วาสนาบันดาลรัก 291 กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไปแล้ว

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 291 กว่าจะเข้าใจก็สายเกินไปแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครั้นวาจานี้เอ่ยออกมา ทั่วทั้งห้องก็เงียบไปทันใด เป็นบรรยากาศที่ทำให้คนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจนทำตัวไม่ถูก กระทั่งหาไม่เจอแม้แต่เสียงของตนเอง

 

 

โดยเฉพาะเจินปิง เจินอวี้ สองพี่น้องต่างมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง

 

 

ร้านโลงศพ? มันคือของเช่นใดกัน?

 

 

คิดไม่ออกว่ามัน…จะเชื่อมโยงกับงานมงคลได้อย่างไร?

 

 

“เป็นไปไม่ได้ ข้าจะไปถามให้ชัดเจน!” เวินยาฉีร้องโหยหวนขึ้นเสียงหนึ่งทำลายความเงียบที่กระจายอยู่เต็มห้องนั้นไปทันที แล้วก้าวเท้าวิ่งออกไปทางประตูทำให้เผลอชนเจินเมี่ยวจนเซถลา

 

 

“ญาติผู้น้อง…” เจินเมี่ยวข่มความเจ็บไว้แล้วก้าวเท้าตามไป

 

 

เสียงฮูหยินผู้เฒ่าดังไล่หลังขึ้น “เจ้าสี่ ให้ญาติผู้น้องเจ้าไปเถิด”

 

 

หากได้ถามก็คงจะเลิกหวังเสียที

 

 

“นางเวิน ยาฉีเป็นหลานสาวจากตระกูลมารดาเจ้า แม้นจะอาศัยอยู่ในจวนของเรา แต่เรื่องงานแต่งนั้นข้าก็คงมิอาจยื่นมือเข้าแทรกได้ แต่วันนี้คุณชายรองร้านขายโลงศพมาพูดคุยสู่ขอถึงจวนทำให้ผู้คนต่างทราบเรื่องเมื่อวานที่พวกเขานัดพบกันในงานเทศกาลโคมไฟ เมื่อเรื่องลุกลามจนเป็นเช่นนี้ก็คงมิใช่แค่เรื่องในเรือนของพวกเจ้าแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเสียงขรึม

 

 

ความอับอายและรู้สึกผิดกระจายอยู่เต็มหน้านางเวิน “สะใภ้ทราบเจ้าค่ะ เป็นเพราะสะใภ้บกพร่องในการอบรมจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา”

 

 

นางเวินย่อกายให้นางเจียง “พี่สะใภ้ใหญ่ ทำให้ท่านต้องยุ่งยากแล้ว”

 

 

แล้วเอ่ยกับนางหลี่ต่อว่า “พี่สะใภ้รอง ขออภัยท่านด้วย”

 

 

นางเจี่ยงเป็นผู้ดูแลจวน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในจวน อย่างไรก็ย่อมต้องเสื่อมเสียเกียรติไม่น้อยแม้นในใจจะหงุดหงิดยิ่งแต่บุตรชายและบุตรสาวของนางเวินล้วนได้ดีกันทั้งสิ้น หันเกอยังเล็กนัก ภายหน้ายังต้องการค้ำชูจากบรรดาพี่น้อง ไหนเลยจะทำให้นางเวินต้องย่ำแย่เล่า นางจึงเอ่ยว่า “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น น้องสะใภ้สามอย่าได้พูดเช่นนี้เลย เรื่องที่เราควรทำคือรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบไปโดยไว”

 

 

นางหลี่ลูบผมตนคราหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่าวันนี้นางเวินนับว่าใช้ได้ กล่าววาจาขออภัยก็มิลืมนาง แต่ต่อมาก็ต้องชะงักไป

 

 

ข้าก็เป็นมารดาผู้หนึ่ง คุณหนูในจวนมีแค่บุตรสาวของนางที่ยังไม่ออกเรือน จิ้งเอ๋อร์ยังหาคู่ที่เหมาะสมไม่ได้เสียที แต่อย่างไรก็จะให้อวี้เอ๋อร์หมั้นหมายกับคุณชายตระกูลหวัง

 

 

แม้นการที่น้องสาวหมั้นหมายก่อนพี่สาวนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่เพราะเป็นฝาแฝดจึงพอจะถูไถไปได้

 

 

ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนทั่วเมืองหลวงก็ย่อมต้องวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นที่พูดถึงกันไปทั่ว ชื่อเสียงของจิ้งเอ๋อร์ก็ย่อมต้องถูกเด็กสาวร้อนร่านนั้นดึงให้เสียหายไปด้วย!

 

 

ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางหลี่ก็รู้สึกย่ำแย่ไปทั่วร่าง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ท่านจักต้องให้ความเป็นธรรมกับจิ้งเอ๋อร์นะเจ้าคะ จิ้งเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้าจักต้องมาถูกเด็กสาวร้อนร่านนั้นทำให้ลำบากไปด้วย!”

 

 

“พี่สะใภ้รอง…” นางเวินมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง คำว่า ‘เด็กสาวร้อนร่าน’ นั้นคล้ายการตบหน้านางโดยแรงหนึ่งฉาด ทั้งอับอายทั้งเจ็บปวด

 

 

นางหลี่โบกมือคราหนึ่ง “มิต้อง มิต้องขอโทษ หากการขอโทษมีประโยชน์ ยังต้องมีกฎเกณฑ์และกฎหมายไปไยกัน? ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ สตรีที่แม้แต่เดินบนถนนยังแทบยกเรียวขาขึ้นยั่วบุรุษเช่นคุณหนูผู้เป็นญาติผู้น้องนั้น ท่านรีบส่งนางกับบ้านเกิดไปเถิด ให้มารดาของนางกังวลเสียเอง!”

 

 

“ท่านแม่!” เจินปิงและเจินอวี้กระทืบเท้าพรางร้องขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนตัวสั่น “พอแล้ว นางหลี่ เท่านี้เจ้าคิดว่ามันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ? บุตรสาวเจ้าก็ยังอยู่ตรงนี้ ดูสิว่าเจ้าพูดวาจาเช่นใดออกมา!”

 

 

นางหลี่เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะ บุตรสาวทั้งสองทั้งโกรธทั้งอายก็ทราบว่าตนพลั้งปากไปจึงปิดปากตนทันที

 

 

“ท่านย่า ท่านอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย ต่อให้เรื่องใหญ่เพียงใดก็ย่อมต้องมีวิธีแก้ไข” เจินเมี่ยวกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธจนเสียสุขภาพจึงรีบเข้าไปลูบหลัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวแล้วจ้องนางเวิน “นางเวิน ข้าอยากจะถามเจ้าว่า เจ้ามีความคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้?”

 

 

เด็กสาวผู้นั้นช่างเป็นคนที่มิอาจทำให้สงบใจได้จริงๆ หากนางเวินยังคิดจะปกป้องนาง นางหลี่ก็พูด ควรจะต้องรีบส่งนางกลับบ้านเกิดไป ชื่อเสียงของจวนปั๋วเสียชื่อเพียงคราเดียว อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องน่าขายหน้าไปมากกว่านี้

 

 

ครานี้นางเวินกลับมิได้ลังเล นางเอ่ยขึ้นทันทีว่า “สะใภ้คิดดูแล้วแม้นชาติกำเนิดของคุณชายรองร้านโลงศพนั้นยังมิได้ดีนัก แต่หากเป็นคนดีก็จะให้ยาฉีแต่งกับเขาเสีย หากไม่เหมาะสมให้ตบแต่งกัน เช่นนั้นก็ส่งยาฉีกลับไปที่ไฮ่ติ้งเพื่อหลบข่าวคราวพวกนี้ก่อนค่อยว่ากันอีกที”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี” แล้วมองไปที่เจินเมี่ยวพลางเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ากับมารดาไปเรียกยาฉีกลับมาที่นี่ด้วยกันเถิด”

 

 

เวลานี้เด็กสาวผู้นั้นคงซักถามจนได้ความชัดเจนแล้วกระมัง

 

 

เวินยาฉีพุ่งเข้าไปในห้องโถงเล็กนั้นดุจพายุ

 

 

บุรุษผู้นั้นนั่งรออยู่ในห้องโถงอันงดงามหรูหรานี้ด้วยความวุ่นวายใจอย่างยิ่ง ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเวินยาฉีก็ลุกขึ้นพลางมองนางด้วยสีหน้ายินดี “คุณหนูเวิน”

 

 

เวินยาฉีมองบุรุษผู้นั้นด้วยความอึ้งงัน

 

 

เมื่อวานตอนที่มองเขาภายในแสงโคมไฟนั้นช่างเป็นคุณชายที่สง่างาม รูปโฉมดุจหยก แต่เมื่อเปลี่ยนมามองในยามกลางวันจึงเห็นว่าคนผู้นี้ออกจะมีสีผิวที่คล้ำไปอยู่สักหน่อย แต่รูปโฉมก็ยังคงสง่างามอยู่เช่นเดิม

 

 

เวินยาฉีสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่งคล้ายกลัวว่าความฝันอันงดงามภายในใจนั้นจะถูกทำลายไปกระนั้น นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเขาต่างบอกว่าท่านเป็นคุณชายรองร้านขายโลงศพ ท่านล้อพวกเขาเล่นใช่หรือไม่?”

 

 

บุรุษผู้นั้นจ้องมองเวินยาฉีอย่างล้ำลึก แล้วเอ่ยอย่างประหม่าออกมาว่า “บ้านข้าเปิดร้านขายโลงศพจริง”

 

 

หัวใจอันโล่งสบายของเวินยาฉีพลันหนาวเหน็บไปถึงครึ่งดวง หน้าถอดสีไปทันที นางถอยหลังไปหนึ่งกล่าวพลางเอ่ยถามว่า “แต่…แต่เมื่อคืนท่านบอกข้าว่าเป็นคุณชายรองตระกูลฉังถิงปั๋วมิใช่หรือ!”

 

 

ครานี้บุรุษหนุ่มกลัวเอ่ยออกมาอย่างเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่กล่าวผิดไป “ฉังถิงเป็นนามของบิดาข้า ตั้งแต่พวกเราพี่น้องเติบใหญ่ขึ้น เพื่อนบ้านต่างก็เรียกเขาว่าฉังถิงปั๋ว[1] !(ลุงฉังถิง)”

 

 

ร่างเวินยาฉีส่ายโงนเงนไปครู่หนึ่ง

 

 

ท่านลุงฉังถิงผู้แสนดี!

 

 

บุรุษหนุ่มเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องมองเวินยาฉีด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึก “คุณหนูเวิน เมื่อคืนที่ข้าพบเจ้าก็รู้สึกหลงรักทันที กลับไปก็ได้พูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว พวกท่านดีใจอย่างยิ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มีใจให้ข้าเช่นกัน เจ้ารับปากข้าเถิด ภายหน้าข้าจักต้องดีต่อเจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยต่อว่า “แม้นคำว่าร้านโลงศพจะดูไม่น่าฟังเท่าใดนัก แต่กิจการที่ร้านเราดีมาก แต่ละเดือนนั้นมีรายได้ไม่น้อยกว่าสิบตำลึงเชียวล่ะ แม้นต่อไปร้านจะตกเป็นของพี่ใหญ่ แต่ท่านแม่กับท่านพ่อบอกแล้วว่าหากข้าแยกเรือนออกไปก็จะแบ่งรายได้ของร้านให้ข้าครึ่งหนึ่ง”

 

 

ร่างของเวินยาฉีเกิดโงนเงนอีกครั้ง

 

 

ที่พูดกับนางเมื่อวานก่อนแยกจากกันนั้นหมายความเช่นนี้นี่เอง!

 

 

“คุณหนูเวิน…”

 

 

เวินยาฉีถอยหลังไปอีกแล้วร้องเสียงแหลมขึ้น “หยุดพูดเถิด!”

 

 

บุรุษผู้นั้นยังคงจ้องมองนางด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง “เอาล่ะ ข้าไม่เข้าไปแล้ว เจ้าอย่าถอยไปอีกเลย ระวังจะหกล้ม คุณหนูเวินเจ้าดูสิ สี่เป็นถุงหอมที่เจ้าให้ข้าไว้เมื่อวาน ท่านแม่เห็นฝีมือการปักถุงหอมอันประณีตก็ดีใจจนต้องถือออกไปอวดให้บรรดาน้องสะใภ้ข้าดู พวกนางต่างบอกว่าข้ามีวาสนายิ่ง”

 

 

เวินยาฉีกัดฟันแน่นพลางจ้องเขม็งไปที่ถุงหอมนั้น ครานี้นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุดแล้วจริงๆ

 

 

ของใช้ติดกายตกไปอยู่ในมือบุรุษทั้งผู้อื่นยังรู้ไปทั่วเช่นนี้แล้วนางจะทำอย่างไรดี!

 

 

บุรุษผู้นั้นยังพูดอีกว่า “คุณหนูเวิน ข้าชอบเจ้าจริงๆ”

 

 

ครั้นเห็นเขามองตนนิ่งด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง หัวใจดวงนั้นของเวินยาฉีพลันอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วนจึงมองเขาอยู่หลายครามิได้

 

 

เมื่อมองเขาอยู่เช่นนี้แล้วกลับพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป

 

 

เขามองดูหน้าด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความรัก แต่เหตุใดท่าทางกลับดูพิกลเช่นนั้นเล่า!

 

 

กระทั่งชั่วขณะนั้นที่ได้สบตาอีกฝ่าย นางถึงพลันเข้าใจว่าความผิดปกติที่ว่านั้นอยู่ที่ใด

 

 

“ท่าน ท่านตาเหล่?”

 

 

มิน่าเล่า มิน่าเล่าหลายครั้งที่บังเอิญพบกันเมื่อวานนั้น ทุกครั้งที่เขามองมาก็คล้ายในดวงตามีแต่นางเพียงผู้เดียวกระนั้น ช่างรักลึกซึ้งผูกพันอันใดเช่นนั้น

 

 

สีหน้าของบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ที่งานมงคลของข้าล่วงเลยมาถึงตอนนี้ โชคดีที่คุณเวินไม่รังเกียจ…”

 

 

“หา!” เวินยาฉีรู้สึกย่ำแย่อย่างที่สุด นางหมุนกายวิ่งจากไปแต่กลับถูกสะดุดเข้ากับกระโปรงตนเอง

 

 

บุรุษผู้นั้นรีบวิ่งเข้าไปหวังจะประคองนาง แววตานั้นมองตรงไปที่ร่างนาง ทั้งยังแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เวินยาฉีกลับรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาจึงพยายามดิ้นรนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

 

 

ระหว่างทางก็พบเข้ากับเจินเมี่ยวและนางเวินจึงโผเข้าไปหานางเวินแล้วเอ่ย “ท่านอา ให้เขาออกไป ให้เขาออกไป ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยอมแต่กับเขาเด็ดขาด!”

 

 

เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นเดินตามมาติดๆ นางเวินจึงผลักเวินยาฉีให้เจินเมี่ยวทันที “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไปดูยาฉีก่อน แม่จะไปคุยกับคนผู้นั้นเอง”

 

 

ครั้นเห็นนางเวินเดินเข้าไป ไม่ทราบคุยอันใด บุรุษผู้นั้นจึงเดินตามเข้าไปในห้องโถงเล็ก เวินยาฉีเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างที่สุด นางร้องขึ้นว่า “ท่านอา ท่านมีอันใดที่ต้องคุยกับเขากัน รีบสั่งให้คนไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้!”

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ลากเวินยาฉีออกไปพลางเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง เจ้ารีบตามข้ากลับไปก่อนเถิด”

 

 

เวินยาฉีคิดจะขัดขืน แต่เจินเมี่ยวกลับออกแรงนิดหน่อยลากนางเดินออกไปทันที

 

 

ครั้นถึงห้องโถงใหญ่เวินยาฉีก็นั่งเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เจินเมี่ยวมิสนใจนางเพียงยกชาขึ้นดื่มรอ

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งนางเวินก็กลับมา นางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “สะใภ้พูดคุยกับคนผู้นั้นอยู่หลายคำ ดูท่าทีเขาแล้วก็เป็นคนจริงใจใสซื่อ แต่หากจะให้รอบคอบกว่านี้ก็คงต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปสอบถามข่าวดูสักครา หากไม่มีปัญหาใดก็จะจัดการเรื่องของเด็กทั้งสองให้เรียบร้อยโดยเร็วเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเย็นในใจ หากเป็นคนใสซื่อจริงๆ เหตุใดต้องทำเอิกเกริกให้คนรู้ไปทั่วก่อนมาที่จวนด้วยเล่า เพียงแต่ยามนี้ชื่อเสียงของแม่นางน้อยนั้นได้ถูกทำลายลงไปแล้ว หากฝ่ายชายมิได้มีปัญหาอันใดที่หนักหนาเกินไปก็จำเป็นต้องยอมรับชะตากรรมนี้เท่านั้นเอง

 

 

“แม่นมหวัง เจ้าให้ผู้ดูแลเรือนหน้าไปสอบถามประวัติเขามาหน่อยเถิด”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งเอ่ยกำชับออกไป เวินยาฉีก็เอ่ยขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น “ท่านอา หลานไม่อยากแต่งกับคนผู้นั้นเจ้าค่ะ!”

 

 

แม้นนางเวินจะลำบากใจยิ่ง แต่ครานี้กลับมิได้ใจอ่อน “ยาฉี แม้นเขาจะเป็นเพียงตระกูลธรรมดา แต่หากเขารักเจ้าด้วยใจจริงก็นับเป็นโชควาสนายิ่งแล้ว เจ้าเองก็มิต้องกลัวลำบากอันใด ตอนนี้มั่วเหยียนก็ก้าวหน้าอย่างยิ่ง ทั้งมีอาอยู่ด้วย เรื่องสินเดิมที่จะให้เจ้านั้นไม่มีทางน้อยหน้าแน่”

 

 

คนอื่นๆ ไม่ทราบทำสีหน้าเช่นไรกันบ้างแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วแม่นางผู้นี้กลับยังเลือกนั้นตำหนินี่อยู่อีก

 

 

เวินยาฉีเงยหน้าขึ้นมองนางเวินคราหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอันมุ่งมั่นของนาง ความสิ้นหวังจึงปรากฏวูบขึ้นในดวงตา สายตาชำเลืองไปมองเจินเมี่ยวที่นั่งเงียบๆ ตรงนั้นแล้วพลันสว่างวาบขึ้น นางคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นว่า “ญาติผู้พี่ ยาฉีสำนึกผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านมิใช่บอกว่า…บอกว่าพี่เขยจะ…”

 

 

มิรอให้นางพูดจบ เจินเมี่ยวก็พูดตัดบทขึ้นว่า “ญาติผู้น้อง หยกงามที่แตกไปแล้วไหนเลยจะเป็นเช่นกาลก่อนได้”

 

 

วาจานี้ดั่งเข็มที่ทิ่มแทงจนโลหิตไหลทำเอาเวินยาฉีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงร่ำไห้พลางเอ่ยว่า “พวกท่านทราบอันใด คนผู้นั้น คนผู้นั้นเขาตาเหล่ ข้าเห็นเขาแล้วก็แทบจะอาเจียนออกมา หากต้องแต่งกับเขามิสู้ตายไปเสียดีกว่า!”

 

 

เจินอวี้ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป จึงแค่นยิ้มออกมาคราหนึ่ง “วาจานี้ช่างน่าขันนัก หรือว่าเมื่อคืนนี้มีคนบังคับให้เจ้าไปสัญญารักกับเขางั้นหรือ? ฮึ มิน่าเล่าระยะหลังนี้ถึงได้ไปสนิทกับเจินจิ้ง รู้จักแต่เลียนอย่างไม่ดี ที่ดีๆ มิเอาอย่าง!”

 

 

“อวี้เอ๋อร์!” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องขึ้นเสียงหนึ่ง

 

 

เวินยาฉีอึ้งไป นางพึมพำขึ้นว่า “เจินจิ้ง?”

 

 

คำสองคำนี้คล้ายน้ำเย็นเฉียบที่ราดรดลงไปบนศีรษะนาง สาดเทเสียจนนางหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ!

 

 

นางเล่าให้ตนฟังถึงความยากลำบากของการเกิดมาเป็นบุตรของอนุ ทั้งเล่าถึงพรหมลิขิตระหว่างนางกับองค์ชายหกและความมั่งคั่งร่ำรวยของตำหนักองค์ชาย

 

 

แม้นนางเย็บปักประณีตเพียงใดก็มิสู้พี่สาวผู้นั้นได้ และในขณะที่คอยแนะนำการปักเย็บให้นาง พี่สาวก็ได้บอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางไปฟังด้วยคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ

 

 

นางเห็นนางเป็นดั่งพี่สาวผู้มีวาสนาต่อกัน กระทั่งเป็นแบบอย่างของนางด้วย จึงได้เลียนอย่างความเคยชินของนางด้วยการปักชื่อของตนลงบนสิ่งของของตน

 

 

เวินยาฉีมิเคยเข้าใจอันใดถ่องแท้เท่าเวลานี้มาก่อน ความโกรธแค้นอันใหญ่หลวงประเดประดังเข้ามาคล้ายเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ตัวนาง

 

 

นางอยากจะไปถามคนสารเลวผู้นั้นว่า เหตุใดต้องทำร้ายนางเช่นนี้!

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปั๋ว (伯) ในภาษาจีนมีหลายความหมาย หมายถึงลุงและหมายถึงบรรดาศักดิ์ระดับสามในบรรดาห้าบรรดาศักดิ์ในระบบศักดินาด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด