันนี้นางยังคงต้องเสี่ยงอีกสักครั้ง 

 

 

นางมิอาจยอมอ่อนข้อ หากยอมถอยแม้เพียงก้าวนั้นกลับกลายเป็นแม่น้ำลึกนับหมื่นจั่ง ตั้งแต่นี้ต่อไปนางกับจังเกอก็มิอาจหวนคืนกลับไปได้ 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“เหมยเหนียง ข้ารู้ ว่าเรื่องนี้มันยากเกินไปจริงๆ” 

 

 

นางหูเช็ดน้ำตาตน 

 

 

ความรู้สึกผิด ความรัก ความผิดหวัง ปรากฏขึ้นในดวงตาของนายท่านสี่สกุลหลัว สุดท้ายกลับกลายเป็นความแน่วแน่ “แต่ต่อให้ยากกว่านี้ ข้าก็ยังต้องเลือกกลับไป ไม่…ไม่ ข้าไม่ทางเลือกต่างหาก ข้ามีเพียงหนทางเดียวให้เดิน นั้นคือกลับบ้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 

 

 

ที่นั่นเป็นบ้านที่เลี้ยงดูเขามา ยังมีบิดาที่สติไม่ค่อยดี ท่านแม่ที่ชราภาพ ภรรยาผู้ไร้ที่พึ่ง อย่างไรเขาก็มิอาจละทิ้งชีวิตและความรับผิดชอบของเขาได้ 

 

 

“หมายความว่า ท่านจะทิ้งพวกเราสองแม่ลูกงั้นหรือ?” 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเผยรอยยิ้มขมขื่น “เหมยเหนียง เจ้าไม่เข้าใจหรือ นับตั้งแต่ที่ข้าจำทุกอย่างได้ ข้าก็ไม่มีทางอื่นใดให้เลือกแล้ว ยามนี้มีคนที่มีสิทธิ์เลือกคือเจ้า ว่าจะไปกับข้าหรืออยู่ที่นี่” 

 

 

ใบหน้านางหูค่อยๆ ซีดเผือดลง “หากข้ายืนยันที่จะอยู่ที่นี่เล่า ท่านก็จะพาจังเกอไปด้วย? ห๊ะ ใช่หรือไม่? ” 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวกุมมือนางหูไว้อย่างปลอบประโลม “หากเจ้าต้องการจังเกอ เช่นนั้น…ก็ให้เขาอยู่กับเจ้าเถิด” 

 

 

สวรรค์ย่อมรู้ดีว่าการตัดสินใจเช่นนี้นั้นยากเย็นเพียงใด ทว่านี้ก็เป็นบทลงโทษที่เขาควรได้รับ 

 

 

“ให้อยู่กับข้า? ท่านพูดได้ไพเราะยิ่ง น้องชายยังเล็ก ท่านจากไปเช่นนี้ ท่านอยากให้ผู้อื่นมาคอยบงการชีวิตเรางั้นหรือ?” 

 

 

“เหมยเหนียง ไม่ว่าจะไปหรืออยู่ ข้าก็ย่อมต้องดูแลตระกูลหูเป็นอย่างดี หาก…หากเจ้าคิดจะแต่งงานใหม่ ก็ถือว่าเราแยกทางกันด้วยดีแล้ว” 

 

 

ความเหน็บหนาวกระจายไปทั่วร่างนางหู คล้ายโลหิตถูกสูบออกมาจนหมดกระนั้น ปากนางสั่นระริก “ท่านพี่ ท่านช่างใจร้ายนัก!” 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวหัวเราะขมขื่น “ใช่” 

 

 

เขาควรได้รับบทลงโทษ ขอเพียงบทลงโทษนั้นมาลงที่เขาก็พอแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของนายท่านสี่สกุลหลัว นางหูก็รู้ทันทีว่ามิอาจฉุดรั้งเขาไว้ได้ จึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านให้ท่านแม่ท่านกับ…กับพี่สาวมาอยู่ที่นี่ดีหรือไม่? เข้าจะยอมเป็นอนุของท่าน” 

 

 

ในเมืองแห่งนี้ ผู้ที่ยอมแต่งเป็นอนุนั้นมิใช่ไม่มี แม้นฐานะจะต่ำกว่าภรรยาเอกอยู่สักหน่อย แต่บุตรที่คลอดก่อนก็นับว่าเป็นทายาทของตระกูล 

 

 

ขอเพียงมาอยู่ในที่ของนาง นางก็ยังคงเป็นคนดูแลจัดการจวนสกุลหูแห่งนี้และยังมีอำนาจในมือเช่นเดิม ต่อให้นางเป็นอนุก็มิได้ต่ำต้อยไปกว่าภรรยาเอกสักนิด! 

 

 

“เหมยเหนียง ข้ายังมิได้บอกกับเจ้าว่า บิดาข้าคือกั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์อันดับหนึ่งที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา ตระกูลเรามิใช่ตระกูลพ่อค้าจึงไม่มีกฎการแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านอนุภรรยา” 

 

 

“อันใดกัน!” นางหูเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงโดยพลัน “กั๋ว…กั๋วกง?” 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวพยักหน้าพลางยิ้มขมขื่น 

 

 

จากสิ่งที่เขาได้รับการอบรมมาทั้งหมดก็ทำให้เขามิอาจยอมรับเรื่องเหลวไหลอย่างการแต่งภรรยาเอกเข้าบ้านอนุได้เช่นกัน! 

 

 

นางหูมองนายท่านสี่สกุลหลัวอย่างอึ้งงัน พลันยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเพียงตบมือนางเบาๆ เท่านั้น 

 

 

นางหูร้องไห้อยู่นานถึงครึ่งชั่วยามจึงหยุดลง นางเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “”ได้ ท่านพี่ ข้าจะไปกับท่าน ยอมเป็น…ยอมเป็นอนุของท่าน” 

 

 

“เหมยเหนียง…” 

 

 

นางหูเปลี่ยนน้ำเสียงทันที นางเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “แต่ข้ามีข้อแม้” 

 

 

“เจ้าพูดมา” 

 

 

“จังเกอ เขาไม่อาเป็นบุตรของอนุได้ ขอให้ท่านบอกกับพี่สาวว่าให้จังเกอมีฐานะดั่งบุตรของนางอีกคน” 

 

 

ใช่ เขาได้มอบทางเลือกให้กับนางแล้ว แต่หากนางหย่ากับเขาจริงๆ ก็ต้องแต่งให้กับชายแก่ที่นางไม่รู้สึกต้องตาอันใด ทั้งยังต้องคอยห่วงเรื่องโสมมเป็นกองของชายแก่นั้นอีกงั้นหรือ? 

 

 

แล้วจังเกอของนางจะทำอย่างไรเล่า! 

 

 

ต่อให้เป็นเพียงบุตรของอนุ แต่จังเกอก็เป็นถึงบุตรของนายท่านจวนกั๋วกง อย่างไรนางก็ต้องต่อสู้เพื่อจังเกอ! 

 

 

นางหูเกิดในตระกูลคหบดี อย่างไรก็ต้องเลือกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด 

 

 

ท่านพี่กับสตรีผู้นั้นมิได้พบกันมานานมากแล้ว ย่อมต้องมีระยะห่างต่อกันแน่ หากสตรีผู้นั้นรับปาก ตั้งแต่นี้ต่อไปจังเกอก็จะมีฐานะดุจบุตรภรรยาเอก แต่หากนางไม่รับปาก ท่านพี่ก็จักต้องยิ่งสงสารและรู้สึกผิดกับพวกนางสองแม่ลูก แค่ตอนนี้นางต้องยอมเสียเปรียบบ้างก็เท่านั้น นางไม่เชื่อว่า ตระกูลสูงศักดิ์เช่นนั้นจะไม่มีเรื่องลุ่มหลงอนุจนทำลายภรรยาเกิดขึ้นจริงๆ! 

 

 

บุตรชายบุตรสาวไม่เหมือนกัน แม้นบุตรชายของอนุภรรยาจะมิอาจสืบทอดตำแหน่งทายาทตระกูล แต่ภายหน้าก็ยังมีสิทธิ์ได้รับทรัพย์สินของตระกูล 

 

 

หากนางปล่อยเรื่องนี้ไปจริงๆ ภายหน้าจังเกอเติบโตขึ้นก็อาจจะตำหนินางได้ 

 

 

แต่ไหนแต่ไรนางหูก็เป็นคนเด็ดขาด เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่าทีดุร้ายนั้นจึงสลายไปเหลือเพียงความโศกเศร้า 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “ได้ ข้ารับปากเจ้า” 

 

 

เขากับนางชีเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่หนุ่มสาว ทั้งสองรักใคร่กันดียิ่ง ทว่าหลายปีที่เขาอยู่กับนางหูก็มิใช่ไม่มีความรู้สึกใดเลยสักนิด ทั้งยังมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้อีก 

 

 

ผ้าม่านถูกปิดลง ราตรียิ่งมืดมิดขึ้นทุกขณะ ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง 

 

 

วันต่อมานายท่านสี่สกุลหลัวก็พาคุณชายตระกูลจินไปที่ไร่ชา เพราะเคล็ดลับในการทำชาแท่งชนิดใหม่นี้มีเพียงนายท่านสี่สกุลหลัวที่ทราบ คุณชายตระกูลจินจึงได้เชิญเขากลับเมืองหยางชิงพร้อมกัน แล้วค่อยไปเมืองหลวงด้วยกัน 

 

 

วันที่เขาจากมาฟ้าสว่างใสเมฆเบาบาง ใบไม้แห้งถูกลมพัดปลิวว่อน 

 

 

นางหูยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นเงาด้านหลังแล้วนางจึงอุ้มจังเกอกลับเรือน 

 

 

“ท่านแม่ ท่านพ่อต้องออกเดินทางอีกแล้วหรือ? เมื่อใดจะกลับมาเล่า?” 

 

 

จังเกอแม้นร่างกายอ่อนแอแต่กลับฉลาดหัวไว อายุเพียงสามปีก็พูดจาได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว 

 

 

นางหูกอดจังเกอไว้แน่น “ไม่นาน ไม่นานท่านพ่อก็จะกลับมารับพวกเราแล้ว” 

 

 

ยิ่งใกล้ถึงเมืองหลวง อากาศก็คล้ายจะหนาวเย็นยิ่งขึ้น ต้นไม้สองข้างทางนั้นแห้งโกร๋นไร้ใบไปนานแล้ว หากเป็นยามเช้าตรู่กะจะมีหยาดน้ำแข็งเกาะเต็มกิ่งไม้ หากมีรถม้าผ่านมาแล้วชนหยาดน้ำแข็งที่ย้อยลงมาเข้า มันก็จะร่วงเกรียวกราวใส่เต็มร่างคนทันที 

 

 

คุณชายสามคาบหญ้าแห้งไว้ในปากแล้วพ่นมันออกมาโดยแรง เขาเช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “หลายวันมานี้ช่างยากลำบากนัก!” 

 

 

จากเป่ยเหอถึงเมืองหลวงนั้นเป็นระยะเวลาอันแสนสั้น แต่เขากลับเดินทางมาทั้งหมดครึ่งเดือน! 

 

 

กลุ่มคนประหลาดพวกนั้นมาจากที่ใดกันตั้งมากมายหรือ! 

 

 

ยามนี้ข้างทางไม่มีผู้คนสัญจรเลย คาดว่าอีกไม่นานก็คงมีคนโผล่มาแน่! 

 

 

ครูหนึ่งก็มีคนหลายคนกระโจนทะยานเข้ามา ในมือต่างมีดาบยาวถืออยู่ พวกเขาชูมันขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ 

 

 

“เดี๋ยวก่อน!” คุณชายสามร้องขึ้น 

 

 

ฝ่ายตรงข้ามจึงหยุดมือลง 

 

 

แม้นฝ่ายของตนจะสูญเสียคนไปจำนวนมาก แต่คุณชายสามกลับมิขลาดกลัวดั่งครั้งแรกที่ถูกโจมตี เขาแยกเขี้ยวเอ่ยว่า “ต้องการมาชิงโลงศพใช่หรือไม่?” แล้วปรบมือ คนของเขาก็ร้องฮูลาขึ้นครู่หนึ่ง โลงศพก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทันที 

 

 

ให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายจึงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เข้าไปล้อมไว้ 

 

 

การแย่งชิงโลงศพนั้นคือเป้าหมายอันดับหนึ่ง เจ้านายกำชับมาเช่นนั้นโดยมิได้บอกให้ฆ่าคนปิดปากแต่อย่างใด 

 

 

เสียงธนูพุ่งสวบสาบเข้ามาคร่าชีวิตของคนที่เข้าไปใกล้โลงศพนั้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนอีกกลุ่มก็โผล่ออกมา 

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่างกระโจนเข้าต่อสู้ฟาดฟันกันเป็นพัลวัน 

 

 

คุณชายสามเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจโลงศพแล้ว จึงโบกมือคราหนึ่ง “ให้พวกเขาสู้กันเถิด พวกเราไป” 

 

 

เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ใกล้เข้ามาทุกที รถม้ากลุ่มหนึ่งวิ่งตามหลังขึ้นมา 

 

 

คุณชายสามมองด้วยสายตาระแวดระวังคราหนึ่ง 

 

 

นั้นเป็นกลุ่มที่มีคนอยู่นับสิบคน รถลาลากสำหรับให้คนนั่งคันหนึ่ง ด้านหลังยังมีรถลาลากสำหรับบรรทุกสินค้าอีกสองคัน มีคนขี่ม้าอีกหลายคน ที่เหลือล้วนเดินเท้า 

 

 

หนึ่งในคนที่ขี่ม้าคือบุรุษหนวดเครายาวที่มิอาจมองหน้าให้ชัดได้ มีเพียงแววตาคู่นั้นที่เปล่งประกายเต็มเปี่ยมด้วยพลัง 

 

 

“น้องชายมีอันใดให้ช่วยหรือไม่?” 

 

 

คุณชายสามโบกมือไปมา “ไม่มี พวกท่านรีบไปเถิด หากเกิดเหตุอันใดกับพวกท่าน ข้าคงช่วยไม่ได้!” 

 

 

บุคคลที่นั่งอยู่ในรถลาลากพลันแหวกม่านออกมา บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งยื่นหน้าออกมา “นายท่านสกุลหู หากท่านคิดจะยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าคงมิอาจให้ท่านยืมคนของข้าได้” 

 

 

“คุณชายจินเย้าข้าเล่นแล้ว ข้าไหนเลยจะมีความสามารถไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นได้” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว คนในเมืองหลวงกำลังรอชาแท่งเที่ยวนี้อยู่เลยเชียว” บุรุษหนุ่มปล่อยม่านลงแล้วกลับเข้าไปนั่งตามเดิม 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวชำเลืองมองผู้ขับควบรถลาลากคราหนึ่ง 

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานสะใภ้จะปลอมตัวเป็นคนขับควบรถลาลากได้เหมือนเช่นนี้ 

 

 

หลังจากนั้นก็หันไปมองคุณชายสามคราหนึ่ง 

 

 

หากมิใช่เพราะต้าหลังบอกไว้ เขาก็คงจำไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือเจ้าสาม! 

 

 

“ตามมาทันแล้ว” คุณชายสามรีบหันไปมองตรงหน้า 

 

 

เสียงวัตถุแหวกอากาศแว่วดังขึ้น คุณชายสามหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณตน แล้วหันกลับไปมอง เป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่งที่ทะยานพุ่งเข้ามา 

 

 

ตามติดด้วยเสียงเพล้งพล้างเสียงหนึ่ง ไม่ทราบว่าสิ่งใดที่สกัดดาบเล่มใหญ่นั้นจนกระเด็นปักลงบนพื้น  

 

 

คุณชายสามหันหลังไปมองครู่หนึ่ง ใบหน้าก็พลันซีดไปทันที 

 

 

คิดไม่ถึงว่าฝีมือของทั้งสองฝ่ายในครานี้จะต่างกันราวฟ้ากับเหว กลุ่มคนที่ได้รับใช้ชนะจึงตามพวกเขามาจนทัน 

 

 

คุณชายสามได้แต่ร้องแย่แล้วอยู่ในใจ 

 

 

กลุ่มคนเหล่านั้นแม้นจะได้รับบาดเจ็บมาแต่ด้วยฝีมือและจำนวนคนของเขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ 

 

 

เมื่อเห็นว่าสิ่งที่สกัดดาบบินเล่มใหญ่นั้นไว้ได้เป็นเพียงแค่ถุงหนังใส่น้ำธรรมดา คุณชายสามจึงหันไปมองนายท่านสี่สกุลหลัวแล้วเอ่ยเสียงสูงว่า “ท่านผู้แข็งแกร่ง ข้าเป็นคุณชายจากจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าคุ้มกันศพของพี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงแต่ถูกคนชั่วขัดขวางไว้ ขอให้ท่านผู้แข็งแกร่งโปรดช่วยเหลือ จวนเจิ้นกั๋วกงจักต้องตอบแทนท่านอย่างที่สุด” 

 

 

“จวนเจิ้นกั๋วกง?” ผ้าม่านกลับถูกเปิดออกอีกครั้ง บุรุษหนุ่มยื่นหน้าออกมา “ท่านมีอันใดมายืนยัน?” 

 

 

เมื่อเห็นคนทั้งหลายนั้นใกล้เข้ามาทุกที คุณชายสามก็ยิ่งร้อนใจ “ยืนยันด้วยอันใดหรือ ก็คงต้องดูป้ายหยกที่พกติดกายแล้ว แต่ท่านก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่าจริงหรือปลอม แต่หากพวกท่านเอื้อมมือเข้าช่วย รอให้ไปถึงจวนกั๋วกงก็ย่อมต้องทราบแล้วว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง” 

 

 

เวลานี้เองคนกลุ่มนั้นก็ตามมาถึงพอดี เมื่อเห็นว่ามีคนอีกกลุ่มเพิ่มเข้ามาก็ต่างมองหน้ากัน พยักหน้าแล้วพุ่งเข้าหาโลงศพพร้อมกัน 

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวกระโดดออกจากหลังม้า เตะเท้าออกไปหลายคราบนกลางอากาศ คนกลุ่มนั้นกลับถูกเตะจนสลบไป 

 

 

เดิมทีบุรุษหนุ่มนั้นยังคงตัดสินใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นนายท่านสี่สกุลเจินชิงลงมือก่อนแล้วก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา 

 

 

จวนกั๋วกงหรือ หากบิดาทราบว่าเขามีบุญคุณต่อจวนกั๋วกงคงต้องดีใจจนแทบเสียสติแน่ 

 

 

“ยังยืนเหม่ออันใดอยู่อีก รีบเข้าไปช่วยเร็ว!” 

 

 

บิดาเคยบอกว่าเป็นพ่อค้าต้องยอมเสี่ยงอันตราย ขอเพียงผลตอบแทนนั้นคุ้มค่า 

 

 

บุรุษหนุ่มหัวเราะออกมา 

 

 

คุณชายสามลอบผ่อนลมหายใจออกมา มีคนโง่มาคอยช่วยกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เขารีบบอกถึงผลตอบแทนที่อีกฝ่ายจะได้แล้วขอให้คนกลุ่มนี้คุ้มครองเขาไปจนถึงจวนกั๋วกง 

 

 

บุรุษหนุ่มเป็นคนเด็ดขาด เมื่อเขาตัดสินใจว่าสร้างหนี้บุญคุณ เขาก็เอาสินค้าออกมาจากรถจนหมดแล้วเอาโลงศพใส่เข้าไปแทนทั้งสิ่งของอื่นถมทับไว้ 

 

 

คุณชายสามและคนอื่นๆ ต่างแต่งกายเป็นคนของขบวนขนสินค้านี้ 

 

 

เดิมเขาก็ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว เมื่อปลอมตัวเช่นนี้จึงสามารถเดินทางเข้าเมืองหลวงได้อย่างสงบราบเรียบ 

 

 

เมื่อถึงหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง คุณชายสามทั้งดีใจและเศร้าโศกจนยากจะแยก เขาร้องขึ้นต่อหน้าประตูด้วยเสียงแหบพร่าว่า “รีบเปิดประตูเร็ว เข้านำศพพี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด