วาสนาบันดาลรัก 427 จะคลอดแล้ว

Now you are reading วาสนาบันดาลรัก Chapter 427 จะคลอดแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางเวินยกมือขึ้นจัดผม แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “แม่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ตระกูลแม่สามีพี่รองเจ้าเคร่งครัดกฎระเบียบยิ่ง หลายปีมานี้แม้นางกับสามีจะรักใคร่กันดีแต่ก็ต้องทนทรมานไม่น้อย ยามนี้ถูกลดตำแหน่งคงจะเห็นแก่หน้าเจ้าบ้าง ผู้เฒ่าท่านนั้นคงไม่กล้าหาเรื่องนางอีก”  

 

 

เจินเมี่ยวได้ยินก็อดพยักหน้าตามไม่ได้  

 

 

นางเวินไม่เหมือนสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปที่หวังจะให้สามีมีชื่อเสียง บุตรชายสอบได้อันดับหนึ่ง ในด้านี้นางคิดได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในสายตาเจินเมี่ยวเห็นว่าการเป็นเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย  

 

 

“ได้ยินว่ายาหันได้บุตรชายหรือ”  

 

 

นางเวินมาครั้งก่อนเห็นเจินเมี่ยวดูอ่อนเพลียจึงมิได้ถึงถามเรื่องนี้  

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ ชื่อฝูเกอ ตอนนี้สองปีแล้ว น่ารักน่าชังยิ่ง ตอนที่ข้าจะกลับยังมาตามกอดขาข้าไว้ไม่ปล่อยเลย”  

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยถึงฝูเกอแล้วก็ยิ้มออกมา ท่าทีดูอ่อนโยนยิ่ง  

 

 

นางเวินเห็นแล้วก็ยิ้ม “ดูเจ้าสิ จะเป็นแม่คนแล้ว พอเอ่ยถึงเด็กก็ยิ้มไม่หุบเลย ญาติผู้พี่เจ้าผ่านความทุกข์ยากมาก ในที่สุดก็มีความสุขเสียที”  

 

 

“ท่านแม่ ท่านกับอาสะใภ้รองวางใจได้ จากที่ข้าดูญาติผู้พี่กับพี่เขยนั้นรักเคารพกันยิ่ง แม่สามีก็ไม่เคยมายุ่งเรื่องการดูแลบ้านเรือน ทั้งยังใจดีมากอีกด้วย”  

 

 

นางเวินหัวเราะไปพลางพยักหน้าไปพลาง แล้วเปลี่ยนมาพูดเรื่องเจินเมี่ยวแทน “หากครรภ์แรกเป็นบุตรชายก็เยี่ยมไปเลย”  

 

 

“ท่านแม่” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว “ไม่ว่าชายหรือหญิงก็เป็นวาสนาที่มีต่อกันทั้งสิ้น ข้าครรภ์แก่เพียงนี้แล้ว เขาอาจจะกำลังเสียใจอยู่ก็ได้ที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของท่านยาย”  

 

 

นางเวินกลอกตาคราหนึ่ง “เจ้าช่างรักบุตรเสียจริง เด็กตัวเล็กๆ ในท้องจะรู้จักเสียใจได้อย่างไร แม้เจ้าจะไม่สนใจว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่คนอื่นไม่สนใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่สนใจหรือ”  

 

 

เมื่อเห็นนางเวินพูดไม่หยุด เจินเมี่ยวรีบขอร้องไว้ทันที  

 

 

นางเวินจึงหยุดพูด นางมองที่ประตูคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ป้าสะใภ้รองเจ้าเป็นคนรับได้แต่สิ่งดี สิ่งไม่ดีนางรับไม่ได้ การเป็นธุระให้นาง เกรงว่าสุดท้ายจะถูกก่นด่าเสียมากกว่า แต่น้องห้าเจ้าน่าสงสารจริงๆ คู่หมายบรรดาศักดิ์สูงมากมิได้ต่ำมากก็มิได้ ยากเหลือเกิน เจ้าช่วยดูให้หน่อยเถิด”  

 

 

นางเวินพลันนึกถึงนางหลี่ที่หอบหายใจด้วยความโกรธกลับจวนมา เมื่อสอบถามดูจึงทราบว่านางไปหาเจินหนิงเพื่อขอร้องให้เจินปิงได้โดดเด่นที่สุดในงานชมดอกหลีของวังองค์หญิง แต่สุดท้ายถูกปฏิเสธ นางหลี่โมโหก่นด่าอยู่หลายวันทำเอานางเจี่ยงหน้าดำคล้ำไปหลายวันเช่นกัน  

 

 

“เจ้าค่ะ”  

 

 

สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกหลายประโยค นางหลี่ก็กลับมา เมื่อเห็นว่าเจินเมี่ยวเพลียแล้วจึงขอตัวลากลับ  

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับมาถึงจวน เจินเมี่ยวก็เอ่ยเรื่องนี้กับเขาทันที  

 

 

“ข้าจะลองสอบถามดูแล้วกัน”  

 

 

เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ความจริงข้ามีคนที่เลือกไว้ในใจแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่”  

 

 

“ใครหรือ” หลัวเทียนเฉิงหรี่ตามอง  

 

 

เมื่อใดกันที่ภรรยาเขาเริ่มจะสนใจบุรุษอื่น  

 

 

“แม่ทัพเซียวอย่างไรเล่า”  

 

 

“เซียวอู๋ซัง?” หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้าทันที “ไม่ได้แน่ เขาเป็นหลานชายคนโตของจวนหย่วนเวยโหว เรื่องงานมงคลของเขา มิใช่เรื่องที่จะพูดคุยกันได้โดยง่ายแน่”  

 

 

พูดถึงตรงนี้แล้วก็มองเจินเมี่ยวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อีกอย่าง ความเจ้าสำราญของเขา เจ้าก็มิใช่ไม่เคยได้ยิน จะยอมให้น้องสาวแต่งให้เขาจริงๆ หรือ”  

 

 

ฮึ กล้าทำให้เจี๋ยวเจี่ยวรู้สึกดีต่อเจ้า ต้องใส่ไฟเสียหน่อย!   

 

 

“ไม่ใช่เขา เป็นแม่ทัพเซียวมั่วอวี่ต่างหาก เขาเป็นอาเล็กของเซียวซื่อจื่อมิใช่หรือ ข้าได้ยินว่าเขายังไม่แต่งงาน”  

 

 

ที่เจินเมี่ยวนึกถึงเซียวมั่วอวี่เพราะเขาเคยไปส่งตนไปที่ชิงเป่ย ตลอดทางก็พอจะรู้จักอีกฝ่ายไม่น้อย นางเห็นว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดยังไม่แต่งงานทั้งที่อายุไม่น้อยแล้ว  

 

 

“เซียวมั่วอวี่?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ  

 

 

“มีอันใดหรือ”  

 

 

น้ำเสียงหลัวเทียนเฉิงแฝงความลังเลอยู่เล็กน้อย “เขาเป็นคนดี แต่ชาติกำเนิดของเขาไม่ใคร่จะดีนัก”  

 

 

“ชาติกำเนิด? เขามิได้เป็นอาของเซียวซื่อจื่อหรอกหรือ”  

 

 

“ใช่ แต่เขาไม่ใช่อาแท้ๆ ของเซียวอู๋ซัง บิดาเซียวมั่วอวี่เป็นน้องชายของหย่วนเวยโหว แต่จากโลกนี้ไปเร็วยิ่ง คู่หมั้นของบิดาเขาในตอนนั้นจึงยอมเป็นหญิงหม้ายไม่แต่งงานอีก”  

 

 

“ไม่แต่งงานอีก?” เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิเกินไปหน่อยหรือ”  

 

 

ขนบธรรมเนียมในยามนี้นั้นมิได้เคร่งครัดเท่ายุคสมัยก่อน สตรีที่ยอมเป็นหญิงหม้ายมิแต่งงานใหม่เช่นนี้จึงมีไม่มากนัก  

 

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงแฝงแววยิ้มเยาะ “ผู้ใดว่าไม่เกินไปเล่า ได้ยินว่าตอนนั้นจวนหย่วนเวยโหวหารือกับฝ่ายหญิงแล้วเรื่องหารถอนหมั้น แต่ตระกูลฝ่ายหญิงยังยืนยันที่จะไม่ถอนหมั้น ยังต้องการที่จะแต่งเข้าจวนหย่วนเวยโหว แล้วผู้ใดจะห้ามได้เล่า”  

 

 

เจินเมี่ยวไม่รู้จะพูดอันใดแล้ว  

 

 

ไม่ว่ายุคสมัยใดก็มักจะมีตระกูลที่เห็นสตรีเป็นเพียงสิ่งของเพื่อแลกเปลี่ยนอำนาจอยู่เสมอ  

 

 

“แล้วแม่ทัพเซียวเกิดมาได้อย่างไรเล่า”  

 

 

“แม่ทัพเซียวเป็นบุตรที่เกิดจากอนุนอกเรือน มารดาผู้ให้กำเนิดเขาเป็นนางรำ เดิมทีบุตรที่เกิดนอกจวนเช่นนี้ผู้คนต่างไม่ยอมรับ แต่เพราะบิดาเขาจากไปอย่างกะทันหัน ทิ้งสายเลือดเพียงคนเดียวไว้ เขาจึงได้เข้ามาอยู่ในจวน และเหตุนี้เองจึงเชิญคู่หมั้นของบิดาเขามาอยู่ที่จวนด้วย”  

 

 

สตรีที่ยอมแต่งเป็นหญิงหม้ายเช่นนี้จะต้องอยู่ที่ตระกูลมารดาตน แต่เพราะฝ่ายชายมีบุตร ภรรยาเอกนับว่ามีที่พึ่งพาแล้วจึงได้เชิญฝ่ายหญิงมาอยู่ในจวน เช่นนี้ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลยิ่ง  

 

 

“ต่อมาบิดาของหย่วนเวยโหวได้สิ้นไป ตามหลักแล้วพี่น้องควรแยกจวนกัน แต่เพราะสงสารบุตรกำพร้าเช่นเขาจึงมิได้ให้แยกจวนออกไป ทว่าการที่เขาอยู่ครั้งนี้กลับทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป คล้ายลังเลว่าจะพูดต่อหรือไม่  

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้ว นางจึงกระตุกแขนเสื้อเขาเป็นการใหญ่ “เรื่องเลวร้ายอันใดหรือ”  

 

 

เมื่อเห็นดวงตาแวววาวดุจไข่มุกชั้นดีของนางที่จ้องมองเขาละห้อย หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะลังเลต่อไปได้อีก เขาจึงเล่าต่อว่า “ตอนนั้นแม่ใหญ่ของเซียวมั่วอวี่อายุแค่สิบสี่สิบห้าเท่านั้น นางเลี้ยงเขาจนอายุสิบปีก็จากโลกนี้ไป ตอนนั้นตระกูลนางอาละวาดอย่างหนัก ภายหลังกลับมีข่าวลือว่านางกับอาสามของเซียวอู๋ซัง…เรื่องนี้เป็นบุตรของพี่น้องนางพูดเอง ได้ยินว่านางตั้งครรภ์จึงฆ่าตัวตาย แม้เรื่องนี้จะยากพิสูจน์ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ข่าวลือเช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตระกูลสูงศักดิ์ ฐานะของเซียวมั่วอวี่จึงกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ถึงยามที่เขาต้องแต่งงานจึงยิ่งยาก เขาเป็นคนทระนงในศักดิ์ศรีทำให้ทุกอย่างล่าช้ามาขยถึงตอนนี้”  

 

 

“ฟังดูแล้วก็ดูวุ่นวายไม่น้อย แต่ตอนนี้แม่ใหญ่เขาไม่อยู่แล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าไม่เป็นอันใดเลย ขอแค่เขาเป็นคนดีก็พอ”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “เจ้าไม่ถือสา แต่ผู้อาวุโสไหนเลยจะไม่ถือสาได้”  

 

 

“เช่นนั้นข้าจะกลับไปถามความเห็นของป้าสะใภ้รองดูก่อน”  

 

 

แม้ในสายตานางเซียวมั่วอวี่จะไม่เลวเลย แต่นางหลี่เป็นคนช่างเลือก นางจะไม่ยอมช่วยแล้วโดนด่าทอทีหลังแน่  

 

 

ผ่านไปไม่กี่วันนางหลี่ก็มาถึงจวน เจินเมี่ยวจึงสอบถามนางดู  

 

 

นางหลี่ฟังแล้วก็เม้มริมฝีปากไม่พูดจา ครู่หนึ่งก็ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “หากพูดถึงแม่ทัพเซียว เขาเป็นคนมีความสามารถมาก แต่กำพร้าบิดามารดาแต่เล็ก ชะตาเขาข่มผู้อื่นไปสักหน่อย อย่างไรให้ซื่อจื่อช่วยดูอีกทีเถิดว่ามีคนที่เหมาะสมกว่านี้หรือไม่”  

 

 

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น  

 

 

บิดามารดาสิ้นแล้วเป็นอย่างไร บิดามารดาซื่อจื่อของนางก็สิ้นแล้วเช่นกัน มิเห็นว่านางจะมีชีวิตย่ำแย่กว่าผู้ใดอันใด  

 

 

นางหลี่เห็นเจินเมี่ยวขมวดคิ้วก็รีบรู้ตัวทันทีจึงรีบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บิดามารดาสิ้นแล้วมิเป็นไร ไม่มีแม่สามีคอยควบคุม ชีวิตมีอิสระมากขึ้นสักหน่อย แต่เขาเป็นบุตรนอกจวน อย่างน้อยปิงเอ๋อร์ก็เป็นบุตรของภรรยาเอก เช่นนี้ออกจะดูไม่เหมาะสมเท่าใด”  

 

 

เจินเมี่ยวอดถอนหายใจออกมามิได้  

 

 

มีบุตรภรรยาเอกคนใดที่มีอนาคตเท่าเซียวมั่วอวี่ อายุยี่สิบต้นๆ แต่กลับได้เป็นถึงแม่ทัพแล้ว มีบุตรจากภรรยาเอกมากมายเท่าใดที่จะได้แต่งงานกับบุรุษหนุ่มมากความสามารถเช่นนี้  

 

 

น่าเสียดายที่คนบนโลกนี้มักให้ความสำคัญกับชาติตระกูล ฐานะมากกว่าตัวบุคคล  

 

 

“เช่นนั้นข้าจะให้ซื่อจื่อช่วยดูอีกทีแล้วกัน” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างหมดความสนใจ  

 

 

นางหลี่เห็นเช่นนั้นก็มิกล้าพูดมากจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ  

 

 

หลังจากนั้นนางหลี่ก็มักจะพาเจินปิงมาหานางอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นแขกประจำของจวนกั๋วกงไปแล้ว  

 

 

วันหนึ่งในเดือนเจ็ด ยากนักจะมีแสงอาทิตย์ให้เห็น ยอดไม้พัดปลิวแผ่วเบานำเอาความเย็นสายหนึ่งเข้ามา ประจวบเหมาะกับเจินปิงมาหา เจินเมี่ยวจึงให้นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้เป็นเพื่อนตน  

 

 

“พี่สี่ ครรภ์ท่านใหญ่มากแล้ว อย่าออกไปดีกว่า”  

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “ยิ่งใกล้คลอดก็ยิ่งต้องเดินให้มาก มิเช่นนั้นจะคลอดยาก ยากนักที่อากาศจะเย็นสบายเช่นนี้ ไปเดินเล่นในสวนสักหน่อยดีกว่า”  

 

 

ในสวนมีดอกไม้หลากหลายชนิดกำลังเบ่งบาน ทั้งยังมีทับทิมที่กำลังออกผลอยู่ด้วย เมื่อทอดสายตาออกไปก็รู้สึกว่าทุกที่เป็นทิวทัศน์อันงดงาม  

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวเห็นผลองุ่นแวววาวที่ห้อยเป็นพวกเหล่านั้นดวงตาก็สว่างวาบขึ้น “น้องห้า เราไปนั่งด้านนั้นกันเถิด”  

 

 

นางเดินค้ำเอวแบกท้องอันใหญ่โตของตนเดินไป เจินปิงอดยิ้มออกมามิได้แล้วรีบเดินตามไป “พี่สี่ เดินช้าๆ หน่อยเถิด”  

 

 

คนทั้งสองนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น สาวใช้อยู่ถือพัดโบกให้อยู่ด้านหลัง เจินเมี่ยวกำชับไป๋เสาให้เด็ดพวกองุ่นไปล้าง พวกนางนั่งกินไปคุยกันไป  

 

 

“องุ่นนี้เพิ่งจะปลูกหลังจากที่ข้าแต่งเข้ามา แต่ยามนี้กลับได้กินผลของมันเสียแล้ว”  

 

 

“เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ” เจินปิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา  

 

 

นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ทั้งยังเป็นคนเรียบร้อย ท่าทางดูสุขุมกว่าเจินเมี่ยวผู้มักยิ้มแย้มอยู่เล็กน้อย  

 

 

เจินเมี่ยวหยิบองุ่นขึ้นมาปอกอย่างระมัดระวัง น้ำสีม่วงของมันไหลลงไปตามนิ้วมือสีขาวราวหยกนั้น แต่นางไม่สนใจยังคงปอกเปลือกองุ่นต่อไป ไม่นานองุ่นใสวาวลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นางกินมันลงไปแล้วเผยรอยยิ้มพอใจอย่างที่สุดออกมา  

 

 

“หากนำองุ่นไปคั่นแล้วเติมน้ำผึ้งสักนิดใส่น้ำแข็งสักหน่อย ดื่มแล้วสดชื่นจิง แต่น่าเสียดายตอนนี้ข้าไม่กล้ากินของเย็น”  

 

 

แสงแดดส่องลอดผ่านกลุ่มใบองุ่นอันหนาแน่นแตกกระจายเป็นจุดเล็กๆ ลงไปบนหน้าเจินเมี่ยวจนสามารถมองเห็นขนอ่อนอันเล็กละเอียดนั้นได้ และยิ่งขับให้ใบหน้างดงามที่มีแต่เดิมโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก  

 

 

เจินปิงฟังด้วยรอยยิ้มพลางมองที่ใบหน้านาง ความชื่นชมยินดีผุดขึ้นมาในใจเงียบๆ  

 

 

ได้ยินว่าพี่เขยสี่กลับมาครานี้มีคนส่งหญิงงามมาให้เขาไม่น้อย แต่เขากลับมิให้แม้แต่หญิงงามเหล่านั้นเข้ามาในจวน จึงมีคนเย้าเขาว่ากลัวภรรยา แต่เขากลับเอ่ยยอมรับอย่างเปิดเผยทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะพูดอันใดต่ออีก  

 

 

สำหรับสตรีผู้หนึ่งแล้วการมีสามีเช่นนี้ พวกนางจะเรียกร้องอันใดอีกเล่า  

 

 

“น้องห้า?”  

 

 

“อ๊ะ” เจินปิงตื่นจากภวังค์ทันที นางยิ้มอย่างเขินอาย  

 

 

“เจ้ามีเรื่องอันใดในใจหรือไม่”  

 

 

เจินปิงส่ายหน้า “ข้ายังเป็นเช่นเดิม แต่ท่านแม่ข้ามารบกวนท่านอีกแล้วใช่หรือไม่”  

 

 

“เราเป็นพี่น้องกัน ไหนเลยจะมีคำว่ารบกวน กลับเถิด เรากลับเรือนกันเถิด”  

 

 

เจินปิงรีบยื่นมือไปประคองเจินเมี่ยวให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นนางตัวแข็งทื่อก็รีบถามว่า “พี่สี่ เป็นอันใดหรือ”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด